เกดมองภาพที่ชายหนุ่มกำลังใช้ผ้าผืนบางสีขาวพันไปบนขาอันกระจิดริดของนกตัวนั้น แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมา นี่ก็อีกคน ช่างอ่อนโยน ละเอียดอ่อน ผิด
วิสัยของผู้ชายทั่วไปเสียเหลือเกิน
แล้วก็ช่างแสนดี มีน้ำใจ เป็นที่พึ่งพิงได้เสมอ เป็นเพื่อนที่คงจะหาได้ยากแล้วในชีวิตนี้
หญิงสาวมองไปรอบร้านต้นไม้แห่งนี้ กลิ่นหอมระรวยของดอกไม้บางชนิดลอยมาเข้าจมูก ผสมผสานไปกับกลิ่นดินที่อวลคละเคล้ากันไป ดอกไม้ฤดูร้อนบาง
ชนิดออกดอกชูช่อ ทำให้ร้านเล็กๆ แห่งนี้มีสีสันสวยงามกว่าที่เคย ว่าไปแล้วนี่คืออาณาจักรเล็กๆ ของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้านั่นเอง
นานเหลือเกินแล้ว ที่วินเป็นอย่างนี้ มีความสุขอย่างง่ายๆ กับต้นไม้ เล่นดนตรี แล้วก็ทำงานอีกเล็กๆ น้อยๆ ที่ให้อิสระ ได้ใช้ความคิดของตัวเองในการสร้าง
สรรค์ผลงานอย่างเต็มที่
แต่แปลกจัง วันนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่ดูจะผิดแผกออกไป เสียงถอนหายใจ อาการนิ่งเงียบ รอยยิ้มอันฝืดฝืนนั่นอีกเล่า
“นกนั่นเป็นอะไรไปจ้ะ ถึงได้มานั่งประคบประหงม ไม่เป็นอันทำงานอย่างนี้” เกดถามขึ้น
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตา มีประกายบางอย่างปรากฎขึ้นวาบหนึ่ง ก่อนจะจางหายไปในเวลาอันรวดเร็ว
“มาเปิดร้านตอนเช้า ก็เห็นมันนอนอยู่บนพื้นตัวเดียว ตอนแรกนึกว่าหมดแรง บินต่อไปไม่ไหว พอเราอุ้มมันขึ้นมาวางบนโต๊ะ ถึงได้เห็นว่ามันบาดเจ็บ ขาเจ็บ
หรือปีกหักอะไรสักอย่างนี่แหละ”
เสียง “ปีกหัก” ของชายหนุ่มฟังดูอ่อนล้า ซึมเศร้าอย่างไรพิกล
“น่าสงสาร” หญิงสาวพูดได้แค่นั้น
เพิ่งจะ 4 โมงเย็นเท่านั้นเอง ตอนเกดผ่านประตูร้านเข้ามา ก็เห็นวินนั่งอยู่บนโต๊ะประคบประหงมนกปีกหักตัวนั้นอยู่เป็นนาน วันนี้ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อยืดสี
แดงลายการ์ตูน ผมสั้นที่เคยเป็นระเบียบดูยุ่งเหยิงกว่าที่เคย
“แล้วจะยังไงต่อไป จะเลี้ยงมันเอาไว้ หรือพยาบาลมันแล้วก็จะปล่อยไป”
วินส่ายหน้า
“ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่เท่าที่เห็นปีกหักอย่างนี้มันคงบินไปไหนไม่ไหว จะให้พ่อแก่ แม่แก่ ช่วยเลี้ยงไว้ก่อน แข็งแรงค่อยปล่อยไป”
“อ้าว แล้วกัน ทำไมไม่เลี้ยงเอง ไปรบกวนคนแก่ทำไม” หญิงสาวถามด้วยเสียงดุ แต่แฝงรอยยิ้มอยู่ในสีหน้า
ชายหนุ่มมองหน้าเพื่อนสาวอยู่เนิ่นนาน แล้วก็ยิ้มออกมา แต่ก็ยังดูฝืดฝืน แห้งแล้งอยู่ดีนั่นแหละ
“ไม่ว่างนะสิ อีกวันสองวันจะลงไปหาหลวงพ่อที่ใต้ ไม่รู้ว่าจะอยู่กี่วัน”
“อ้าว แล้วกัน” หญิงสาวอุทาน
วินประคองนกบาดเจ็บเอาไว้บนผ้าสีขาวขุ่นที่ตั้งอยู่ทางด้านหนึ่งของโต๊ะ แล้วหันหน้ากลับมาถาม
“เกด มีอะไรหรือเปล่า ว่าไง…”
หญิงสาวพูดไม่ออก ความรู้สึกบางอย่างบอกว่ามีอะไรที่ผิดเพี้ยนไป ดูเหมือนว่าเพื่อนชายมีอะไรซุกซ่อนเอาไว้ และสิ่งที่แสดงออกทางสีหน้า ก็คือ อาการไร้สุข
เงียบเหงา ซึม จะเทียบอะไรดีนะ อ้อ-รู้แล้ว เหมือนต้นไม้เหี่ยวแห้งในกระถางตรงมุมหลังของร้านนั่นไง ดูเฉาเหมือนขาดน้ำหล่อเลี้ยง
“ก็ไม่ได้มีอะไรมาก วิน ไปไหนเสียบ้างก็ดีเหมือนกัน” เกดตอบเสียงแผ่ว เหลือบตามองเพื่อน
“เกด มีอะไรก็บอกสิ อย่ามัวอ้ำอึ้ง” ชายหนุ่มว่าเสียงดุๆ
หญิงสาวพูดอะไรไม่ออก วินก็เป็นอย่างนี้ละ ใจดี เอื้อเฟื้อ ห่วงใยความรู้สึกคนอื่น ส่วนตัวเองนั่นเล่า
เป็นผู้ชายที่แสนดี มีค่า แต่น่าแปลกนักที่…
“ความจริงก็ไม่มีอะไร เพียงแต่ช่วงนี้เกดไม่ค่อยมีเวลา ก็เลยไม่ค่อยได้เจอกัน เลยมีความคิดว่า อยากจะเจอหน้าเพื่อนเก่าๆ พร้อมหน้ากันเสียที ดีมั๊ย”
ชายหนุ่มก้มหน้างุดๆ พยักหน้า
“ก็ได้ เดี๋ยวให้เรากลับขึ้นมาก่อนแล้วกัน”
หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ แล้วก็เบิกตาโพลงขึ้นมา
“คุยกันเพลิน เพิ่งนึกได้ มีหญิงสาวฝากของมาให้วินด้วยนะ เสน่ห์แรงเหมือนกันน้า เพื่อนเรา”
วิน เงยหน้าขึ้น แต่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม
“ใครกัน ยายมุกละสิ”
หญิงสาวหัวเราะแห้งๆ
“แม่นจริงแฮะ”
แล้วเกดก็ยื่นของในมือให้ มันเป็นระฆังเล็กๆ ที่ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง น่ารัก ดูแปลกตาดี
“มุกเค้าบอกว่า เอาไว้แขวนบนกระดิ่งจักรยาน เจ้าฟักทองนะ”
วิน ยิ้มสดใสขึ้นมาเป็นครั้งแรกชายหนุ่มดูแจ่มใสขึ้นหน่อยหนึ่ง ก่อนจะเอามือล้วงลงไปในกระเป๋าผ้าสีขาวข้างตัว แล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งยื่นให้
“เอ้า เล่มนี้เราให้”
เกดเอื้อมมือรับ แล้วต้องอุทานขึ้นมา เพราะมันเป็นหนังสือท่องเที่ยวของสำนักพิมพ์ชื่อดังที่ขึ้นชื่อว่าผลิตงานหนังสือท่องเที่ยวที่มีคุณภาพทุกเล่ม
“ดัลวา สวรรค์หิมาลัย” หญิงสาวอุทานขึ้น
“ฮื่อ…” ชายหนุ่มรับคำเบาๆ
เกดสบตาเพื่อนชาย
“นี่หมายความว่าอะไร…”
วินถอนหายใจ
“แล้วกัน ดัลวา เป็นอย่างไร ภูมิประเทศ ลักษณะภูมิอากาศ ชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นั่น เกดไม่อยากรู้หรือไง อย่าลืมว่าคุณเชเป็นคนที่นั่น”
คราวนี้เกดได้แต่อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก
“สมมติว่า ถ้าวันหนึ่งเกดกับคุณเชต้อง…”
เพื่อนหนุ่มพูดทิ้งค้างไว้แค่นั้น แต่ก็ช่างตรงแผง ชี้เข้าที่กลางใจของเกดกันเลยทีเดียว
ต้องไปอยู่ดัลวา อย่างนั้นหรือ หญิงสาวไม่เคยวางแผนถึงเรื่องนี้มาก่อน
ไม่เคยคิดจนกระทั่งเพื่อนเตือนนี่แหละ…
“กำหนดกลับดัลวา อย่างนั้นหรือ”
ชายหนุ่มพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะสบสายตากับคู่สนทนา
รัชทายาทหนุ่มแห่งดัลวา นัดน้องสาวของคนสนิทมาทานอาหารในร้านอาหารเงียบๆ แห่งนี้ เป็นสวนอาหารริมน้ำที่ผู้คนไม่พลุกพล่านเกินไปนัก สามารถพูดคุย
ได้ทุกเรื่อง
แต่แค่คำถามแรกของนีม่าก็ทำให้เจ้าชายโดร์เชนิ่งอึ้ง
“ขออภัยเพคะ ถ้าหม่อมฉันจะทูลว่า ตั้งแต่เสด็จมาที่นี่ พระองค์ทรงเปลี่ยนไป”
รัชทายาทหนุ่มทรงเลิกพระขนงขึ้นสูง พลางแย้มพระโอษฐ์อย่างพอพระทัย หญิงสาวคนตรงหน้านี้ ช่างมีนิสัยเหมือนพระองค์นัก นั่นก็คือพูดจาตรงๆ ไม่อ้อม
ค้อม
“เปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือ…”
หญิงสาวถอนหายใจยาว
“ก็ทรงทำพระองค์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พระองค์ได้เจอผู้หญิงคนนั้นแล้ว ควรจะเริ่มคิดบ้างนะเพคะว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป หรือจะปล่อยให้คาราคาซัง
ต่อไปเช่นนี้ มีภาระที่รอให้พระองค์ต้องสะสางอีกมากนัก แล้วอีกอย่าง…”
นีม่า นิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะสบตากับคู่สนทนา
“หม่อมฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าจะปิดความลับเรื่องนี้ไว้ได้นานเท่าไหร่กัน นี่มุกเค้าก็เพิ่งโทรมาบอกว่าอยากเห็นพระฉายาลักษณ์ของเจ้าชายโดร์เช”
ชายหนุ่มนิ่งงันไป
จริงสิ นับตั้งแต่เจอหน้าหญิงอันเป็นที่รัก ทุกสิ่งรอบตัวดูราวจะหยุดนิ่ง การได้สบตากับเกด พูดคุยในหลายเรื่องอย่างเข้าอกเข้าใจ บอกเล่าความฝันของกัน
และกัน เรียนพูดภาษาไทยคำยากๆ ไปจนกระทั่งชักชวนเข้าไปดูหนังในโรง และมีโอกาสสัมผัสมือโดยไม่ตั้งใจหลายครั้ง ทำให้รัชทายาทแห่งดินแดนไกลโพ้น
บอกกับตัวเองว่า นี่คือผู้หญิงที่รอคอยมาทั้งชีวิต ไม่ผิดตัวแน่นอน
เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด
“ข้าต้องขอโทษ ที่เจ้าพูดมาถูก ข้าทำอะไรไม่ถูกต้องหลายอย่าง” เจ้าชายโดร์เชตรัสอย่างยอมรับผิด
ฟังเสียงขอโทษขอโพยนั่นแล้ว หัวใจของหญิงสาวก็ตกวูบลง
“ข้าผูกพันกับความหลังมากเกินไปหรือเปล่า นีม่า”
หญิงสาวส่ายหน้า
“อย่างที่เขาเคยพูดไงเพคะ ไม่สัมผัสด้วยตัวเองคงไม่มีทางรู้ได้ ถึงตอนนี้พระองค์คงเข้าพระทัยความรู้สึกของตัวเองแล้วสิเพคะ ว่านั่นใช่ความรักหรือไม่”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
“ข้าไม่สงสัยความรู้สึกของตัวเองอีกต่อไปแล้ว แต่ถึงตอนนี้ข้ารู้สึกกลัวขึ้นมา กลัวว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปอย่างที่คิด เกดไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น จนถึงตอนนี้
ข้าก็ไม่แน่ใจว่าข้าหลงคิดไปอยู่ฝ่ายเดียวหรือไม่ แล้วเกดจะมีความรู้สึกอย่างไรเมื่อความจริงถูกเปิดเผย”
เสียงอันไม่ปกตินั่นบ่งบอกความรู้สึกเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
นีม่าลอบถอนหายใจอีกแล้ว แล้วมองออกไปทางริมน้ำยามค่ำ ที่มีแสงกะพริบพรายของดาวประดับอยู่บนม่านฟ้าที่มืดมิด
“หม่อมฉัน ขอทูลตามตรง เทพนิยายระหว่างเจ้าชายกับซินเดอเรลล่าจบลงแล้วเพคะ ต่อไปนี้คือโลกแห่งความจริง พูดความจริงกับผู้หญิงที่พระองค์รัก แล้ว
รอผลที่จะมีตามมา”
“ซินเดอเรลล่า อย่างนั้นหรือ เข้าใจคิดนะ”
นีม่าทำจมูกย่น ยิ้มอยู่ในสีหน้า หยิบแก้วน้ำข้างตัวขึ้นจิบ
“อย่าทำเป็นหัวเราะไปเพคะ ความรักครั้งนี้อาจไม่ง่ายเหมือนในเทพนิยาย ทั้งความรู้สึกของผู้หญิงที่พระองค์รัก แล้วญาติพี่น้องของพี่เกดอีกละ จะรับความ
จริงเรื่องนี้ได้หรือไม่ แล้วการจากถิ่นเกิดไปอยู่ดัลวา ดินแดนที่ห่างไกลจากที่นี่เหลือเกิน ไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายๆ หรอกนะเพคะ”
ชายหนุ่มที่นั่งเบื้องหน้านั่งนิ่ง
“แล้วพระองค์อย่าลืมสิเพคะ ทางดัลวา จะมีปฎิกิริยาเรื่องนี้อย่างไรบ้าง พระบิดาของพระองค์อาจจะไม่เท่าใดนัก แต่พระญาติของพระองค์นี่สิจะเห็นชอบ
ด้วยทั้งหมดหรือ เห็นมั๊ยเพคะ ความรักหนนี้ไม่ใช่เรื่องของคนสองคนเลยเพคะ”
รัชทายาทหนุ่มแห่งดัลวาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตรัสด้วยเสียงอันแผ่วแต่เต็มไปด้วยความจริงจัง
“ขอบใจเจ้ามากนีม่า ข้าควรจะคิดถึงเรื่องนี้นานแล้ว เป็นความจริงที่ข้าลืมนึกไป ฟังเจ้าพูดแล้วข้ารู้สึกเหมือนตัวเองเห็นแก่ตัวจัง”
หญิงสาวส่ายหน้า
“อย่าพูดอย่างนั้นสิเพคะ บางครั้งความรักก็ทำให้คนตาบอด เคยได้ยินบ้างมั๊ยเพคะ”
เสียงหัวเราะดังออกมาจากคู่สนทนา
“นีม่า เจ้านี่เป็นที่ปรึกษาที่ดีกว่าพี่ชายของเจ้าเยอะเลย รู้ตัวหรือไม่”
หญิงสาวก้มหน้ายิ้ม เอาช้อนในมือเกลี่ยจานอาหารตรงหน้าไปมาแก้อาการขัดเขินของตัวเอง
“เรื่องบางเรื่อง ผู้หญิงก็ละเอียดอ่อนกว่าผู้ชายนะเพคะ อย่าลืม และหม่อมฉันเป็นพสกนิกรของพระองค์ ยินดีรับใช้ทุกเรื่องเพคะ”
“ทั้งๆ ที่ข้าอาจทำไม่ถูก ไม่นึกความรู้สึกของคนรอบข้างอย่างนั้นหรือ”
“เพคะ…”
รับคำแล้ว ใจของหญิงสาวก็ไพล่ไปนึกถึงใบหน้าดำคล้ำของผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายที่แสนจะละเอียดอ่อน มากไปด้วยความรู้สึก มีความเป็น “ศิลปิน” อยู่ในตัว
เสียเหลือเกิน
ขอโทษทีนะพ่อจรกา
มุกดากำลังหยิบส้มจากถาดผลไม้ตรงหน้าเข้าปาก ในขณะที่ตายายที่นั่งอยู่ตรงข้ามพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้ววินก็เข็นจักรยานผ่านเข้าประตูบ้านเข้ามาพอดี
หญิงสาวไม่ได้หันไปมอง แต่ขบยิ้มอย่างดีใจเมื่อได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งตรงกระดิ่งจักรยาน
“อ้าว มุก” ชายหนุ่มทักทายขึ้นเบาๆ เมื่อเห็นน้องสาวของเพื่อนมานั่งไขว้ขากินผลไม้อย่างสบายอกสบายใจ และมีพ่อแก่-แม่แก่ ยกถาดผลไม้เอามาประเคน
ให้ทานตรงโต๊ะไม้ใต้ถุนบ้าน
มุกดา เหลือบตามองชายหนุ่มแว่บหนึ่ง แล้วก็ยักไหล่ เลิกคิ้ว แล้วหันไปยิ้มให้กับสองตายาย
“ส้มหวานจัง มังคุดนี่ก็เหมือนกันคะคุณตา คุณยาย วันนี้มุกซัดซะพุงกาง”
วินเข็นรถจักรยานไปพิงไว้ตรงมุมหนึ่งของหลังบ้านด้วยอาการเงื่องหงอย แล้วจึงมองมาที่น้องสาวของเกด วันนี้มุกไม่ได้อยู่ในชุดนักศึกษาที่คุ้นตา แต่เป็นชุด
ลำลองที่ดูสบาย เสื้อแขนสั้นสีดำ กางเกงยีนส์สามส่วนสีขาวขุ่น และผมยาวรวบไว้อย่างเป็นระเบียบ
“มีธุระอะไรหรือเปล่า”
มุกดาส่ายหน้าไปมาให้กับคนถาม
“เปล่านี่…มาเยี่ยมคุณตา คุณยาย คิดถึง ไม่ได้มาหานานแล้ว”
ตามองหน้ายาย แล้วก็มองไปที่เด็กสาวรุ่นหลาน แล้วก็มองไปที่หลานชายแล้วก็หัวเราะหึหึขึ้นมา
“เก็บของหรือยังละ จะไปเช้ามืดพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือ” แม่แก่ถามหลานชาย ที่ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ กับหญิงสาว
“เรียบร้อยแล้วละ แม่แก่ ไม่ได้เอาอะไรไปมาก คิดว่าคงไม่กี่วันก็คงกลับ”
“อ้าว พี่วินจะไปไหน ไม่เห็นรู้เรื่อง” มุกดาหันมาทางชายหนุ่มรุ่นพี่แล้วถามขึ้น คิ้วคู่งามขมวดขึ้นเล็กน้อย
“ไปหาหลวงพ่อที่สุราษฎร์นะ อยากได้อะไรหรือเปล่ามุก”
เสียงที่พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกว่าทุกครั้ง ทำให้หญิงสาวหันมามองแล้วตอบด้วยเสียงแผ่ว
“ไม่หรอก แต่รีบไปรีบกลับละ คุณตา-คุณยาย อยู่กันแค่ 2 คนเองนะ”
“ไปเถอะ แม่แก่อยู่ได้ ตาแก่นี่ก็เหมือนกัน ถือโอกาสไปพักผ่อนด้วยก็ดีเหมือนกัน หน้าตาลูกช่วงนี้หมองคล้ำไปเยอะนะ รู้ตัวมั๊ยลูก”
ชายหนุ่มเสหน้ามองพื้นพลางพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ จนไม่ทันสังเกตเห็นดวงตาคู่หนึ่งที่มองจ้องมา
“ไว้มุกจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณตาคุณยายนะคะ ช่วงนี้ปิดเทอมแล้ว อยากทานน้ำพริกฝีมือคุณยาย”
ชายหนุ่มฟังเสียงเจื้อยแจ้วนั่นแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมองมาที่หญิงสาว
“ขอบใจมากมุก ขอบใจจริงๆ”
มุกดาฟังน้ำเสียงแล้วหัวใจก็ตกวูบลง น้ำเสียงนั้นทำไมถึงได้เศร้าสร้อยนัก แล้วดวงตาก็ฉายแววอ่อนโยนอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“งั้นก็ต้องมีของตอบแทน”
“ตอบแทนอย่างนั้นหรือ”
มุกดาหัวเราะเสียงใส“ขับไอ้ฟักทองไปส่งมุกที่บ้านที”
วินเดินจูงจักรยานขึ้นสะพานอย่างช้าๆ เสียงรถวิ่งขวักไขว่ไปมาสลับกับเสียงแตรที่แผดออกมา ไม่ทำให้ชายหนุ่มรำคาญใจเท่าใดนัก เพราะสายตากำลัง
เหม่อมองแม่น้ำเบื้องล่างราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แสงแดดยามเย็นส่องกระทบแม่น้ำเป็นประกายงดงาม ในขณะที่เบื้องบนเมฆเป็นสีเทาทะมึน
“นั่งรถเมล์ผ่านสะพานนี้เกือบทุกวัน ไม่สังเกตนะเนี่ยว่าแม่น้ำตอนเย็นๆ จะสวยอย่างนี้”
มุกดาพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง ในขณะที่เอามือท้าวเข้ากับราวสะพาน
ชายหนุ่มเอาจักรยานพิงไว้กับขอบสะพาน แล้วก็ก้มร่างลงหยิบใบไม้บนทางเท้าที่ตอนแรกลอยคว้างอยู่กลางอากาศ แล้วก็ร่อนลงปลิวกระจายเต็มพื้นขึ้นมา
แล้วก็ค่อยๆ เป่าใบไม้ให้ปลิวคว้างผ่านอากาศลงสู่แม่น้ำเบื้องล่าง
หญิงสาวมองใบไม้ที่ลอยเนิบอยู่กลางอากาศ แล้วสายตาก็มองไปที่ชายหนุ่มรุ่นพี่
“จะลงใต้บอกพี่เกดหรือยัง”
“บอกแล้ว” วินตอบสั้นๆ
มุกดาทำแก้มพอง
“ช่วงนี้คุณเชกับพี่เกดนะ…”
“รู้แล้วละ” วินตอบ
หญิงสาวทำจมูกย่น คิ้วขมวด
“ยังไม่ทันพูดจบรู้ได้ยังไง”
ชายหนุ่มเหลือบสายตามองหญิงสาวรุ่นน้อง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
มุกดาเอามือทาบเข้าที่แก้มทั้งสองข้างพลางส่ายหน้าไปมา
“เมื่อไหร่จะเลิกซื่อบื้อ ถามจริงเถอะๆ”
“อะไรนะ…” วินพูดโดยยังไม่ละสายตาจากแม่น้ำ
“ผู้ชายที่เงียบเหมือนเป็นใบ้ ไม่ยอมพูดหรือแสดงความรู้สึกอะไร ไม่ค่อยสมหวังในความรักหรอกรู้มั๊ย”
“ฮื่อ”
มุกดาแยกเขี้ยวแสดงอาการหงุดหงิด
“นี่จะปล่อยไปอย่างนี้หรือ ตาบ้า”
คราวนี้ชายหนุ่มหันมาสบตาหญิงสาวคู่สนทนาโดยตรง
“เป็นเด็กเป็นเล็ก จะไปรู้อะไร”
ฟังอย่างนี้ มุกดาทำสายตาดุ จมูกเริ่มแดง อาการ “วีน” กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้ “มุกไม่ใช่เด็กแล้วนะ จะจบมหาลัยอยู่แล้ว และตาก็ไม่ได้บอดด้วย”
วินเลิกคิ้วขึ้นสูง รอยยิ้มผุดพรายขึ้น
“งั้นเหรอ…”
หญิงสาวมองชายหนุ่มรุ่นพี่ด้วยอาการฮึดฮัด แต่ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรต่อไปดี “ไปเหอะ ถ้าจะฝนตกแน่ ดูท้องฟ้าสิมืดเชียว” วินเอ่ยปากชักชวน แต่หญิง
สาวยังยืนนิ่งอยู่ แสดงอาการแง่งอน และค้อนวงใหญ่ให้กับชายหนุ่ม
“มุก-เอาน่า อย่างอนไปเลย มาซ้อนท้ายไอ้ฟักทองเถอะ ค่ำแล้วเดี๋ยวน้าเยาว์เป็นห่วง”
“ไม่…เซ็ง”
วินหัวเราะเบาๆ ดูคล้ายจะคลายอาการเศร้าไปได้หน่อยหนึ่ง
“เอาเป็นว่าพี่ขอโทษแล้วกันนะ น้องมุกคนดี แล้วก็ขอบคุณด้วยที่เป็นห่วง”
แล้วชายหนุ่มก็นั่งคร่อมจักรยานของตัวเอง ก่อนจะเหลียวมาบอกกับมุกดาว่า
“ขึ้นมาซ้อนท้ายเถอะ เอาไว้กลับจากใต้ค่อยคุยกันเรื่องนี้”
“จริงนะ” มุกดาทำตาโต
“ฮื่อ…” วินรับคำ
แล้ว “ไอ้ฟักทอง” ก็ก้าวออกจากสะพานเหนือแม่น้ำอย่างเนิบช้า โดยมีร่างของชายหญิงคู่หนึ่งนั่งเคียงกันไป
๑๗.๑๑.๕๒
๑๕.๑๑.๕๒
บทที่ 12-เจ้าชายสายฟ้า
ตอนที่เกดเดินตามชายหนุ่มร่างสูงเบื้องหน้าไปจนถึงบึงน้ำเบื้องหน้านั้น อากาศกำลังเย็นสบาย ได้ยินเสียงปลากระโดดผลุงกระทบผิวน้ำ เสียงของใบไม้ไหว
ตามแรงลม และแสงแดดที่ส่องกระทบต้นหูกวางที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมน้ำดูไม่ร้อนแรงเกินไปนัก เป็นสถานที่และช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับนั่งพัก พูดคุย หรือ
นอนอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ
หญิงสาวมองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่มัดผมยาวอย่างเป็นระเบียบดู แล้วอดยิ้มไม่ได้ “คุณเช” มีบุคคลิกไม่เหมือนผู้ชายส่วนใหญ่ที่เคยรู้จักมา เรือนร่างสูงโปร่ง
ไหล่อันผึ่งผาย และท่าเดินอันเนิบนาบแต่แฝงไปด้วยความสง่างาม ทำให้มีความรู้สึกเหมือนว่า “คุณเช” คนนี้น่าจะเกิดในชาติสกุลที่ดี มีฐานะอันมั่งคั่งพอ
สมควร
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เกดเลือกออกมากับชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหล่าผู้นี้
เพราะอะไรนั่นหรือ บอกไม่ถูกนักหรอก แต่ที่รับรู้ได้ก็คือ ความปั่นป่วนบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อจ้องมองแผ่นหลังเบื้องหน้า แถมยังเกิดอาการหัวใจเต้นตึกตัก มือ
ไม้สั่นเข้าอีก
ดูเอาเถิด ความหวั่นไหวเกิดขึ้นทุกครั้งที่ได้เจอชายหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้ แปลกจัง
และดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เจอกัน จะคาดเดาความคิด ความกระทำของ “คุณเช” ผู้นี้ได้ยากลำบากเหลือเกิน
ดูอย่างสถานที่นัดครั้งนี้ปะไร แทนที่จะเป็นภัตตาคารหรูหรา หรือร้านกาแฟเก๋ไก๋ แต่กลับเป็นบึงน้ำอันเงียบสงบไปเสียได้
“ขอโทษนะครับ ไม่รู้ว่าจะพาไปไหนดี ผมจากประเทศไทยไปนานแล้ว ที่นี่ผมเคยมาตอนเด็กๆ แล้วรู้สึกชอบ” ชายหนุ่มว่า ในขณะที่นั่งเคียงกันบนม้านั่งยาวสี
ขาว
เกดยิ้มก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ไม่เป็นไรหรอกคะ นัดเจอกันที่เขาดินก็ดี เกดไม่ได้มาที่นี่หลายปีแล้ว ดูแปลกตากว่าที่เคยเห็นไปมาก”
“คุณเช” ยิ้มอย่างพอใจ
“รู้มั๊ยครับ สมัยตอนเรียนอยู่ที่นี่ ผมชอบหนีเรียนแล้วก็มาที่เขาดินนี่ แล้วมานั่งตรงที่เรานั่งกันอยู่นี่แหละครับ”
เกดหัวเราะตาโต
“อะไรกัน คุณเชเนี่ยนะหนีโรงเรียน ท่าทางไม่บอกเลยนะคะเนี่ย”
ชายหนุ่มพยักหน้า
“ตอนนั้น ผมเพิ่งเสียแม่ไปใหม่ๆ นะครับ”
เสียงสั่น และดวงตาที่ทอแววเศร้า ทำให้หญิงสาวสะท้านขึ้นในหัวอก
“คุณเช…”
ชายหนุ่มหันมาสบตาหญิงสาว มือวางแปะบนม้านั่งยาว อยู่ห่างร่างของหญิงเพียงแค่คืบเท่านั้น
“อย่าเรียกผมคุณเลยครับ เรียกผมว่าเช ได้มั๊ย”
“ได้สิคะ เช” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เหม่อมองแผ่นน้ำเบื้องหน้า
“วันนั้น ที่ผมเห็นคุณในโบสถ์ เห็นคุณร้องไห้เงียบๆ แล้วได้พูดคุยกัน ได้ฟังคุณเล่าเรื่องคุณแม่ ผมรู้สึกเหมือนนั่งคุยกับตัวเอง มัน…”
ยังไม่ทันที่จะพูดได้จบประโยค หญิงสาวก็ใช้มือของตัวเองแตะเบาๆ ที่มือของคู่สนทนา
“ไม่ต้องพูดหรอกคะ”
“คุณเช” นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่จะหันมากุมมือหญิงสาวไว้ด้วยกิริยานุ่มนวล
“ฤดูร้อนปีนั้นยังอยู่ในใจผมเสมอ และมันจะอยู่ไปตลอด”
หญิงสาวนั่งนิ่ง ไม่ได้ขัดขืนที่โดนชายหนุ่มกุมมือเอาไว้ มีความรู้สึกบางอย่างบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่ผู้ชายที่จงใจจะเอาเปรียบผู้หญิงแม้แต่น้อยมือที่กุมเอาไว้นั้นก่อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด
รักแรกพบ รุนแรงอย่างนี้เชียวหรือ…
เกดหลับตาลงครั้งหนึ่ง สูดลมหายใจยาว แล้วจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง สูดดมกลิ่นหอมของดอกอะไรก็ไม่รู้ที่ลอยฟุ้งเข้าจมูก ได้ยินเสียงส่ายกิ่งใบของต้นไม่ใหญ่
แว่วเข้าหู ความรู้สึกผ่อนคลายเกิดขึ้น สายตาจ้องมองทางด้านหลังของชายหนุ่มที่กำลังนั่งยองอยู่บนพื้นหญ้า ใช้มือกวักน้ำในบึง ผมดำที่มัดเป็นระเบียบอยู่
เมื่อต้นชั่วโมงที่ผ่านมาสยายออกระต้นคอ
หญิงสาวนั่งมองแผ่นหลังของชายหนุ่ม พยายามซึบซับภาพตรงหน้าเอาไว้ให้นานที่สุด
“คุณเช” หันหน้ามา กวักมือชักชวนให้ลงไปกวักน้ำในบึงนั่นดูบ้าง หญิงสาวเพียงแต่ส่ายหน้า พลางคิดว่าชายหนุ่มคนนี้ช่างแปลกนัก ชอบอยู่กับธรรมชาติ รัก
ต้นไม้ใบหญ้า ดูเหมือนจะละเมียดละไมผิดวิสัยของผู้ชายส่วนมาก
อ้อ แต่กลับคล้ายคลึงกับผู้ชายไทยคนหนึ่งแทบจะถอดแบบกันมา
แต่ดูเอาเถอะ คล้ายกันออกอย่างนั้น แต่ความรู้สึกต่อผู้ชายทั้งสองทำไมถึงได้แตกต่างกันนักเล่า
คนนึงนะ เป็นเพื่อนชายที่แสนดีเสียนี่กระไร ผูกพันกันมานานหลายปีเสียเหลือเกิน
ส่วนชายหนุ่มผมยาวคนนี้ ที่แสนจะอ่อนโยน นุ่มนวล แต่บางครั้งก็พูดตรง ไม่ปิดบังความรู้สึกของตัวเองแม้แต่น้อย ให้ความรู้สึกแปลกแปร่งบางอย่าง
แล้วหญิงสาวก็รู้สึกชะงัก เหมือนร่างที่อยู่ตรงหน้านี้กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มในชุดนักเรียน ผมเผ้าเปียกปอน แต่มีรอยยิ้มสดใส ให้ความรู้สึกอันคุ้นเคย
โธ่เอ๊ย เอาอีกแล้วบุษบา ทำไมถึงได้นึกถึงแต่ภาพวันนั้นนะ ฤดูร้อนปีนั้นมีอะไรที่น่าจดจำนักหรือ
หญิงสาวนั่งบ่นพึมกับตัวเอง พลางกระพริบตาปริบๆ รู้สึกเนื้อตัวร้อนผะผ่าวขึ้นมา
วินเอนหลังพิงเข้ากับพนักเก้าอี้ ลูบคลำกีตาร์ในมือ แต่ไม่มีแก่ใจจะเล่นกีตาร์ ร้องเพลง เหมือนอย่างที่เคยทำ พูดให้ถูกก็คือ ไม่มีอารมณ์ที่จะทำอะไร นอก
จากนั่งนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น
ท่ามกลางอารมณ์อันเงียบเหงาและอ้างว้าง วิน เงยหน้าผ่านหน้าต่างห้องของตัวเองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าซึ่งดารดาษไปด้วยดวงดาวน้อยใหญ่ แล้วทอดสาย
ตาลงมองกิ่ง ก้าน ใบของต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านโอบคลุมหน้าบ้านไว้ พยายามเงี่ยหูฟังเสียงใบไม้ที่ปลิดปลิวลงกระจายเต็มพื้น
ธรรมชาติอันแปรปรวนบอกอะไรมนุษย์เราอยู่หรือ ดอกไม้เบ่งบานแล้วก็ร่วงโรย ดาวพราวแสงแล้วก็ดับ คงเหมือนจิตใจของคนเรามีความสุขชั่วประเดี๋ยว
ประด๋าว ความทุกข์ก็จู่โจมเข้ามา มีอะไรแน่นอนบ้างเล่าในโลกนี้
ความรักก็เช่นกันไม่ใช่หรือ
วินบรรจงวางกีตาร์ไว้ข้างโต๊ะทำงาน เปิดลิ้นชัก มองเห็นสมุดบันทึกสีเก่าซีดวางอยู่ ใจหนึ่งก็อยากหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้ง แต่อีกใจก็บอกกับตัวเองว่า อย่าเลย เปิดบันทึกออกอ่านทีไรภาพวงหน้าของเด็กสาวสวมแว่นตา พร้อมรอยยิ้มอันเริงร่าก็จะลอยเวียนวนกลับมาเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ
ทุกอย่างเป็นอดีตไปแล้วไม่ใช่หรือ จะรื้อฟื้นเพื่อประโยชน์อะไรอีก
ตอนนี้เขาอายุอานามก็ 27 นับว่าไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยังใช้ชมชอบชีวิตเรียบเรื่อย ไม่อินังขับขอบกับสิ่งใดอยู่อย่างนี้ ดูเหมือนไม่มีความทะยานอยากที่จะร่ำรวย
มีการงานอันมั่นคงเหมือนคนอื่นเขาเอาเสียเลย
เพราะอะไรหรือ
วินตอบตัวเองว่า เพราะรักชีวิตเช่นนี้นะสิ ชีวิตที่อิสระ ไม่ผูกมัดกับสิ่งใด ไม่ปฎิเสธเรื่องเงินทอง แต่ก็ไม่ถึงกับทุรนทุรายอยากมีอยากได้เหมือนคนทั่วไปช่วงเวลาหลายปีที่ชายหนุ่มดำเนินชีวิตเช่นนี้ ทำให้พบคำตอบว่า มีความสุขหลายอย่างที่เงินหาซื้อไม่ได้เหมือนกัน
แต่หลายครั้งการใช้ชีวิตเช่นนี้ก็เงียบเหงาเกินไป ความโหยหาที่ต้องการใครสักคนเกิดขึ้นหลาย แต่มันก็เหมือนดอกไม้ในสวนที่เขาเพ่งมองอยู่นั่นแหละ คือ
บานแล้วก็ร่วงโรย ความรู้สึกพลุ่งพล่านเช่นนี้เกิดมาแล้วก็ดับไป เป็นเช่นนี้มานานนักหนา
วินรู้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ฉุดรั้งเขาไว้ เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเลือนหายไปไหนเลย
และเหตุการณ์ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขารู้แล้วว่าใคร หรืออะไรคือสิ่งที่ตัวเองผูกพันด้วย
ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มไม่แน่ใจตัวเองนัก จนกระทั่งการมาถึงของชายหนุ่มคนนั้น ความรู้สึกภายในที่ซุกซ่อนไว้ค่อยๆ แผ่ขยายออก จนชัดเจนที่สุดเมื่อเห็นแววตา
วิบวับ เป็นประกายของเพื่อนสาวเมื่อวันก่อน
ความรู้สึกถึงความสูญเสียก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
วิน ไม่โทษใครเลย นี่เป็นความผิดของตัวเขาเองแท้ๆ
เขาเองก็คงเหมือนชายหนุ่ม-หญิงสาวทั่วไป ที่ยึดเอาคำว่ารักเป็นสรณะแห่งชีวิต เป็นรักที่เคยวาดหวังว่า จะสมหวัง ได้ครอบครอง ได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเอง
ต้องการ
แต่ความรักบางครั้งก็ใจร้าย เล่นตลก หลอกให้มนุษย์เราเชื่อใจ มั่นใจ แอบคิดไปต่างๆ นาๆ บางครั้งนำพาแต่ความทุกข์ ความเศร้า และความปรวดปร่ามาให้ อย่างที่เขากำลังประสบอยู่ในขณะนี้อย่างไรเล่า
วินหยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นขึ้นมาถือไว้ ใช้มือลูบคลำปกไปมา ไม่มีแรงที่จะเปิดบันทึกออกอ่าน
แล้วน้ำตาก็ไหลซึมออกมาอย่างไม่รู้ตัว…
ชายหนุ่มพาเกดลงจากรถเมล์ ข้ามถนน แล้วเดินเลาะตามฟุตบาท หญิงสาวเดินตามอย่างเงียบๆ บางครั้งก็ถึงกับกลั้นยิ้ม แอบหัวเราะกับตัวเอง เพราะอะไร
ก็ไม่รู้เหมือนกัน
“อ้าว แล้วกัน หัวเราะอะไรครับเนี่ย” ชายหนุ่มพูดหลังจากหันมาเห็นอาการของหญิงสาว
“ขำตอนที่ขึ้นรถเมล์นะสิคะ ดูคุณเก้กัง ตลกดี แถมยังให้เงินกระเป๋ารถเมล์เกินตั้งเยอะ เคยขึ้นรถเมล์บ้างมั๊ยคะเนี่ย”
ชายหนุ่มหัวเราะอย่างขัดเขิน
“เคยสิครับ 2-3 ครั้งได้มั๊ง”
“โธ่เอ๊ย…” เกดว่ายิ้มๆ พลางใช้มือรุนหลังชายหนุ่มให้เดินนำหน้าไป หญิงสาวบอกกับตัวเองว่า แปลกดีเหมือนกัน ทำไมถึงได้รู้สึกประทับใจอิริยาบถ แววตา
เสียงหัวเราะของผู้ชายคนนี้เสียเหลือเกิน เป็นคนที่ก่อให้เกิดความรู้สึกผูกพันราวกับคุ้นเคยมานานเสียอย่างนั้นแหละ
ความคิดของหญิงสาวสะดุดลงเมื่ออยู่ดีๆ ชายหนุ่มที่เดินนำหน้าอยู่ก็หยุดเสียดื้อๆ อย่างนั้น
“อ้าว แล้วกัน หยุดเดินทำไมละคะ”
ชายหนุ่มยิ้มให้
“จะรบกวนคนที่บ้านไปหรือเปล่า มาแบบไม่บอกกล่าวอย่างนี้นะ”
“ไม่หรอก อย่าคิดมากสิคะ ก็ไหนบอกว่าอยากเห็นว่าครอบครัวคนไทยแท้ๆ เขาใช้ชีวิตกันอยู่ยังไง ไม่ใช่หรือ” หญิงสาวให้กำลังใจ
“ที่บ้านเกดมีไม่กี่คน ก็มีพ่อ น้าเยาว์ แล้วก็ยายมุก”
“ยายมุก…ที่เป็นเพื่อนนีม่า ใช่มั๊ยครับ”
เกดพยักหน้ารับ
“ใช่แล้วคะ ยายมุกตัวดี นี่บ่นว่าอยากเห็นหน้าคุณเชเสียเหลือเกิน คงสมหวังครั้งนี้ละ”
“แหม ผมก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งนะครับ อยากเห็นไปทำไมครับเนี่ย”
เกดยิ้มอีกแล้ว ผู้ชายธรรมดาอย่างนั้นหรือ ไม่เชิงเสียทีเดียวนัก เสื้อโปโลแขนยาวสีน้ำเงิน กางเกงยีนส์สีดำ แล้วก็รองเท้าหนังสีน้ำตาล อาจจะดูธรรมดา แต่
เมื่อปรากฎอยู่ในรูปร่างสูง เนื้อตัวแน่นด้วยมัดกล้าม ผมยาวที่รวบไว้อย่างเป็นระเบียบ ดวงตาที่คมวาว และรอยยิ้มอันอ่อนโยนนั้น ก่อให้เกิดความรู้สึก
บางอย่าง
นี่ถ้าแต่งองค์ทรงเครื่องซะหน่อย ครอบมงกุฎบนศรีษะด้วย เหมือนเจ้าชายในเทพนิยาย ยังไงยังงั้น
บรรยากาศมื้อเย็นในค่ำคืนนี้ดูแปลกไปกว่าทุกวัน
ไม่ใช่เพราะมีชายหนุ่มแปลกหน้ามาร่วมวงด้วยเท่านั้น แต่กิริยาอันนุ่มนวลยามจับช้อน การตักอาหาร เคี้ยวอย่างละเอียด มีจังหวะที่พูดคุยกับทุกคนที่ร่วมโต๊ะ
อาหารได้อย่างเหมาะเจาะ กิริยา มารยาทอันเรียบร้อยของอาคันตุกะผู้มาเยือน ทำให้ทุกอย่างดูแปลกไปจากเดิมจริงๆ
อย่าว่าแต่ใครเลย มุกดา บุตรสาวคนเล็กของบ้านที่ธรรมดาส่งเสียวเจื้อยแจ้วอยู่ตลอดเวลา ก็ยังพูดน้อยกว่าทุกวัน ดวงตาเบิ่งโตที่มองชายหนุ่มแปลกหน้า
นั้นแสดงความสงสัย เต็มไปด้วยคำถามมากมาย
แต่คนที่เอ่ยถามมากที่สุดกับเป็นพ่อของเกดและมุกซึ่งเป็นเจ้าบ้านไปเสียนี่
“ดัลวา นี่คล้ายพวกธิเบต หรือเปล่าครับ เห็นอยู่แถบเขาหิมาลัยเหมือนกัน”
ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นมา
“ก็ไม่เชิงเสียทีเดียวหรอกครับ บางอย่างก็คล้ายกัน แต่บางอย่างก็ไม่ แต่ที่เหมือนกันแน่ๆก็คือ ชาวดัลวาเคร่งศาสนาเหมือนพวกธิเบต แล้วก็รักธรรมชาติ ชอบ
ชีวิตเรียบง่าย คล้ายๆ กัน”
พ่อของเกดเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยินคำตอบ ก่อนจะพยักหน้าแสดงอาการเข้าใจ
“ดัลวา นับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่นะครับ นิสัยบางอย่างก็คล้ายกับคนไทยมาก ปีนึงๆ มีนักเรียน นักศึกษามาเรียนที่เมืองไทยกันมาก”
“พี่เช ก็เคยเรียนที่นี่เหมือนกันใช่มั๊ยคะ” มุกพูดแทรกขึ้นมาพลางใช้ศอกกระแทกใส่พี่สาวแสดงนัยบางอย่าง
“ครับ…เมื่อหลายปีก่อน” ชายหนุ่มรับคำ
“ผมเรียนจบมัธยมปลายที่นี้แหละครับ แล้วก็ไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่สหรัฐ”
“หืมม์ อย่างนั้นหรือค่ะ” น้าเยาว์เป็นฝ่ายอุทานออกมาบ้าง
“ผมไปเรียนต่อทางด้านรัฐศาสตร์นะครับ เรียนจนจบปริญญาโทที่นั่น เพิ่งกลับไปบ้านเกิดเมื่อไม่นานนี้เอง”
เสียงซักถามนิ่งลงครู่หนึ่ง ว่าที่จริงทุกคนนิ่งอึ้งไปเพราะคำตอบที่ได้รับมากกว่า
เกดเองก็ตกใจน้อยเสียเมื่อไหร่เล่า เหลือบตามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม “คุณเช” คนนี้มีอะไรที่คาดไม่ถึงให้ได้รับรู้ตลอดเวลา ดูอย่างกิริยา มารยาท
ระหว่างนั่งรับทานอาหารเย็นมื้อนี้ปะไร ดูแล้วนิ่มนวล เพลินตา ราวกับถูกฝึกมาอย่างดี
ถ้าจะเลือกใช้คำให้เหมาะก็ต้องบอกว่า ทุกอิริยาบถเท่าที่เห็น “งาม” เสียจริงๆ
ดูเอาเถิด ขนาดพ่อของเกดที่เคร่งขรึม พูดน้อย แต่สนทนาพาทีกันไม่กี่ประโยคก็ดูจะถูกคอกันดี หัวเราะเอิกอ้ากกันเป็นระยะ ส่วนน้าเยาว์และมุก ก็ดูจะเพลิด
เพลินกับเรื่องเล่าของดัลวาอยู่ไม่น้อย เป็นชายหนุ่มที่มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างประหลาดล้ำ
“คุณเช” คนนี้เป็นใครกันนะ มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวนึกสะดุดใจขึ้นมา
“พี่เกด คุณเชนี่ดูแปลกเนอะ"
“เอาอีกแล้ว สนใจใคร่รู้มาอีกแล้ว”
เกดถอนหายใจ เงยหน้ามองหลอดไฟบนเพดาน ในขณะที่มุกดา ที่นอนเคียงกันอยู่บนเตียงเดียวกันเอาหนังสือเล่มหนึ่งวางไว้บนหน้าอก แล้วหลับตาลง
“จริงนี่ คุณเช ตัวจริงน่าทึ่งกว่าที่นีม่าเคยเล่าให้ฟังเยอะเลย ดูเหมือนกับว่า…”
มุกพูดค้างไว้เช่นนั้นแล้วก็หันร่างขึ้นเอาศอกเท้าเข้ากับหมอนสีขาวที่วางไว้ใกล้กับศรีษะ ใช้สายตาจ้องมาที่พี่สาว
“เหมือนเจ้าชายนะ พี่เกด”
“อย่างนั้นหรือ” หญิงสาวว่า แล้วผลุดลุกขึ้นนั่งบนเตียง ทำท่าจะพูดอะไรออกมา แต่กลับเปลี่ยนคำถามเมื่อเห็นหนังสือที่น้องสาวถือติดตัวมาหลายวันแล้ว
“อ่านอะไรอยู่นะ วิมานริมขอบฟ้า นิยายเหรอ”
มุกดาหัวเราะเบาๆ แล้วลุกขึ้น พลางนั่งขัดสมาธิ หยิบหนังสือในมือชูขึ้นมา
“เปล่าหรอก หนังสือสารคดีนะ เรื่องของดัลวา แล้วก็เทือกเขาหิมาลัย”
คนเป็นพี่สาวเลิกคิ้วขึ้นสูง แสดงอาการประหลาดใจ
“คุยกับนีม่า เรื่องดัลวามานานแล้ว ยิ่งพอเรื่องของคุณเชเกิดขึ้น ก็ทำให้มุกอยากรู้เรื่องของดัลวามากขึ้นไง เลยหามาอ่าน”
“แล้วไงจ้ะ”
มุกดายักไหล่ขึ้นครั้งหนึ่ง
“ก็เพลินดีนะสิพี่เกด เพิ่งรู้ว่าดัลวา มีลักษณะบางอย่างที่เหมือนนิยายฝรั่งเรื่อง lost horizon เขาเขียนไว้”
“หืมม์ ยังไงนะ”
“ดินแดนในความฝันไงละพี่เกด อย่างที่เขาเรียกว่าเชียงกรี ลา เป็นดินแดนเล็กๆ แถบเทือกเขาหิมาลัย นอกจากสวยงามแล้ว ผู้คนมีชีวิตอยู่ตามธรรมชาติ ไม่
อาศัยกฎหมาย แต่อาศัยคุณธรรมในการปกครองประเทศ และกษัติรย์เดเช็น ผู้ปกครองประเทศก็ทรงเป็นกษัตริย์นักประชาธิปไตย เป็นที่รักของชาวดัลวา
ทุกคน”
“แล้วยังไงอีก” เกดชักสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“พี่เกดรู้ไหม อาณาจักรดัลวา ล้อบรอบไปด้วยเทือกเขาสูงต่ำที่ปกคลุมด้วยหิมะ ระหว่างขุนเขาเหล่านั้น มีทะเลสาบแอ่งกว้างใหญ่ที่งดงามเกิดขึ้นมากมาย
บางแห่งเป็นสีเขียวมรกต คงน่าดูมาก”
เกดเอามือท้าวคาง มองน้องสาวพูดเสียงเจื้อยแจ้ว พยายามนึกภาพตามไปด้วย
“ชนพื้นเมืองของชาวดัลวาส่วนหนึ่งเป็นเหมือนพวกมองโกลในจีน คือผิวขาว ตาตี่ ส่วนอีกพวกเหมือนแขกคือ คิ้วดก หน้าเข้ม ผิวคล้ำ ท่าจะจริงแฮะ”
แล้วภาพของชายหนุ่มที่มีผิวอันเกลี้ยงเกลา แต่คิ้วกลับดก และใบหน้าเข้ม ก็ปรากฎในห้วงคำนึงของเกดอีกครั้ง
“ในหนังสือนี่บอกว่า ผู้คนชาวดัลวาเป็นคนอารมณ์ดี แจ่มใส ไม่โกรธใครง่ายๆ ใช้ชีวิตอย่างไม่รีบเร่ง ดูเหมือนว่าเป็นอาณาจักรเล็กๆ ที่ประชาชนมีความสุข
มากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง”
“น่าสนุกดีนี่นา หนังสือเล่มนี้ แล้วมีอะไรอยากเล่าให้ฟังอีกจ้ะ คุณน้อง” เกดถามต่ออย่างอารมณ์ดี
มุกพับหนังสือลงแล้วทาบเอาไว้บนอก ยักคิ้ว หลิ่วตากับพี่สาว
“ที่น่าสนใจที่สุดของหนังสือเล่มนี้ก็คือ เรื่องเล่าเกี่ยวกับรัชทายาทหนุ่มแห่งดัลวา พระองค์ทรงมีพระสิริโฉมอันงดงาม มีจริยวัตรอันเพียบพร้อม ที่สำคัญก็คือยัง
เป็นโสด”
คนเล่าหยุดความ พลางขบยิ้ม สบสายตาที่กำลังจ้องมองมา
“แล้วยังไงต่อ เล่าก็เล่าไม่จบ
มุกดาดวงตาวาว มีแววเริงรื่นบางอย่างปรากฎขึ้น
“พระองค์ทรงมีพระนามว่า โดร์เช”
“เจ้าชายโดร์เช งั้นหรือ”
“ฮื่อ ใช่แล้วพี่เกด โดร์เช ที่มีความหมายว่า สายฟ้า”
ผู้เป็นพี่สาว ยื่นมือออกมา แล้วพูดขึ้น
“ยืมอ่านหน่อยซิจ้ะ”
มุกพยักหน้า
“ได้สิ แต่ก่อนจะให้ มุกอยากถาม”
“ถามอะไร ยุ่งยากจริงเด็กคนนี้
“ถ้าคุณเชเกิดเป็นเจ้าชายโดร์เช ขึ้นมา พี่เกดจะทำยังไง”
หญิงสาวยิ้มอย่างนึกขบขันเสียเต็มประดา เอามือผลักไปที่ศรีษะของน้องสาวอย่างเอ็นดู
“เด็กบ๊อง เอาสมองส่วนไหนคิด เพ้อเจ้อ”
จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ถึง “คุณเช” จะมีบุคคลิกบางอย่างที่ดูเกรงขาม และมีเสน่ห์ลึกลับบางประการ แต่ก็คงไม่ได้เป็น “เจ้าชาย” อย่างที่น้องสาวคิดเป็นตุ
เป็นตะไปหรอก
“เอาหนังสือมาให้พี่ แล้วมุกก็ไปนอนได้แล้ว จะนอนฝันถึงเจ้าชายคนไหนก็เชิญเถิด ตามสบาย”
มุกดาจะทำอะไรได้เล่า ยื่นหนังสือในมือให้ พร้อมกับแลบลิ้นล้อเลียนพี่สาวของตัวเองไปเท่านั้น
“เดี๋ยว มุกจะให้นีม่า ช่วยหาพระฉายาลักษณ์ของเจ้าชายโดร์เชให้ ดูสิว่าจะสูสีกับคุณเชของพี่เกดหรือเปล่า ว่าแต่เช กับ โดร์เช มันคล้ายกันจังนะ มุกว่า”
พูดเสร็จแล้ว หญิงสาวก็ทำตาประหลับประเหลือก แล้วยิ้มให้กับความคิดของตัวเองอยู่เป็นนาน
ตามแรงลม และแสงแดดที่ส่องกระทบต้นหูกวางที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมน้ำดูไม่ร้อนแรงเกินไปนัก เป็นสถานที่และช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับนั่งพัก พูดคุย หรือ
นอนอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ
หญิงสาวมองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่มัดผมยาวอย่างเป็นระเบียบดู แล้วอดยิ้มไม่ได้ “คุณเช” มีบุคคลิกไม่เหมือนผู้ชายส่วนใหญ่ที่เคยรู้จักมา เรือนร่างสูงโปร่ง
ไหล่อันผึ่งผาย และท่าเดินอันเนิบนาบแต่แฝงไปด้วยความสง่างาม ทำให้มีความรู้สึกเหมือนว่า “คุณเช” คนนี้น่าจะเกิดในชาติสกุลที่ดี มีฐานะอันมั่งคั่งพอ
สมควร
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เกดเลือกออกมากับชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหล่าผู้นี้
เพราะอะไรนั่นหรือ บอกไม่ถูกนักหรอก แต่ที่รับรู้ได้ก็คือ ความปั่นป่วนบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อจ้องมองแผ่นหลังเบื้องหน้า แถมยังเกิดอาการหัวใจเต้นตึกตัก มือ
ไม้สั่นเข้าอีก
ดูเอาเถิด ความหวั่นไหวเกิดขึ้นทุกครั้งที่ได้เจอชายหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้ แปลกจัง
และดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เจอกัน จะคาดเดาความคิด ความกระทำของ “คุณเช” ผู้นี้ได้ยากลำบากเหลือเกิน
ดูอย่างสถานที่นัดครั้งนี้ปะไร แทนที่จะเป็นภัตตาคารหรูหรา หรือร้านกาแฟเก๋ไก๋ แต่กลับเป็นบึงน้ำอันเงียบสงบไปเสียได้
“ขอโทษนะครับ ไม่รู้ว่าจะพาไปไหนดี ผมจากประเทศไทยไปนานแล้ว ที่นี่ผมเคยมาตอนเด็กๆ แล้วรู้สึกชอบ” ชายหนุ่มว่า ในขณะที่นั่งเคียงกันบนม้านั่งยาวสี
ขาว
เกดยิ้มก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ไม่เป็นไรหรอกคะ นัดเจอกันที่เขาดินก็ดี เกดไม่ได้มาที่นี่หลายปีแล้ว ดูแปลกตากว่าที่เคยเห็นไปมาก”
“คุณเช” ยิ้มอย่างพอใจ
“รู้มั๊ยครับ สมัยตอนเรียนอยู่ที่นี่ ผมชอบหนีเรียนแล้วก็มาที่เขาดินนี่ แล้วมานั่งตรงที่เรานั่งกันอยู่นี่แหละครับ”
เกดหัวเราะตาโต
“อะไรกัน คุณเชเนี่ยนะหนีโรงเรียน ท่าทางไม่บอกเลยนะคะเนี่ย”
ชายหนุ่มพยักหน้า
“ตอนนั้น ผมเพิ่งเสียแม่ไปใหม่ๆ นะครับ”
เสียงสั่น และดวงตาที่ทอแววเศร้า ทำให้หญิงสาวสะท้านขึ้นในหัวอก
“คุณเช…”
ชายหนุ่มหันมาสบตาหญิงสาว มือวางแปะบนม้านั่งยาว อยู่ห่างร่างของหญิงเพียงแค่คืบเท่านั้น
“อย่าเรียกผมคุณเลยครับ เรียกผมว่าเช ได้มั๊ย”
“ได้สิคะ เช” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เหม่อมองแผ่นน้ำเบื้องหน้า
“วันนั้น ที่ผมเห็นคุณในโบสถ์ เห็นคุณร้องไห้เงียบๆ แล้วได้พูดคุยกัน ได้ฟังคุณเล่าเรื่องคุณแม่ ผมรู้สึกเหมือนนั่งคุยกับตัวเอง มัน…”
ยังไม่ทันที่จะพูดได้จบประโยค หญิงสาวก็ใช้มือของตัวเองแตะเบาๆ ที่มือของคู่สนทนา
“ไม่ต้องพูดหรอกคะ”
“คุณเช” นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่จะหันมากุมมือหญิงสาวไว้ด้วยกิริยานุ่มนวล
“ฤดูร้อนปีนั้นยังอยู่ในใจผมเสมอ และมันจะอยู่ไปตลอด”
หญิงสาวนั่งนิ่ง ไม่ได้ขัดขืนที่โดนชายหนุ่มกุมมือเอาไว้ มีความรู้สึกบางอย่างบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่ผู้ชายที่จงใจจะเอาเปรียบผู้หญิงแม้แต่น้อยมือที่กุมเอาไว้นั้นก่อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด
รักแรกพบ รุนแรงอย่างนี้เชียวหรือ…
เกดหลับตาลงครั้งหนึ่ง สูดลมหายใจยาว แล้วจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง สูดดมกลิ่นหอมของดอกอะไรก็ไม่รู้ที่ลอยฟุ้งเข้าจมูก ได้ยินเสียงส่ายกิ่งใบของต้นไม่ใหญ่
แว่วเข้าหู ความรู้สึกผ่อนคลายเกิดขึ้น สายตาจ้องมองทางด้านหลังของชายหนุ่มที่กำลังนั่งยองอยู่บนพื้นหญ้า ใช้มือกวักน้ำในบึง ผมดำที่มัดเป็นระเบียบอยู่
เมื่อต้นชั่วโมงที่ผ่านมาสยายออกระต้นคอ
หญิงสาวนั่งมองแผ่นหลังของชายหนุ่ม พยายามซึบซับภาพตรงหน้าเอาไว้ให้นานที่สุด
“คุณเช” หันหน้ามา กวักมือชักชวนให้ลงไปกวักน้ำในบึงนั่นดูบ้าง หญิงสาวเพียงแต่ส่ายหน้า พลางคิดว่าชายหนุ่มคนนี้ช่างแปลกนัก ชอบอยู่กับธรรมชาติ รัก
ต้นไม้ใบหญ้า ดูเหมือนจะละเมียดละไมผิดวิสัยของผู้ชายส่วนมาก
อ้อ แต่กลับคล้ายคลึงกับผู้ชายไทยคนหนึ่งแทบจะถอดแบบกันมา
แต่ดูเอาเถอะ คล้ายกันออกอย่างนั้น แต่ความรู้สึกต่อผู้ชายทั้งสองทำไมถึงได้แตกต่างกันนักเล่า
คนนึงนะ เป็นเพื่อนชายที่แสนดีเสียนี่กระไร ผูกพันกันมานานหลายปีเสียเหลือเกิน
ส่วนชายหนุ่มผมยาวคนนี้ ที่แสนจะอ่อนโยน นุ่มนวล แต่บางครั้งก็พูดตรง ไม่ปิดบังความรู้สึกของตัวเองแม้แต่น้อย ให้ความรู้สึกแปลกแปร่งบางอย่าง
แล้วหญิงสาวก็รู้สึกชะงัก เหมือนร่างที่อยู่ตรงหน้านี้กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มในชุดนักเรียน ผมเผ้าเปียกปอน แต่มีรอยยิ้มสดใส ให้ความรู้สึกอันคุ้นเคย
โธ่เอ๊ย เอาอีกแล้วบุษบา ทำไมถึงได้นึกถึงแต่ภาพวันนั้นนะ ฤดูร้อนปีนั้นมีอะไรที่น่าจดจำนักหรือ
หญิงสาวนั่งบ่นพึมกับตัวเอง พลางกระพริบตาปริบๆ รู้สึกเนื้อตัวร้อนผะผ่าวขึ้นมา
วินเอนหลังพิงเข้ากับพนักเก้าอี้ ลูบคลำกีตาร์ในมือ แต่ไม่มีแก่ใจจะเล่นกีตาร์ ร้องเพลง เหมือนอย่างที่เคยทำ พูดให้ถูกก็คือ ไม่มีอารมณ์ที่จะทำอะไร นอก
จากนั่งนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น
ท่ามกลางอารมณ์อันเงียบเหงาและอ้างว้าง วิน เงยหน้าผ่านหน้าต่างห้องของตัวเองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าซึ่งดารดาษไปด้วยดวงดาวน้อยใหญ่ แล้วทอดสาย
ตาลงมองกิ่ง ก้าน ใบของต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านโอบคลุมหน้าบ้านไว้ พยายามเงี่ยหูฟังเสียงใบไม้ที่ปลิดปลิวลงกระจายเต็มพื้น
ธรรมชาติอันแปรปรวนบอกอะไรมนุษย์เราอยู่หรือ ดอกไม้เบ่งบานแล้วก็ร่วงโรย ดาวพราวแสงแล้วก็ดับ คงเหมือนจิตใจของคนเรามีความสุขชั่วประเดี๋ยว
ประด๋าว ความทุกข์ก็จู่โจมเข้ามา มีอะไรแน่นอนบ้างเล่าในโลกนี้
ความรักก็เช่นกันไม่ใช่หรือ
วินบรรจงวางกีตาร์ไว้ข้างโต๊ะทำงาน เปิดลิ้นชัก มองเห็นสมุดบันทึกสีเก่าซีดวางอยู่ ใจหนึ่งก็อยากหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้ง แต่อีกใจก็บอกกับตัวเองว่า อย่าเลย เปิดบันทึกออกอ่านทีไรภาพวงหน้าของเด็กสาวสวมแว่นตา พร้อมรอยยิ้มอันเริงร่าก็จะลอยเวียนวนกลับมาเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ
ทุกอย่างเป็นอดีตไปแล้วไม่ใช่หรือ จะรื้อฟื้นเพื่อประโยชน์อะไรอีก
ตอนนี้เขาอายุอานามก็ 27 นับว่าไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยังใช้ชมชอบชีวิตเรียบเรื่อย ไม่อินังขับขอบกับสิ่งใดอยู่อย่างนี้ ดูเหมือนไม่มีความทะยานอยากที่จะร่ำรวย
มีการงานอันมั่นคงเหมือนคนอื่นเขาเอาเสียเลย
เพราะอะไรหรือ
วินตอบตัวเองว่า เพราะรักชีวิตเช่นนี้นะสิ ชีวิตที่อิสระ ไม่ผูกมัดกับสิ่งใด ไม่ปฎิเสธเรื่องเงินทอง แต่ก็ไม่ถึงกับทุรนทุรายอยากมีอยากได้เหมือนคนทั่วไปช่วงเวลาหลายปีที่ชายหนุ่มดำเนินชีวิตเช่นนี้ ทำให้พบคำตอบว่า มีความสุขหลายอย่างที่เงินหาซื้อไม่ได้เหมือนกัน
แต่หลายครั้งการใช้ชีวิตเช่นนี้ก็เงียบเหงาเกินไป ความโหยหาที่ต้องการใครสักคนเกิดขึ้นหลาย แต่มันก็เหมือนดอกไม้ในสวนที่เขาเพ่งมองอยู่นั่นแหละ คือ
บานแล้วก็ร่วงโรย ความรู้สึกพลุ่งพล่านเช่นนี้เกิดมาแล้วก็ดับไป เป็นเช่นนี้มานานนักหนา
วินรู้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ฉุดรั้งเขาไว้ เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเลือนหายไปไหนเลย
และเหตุการณ์ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขารู้แล้วว่าใคร หรืออะไรคือสิ่งที่ตัวเองผูกพันด้วย
ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มไม่แน่ใจตัวเองนัก จนกระทั่งการมาถึงของชายหนุ่มคนนั้น ความรู้สึกภายในที่ซุกซ่อนไว้ค่อยๆ แผ่ขยายออก จนชัดเจนที่สุดเมื่อเห็นแววตา
วิบวับ เป็นประกายของเพื่อนสาวเมื่อวันก่อน
ความรู้สึกถึงความสูญเสียก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
วิน ไม่โทษใครเลย นี่เป็นความผิดของตัวเขาเองแท้ๆ
เขาเองก็คงเหมือนชายหนุ่ม-หญิงสาวทั่วไป ที่ยึดเอาคำว่ารักเป็นสรณะแห่งชีวิต เป็นรักที่เคยวาดหวังว่า จะสมหวัง ได้ครอบครอง ได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเอง
ต้องการ
แต่ความรักบางครั้งก็ใจร้าย เล่นตลก หลอกให้มนุษย์เราเชื่อใจ มั่นใจ แอบคิดไปต่างๆ นาๆ บางครั้งนำพาแต่ความทุกข์ ความเศร้า และความปรวดปร่ามาให้ อย่างที่เขากำลังประสบอยู่ในขณะนี้อย่างไรเล่า
วินหยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นขึ้นมาถือไว้ ใช้มือลูบคลำปกไปมา ไม่มีแรงที่จะเปิดบันทึกออกอ่าน
แล้วน้ำตาก็ไหลซึมออกมาอย่างไม่รู้ตัว…
ชายหนุ่มพาเกดลงจากรถเมล์ ข้ามถนน แล้วเดินเลาะตามฟุตบาท หญิงสาวเดินตามอย่างเงียบๆ บางครั้งก็ถึงกับกลั้นยิ้ม แอบหัวเราะกับตัวเอง เพราะอะไร
ก็ไม่รู้เหมือนกัน
“อ้าว แล้วกัน หัวเราะอะไรครับเนี่ย” ชายหนุ่มพูดหลังจากหันมาเห็นอาการของหญิงสาว
“ขำตอนที่ขึ้นรถเมล์นะสิคะ ดูคุณเก้กัง ตลกดี แถมยังให้เงินกระเป๋ารถเมล์เกินตั้งเยอะ เคยขึ้นรถเมล์บ้างมั๊ยคะเนี่ย”
ชายหนุ่มหัวเราะอย่างขัดเขิน
“เคยสิครับ 2-3 ครั้งได้มั๊ง”
“โธ่เอ๊ย…” เกดว่ายิ้มๆ พลางใช้มือรุนหลังชายหนุ่มให้เดินนำหน้าไป หญิงสาวบอกกับตัวเองว่า แปลกดีเหมือนกัน ทำไมถึงได้รู้สึกประทับใจอิริยาบถ แววตา
เสียงหัวเราะของผู้ชายคนนี้เสียเหลือเกิน เป็นคนที่ก่อให้เกิดความรู้สึกผูกพันราวกับคุ้นเคยมานานเสียอย่างนั้นแหละ
ความคิดของหญิงสาวสะดุดลงเมื่ออยู่ดีๆ ชายหนุ่มที่เดินนำหน้าอยู่ก็หยุดเสียดื้อๆ อย่างนั้น
“อ้าว แล้วกัน หยุดเดินทำไมละคะ”
ชายหนุ่มยิ้มให้
“จะรบกวนคนที่บ้านไปหรือเปล่า มาแบบไม่บอกกล่าวอย่างนี้นะ”
“ไม่หรอก อย่าคิดมากสิคะ ก็ไหนบอกว่าอยากเห็นว่าครอบครัวคนไทยแท้ๆ เขาใช้ชีวิตกันอยู่ยังไง ไม่ใช่หรือ” หญิงสาวให้กำลังใจ
“ที่บ้านเกดมีไม่กี่คน ก็มีพ่อ น้าเยาว์ แล้วก็ยายมุก”
“ยายมุก…ที่เป็นเพื่อนนีม่า ใช่มั๊ยครับ”
เกดพยักหน้ารับ
“ใช่แล้วคะ ยายมุกตัวดี นี่บ่นว่าอยากเห็นหน้าคุณเชเสียเหลือเกิน คงสมหวังครั้งนี้ละ”
“แหม ผมก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งนะครับ อยากเห็นไปทำไมครับเนี่ย”
เกดยิ้มอีกแล้ว ผู้ชายธรรมดาอย่างนั้นหรือ ไม่เชิงเสียทีเดียวนัก เสื้อโปโลแขนยาวสีน้ำเงิน กางเกงยีนส์สีดำ แล้วก็รองเท้าหนังสีน้ำตาล อาจจะดูธรรมดา แต่
เมื่อปรากฎอยู่ในรูปร่างสูง เนื้อตัวแน่นด้วยมัดกล้าม ผมยาวที่รวบไว้อย่างเป็นระเบียบ ดวงตาที่คมวาว และรอยยิ้มอันอ่อนโยนนั้น ก่อให้เกิดความรู้สึก
บางอย่าง
นี่ถ้าแต่งองค์ทรงเครื่องซะหน่อย ครอบมงกุฎบนศรีษะด้วย เหมือนเจ้าชายในเทพนิยาย ยังไงยังงั้น
บรรยากาศมื้อเย็นในค่ำคืนนี้ดูแปลกไปกว่าทุกวัน
ไม่ใช่เพราะมีชายหนุ่มแปลกหน้ามาร่วมวงด้วยเท่านั้น แต่กิริยาอันนุ่มนวลยามจับช้อน การตักอาหาร เคี้ยวอย่างละเอียด มีจังหวะที่พูดคุยกับทุกคนที่ร่วมโต๊ะ
อาหารได้อย่างเหมาะเจาะ กิริยา มารยาทอันเรียบร้อยของอาคันตุกะผู้มาเยือน ทำให้ทุกอย่างดูแปลกไปจากเดิมจริงๆ
อย่าว่าแต่ใครเลย มุกดา บุตรสาวคนเล็กของบ้านที่ธรรมดาส่งเสียวเจื้อยแจ้วอยู่ตลอดเวลา ก็ยังพูดน้อยกว่าทุกวัน ดวงตาเบิ่งโตที่มองชายหนุ่มแปลกหน้า
นั้นแสดงความสงสัย เต็มไปด้วยคำถามมากมาย
แต่คนที่เอ่ยถามมากที่สุดกับเป็นพ่อของเกดและมุกซึ่งเป็นเจ้าบ้านไปเสียนี่
“ดัลวา นี่คล้ายพวกธิเบต หรือเปล่าครับ เห็นอยู่แถบเขาหิมาลัยเหมือนกัน”
ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นมา
“ก็ไม่เชิงเสียทีเดียวหรอกครับ บางอย่างก็คล้ายกัน แต่บางอย่างก็ไม่ แต่ที่เหมือนกันแน่ๆก็คือ ชาวดัลวาเคร่งศาสนาเหมือนพวกธิเบต แล้วก็รักธรรมชาติ ชอบ
ชีวิตเรียบง่าย คล้ายๆ กัน”
พ่อของเกดเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยินคำตอบ ก่อนจะพยักหน้าแสดงอาการเข้าใจ
“ดัลวา นับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่นะครับ นิสัยบางอย่างก็คล้ายกับคนไทยมาก ปีนึงๆ มีนักเรียน นักศึกษามาเรียนที่เมืองไทยกันมาก”
“พี่เช ก็เคยเรียนที่นี่เหมือนกันใช่มั๊ยคะ” มุกพูดแทรกขึ้นมาพลางใช้ศอกกระแทกใส่พี่สาวแสดงนัยบางอย่าง
“ครับ…เมื่อหลายปีก่อน” ชายหนุ่มรับคำ
“ผมเรียนจบมัธยมปลายที่นี้แหละครับ แล้วก็ไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่สหรัฐ”
“หืมม์ อย่างนั้นหรือค่ะ” น้าเยาว์เป็นฝ่ายอุทานออกมาบ้าง
“ผมไปเรียนต่อทางด้านรัฐศาสตร์นะครับ เรียนจนจบปริญญาโทที่นั่น เพิ่งกลับไปบ้านเกิดเมื่อไม่นานนี้เอง”
เสียงซักถามนิ่งลงครู่หนึ่ง ว่าที่จริงทุกคนนิ่งอึ้งไปเพราะคำตอบที่ได้รับมากกว่า
เกดเองก็ตกใจน้อยเสียเมื่อไหร่เล่า เหลือบตามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม “คุณเช” คนนี้มีอะไรที่คาดไม่ถึงให้ได้รับรู้ตลอดเวลา ดูอย่างกิริยา มารยาท
ระหว่างนั่งรับทานอาหารเย็นมื้อนี้ปะไร ดูแล้วนิ่มนวล เพลินตา ราวกับถูกฝึกมาอย่างดี
ถ้าจะเลือกใช้คำให้เหมาะก็ต้องบอกว่า ทุกอิริยาบถเท่าที่เห็น “งาม” เสียจริงๆ
ดูเอาเถิด ขนาดพ่อของเกดที่เคร่งขรึม พูดน้อย แต่สนทนาพาทีกันไม่กี่ประโยคก็ดูจะถูกคอกันดี หัวเราะเอิกอ้ากกันเป็นระยะ ส่วนน้าเยาว์และมุก ก็ดูจะเพลิด
เพลินกับเรื่องเล่าของดัลวาอยู่ไม่น้อย เป็นชายหนุ่มที่มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างประหลาดล้ำ
“คุณเช” คนนี้เป็นใครกันนะ มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวนึกสะดุดใจขึ้นมา
“พี่เกด คุณเชนี่ดูแปลกเนอะ"
“เอาอีกแล้ว สนใจใคร่รู้มาอีกแล้ว”
เกดถอนหายใจ เงยหน้ามองหลอดไฟบนเพดาน ในขณะที่มุกดา ที่นอนเคียงกันอยู่บนเตียงเดียวกันเอาหนังสือเล่มหนึ่งวางไว้บนหน้าอก แล้วหลับตาลง
“จริงนี่ คุณเช ตัวจริงน่าทึ่งกว่าที่นีม่าเคยเล่าให้ฟังเยอะเลย ดูเหมือนกับว่า…”
มุกพูดค้างไว้เช่นนั้นแล้วก็หันร่างขึ้นเอาศอกเท้าเข้ากับหมอนสีขาวที่วางไว้ใกล้กับศรีษะ ใช้สายตาจ้องมาที่พี่สาว
“เหมือนเจ้าชายนะ พี่เกด”
“อย่างนั้นหรือ” หญิงสาวว่า แล้วผลุดลุกขึ้นนั่งบนเตียง ทำท่าจะพูดอะไรออกมา แต่กลับเปลี่ยนคำถามเมื่อเห็นหนังสือที่น้องสาวถือติดตัวมาหลายวันแล้ว
“อ่านอะไรอยู่นะ วิมานริมขอบฟ้า นิยายเหรอ”
มุกดาหัวเราะเบาๆ แล้วลุกขึ้น พลางนั่งขัดสมาธิ หยิบหนังสือในมือชูขึ้นมา
“เปล่าหรอก หนังสือสารคดีนะ เรื่องของดัลวา แล้วก็เทือกเขาหิมาลัย”
คนเป็นพี่สาวเลิกคิ้วขึ้นสูง แสดงอาการประหลาดใจ
“คุยกับนีม่า เรื่องดัลวามานานแล้ว ยิ่งพอเรื่องของคุณเชเกิดขึ้น ก็ทำให้มุกอยากรู้เรื่องของดัลวามากขึ้นไง เลยหามาอ่าน”
“แล้วไงจ้ะ”
มุกดายักไหล่ขึ้นครั้งหนึ่ง
“ก็เพลินดีนะสิพี่เกด เพิ่งรู้ว่าดัลวา มีลักษณะบางอย่างที่เหมือนนิยายฝรั่งเรื่อง lost horizon เขาเขียนไว้”
“หืมม์ ยังไงนะ”
“ดินแดนในความฝันไงละพี่เกด อย่างที่เขาเรียกว่าเชียงกรี ลา เป็นดินแดนเล็กๆ แถบเทือกเขาหิมาลัย นอกจากสวยงามแล้ว ผู้คนมีชีวิตอยู่ตามธรรมชาติ ไม่
อาศัยกฎหมาย แต่อาศัยคุณธรรมในการปกครองประเทศ และกษัติรย์เดเช็น ผู้ปกครองประเทศก็ทรงเป็นกษัตริย์นักประชาธิปไตย เป็นที่รักของชาวดัลวา
ทุกคน”
“แล้วยังไงอีก” เกดชักสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“พี่เกดรู้ไหม อาณาจักรดัลวา ล้อบรอบไปด้วยเทือกเขาสูงต่ำที่ปกคลุมด้วยหิมะ ระหว่างขุนเขาเหล่านั้น มีทะเลสาบแอ่งกว้างใหญ่ที่งดงามเกิดขึ้นมากมาย
บางแห่งเป็นสีเขียวมรกต คงน่าดูมาก”
เกดเอามือท้าวคาง มองน้องสาวพูดเสียงเจื้อยแจ้ว พยายามนึกภาพตามไปด้วย
“ชนพื้นเมืองของชาวดัลวาส่วนหนึ่งเป็นเหมือนพวกมองโกลในจีน คือผิวขาว ตาตี่ ส่วนอีกพวกเหมือนแขกคือ คิ้วดก หน้าเข้ม ผิวคล้ำ ท่าจะจริงแฮะ”
แล้วภาพของชายหนุ่มที่มีผิวอันเกลี้ยงเกลา แต่คิ้วกลับดก และใบหน้าเข้ม ก็ปรากฎในห้วงคำนึงของเกดอีกครั้ง
“ในหนังสือนี่บอกว่า ผู้คนชาวดัลวาเป็นคนอารมณ์ดี แจ่มใส ไม่โกรธใครง่ายๆ ใช้ชีวิตอย่างไม่รีบเร่ง ดูเหมือนว่าเป็นอาณาจักรเล็กๆ ที่ประชาชนมีความสุข
มากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง”
“น่าสนุกดีนี่นา หนังสือเล่มนี้ แล้วมีอะไรอยากเล่าให้ฟังอีกจ้ะ คุณน้อง” เกดถามต่ออย่างอารมณ์ดี
มุกพับหนังสือลงแล้วทาบเอาไว้บนอก ยักคิ้ว หลิ่วตากับพี่สาว
“ที่น่าสนใจที่สุดของหนังสือเล่มนี้ก็คือ เรื่องเล่าเกี่ยวกับรัชทายาทหนุ่มแห่งดัลวา พระองค์ทรงมีพระสิริโฉมอันงดงาม มีจริยวัตรอันเพียบพร้อม ที่สำคัญก็คือยัง
เป็นโสด”
คนเล่าหยุดความ พลางขบยิ้ม สบสายตาที่กำลังจ้องมองมา
“แล้วยังไงต่อ เล่าก็เล่าไม่จบ
มุกดาดวงตาวาว มีแววเริงรื่นบางอย่างปรากฎขึ้น
“พระองค์ทรงมีพระนามว่า โดร์เช”
“เจ้าชายโดร์เช งั้นหรือ”
“ฮื่อ ใช่แล้วพี่เกด โดร์เช ที่มีความหมายว่า สายฟ้า”
ผู้เป็นพี่สาว ยื่นมือออกมา แล้วพูดขึ้น
“ยืมอ่านหน่อยซิจ้ะ”
มุกพยักหน้า
“ได้สิ แต่ก่อนจะให้ มุกอยากถาม”
“ถามอะไร ยุ่งยากจริงเด็กคนนี้
“ถ้าคุณเชเกิดเป็นเจ้าชายโดร์เช ขึ้นมา พี่เกดจะทำยังไง”
หญิงสาวยิ้มอย่างนึกขบขันเสียเต็มประดา เอามือผลักไปที่ศรีษะของน้องสาวอย่างเอ็นดู
“เด็กบ๊อง เอาสมองส่วนไหนคิด เพ้อเจ้อ”
จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ถึง “คุณเช” จะมีบุคคลิกบางอย่างที่ดูเกรงขาม และมีเสน่ห์ลึกลับบางประการ แต่ก็คงไม่ได้เป็น “เจ้าชาย” อย่างที่น้องสาวคิดเป็นตุ
เป็นตะไปหรอก
“เอาหนังสือมาให้พี่ แล้วมุกก็ไปนอนได้แล้ว จะนอนฝันถึงเจ้าชายคนไหนก็เชิญเถิด ตามสบาย”
มุกดาจะทำอะไรได้เล่า ยื่นหนังสือในมือให้ พร้อมกับแลบลิ้นล้อเลียนพี่สาวของตัวเองไปเท่านั้น
“เดี๋ยว มุกจะให้นีม่า ช่วยหาพระฉายาลักษณ์ของเจ้าชายโดร์เชให้ ดูสิว่าจะสูสีกับคุณเชของพี่เกดหรือเปล่า ว่าแต่เช กับ โดร์เช มันคล้ายกันจังนะ มุกว่า”
พูดเสร็จแล้ว หญิงสาวก็ทำตาประหลับประเหลือก แล้วยิ้มให้กับความคิดของตัวเองอยู่เป็นนาน
๑๐.๑๑.๕๒
บทที่ 11-สองรัก
นับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าบ้าน อาบน้ำ ทานมื้อเย็น หญิงสาวรับรู้ได้ถึงอาการประดักประเดิดของตัวเอง เพราะดูเหมือนจะมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องดูอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งพ่อและแม่เลี้ยงขึ้นไปพักบนห้องนอนแล้วนั่นละ เกดถึงได้ดึงตัวเจ้าของดวงตาคู่นั้นมานั่งไถ่ถามด้วยอาการขัดเขินเต็มที
“เป็นอะไรไปคุณน้องสาว นั่งมองพี่ตั้งแต่เข้ามาบ้านแล้ว สงสัยหรือว่าพี่มีอะไรผิดปกติไปจ้ะ”
มุกดาจ้องมองพี่สาวของตัวเองอยู่เป็นนาน แล้วนั่งนิ่งอยู่
“ว่าไงละ…” เกดถามน้ำเสียงไม่ปกตินัก
มุกดา หันไปหยิบรีโมตโทรทัศน์เพื่อปิดเสียงบนจอไม่ให้มารบกวนการพูดคุย แล้วทรุดตัวลงบนโต๊ะเล็กที่อยู่เยื้องกันไป ก่อนจะหันมาทางพี่สาวที่นั่งกระสับกระส่ายอยู่บนโซฟา
“เขามาส่งละสิ พี่เกด…ใช่มั๊ย”
ผู้เป็นพี่สาวเลิกคิ้วสูง ก่อนกลั้นหัวเราะกับคำถามอันคาดคั้น
“โธ่เอ๋ย นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็…”
แต่มุกดาดูจะไม่รับมุขเท่าใดนัก ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
“แล้วไปไหนมากับคุณเชนั่น”
เกดอมยิ้มกับคำถาม แล้วส่ายหน้าไปมา แต่ดวงตาวิบไหว
“ไม่ได้ไปไหนนี่ ไปนั่งคุยกัน แล้วเขาก็มาส่งเมื่อกี้ ก็เท่านั้น”
น้องสาวย่นจมูก
“แล้วไง เขาจีบ งั้นสิ”
“ยายมุก” เกดร้องเสียงหลง แล้วอาการหัวใจเต้นตึกตั่ก ความรู้สึกที่ทำให้มือไม้สั่นก็กลับมาอีกครั้ง
เห็นอาการพี่สาวเช่นนั้นแล้ว มุกดาที่เก็บอาการเคร่งขรึมอยู่เป็นนานก็ปิดปากหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี
“แน่แล้วๆ พี่เรา”
พี่สาวเห็นดวงตาอันระยิบระยับ แล้วรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์นั้นแล้ว ก็รู้เลยว่าตัวเองหลงกลเข้าแล้วเต็มเปา
“ยายมุก เป็นน้องเป็นนุ่งคิดลักไก่หลอกถามพี่หรือนี่…”
มุกดาหัวร่องอหาย ก่อนจะจ้องมองพี่สาวด้วยดวงตาวาวโต
“หรือจะเป็นคุณเชคนนี้ โซลเมทของพี่เกดนะ”
“หา…” เกดพึมพำ ไม่รู้ว่าจะตอบน้องสาวอย่างไร ความรู้สึกที่มีต่อชายหนุ่มท่าทางแปลกๆ คนนี้เป็นอย่างไรหรือ บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกัน
รู้แต่ว่า วันนี้ที่เจอกัน หญิงสาวรู้สึกใจสั่น เหงื่อชุ่มมือ พูดจาผิดๆ ถูกๆ หนแล้วหนเล่าอยู่นั่นละ
“มุกยังไม่เคยเห็นหน้าคุณเชคนนี้เลย แต่คงหล่อน่าดูเชียว ใช่มั๊ย”
“ก็ดูดีนั่นแหละ…”
น้องสาวขบยิ้มเมื่อเห็นอาการ “หลุด” ของพี่สาวอีกครั้ง ดวงตาวิบวับประหลาดอย่างนั้น จะตีความหมายเป็นอย่างอื่นได้อย่างไรเล่า
“อยากเห็นจัง พามาแนะนำน้องนุ่งหน่อยสินะ”
“ฮื่อ…คงมีโอกาสเจอกันหรอกเร็วๆ นี้”
แล้วมุกดาก็กระโดดผลุงมานั่งบนโซฟาเกาะแขนผู้เป็นพี่สาว แล้วซบศรีษะเข้าที่ไหล่ ก่อนทำเสียงห้าวแบบผู้ชายล้อเลียน
“คุณครับ รับรักผมเถอะนะครับ”
เกดหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะหยิกแขนน้องสาวแก้อาการเก้อเขินของตัวเอง
“จริงๆ เลยนะเราเนี่ย”
“ว่าแต่ว่า…วันนี้นัดเจอกันได้อย่างไร ใครโทรหาใครก่อนละ หรือมีกระแสจิตตรงกัน” มุกดาถามด้วยน้ำเสียงใส
ผู้เป็นพี่สาวส่ายหน้า
“เปล่าหรอก…วินเขาโทรนัดให้นะ”
“หา…” มุกดาร้องได้แค่นั้นแล้วเอนหลังพิงกับโซฟา เหลือบตามองพี่สาวด้วยดวงตาคมวาวราวกับต้องการทะลุให้เห็นถึงความรู้สึกภายใน
“ตานั่นอีกแล้วเหรอ เฮ้อ”
“ทำไมจ้ะ …”
มุกดาเบ้ปาก ค้อนวงหนึ่งให้กับใครบางคน แล้วจึงเหลือบตามองพี่สาวที่หันไปหยิบนิตยสารที่วางไว้ใกล้ตัวขึ้นมาอ่าน
นี่จะถวายพานบุษบาให้อิเหนากันเลยหรือนี่ ตาจรกาซื่อบื้อเอ๊ย
เมื่อได้ยินเสียงกดกริ่งหน้าบ้าน วินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นี่ก็เกือบจะเย็นแล้ว ไม่น่าจะมีใครมาแวะเยี่ยมเยือนในช่วงเวลานี้นักหรอก
แต่เมื่อชายหนุ่มเปิดประตู ก็ให้รู้สึกแปลกใจ เมื่อเห็นหญิงสาวผมสั้น ในชุดนักศึกษา ยืนยิ้มแฉ่ง พร้อมยื่นถุงขนมในมือให้
“สวัสดีคะพี่ ซื้อขนมมาฝาก”
ชายหนุ่มรับถุงขนมมาถือด้วยอาการงุนงง แล้วเปิดประตูบ้านให้อาคันตุกะผู้มาเยือน
“เข้ามาสินีม่า ไปไงมาไงเนี่ย แล้วรู้จักบ้านพี่ได้ยังไง”
นีม่า ยิ้มอวดฟันขาว พลางนั่งลงบนชุดโต๊ะทางด้านล่างของตัวบ้าน ก่อนจะเหลียวมองรอบบ้านไม้สีฟ้าอย่างสนอกสนใจ
“บ้านพี่สวยจัง ต้นไม้ครึ้มเชียว น่าอยู่จังคะ”
วินพยักหน้ารับ
“มาคนเดียวหรือ แล้วมุกละ”
“วันนี้นีม่ามาคนเดียว ถามทางจากมุกเค้านะคะ ความจริงก็ไม่ยากนั่งรถเมล์มาลงปากซอย แล้วก็นั่งมอเตอร์ไซค์เข้ามาอีกนิดเดียว”
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างรับรู้ ก่อนจะเดินตรงไปทางห้องครัว ชั่วครู่ก็ออกมาพร้อมแก้วน้ำในมือ
“ทานน้ำก่อนเถอะ…”
นีม่ายกมือไปรับแก้วน้ำในมือ ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะจ้องมองมาที่ชายหนุ่มด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เป็นไงบ้างคะพี่…”
วินยักไหล่ แล้วหัวเราะเบาๆ
“พี่สบายดีก็เหมือนเดิม แต่วันนี้มีงานต้องส่งลูกค้าก็เลยไม่ได้ไปไหน เพิ่งเสร็จเมื่อตะกี้”
แขกผู้มาเยือนเอามือท้าวคาง จ้องมองเจ้าของบ้านด้วยแววตาประหลาด
“นีม่ามาขอบคุณนะคะ ขอบคุณแทนเจ้านาย สำหรับความช่วยเหลือทุกอย่าง”
“ไม่ต้องหรอกน่า พี่ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักเลย”
หญิงสาวส่ายหน้าไปมา
“ไม่จริงหรอกคะ ถ้าไม่ได้พี่ เรื่องก็คงไม่จบง่ายดายอย่างนี้”
“เพียงแต่ว่า…” หญิงสาวกล้ำกลืนคำพูด
“นีม่าไม่คิดว่าเรื่องจะลงเอยอย่างนี้เหมือนกัน ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นพี่เกด…”
สีหน้าของวินสลดลงวูบหนึ่ง แต่ก็เพียงแว่บเดียวเท่านั้น
“เหมือนหนังเกาหลีเลยเนอะ พระเอกกับนางเอกเคยเจอกันตอนเด็ก แล้วก็พลัดพรากกันไป เจอกันอีกทีก็ตอนเป็นหนุ่มสาวกันแล้ว แฮปปี้เอนดิ้งในที่สุด”
ชายหนุ่มพยายามพูดให้ตลก แต่คนฟังดูจะขำไม่ออกเมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวของคนพูด
“นีม่าก็ว่าอย่างนั้น แต่ก็ยังห่วงอยู่นิดนึง”
วินเลิกคิ้วสูง
“ห่วงอะไรละ…”
“ก็ห่วงว่าพี่เกดจะรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ แล้วคนรักของพี่เกดละ”
ชายหนุ่มโบกไม้โบกมือเป็นการใหญ่
“อย่าห่วงไปเลย เกดยังไม่มีคนรัก”
“จริงหรือคะ…” นีม่าถามอย่างคาดคั้น
“ฮื่อ…เป็นอย่างนั้น”
วินส่ายหน้า ดูเหมือนจะพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น
หญิงสาวพยายามมองหาความจริงจากดวงตาที่หลุบลงของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า แต่ก็มองไม่เห็นอะไรเท่าใดนัก
“นีม่าก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป คาดเดาอะไรไม่ได้ทั้งนั้น แต่ที่บอกพี่ได้ก็คือ เจ้านายของนีม่าเป็นคนดี จิตใจงาม”
“พี่มองเห็นหรอกน่า คุณเชอาจจะเป็นคนที่เกดรอคอยอยู่ก็ได้”
“จริงหรือคะ…”
“โซลเมท คู่แท้ยังไงเล่านีม่า”
หญิงสาวพยักหน้า พยายามสังเกตอากัปกิริยาของเจ้าของบ้านไปด้วยในตัว พยายามควานหาความลึกลับบางอย่างจากดวงตาคู่นั้น แต่ไม่พบอะไรเลย เหมือนมองสายน้ำอันสงบนิ่ง แต่ลึกลงไปนั่นเล่า
“ว่าแต่ว่า…” วินเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง
“ว่าอะไรคะ” นีม่าตอบ
“คุณเช ทำงานอะไรหรือนีม่า ท่าทางไม่เหมือนนักธุรกิจสักเท่าไหร่เลย แต่คงจะมีฐานะพอสมควร”
หญิงสาวสะดุ้งขึ้นมา ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงไม่ปกติเท่าใดนัก
“ก็มีคะ มีฐานะพอสมควร”
“แล้วถ้า…”
ยังไม่ทันที่นีม่าจะจนมุมกับคำถาม เสียงเปิดประตูบ้านก็ดังขึ้นมาเสียก่อน แล้วร่างของคนชราคู่หนึ่งก็ก้าวเข้ามาในบ้านอย่างช้าๆ
“พ่อแก่กับแม่แก่กลับมาแล้วละ ไม่รีบไปไหนใช่มั๊ยนีม่า กินข้าวด้วยกันเถอะ แม่แก่ทำกับข้าวอร่อยนะ”
หญิงสาวถอนหายใจยาว
กินก็ได้ไม่เป็นไรหรอก ขอแต่อย่าซักให้มากนักก็แล้วกัน นีม่าพึมพำกับตัวเองอย่างหนักใจ
หลังจากผ่านพ้นมือเย็นไปแล้ว ขับจักรยานไปส่งนีม่าที่ปากซอย รอจนขึ้นรถแท็กซี่เพื่อแน่ใจว่าปลอดภัยแล้ว วินก็ต้องมานั่งให้พ่อแก่-แม่แก่ ซักไซ้ไล่เรียง ถึงประวัติของสาวนักศึกษาที่มาเยี่ยมเยือนถึงบ้านอยู่เป็นนาน
“เพื่อนรุ่นน้องนะครับ เป็นเพื่อนสนิทยายมุกนะครับ ไม่มีอะไรหรอก”
ตากับยายของชายหนุ่มหัวเราะหัวใคร่กับคำตอบ
“เพื่อนก็ดี แฟนก็เหมาะ” พ่อแก่แซวหลานชาย
“เห็นหน้าแดงหน้าดำมาหลายวันแล้วนี่ ดูวันนี้สีหน้าดีขึ้นมานิดนึงแล้ว” แม่แก่แสดงความเห็นเพิ่ม
“พ่อแก่ แม่แก่ อย่าคิดอะไรให้เลยเถิดไปเลย นีม่าไม่ใช่แฟนผมหรอกครับ”
“นีม่าชื่อเพราะซะด้วย ว่ามั๊ยยาย…” พูดแล้วพ่อแก่ก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก
ชายหนุ่มจะทำอะไรได้เล่า ปล่อยเลยตามเลยแล้วกัน ถือว่าเป็นความสุขของคนแก่น่า
แต่คำถามในตอนท้ายของแม่แก่นี่สิ ทำให้วินถึงกับสะดุ้งขึ้นมา
“ถ้านักศึกษาคนนี้เป็นแฟนของหลานจริง แล้วหนูเกดละจ้ะทำยังไง”
คำตอบที่ชายหนุ่มมีให้ รวบรัดได้ใจความ แต่พอพูดออกไปแล้วไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมถึงน้ำเสียงถึงได้แห้งผาก อ่อนล้าเช่นนั้นไปได้
“ไม่ต้องห่วงเกดหรอกครับ เขาเจอแฟนเค้าแล้ว น่าจะคนนี้แหละครับ”
สิ้นคำพูดประโยคนี้ ภาพวงหน้าของเด็กสาวสวมแว่นตา พร้อมรอยยิ้มอันเริงร่าที่แสนจะคุ้นเคยก็ปรากฎในห้วงคำนึงของชายหนุ่มอีกครั้ง
แต่คราวนี้ภาพนั้นเลือนลางมากกว่าทุกคราว
“อะไรนะ เจ้าชาย” เสียงร้องที่แผดลั่นของชายร่างท้วมทำให้แขกที่มานั่งดื่มเครื่องดื่มในร้านกาแฟมองกันมาที่ผู้ชาย 2 คนที่มุมด้านในของร้านอย่างพร้อมเพรียง
“เบาๆ หน่อยสิ มูตา” เสียงของชายหนุ่มที่ผมยาวถูกรวบตึงเป็นหางม้ากระซิบขึ้นมา
“มันน่าตกใจหน่อยเสียเมื่อไหร่เล่า คำถามที่เจ้าชายบอกผู้หญิงคนนั้นนะ…” มูตาลดเสียงลง แต่ดวงตาที่เบิ่งโต และคิ้วขมวด แสดงให้เห็นถึงอารมณ์อันพลุ่งพล่าน
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
“ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรนี่นา ก็แค่คำถามเดียว”
“แต่ว่าเจอหน้ากันหนแรก ก็ถามว่าคุณผู้หญิงครับ คุณเชื่อในรักครั้งแรกหรือไม่นี่ไม่เกินเลยไปหน่อยหรือเจ้าชาย”
ชายหนุ่มจ้องหน้าคนสนิทด้วยดวงตาพราว ก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบโดยไม่ละสายตาไปจากมูตา
“ข้ารู้ดี มันอาจจะเป็นคำถามที่ตรงไปหน่อย แต่มูตา อย่าลืมว่าพวกเรามีเวลาน้อย ก็เลยต้อง…”
มูตาถอนหายใจยาวๆ
“สมกับชื่อโดร์เชจริงๆ ทำอะไรรวดเร็วเหมือนสายฟ้าแล่บ”
เจ้าชายโดร์เชทรงพระสรวลเบาๆ ก่อนจะทอดพระเนตรไปรอบร้านกาแฟซึ่งตั้งอยู่ชั้นล่างของคอนโดมีเนียมที่พัก
“ข้าชอบที่นี่มาก มูตา ดูสิผู้คนหัวเราะ ยิ้มแย้มให้แก่กัน แล้วผู้คนที่ข้าได้รู้จักต่างก็เป็นคนดี มีน้ำใจทั้งนั้น”
มูตายักไหล่
“ถึงที่นี่จะดีอย่างไร แต่เจ้าชายก็ต้องกลับไปที่ดัลวาอยู่ดีนั่นแหละ ฝ่าบาทอย่าลืมสิว่าพระองค์คือรัชทายาทของกษัตริย์เดเช็น”
เจ้าชายโดร์เชเป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง
“ข้ารู้ ขอบใจที่เตือนมูตา”
คนสนิทของรัชทายาทของดัลวามีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย
“ตอนนี้ พระองค์ก็ได้พบกับผู้หญิงที่เฝ้ารอมานาน แล้วจะทำอย่างไรเล่า จะเผยความจริงให้นางทราบเสียตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ”
เจ้าชายโดร์เชส่ายพระพักตร์
“อย่าเพิ่งเลย ข้ายังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรเหมือนกัน คงต้องอีกสักพักนั่นแหละ”
“เมื่อไหร่กัน” มูตารุกถาม
รัชทายาทหนุ่มสบพระเนตรกับคนสนิทท่ามกลางความวุ่นวายของผู้คนในร้านกาแฟหรูแห่งนั้น
มูตายักไหล่ครั้งหนึ่ง ใช้ช้อนคันเล็กตัดเค้กชิ้นตรงหน้าให้พอดี แล้วตักเข้าปาก ดวงตายิบหยี พลางยิ้มในสีหน้า
ใครจะเชื่อ รัชทายาทคนเดียวแห่งราชวงศ์เซโม ราชวงศ์ผู้ปกครองอาณาจักรดัลวามานับร้อยปี จะมีวันนี้เพราะผู้หญิงไทยธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น พิโธ่เอ๊ย
“นี่ นีม่า”
“ว่ายังไง มุก”
นีม่าละสายตาจากกองหนังสือตรงหน้า ที่วางอิเหละเขะขะอยู่บนม้านั่งยาวริมสระน้ำในมหาวิทยาลัย แล้วจ้องมองตาเพื่อนคนสวย
“ไปบ้านอีตานั่นเป็นยังไง…”
หญิงสาวจากดัลวา ก้มตาลงขบยิ้ม ก่อนจะตอบเพื่อนออกไป
“ก็ไม่เป็นไร บ้านสวย ต้นไม้เยอะ อาหารอร่อย”
มุกดา เอามือหยิกแขนเพื่อนด้วยอาการหมั่นไส้
“เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“อ๋อ อยากรู้เรื่องคุณตากับคุณยายของพี่วินเหรอ ก็ไม่มีไรนี่ เป็นคนแก่ที่น่ารักทั้งคู่”
นีม่าเงยหน้าขึ้นและได้เห็นดวงตาขุ่น คิ้วที่ขมวด แสดงอาการว่าใกล้จะ “วีน” เต็มทีแล้ว
“แหม มุกดาจ๋า ล้อเล่นนิดหน่อยเอง ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินี่จะ นอกจาก…”
“นอกจากอะไร…” มุกรีบถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ก็พี่เค้าซึมๆ นิดนึง แต่ก็ไม่มีอะไรนี่นา เป็นแค่ผู้ชายปากแข็งคนนึงเท่านั้น มุกก้อ”
มุกดากลอกตาไปมา ก่อนพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย
“ก็บอกนีม่าแล้วไง พี่วินนะเป็นผู้ชายบ๊องๆ ซื่อบื้อ แล้วก็ใช่ด้วย ปากแข็ง ปากหนักออกจะตายไป”
“ผู้ชายปากแข็งนี่ นีม่าว่า เหมาะกับ ผู้หญิงปากแข็งเหมือนกันเป็นที่สุดเลย มุกว่ามั๊ย”
“อะไรนะ ไม่เห็นจะรู้เรื่อง”
นีม่าแอบหัวเราะหึหึอยู่ในใจ เมื่อเห็นอาการคอแข็ง สีหน้าเก้อเขินของเพื่อน
ความรักนี่ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ ด้วยแฮะ
จนกระทั่งพ่อและแม่เลี้ยงขึ้นไปพักบนห้องนอนแล้วนั่นละ เกดถึงได้ดึงตัวเจ้าของดวงตาคู่นั้นมานั่งไถ่ถามด้วยอาการขัดเขินเต็มที
“เป็นอะไรไปคุณน้องสาว นั่งมองพี่ตั้งแต่เข้ามาบ้านแล้ว สงสัยหรือว่าพี่มีอะไรผิดปกติไปจ้ะ”
มุกดาจ้องมองพี่สาวของตัวเองอยู่เป็นนาน แล้วนั่งนิ่งอยู่
“ว่าไงละ…” เกดถามน้ำเสียงไม่ปกตินัก
มุกดา หันไปหยิบรีโมตโทรทัศน์เพื่อปิดเสียงบนจอไม่ให้มารบกวนการพูดคุย แล้วทรุดตัวลงบนโต๊ะเล็กที่อยู่เยื้องกันไป ก่อนจะหันมาทางพี่สาวที่นั่งกระสับกระส่ายอยู่บนโซฟา
“เขามาส่งละสิ พี่เกด…ใช่มั๊ย”
ผู้เป็นพี่สาวเลิกคิ้วสูง ก่อนกลั้นหัวเราะกับคำถามอันคาดคั้น
“โธ่เอ๋ย นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็…”
แต่มุกดาดูจะไม่รับมุขเท่าใดนัก ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
“แล้วไปไหนมากับคุณเชนั่น”
เกดอมยิ้มกับคำถาม แล้วส่ายหน้าไปมา แต่ดวงตาวิบไหว
“ไม่ได้ไปไหนนี่ ไปนั่งคุยกัน แล้วเขาก็มาส่งเมื่อกี้ ก็เท่านั้น”
น้องสาวย่นจมูก
“แล้วไง เขาจีบ งั้นสิ”
“ยายมุก” เกดร้องเสียงหลง แล้วอาการหัวใจเต้นตึกตั่ก ความรู้สึกที่ทำให้มือไม้สั่นก็กลับมาอีกครั้ง
เห็นอาการพี่สาวเช่นนั้นแล้ว มุกดาที่เก็บอาการเคร่งขรึมอยู่เป็นนานก็ปิดปากหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี
“แน่แล้วๆ พี่เรา”
พี่สาวเห็นดวงตาอันระยิบระยับ แล้วรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์นั้นแล้ว ก็รู้เลยว่าตัวเองหลงกลเข้าแล้วเต็มเปา
“ยายมุก เป็นน้องเป็นนุ่งคิดลักไก่หลอกถามพี่หรือนี่…”
มุกดาหัวร่องอหาย ก่อนจะจ้องมองพี่สาวด้วยดวงตาวาวโต
“หรือจะเป็นคุณเชคนนี้ โซลเมทของพี่เกดนะ”
“หา…” เกดพึมพำ ไม่รู้ว่าจะตอบน้องสาวอย่างไร ความรู้สึกที่มีต่อชายหนุ่มท่าทางแปลกๆ คนนี้เป็นอย่างไรหรือ บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกัน
รู้แต่ว่า วันนี้ที่เจอกัน หญิงสาวรู้สึกใจสั่น เหงื่อชุ่มมือ พูดจาผิดๆ ถูกๆ หนแล้วหนเล่าอยู่นั่นละ
“มุกยังไม่เคยเห็นหน้าคุณเชคนนี้เลย แต่คงหล่อน่าดูเชียว ใช่มั๊ย”
“ก็ดูดีนั่นแหละ…”
น้องสาวขบยิ้มเมื่อเห็นอาการ “หลุด” ของพี่สาวอีกครั้ง ดวงตาวิบวับประหลาดอย่างนั้น จะตีความหมายเป็นอย่างอื่นได้อย่างไรเล่า
“อยากเห็นจัง พามาแนะนำน้องนุ่งหน่อยสินะ”
“ฮื่อ…คงมีโอกาสเจอกันหรอกเร็วๆ นี้”
แล้วมุกดาก็กระโดดผลุงมานั่งบนโซฟาเกาะแขนผู้เป็นพี่สาว แล้วซบศรีษะเข้าที่ไหล่ ก่อนทำเสียงห้าวแบบผู้ชายล้อเลียน
“คุณครับ รับรักผมเถอะนะครับ”
เกดหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะหยิกแขนน้องสาวแก้อาการเก้อเขินของตัวเอง
“จริงๆ เลยนะเราเนี่ย”
“ว่าแต่ว่า…วันนี้นัดเจอกันได้อย่างไร ใครโทรหาใครก่อนละ หรือมีกระแสจิตตรงกัน” มุกดาถามด้วยน้ำเสียงใส
ผู้เป็นพี่สาวส่ายหน้า
“เปล่าหรอก…วินเขาโทรนัดให้นะ”
“หา…” มุกดาร้องได้แค่นั้นแล้วเอนหลังพิงกับโซฟา เหลือบตามองพี่สาวด้วยดวงตาคมวาวราวกับต้องการทะลุให้เห็นถึงความรู้สึกภายใน
“ตานั่นอีกแล้วเหรอ เฮ้อ”
“ทำไมจ้ะ …”
มุกดาเบ้ปาก ค้อนวงหนึ่งให้กับใครบางคน แล้วจึงเหลือบตามองพี่สาวที่หันไปหยิบนิตยสารที่วางไว้ใกล้ตัวขึ้นมาอ่าน
นี่จะถวายพานบุษบาให้อิเหนากันเลยหรือนี่ ตาจรกาซื่อบื้อเอ๊ย
เมื่อได้ยินเสียงกดกริ่งหน้าบ้าน วินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นี่ก็เกือบจะเย็นแล้ว ไม่น่าจะมีใครมาแวะเยี่ยมเยือนในช่วงเวลานี้นักหรอก
แต่เมื่อชายหนุ่มเปิดประตู ก็ให้รู้สึกแปลกใจ เมื่อเห็นหญิงสาวผมสั้น ในชุดนักศึกษา ยืนยิ้มแฉ่ง พร้อมยื่นถุงขนมในมือให้
“สวัสดีคะพี่ ซื้อขนมมาฝาก”
ชายหนุ่มรับถุงขนมมาถือด้วยอาการงุนงง แล้วเปิดประตูบ้านให้อาคันตุกะผู้มาเยือน
“เข้ามาสินีม่า ไปไงมาไงเนี่ย แล้วรู้จักบ้านพี่ได้ยังไง”
นีม่า ยิ้มอวดฟันขาว พลางนั่งลงบนชุดโต๊ะทางด้านล่างของตัวบ้าน ก่อนจะเหลียวมองรอบบ้านไม้สีฟ้าอย่างสนอกสนใจ
“บ้านพี่สวยจัง ต้นไม้ครึ้มเชียว น่าอยู่จังคะ”
วินพยักหน้ารับ
“มาคนเดียวหรือ แล้วมุกละ”
“วันนี้นีม่ามาคนเดียว ถามทางจากมุกเค้านะคะ ความจริงก็ไม่ยากนั่งรถเมล์มาลงปากซอย แล้วก็นั่งมอเตอร์ไซค์เข้ามาอีกนิดเดียว”
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างรับรู้ ก่อนจะเดินตรงไปทางห้องครัว ชั่วครู่ก็ออกมาพร้อมแก้วน้ำในมือ
“ทานน้ำก่อนเถอะ…”
นีม่ายกมือไปรับแก้วน้ำในมือ ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะจ้องมองมาที่ชายหนุ่มด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เป็นไงบ้างคะพี่…”
วินยักไหล่ แล้วหัวเราะเบาๆ
“พี่สบายดีก็เหมือนเดิม แต่วันนี้มีงานต้องส่งลูกค้าก็เลยไม่ได้ไปไหน เพิ่งเสร็จเมื่อตะกี้”
แขกผู้มาเยือนเอามือท้าวคาง จ้องมองเจ้าของบ้านด้วยแววตาประหลาด
“นีม่ามาขอบคุณนะคะ ขอบคุณแทนเจ้านาย สำหรับความช่วยเหลือทุกอย่าง”
“ไม่ต้องหรอกน่า พี่ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักเลย”
หญิงสาวส่ายหน้าไปมา
“ไม่จริงหรอกคะ ถ้าไม่ได้พี่ เรื่องก็คงไม่จบง่ายดายอย่างนี้”
“เพียงแต่ว่า…” หญิงสาวกล้ำกลืนคำพูด
“นีม่าไม่คิดว่าเรื่องจะลงเอยอย่างนี้เหมือนกัน ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นพี่เกด…”
สีหน้าของวินสลดลงวูบหนึ่ง แต่ก็เพียงแว่บเดียวเท่านั้น
“เหมือนหนังเกาหลีเลยเนอะ พระเอกกับนางเอกเคยเจอกันตอนเด็ก แล้วก็พลัดพรากกันไป เจอกันอีกทีก็ตอนเป็นหนุ่มสาวกันแล้ว แฮปปี้เอนดิ้งในที่สุด”
ชายหนุ่มพยายามพูดให้ตลก แต่คนฟังดูจะขำไม่ออกเมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวของคนพูด
“นีม่าก็ว่าอย่างนั้น แต่ก็ยังห่วงอยู่นิดนึง”
วินเลิกคิ้วสูง
“ห่วงอะไรละ…”
“ก็ห่วงว่าพี่เกดจะรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ แล้วคนรักของพี่เกดละ”
ชายหนุ่มโบกไม้โบกมือเป็นการใหญ่
“อย่าห่วงไปเลย เกดยังไม่มีคนรัก”
“จริงหรือคะ…” นีม่าถามอย่างคาดคั้น
“ฮื่อ…เป็นอย่างนั้น”
วินส่ายหน้า ดูเหมือนจะพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น
หญิงสาวพยายามมองหาความจริงจากดวงตาที่หลุบลงของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า แต่ก็มองไม่เห็นอะไรเท่าใดนัก
“นีม่าก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป คาดเดาอะไรไม่ได้ทั้งนั้น แต่ที่บอกพี่ได้ก็คือ เจ้านายของนีม่าเป็นคนดี จิตใจงาม”
“พี่มองเห็นหรอกน่า คุณเชอาจจะเป็นคนที่เกดรอคอยอยู่ก็ได้”
“จริงหรือคะ…”
“โซลเมท คู่แท้ยังไงเล่านีม่า”
หญิงสาวพยักหน้า พยายามสังเกตอากัปกิริยาของเจ้าของบ้านไปด้วยในตัว พยายามควานหาความลึกลับบางอย่างจากดวงตาคู่นั้น แต่ไม่พบอะไรเลย เหมือนมองสายน้ำอันสงบนิ่ง แต่ลึกลงไปนั่นเล่า
“ว่าแต่ว่า…” วินเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง
“ว่าอะไรคะ” นีม่าตอบ
“คุณเช ทำงานอะไรหรือนีม่า ท่าทางไม่เหมือนนักธุรกิจสักเท่าไหร่เลย แต่คงจะมีฐานะพอสมควร”
หญิงสาวสะดุ้งขึ้นมา ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงไม่ปกติเท่าใดนัก
“ก็มีคะ มีฐานะพอสมควร”
“แล้วถ้า…”
ยังไม่ทันที่นีม่าจะจนมุมกับคำถาม เสียงเปิดประตูบ้านก็ดังขึ้นมาเสียก่อน แล้วร่างของคนชราคู่หนึ่งก็ก้าวเข้ามาในบ้านอย่างช้าๆ
“พ่อแก่กับแม่แก่กลับมาแล้วละ ไม่รีบไปไหนใช่มั๊ยนีม่า กินข้าวด้วยกันเถอะ แม่แก่ทำกับข้าวอร่อยนะ”
หญิงสาวถอนหายใจยาว
กินก็ได้ไม่เป็นไรหรอก ขอแต่อย่าซักให้มากนักก็แล้วกัน นีม่าพึมพำกับตัวเองอย่างหนักใจ
หลังจากผ่านพ้นมือเย็นไปแล้ว ขับจักรยานไปส่งนีม่าที่ปากซอย รอจนขึ้นรถแท็กซี่เพื่อแน่ใจว่าปลอดภัยแล้ว วินก็ต้องมานั่งให้พ่อแก่-แม่แก่ ซักไซ้ไล่เรียง ถึงประวัติของสาวนักศึกษาที่มาเยี่ยมเยือนถึงบ้านอยู่เป็นนาน
“เพื่อนรุ่นน้องนะครับ เป็นเพื่อนสนิทยายมุกนะครับ ไม่มีอะไรหรอก”
ตากับยายของชายหนุ่มหัวเราะหัวใคร่กับคำตอบ
“เพื่อนก็ดี แฟนก็เหมาะ” พ่อแก่แซวหลานชาย
“เห็นหน้าแดงหน้าดำมาหลายวันแล้วนี่ ดูวันนี้สีหน้าดีขึ้นมานิดนึงแล้ว” แม่แก่แสดงความเห็นเพิ่ม
“พ่อแก่ แม่แก่ อย่าคิดอะไรให้เลยเถิดไปเลย นีม่าไม่ใช่แฟนผมหรอกครับ”
“นีม่าชื่อเพราะซะด้วย ว่ามั๊ยยาย…” พูดแล้วพ่อแก่ก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก
ชายหนุ่มจะทำอะไรได้เล่า ปล่อยเลยตามเลยแล้วกัน ถือว่าเป็นความสุขของคนแก่น่า
แต่คำถามในตอนท้ายของแม่แก่นี่สิ ทำให้วินถึงกับสะดุ้งขึ้นมา
“ถ้านักศึกษาคนนี้เป็นแฟนของหลานจริง แล้วหนูเกดละจ้ะทำยังไง”
คำตอบที่ชายหนุ่มมีให้ รวบรัดได้ใจความ แต่พอพูดออกไปแล้วไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมถึงน้ำเสียงถึงได้แห้งผาก อ่อนล้าเช่นนั้นไปได้
“ไม่ต้องห่วงเกดหรอกครับ เขาเจอแฟนเค้าแล้ว น่าจะคนนี้แหละครับ”
สิ้นคำพูดประโยคนี้ ภาพวงหน้าของเด็กสาวสวมแว่นตา พร้อมรอยยิ้มอันเริงร่าที่แสนจะคุ้นเคยก็ปรากฎในห้วงคำนึงของชายหนุ่มอีกครั้ง
แต่คราวนี้ภาพนั้นเลือนลางมากกว่าทุกคราว
“อะไรนะ เจ้าชาย” เสียงร้องที่แผดลั่นของชายร่างท้วมทำให้แขกที่มานั่งดื่มเครื่องดื่มในร้านกาแฟมองกันมาที่ผู้ชาย 2 คนที่มุมด้านในของร้านอย่างพร้อมเพรียง
“เบาๆ หน่อยสิ มูตา” เสียงของชายหนุ่มที่ผมยาวถูกรวบตึงเป็นหางม้ากระซิบขึ้นมา
“มันน่าตกใจหน่อยเสียเมื่อไหร่เล่า คำถามที่เจ้าชายบอกผู้หญิงคนนั้นนะ…” มูตาลดเสียงลง แต่ดวงตาที่เบิ่งโต และคิ้วขมวด แสดงให้เห็นถึงอารมณ์อันพลุ่งพล่าน
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
“ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรนี่นา ก็แค่คำถามเดียว”
“แต่ว่าเจอหน้ากันหนแรก ก็ถามว่าคุณผู้หญิงครับ คุณเชื่อในรักครั้งแรกหรือไม่นี่ไม่เกินเลยไปหน่อยหรือเจ้าชาย”
ชายหนุ่มจ้องหน้าคนสนิทด้วยดวงตาพราว ก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบโดยไม่ละสายตาไปจากมูตา
“ข้ารู้ดี มันอาจจะเป็นคำถามที่ตรงไปหน่อย แต่มูตา อย่าลืมว่าพวกเรามีเวลาน้อย ก็เลยต้อง…”
มูตาถอนหายใจยาวๆ
“สมกับชื่อโดร์เชจริงๆ ทำอะไรรวดเร็วเหมือนสายฟ้าแล่บ”
เจ้าชายโดร์เชทรงพระสรวลเบาๆ ก่อนจะทอดพระเนตรไปรอบร้านกาแฟซึ่งตั้งอยู่ชั้นล่างของคอนโดมีเนียมที่พัก
“ข้าชอบที่นี่มาก มูตา ดูสิผู้คนหัวเราะ ยิ้มแย้มให้แก่กัน แล้วผู้คนที่ข้าได้รู้จักต่างก็เป็นคนดี มีน้ำใจทั้งนั้น”
มูตายักไหล่
“ถึงที่นี่จะดีอย่างไร แต่เจ้าชายก็ต้องกลับไปที่ดัลวาอยู่ดีนั่นแหละ ฝ่าบาทอย่าลืมสิว่าพระองค์คือรัชทายาทของกษัตริย์เดเช็น”
เจ้าชายโดร์เชเป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง
“ข้ารู้ ขอบใจที่เตือนมูตา”
คนสนิทของรัชทายาทของดัลวามีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย
“ตอนนี้ พระองค์ก็ได้พบกับผู้หญิงที่เฝ้ารอมานาน แล้วจะทำอย่างไรเล่า จะเผยความจริงให้นางทราบเสียตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ”
เจ้าชายโดร์เชส่ายพระพักตร์
“อย่าเพิ่งเลย ข้ายังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรเหมือนกัน คงต้องอีกสักพักนั่นแหละ”
“เมื่อไหร่กัน” มูตารุกถาม
รัชทายาทหนุ่มสบพระเนตรกับคนสนิทท่ามกลางความวุ่นวายของผู้คนในร้านกาแฟหรูแห่งนั้น
มูตายักไหล่ครั้งหนึ่ง ใช้ช้อนคันเล็กตัดเค้กชิ้นตรงหน้าให้พอดี แล้วตักเข้าปาก ดวงตายิบหยี พลางยิ้มในสีหน้า
ใครจะเชื่อ รัชทายาทคนเดียวแห่งราชวงศ์เซโม ราชวงศ์ผู้ปกครองอาณาจักรดัลวามานับร้อยปี จะมีวันนี้เพราะผู้หญิงไทยธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น พิโธ่เอ๊ย
“นี่ นีม่า”
“ว่ายังไง มุก”
นีม่าละสายตาจากกองหนังสือตรงหน้า ที่วางอิเหละเขะขะอยู่บนม้านั่งยาวริมสระน้ำในมหาวิทยาลัย แล้วจ้องมองตาเพื่อนคนสวย
“ไปบ้านอีตานั่นเป็นยังไง…”
หญิงสาวจากดัลวา ก้มตาลงขบยิ้ม ก่อนจะตอบเพื่อนออกไป
“ก็ไม่เป็นไร บ้านสวย ต้นไม้เยอะ อาหารอร่อย”
มุกดา เอามือหยิกแขนเพื่อนด้วยอาการหมั่นไส้
“เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“อ๋อ อยากรู้เรื่องคุณตากับคุณยายของพี่วินเหรอ ก็ไม่มีไรนี่ เป็นคนแก่ที่น่ารักทั้งคู่”
นีม่าเงยหน้าขึ้นและได้เห็นดวงตาขุ่น คิ้วที่ขมวด แสดงอาการว่าใกล้จะ “วีน” เต็มทีแล้ว
“แหม มุกดาจ๋า ล้อเล่นนิดหน่อยเอง ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินี่จะ นอกจาก…”
“นอกจากอะไร…” มุกรีบถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ก็พี่เค้าซึมๆ นิดนึง แต่ก็ไม่มีอะไรนี่นา เป็นแค่ผู้ชายปากแข็งคนนึงเท่านั้น มุกก้อ”
มุกดากลอกตาไปมา ก่อนพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย
“ก็บอกนีม่าแล้วไง พี่วินนะเป็นผู้ชายบ๊องๆ ซื่อบื้อ แล้วก็ใช่ด้วย ปากแข็ง ปากหนักออกจะตายไป”
“ผู้ชายปากแข็งนี่ นีม่าว่า เหมาะกับ ผู้หญิงปากแข็งเหมือนกันเป็นที่สุดเลย มุกว่ามั๊ย”
“อะไรนะ ไม่เห็นจะรู้เรื่อง”
นีม่าแอบหัวเราะหึหึอยู่ในใจ เมื่อเห็นอาการคอแข็ง สีหน้าเก้อเขินของเพื่อน
ความรักนี่ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ ด้วยแฮะ
๔.๑๑.๕๒
บทที่ 10-แรกนัด
ตอนที่เกดย่างเท้าเข้ามาในร้านต้นไม้ ก้มหัวลอดกอมะลิซ้อนตรงประตูแล้วมายืนค้อมหลังเฝ้ามองวินอยู่นั้น ชายหนุ่มรู้สึกตัวแล้ว แต่ยังทำเป็นสาละวนอยู่กับการจัดเรียงกระถางต้นไม้ราวกับยุ่งเสียเต็มประดา
“มาแล้วนะ” เสียงหวานใสดังอยู่บนแผ่นหลัง
“ชื่อเกดจ้ะ ชื่อจริงบุษบา บ้านอยู่ฝั่งขะโน้น”
ทักทายอย่างนี้แล้ว ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมขยับตัว ทำให้หญิงสาวผมยาวสลวย ในชุดเสื้อลายลูกไม้ กระโปรงบานยาวสีฟ้าอ่อน ห่อปาก แล้วทำตาโต ก่อนจะตัดพ้อออกมาว่า
“นี่คุณเพื่อนจ้ะ มาง้อถึงที่แล้ว อย่าเล่นตัวหน่อยน่า”
“เปล่างอนซะหน่อย” วินพูด
“งั้นก็หันหน้ามา” เกดว่า ก่อนหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ไม้ที่มีไว้สำหรับต้อนรับลูกค้า
ชายหนุ่มเหลียวหน้ามา แล้วเห็นดวงตาคมวาวคู่นั้นจ้องอยู่ก่อนแล้ว
“ขอโทษนะ” เด็กหนุ่มพูด ก่อนจะเสไปมองต้นปีบในกระถางที่วางเรียงเป็นแถวอยู่บนชั้นทางด้านหลังของหญิงสาว
“ไม่ยกโทษให้หรอก นัดแล้วไม่ไปตามนัด”
แม้หญิงสาวจะทำเสียงห้วน แต่แววตาเป็นประกาย รอยยิ้มอันแสดงถึงความแช่มชื่นนั้น ทำให้ชายหนุ่มต้องหลุบตาลงมองพื้น ราวกับต้องการซ่อนความรู้สึกบางอย่างไม่ให้เผยตัวออกมา
“เราจำเป็นจริงๆ แล้วเกดก็ได้เจอคุณเชแล้วใช่มั๊ย”
“เช…เหรอ” หญิงสาวทวนคำ ก่อนจะเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะถามออกไปว่า
“เด็กผู้ชายคนนั้น…เอ๊ย ผู้ชายคนนั้น นี่วินนัดให้เกดไปที่โบสถ์ เพื่อให้พบกับคุณเชที่ว่านี่หรอกหรือ อย่างไรกันแน่”
วิน ถอนใจครั้งหนึ่งก่อนตอบ
“จำเรื่องที่มุกวานให้เราช่วยเหลือเรื่องตามหาคนได้มั๊ย”
“ฮื่อ…”
“ก็คุณเช คนนี้นี่ไง”
เกดทำตาโต แล้วอุทานออกมา
“ตายละ เกดว่าจะถามอยู่เหมือนกัน ชักสงสัยอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว”
หญิงสาวนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อว่า
“วินจะบอกว่า ผู้หญิงคนที่คุณเชตามหาน่ะคือ…”
ชายจะทำอย่างไรได้เล่า สบตากับเพื่อนสาวอยู่เป็นนานก่อนจะพยักหน้ารับ
เกดผลุดลุกขึ้นจากเก้าอี้นั่งอย่างลืมตัว
“ไม่นะ…ไม่น่าเป็นไปได้”
วินทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ราวกับหมดแรงเสียดื้อๆ อย่างนั้นแหละ
“ก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน แต่ทุกอย่างมันบ่งบอกว่าเกดคือผู้หญิงคนที่คุณเชตามหาอยู่จริงๆ”
หญิงสาวจ้องเป๋งมาที่เพื่อน
“นี่จะหมายความว่าอะไรเล่า”
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรดีเหมือนกัน
แต่วินยังจำได้ถึงสายตาอันเป็นประกายวิบวับของ “เจ้านาย” คนนั้น ทันทีที่เล่าเรื่องของเกดให้ฟัง เพียงแค่นั้นชายหนุ่มก็ได้คำตอบทุกอย่างแล้ว
ใช่แล้ว ไม่ผิดตัวแน่นอน
“เขาตามหาเกดเหรอ ” หญิงสาวรุกเร้าอีก
วินหันมาบอกกับเพื่อน
“เจ้าชายมาตามหาซินเดอเรลล่า มั๊ง”
เกดเงยหน้าขึ้นสบตากับวิน
“บ้าน่า”
แม้จะพูดคำว่าบ้า แต่ชายหนุ่มกลับสังเกตว่าดวงตาของหญิงสาวเบื้องหน้าดูแพรวพราว แก้มสองข้างแดงซ่านด้วยความเขินอาย
วินอยากจะบอกว่า นี่เป็นอากัปกิริยาที่เขาไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
“อยากจะรู้ก็มีทางเดียว”
“ทางไหน…”
“อ้าว แล้วกัน เกดก็ลองถามเขาตรงๆ ดูสิ เผื่อจะได้คำตอบ”
หญิงสาวนิ่งงัน ไม่รู้ว่าเห็นด้วยหรือไม่กับคำแนะนำ
วิน กลับเป็นฝ่ายนิ่งบ้าง ดวงตาหมองลง ริมฝีปากเม้มสนิท ดูเหมือนไหล่จะคู้ลงหน่อยอีกด้วย แต่หญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้หลับตาลง ไม่มีทางมองเห็นอาการอันผิดปกติของเพื่อนชายได้เลย
“เอาเถิด เดี๋ยวจัดการให้”
เด็กหนุ่มตอบ แต่ดูเหมือนเสียงที่พูดจะแห้งแล้ง และฝืดฝนเสียเต็มประดา
งามจริงยิ่งเทพนิมิต ให้คิดเสียดายเป็นหนักหนา
เสโทไหลหลั่งทั้งกายา สะบัดปลายเกศาเนืองไป
กรกอดอนุชาก็ตกลง จะรู้สึกพระองค์ก็หาไม่
แต่เวียนจูบสียะตรายาใจ สำคัญพระทัยว่าเทวี
ความรักรุมจิตพิศวง จนลืมองค์ลืมอายนางโฉมศรี
ไม่เป็นอารมณ์สมประดี ภูมีหลงขับขึ้นฉับพลัน
“เป็นไง เพราะดีเนอะ”
นีม่า อดยิ้มไม่ได้ เมื่อได้ยินเพื่อนสาวอ่านบทกลอนจากหนังสือเล่มโตที่ยกขึ้นสูงอยู่ตรงหน้า
“อิเหนา ใช่มั๊ยเนี่ย”
“ฮื่อ” มุกดารับคำ ก่อนจะวางหนังสือพระราชนิพนธ์ “อิเหนา” ลงบนโต๊ะยาวในห้องสมุดอย่างแผ่วเบา
เหลียวมองไปรอบบริเวณที่มีผู้คนนั่งจับกลุ่มอ่านหนังสือกันอยู่บางตา แล้วจึงชมเชยเพื่อน
“นีม่า เก่งจัง รู้ด้วยว่าเอามาจากวรรณคดีเรื่องไหน”
หญิงสาวหัวเราะกับคำชมก่อนจะหยอดกลับไปบ้าง
“ทำไมจะไม่รู้ละจ้ะ หลายอาทิตย์มานี่เห็นมุกดาของฉันพูดแต่ชื่อของอิเหนา บุษบา”
“แล้วก็…จรกา”
ประโยคสุดท้ายนีม่าพยายามลากเสียงยาว แล้วยักคิ้วล้อเลียนเพื่อนอย่างเจตนา
มุกดา จับน้ำเสียงอันไม่ปกตินั้นได้ คิ้วคู่งามขมวดขึ้น พลางค้อนใส่เพื่อนวงหนึ่งอย่างมีจริต
“แล้วกัน ทำเซ็งซะเนี่ย”
แต่มุกดาก็ทำกิริยาแง่งอนไปอย่างนั้นแหละ ชั่วครู่ก็เอามือป้องปากกระซิบ แล้วยื่นหน้ามาใกล้เพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ว่าแต่ว่า เจ้านายของพี่ชายนีม่านะหล่อพอๆ กับอิเหนาได้มั้ยละ แต่พี่เกดของมุกนะ บุษบาของแท้ร้อยเปอร์เซนต์”
หญิงสาวจากดัลวาส่ายหน้าไปมา
ไม่ใช่ไม่หล่อเหลา องอาจอย่างอิเหนานั่นหรอก แต่บุคคลิกต่างกันโดยสิ้นเชิงต่างหาก แล้วภาพของชายหนุ่มผู้เป็น “นาย” ก็ผุดวาบขึ้นมา ไม่ว่าจะใบหน้าเกลี้ยงเกลา คมคาย ริมฝีปากบาง จอนยาวใกล้ใบหู และผมยาวที่รวบตึงมัดเป็นหางม้าทางด้านหลัง
เป็น “เจ้าชาย” ในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้นแหละ
แต่คิดอีกที “เจ้าชาย” แห่งดัลวามีอะไรหลายอย่างที่เหมือนอิเหนาจริงๆ นั่นแหละ อย่างน้อยก็การตามหา “บุษบา” นี่ยังไง
คิดแล้วก็ทำให้นีม่าเผลอตัวยิ้มออกมา
“อ้าว แล้วกัน คิดถึงใครกันจ้ะ ยิ้มมีเลศนัยเสียจริงๆ” มุกดา ว่า ทำเอานีม่าต้องกระพริบตาถี่ แล้วพูดอย่างเขินอายว่า
“บ้าน่ามุก เปล่าคิดเสียหน่อย เอาเป็นว่าเจ้านายของนีม่า ไม่เชิงเหมือนอิเหนาหรอกนะ อย่างน้อยก็ยังโสดอยู่จ้ะ ไม่มีจินตหราแอบซ่อนไว้หรอก”
“อ๋อ”
“ว่าแต่ว่า นัดมาที่นี่ทำไม หรือว่าแค่มาอ่านอิเหนาให้ฟัง ต้องการอะไรเล่าจ้ะ”
มุกดายิ้มกว้างทันที
“ไม่ใช่อะไรหรอก แค่อยากรู้ว่าอิเหนาในหนังสือคลั่งไคล้บุษบาจะเป็นจะตายเสียขนาดนั้น แล้วอิเหนาของนีม่าละขนาดไหน”
นีม่าอึ้งไปพักใหญ่ ตอบเพื่อนไม่ถูกเหมือนกัน เพราะดูเหมือนมีแต่ตัวของคู่กรณีเท่านั้นที่จะตอบได้
“คงต้องดูกันไปซักพัก นีม่าก็ยังงงอยู่เหมือนกันแหละจ้ามุก”
มุกดาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“มันพิลึกตรงที่ว่าผู้หญิงคนที่นายของนีม่าตามหาดันมาเป็นพี่เกดไปเสียได้ อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น แล้วทีนี้พอตามเจอก็มีปัญหาอีก ว่าจะทำยังไงกันต่อไป จะเริ่มต้นจีบ หรือว่ารักจริงหวังแต่งกันไปเลย มันจะเหมือนเพลงมั้ยน้าที่เค้าว่า พรหมลิขิตบันดาลชักพานะ”
นีม่าถอนใจยาว อยากจะบอกเรื่องราวที่เก็บซ่อนไว้ให้เพื่อนสาวได้รับรู้เสียตั้งแต่ตอนนี้เลย แต่คิดอีกที-อย่าเพิ่งเถอะ แค่นี้ก็ยุ่งไม่รู้จะยุ่งอย่างไรแล้ว
“เฮ้อ…คิดแล้วก็” มุกดาถอนหายใจบ้าง
นีม่ากลั้นหัวเราะเมื่อเห็นอาการของเพื่อนสาว
“เป็นไรไปอีก มีเรื่องอะไรหนักใจอะไรอีกเล่า”
“ก็ตานั่น…”
“ตานั่นไหนเล่า”
“อ้าว แล้วกัน ก็ตานั่นเจ้าของรถฟักทองนั่นไง” มุกดาว่า
นีม่า หัวเราะเสียงดังจนคนในโต๊ะข้างๆ ต้องหันมามอง
“ฟักทองอะไรกันอีก”
“จรกานั่นไง นีม่าก้อ”
นีม่าร้องอ๋อแล้วจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“มุกน่าไปดูพี่เค้าหน่อยนะ หลังจากวันนั้นก็หายเงียบไปเลย รถฟักทองเฉาหมดเสียแล้วก็ไม่รู้”
แต่มุกดาส่ายหน้า เม้มริมฝีปากก่อนพูดเสียงค่อยๆ
“เอาไว้ก่อนเหอะ ยังไม่มีอารมณ์ เบื่อหน้าอีตานั่นด้วย ”
แม้จะพูดด้วยอาการแง่งอน แต่นีม่ารู้สึกว่ามีความรู้สึกบางอย่างแทรกซ้อนอยู่ในน้ำเสียงนั้น
และเสียงเรียก “ตานั่น” ก็อ่อนโยนอย่างน่าประหลาดทีเดียว
ท้องฟ้าเหนือหัวในขณะนี้กระจ่างไปด้วยแดด ลมรื่นรวยพัดพากลิ่นหอมของแม่น้ำเบื้องหน้าลอยวนมาเข้าจมูก
“ผมชอบแม่น้ำ”
ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีกรมท่า กางเกงยีนส์สีน้ำเงินสดใส และผมยาวที่ถูกปล่อยปลิวไสวไปตามลมพูดขึ้นมาเบาๆ ในขณะที่นั่งอยู่ตรงร้านอาหารน้ำ มองเห็นทิวทัศน์เป็นสะพานเหล็กข้ามแม่น้ำและสายตามองไปยังแม่น้ำกว้างเบื้องหน้าอย่างหลงใหล
เกดทำตากะพริบ แลดูชายหนุ่มที่นั่งเคียงด้วยสีหน้าแจ่มใส ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“ที่ประเทศของผม มีแม่น้ำเหมือนที่นี่เหมือนกัน แต่ไม่กว้างใหญ่เหมือนนักหรอก”
หญิงสาวพยักหน้า
ชายหนุ่มหันมามองหญิงสาวแล้วหัวเราะเบาๆ ดวงตายิบหยี แสดงถึงอารมณ์อันเบิกบาน
“จะไม่พูดอะไรเลยเหรอ”
คราวนี้เป็นเกดที่หัวเราะคิกขึ้นมาบ้าง
“พูดไม่ถูกนี่คะ คุณเช”
ชายหนุ่มร้องอืมม์อยู่ในลำคอ ก่อนจะเอามือล้วงลงไปในย่ามผ้าสีขาวข้างตัวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นดอกไม้สีขาวดอกหนึ่งในกล่องพลาสติกส่งให้หญิงสาว
“ดอกอะไรคะเนี่ย สวยจัง”
เกดพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ใช้สายตาจ้องมองดอกไม้ในมือด้วยอาการเริงรื่น ดอกไม้นั้นเป็นสีขาวกระจ่างราวปุยหิมะ มีกลิ่นหอมฟุ้งสดชื่น
“แมกโนเลียขาว ที่ประเทศของผมมีปลูกไว้เยอะมาก แทบจะเป็นดอกไม้ประจำชาติของเราเลยทีเดียว”
“งั้นหรือคะ…” เกดพึมพำโดยสายตายังคงจ้องอยู่ที่แมกโนเลียในมืออย่างสนอกสนใจ
“ความจริงแมกโนเลียมีหลายสีทั้งแดง ชมพู ม่วง แต่สวยที่สุด กลิ่นหอมที่สุดน่าจะเป็นแมกโนเลียขาว ผมคิดว่ามันเป็นต้นไม้มหัศจรรย์นะครับ ช่วงเวลาออกดอกของมันจะสลัดใบทิ้งทั้งต้นเหลือไว้แต่ดอกสีขาวบานสะพรั่ง”
“ขอบคุณนะคะ”
ประกายวิบวับปรากฎออกมาจากดวงตาทั้งคู่ของชายหนุ่ม
“ที่ดัลวา แมกโนเลีย จะออกดอกเบ่งบานช่วงฤดูใบไม้ผลิ ก็ตั้งแต่เดือนมีนาคมไปถึงเดือนมิถุนายน ที่นี่ก็มีเหมือนกันผมเคยเห็น”
“ดอกไม้ในฤดูร้อนสิคะเนี่ย” เกดว่ายิ้มๆ
“มันมีความหมายด้วยนะครับ อยากรู้มั๊ย”
หญิงสาวยิ้มอย่างขัดเขิน สบตาชายหนุ่มครั้งหนึ่งก่อนจะเสมองไปยังแม่น้ำเบื้องหน้า
“แมกโนเลียเป็นดอกไม้ประจำราศรีกรกฎ มันเป็นดอกไม้ที่เป็นตัวแทนของความมุ่งมั่น พยายาม”
เกดพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ผมดีใจที่ชอบ”
“เกดชอบค่ะ ชอบดอกไม้ แต่เรื่องต้นนี้ชื่ออะไร ต้นโน้นออกดอกเดือนไหน ไม่รู้กะเขาหรอก อยากรู้อะไรก็ถามวินเค้า”
“อ้อ คุณวิน”
“ค่ะ รายนั้นเกิดมาในดงดอกไม้ คุณตากับคุณยายเป็นชาวสวนแนะคะ อยู่กับต้นไม้ใบหญ้ามาตั้งแต่เด็ก โตขึ้นยังหากินกับต้นไม้อีก”
“ยังไงนะครับ หากินกับต้นไม้”
“คือเปิดร้านขายต้นไม้นะคะ ไม่ใช่อะไร”
“เป็นอย่างนั้นเอง”
“ดัลวา เป็นดินแดนแห่งพันธุ์ไม้งาม เห็นนีม่าเคยเล่าให้ฟังอย่างนั้น”
ชายหนุ่มใบหน้าเกลี้ยงเกลายิ้มอย่างขัดเขิน
“ครับ นอกจากแมกโนเลียแล้ว ดอกไม้ป่าหลายชนิดมีชื่อเสียงมาก ทั้งดอกฝิ่นสีฟ้า ศรีตรัง หรือซากุระ แล้วยังมีโรโดเดนดรอนป่าอีก รู้จักมั๊ยครับ”
หญิงสาวหัวเราะเสียงใส ก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ที่นี่เรียกกุหลาบพันปีไงครับ มีหลายสีทั้งชมพูอมม่วง เหลือง แต่สีแดงจะดูสดใสกว่าเพื่อน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ด้วย”
“ตายละ ผู้ชายแถวนี้เป็นไงกันเนี่ย มีความรู้เรื่องดอกไม้กันเหลือเกิน แต่เกดสิคะ ไม่เอาอ่าวเลย”
ชายหนุ่มมองหน้าอันเริงรื่นของหญิงสาวแล้วถามขึ้นอีกว่า
“คุณวินเป็นเพื่อนกับเกดมานานแล้วสินะครับ”
“ใช่ค่ะ…”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง นิ่งไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
“ผมเองก็ต้องขอบใจคุณวิน”
“อย่างนั้นหรือคะ…”เกดพูดอย่างงุนงง พลางก้มลงสูดกลิ่นหอมของดอกแมกโนเลียในมือ
“ที่ทำให้เราได้เจอกันอีกครั้ง”
ฟังถึงประโยคนี้ หญิงสาวนั่งนิ่งแทบจะลืมหายใจ มือไม้สั่น หัวใจเต้นตึกตักขึ้นมาทันที
ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงอันเยือกเย็นต่อไป ราวกับเป็นเรื่องธรรมดา
“เชื่อในรักแรกพบมั๊ยครับ”
เจอคำพูดตรงๆ เข้าอย่างนี้ หญิงสาวที่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไรมาแม้แต่น้อยจะทำอะไรได้ นอกจากนั่งนิ่ง ตัวแข็ง ไม่กล้าหันไปมองสบตาชายหนุ่มแม้แต่น้อย รู้สึกเกิดอาการร้อนวูบวาบ ได้แต่เหม่อมองไปที่แม่น้ำสีน้ำตาลที่ไหลเอื่อยอยู่เบื้องหน้า
“ว่าไงครับ…” ชายหนุ่มว่า ก่อนจะผินหน้ามองมายังใบหน้าด้านข้างของหญิงสาว
“คือว่า…” เกดเกิดอาการพูดติดขัดขึ้นมาทันที
“ไม่แน่ใจหรอกค่ะ แต่เกดเชื่อเรื่องโซลเมท”
คราวนี้เป็นชายหนุ่มที่หัวเราะออกมาบ้าง
“เรื่องคู่แท้ อย่างนั้นหรือครับ ที่ดัลวาก็มีความเชื่อเช่นนี้เหมือนกัน”
“งั้นหรือคะ…”
“ถึงเราจะมีวัฒนธรรม ประเพณีของตัวเอง แต่หนุ่มสาวชาวดัลวาก็เหมือนหนุ่มสาวในมุมอื่นของโลก ที่เชื่อในเรื่องของโชคชะตา เชื่อในเรื่องที่ถูกกำหนดมาแล้ว”
“คนไทยเรียกสิ่งนั้นว่าพรหมลิขิตคะ”
“อ้อ…จะจำไว้ครับ” ชายหนุ่มพูด ยิ้มอย่างเริงรื่น
เกดเสไปสบตากับชายหนุ่มแว่บหนึ่ง ก่อนจะรีบหลบตาด้วยความขัดเขิน
“เกดว่าเราไปกันดีกว่าคะ” หญิงสาวพูด พลางยันตัวลุกขึ้นจากร้านอาหารริมน้ำแห่งนั้น
“ครับ อย่างนั้นก็ได้” ชายหนุ่มตอบ พลางคว้ากระเป๋าผ้าข้างตัวเข้ามาคล้องที่ไหล่ แล้วลุกขึ้นตาม
“ผมไปส่งนะครับ”
เกดก้มหน้าลง ขบยิ้มอยู่ในใบหน้า สีหน้าแดงซ่าน
“เกรงใจนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี”
หญิงสาวถอนหายใจออกมาโดยแรง เพิ่งสังเกตเห็นว่า ผู้ชายจากดัลวาคนนี้ทำไมถึงได้พูดตรง ไม่ซ่อนเร้นความรู้สึกของตัวเองแม้สักน้อยเลยนะ
นึกอย่างนี้แล้ว เกดก็ก้าวเดินออกจากท่าน้ำ แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงจะอ่อนระโหยเสียเหลือเกิน เพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่ที่แน่ๆ คำถามที่เตรียมมาถามคุณเชคนนี้คงไม่จำเป็นอะไรแล้วมั๊ง
เกดบอกกับตัวเองในขณะที่หัวใจยังเต้นโครมครามไม่หยุด
“มาแล้วนะ” เสียงหวานใสดังอยู่บนแผ่นหลัง
“ชื่อเกดจ้ะ ชื่อจริงบุษบา บ้านอยู่ฝั่งขะโน้น”
ทักทายอย่างนี้แล้ว ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมขยับตัว ทำให้หญิงสาวผมยาวสลวย ในชุดเสื้อลายลูกไม้ กระโปรงบานยาวสีฟ้าอ่อน ห่อปาก แล้วทำตาโต ก่อนจะตัดพ้อออกมาว่า
“นี่คุณเพื่อนจ้ะ มาง้อถึงที่แล้ว อย่าเล่นตัวหน่อยน่า”
“เปล่างอนซะหน่อย” วินพูด
“งั้นก็หันหน้ามา” เกดว่า ก่อนหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ไม้ที่มีไว้สำหรับต้อนรับลูกค้า
ชายหนุ่มเหลียวหน้ามา แล้วเห็นดวงตาคมวาวคู่นั้นจ้องอยู่ก่อนแล้ว
“ขอโทษนะ” เด็กหนุ่มพูด ก่อนจะเสไปมองต้นปีบในกระถางที่วางเรียงเป็นแถวอยู่บนชั้นทางด้านหลังของหญิงสาว
“ไม่ยกโทษให้หรอก นัดแล้วไม่ไปตามนัด”
แม้หญิงสาวจะทำเสียงห้วน แต่แววตาเป็นประกาย รอยยิ้มอันแสดงถึงความแช่มชื่นนั้น ทำให้ชายหนุ่มต้องหลุบตาลงมองพื้น ราวกับต้องการซ่อนความรู้สึกบางอย่างไม่ให้เผยตัวออกมา
“เราจำเป็นจริงๆ แล้วเกดก็ได้เจอคุณเชแล้วใช่มั๊ย”
“เช…เหรอ” หญิงสาวทวนคำ ก่อนจะเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะถามออกไปว่า
“เด็กผู้ชายคนนั้น…เอ๊ย ผู้ชายคนนั้น นี่วินนัดให้เกดไปที่โบสถ์ เพื่อให้พบกับคุณเชที่ว่านี่หรอกหรือ อย่างไรกันแน่”
วิน ถอนใจครั้งหนึ่งก่อนตอบ
“จำเรื่องที่มุกวานให้เราช่วยเหลือเรื่องตามหาคนได้มั๊ย”
“ฮื่อ…”
“ก็คุณเช คนนี้นี่ไง”
เกดทำตาโต แล้วอุทานออกมา
“ตายละ เกดว่าจะถามอยู่เหมือนกัน ชักสงสัยอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว”
หญิงสาวนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อว่า
“วินจะบอกว่า ผู้หญิงคนที่คุณเชตามหาน่ะคือ…”
ชายจะทำอย่างไรได้เล่า สบตากับเพื่อนสาวอยู่เป็นนานก่อนจะพยักหน้ารับ
เกดผลุดลุกขึ้นจากเก้าอี้นั่งอย่างลืมตัว
“ไม่นะ…ไม่น่าเป็นไปได้”
วินทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ราวกับหมดแรงเสียดื้อๆ อย่างนั้นแหละ
“ก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน แต่ทุกอย่างมันบ่งบอกว่าเกดคือผู้หญิงคนที่คุณเชตามหาอยู่จริงๆ”
หญิงสาวจ้องเป๋งมาที่เพื่อน
“นี่จะหมายความว่าอะไรเล่า”
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรดีเหมือนกัน
แต่วินยังจำได้ถึงสายตาอันเป็นประกายวิบวับของ “เจ้านาย” คนนั้น ทันทีที่เล่าเรื่องของเกดให้ฟัง เพียงแค่นั้นชายหนุ่มก็ได้คำตอบทุกอย่างแล้ว
ใช่แล้ว ไม่ผิดตัวแน่นอน
“เขาตามหาเกดเหรอ ” หญิงสาวรุกเร้าอีก
วินหันมาบอกกับเพื่อน
“เจ้าชายมาตามหาซินเดอเรลล่า มั๊ง”
เกดเงยหน้าขึ้นสบตากับวิน
“บ้าน่า”
แม้จะพูดคำว่าบ้า แต่ชายหนุ่มกลับสังเกตว่าดวงตาของหญิงสาวเบื้องหน้าดูแพรวพราว แก้มสองข้างแดงซ่านด้วยความเขินอาย
วินอยากจะบอกว่า นี่เป็นอากัปกิริยาที่เขาไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
“อยากจะรู้ก็มีทางเดียว”
“ทางไหน…”
“อ้าว แล้วกัน เกดก็ลองถามเขาตรงๆ ดูสิ เผื่อจะได้คำตอบ”
หญิงสาวนิ่งงัน ไม่รู้ว่าเห็นด้วยหรือไม่กับคำแนะนำ
วิน กลับเป็นฝ่ายนิ่งบ้าง ดวงตาหมองลง ริมฝีปากเม้มสนิท ดูเหมือนไหล่จะคู้ลงหน่อยอีกด้วย แต่หญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้หลับตาลง ไม่มีทางมองเห็นอาการอันผิดปกติของเพื่อนชายได้เลย
“เอาเถิด เดี๋ยวจัดการให้”
เด็กหนุ่มตอบ แต่ดูเหมือนเสียงที่พูดจะแห้งแล้ง และฝืดฝนเสียเต็มประดา
งามจริงยิ่งเทพนิมิต ให้คิดเสียดายเป็นหนักหนา
เสโทไหลหลั่งทั้งกายา สะบัดปลายเกศาเนืองไป
กรกอดอนุชาก็ตกลง จะรู้สึกพระองค์ก็หาไม่
แต่เวียนจูบสียะตรายาใจ สำคัญพระทัยว่าเทวี
ความรักรุมจิตพิศวง จนลืมองค์ลืมอายนางโฉมศรี
ไม่เป็นอารมณ์สมประดี ภูมีหลงขับขึ้นฉับพลัน
“เป็นไง เพราะดีเนอะ”
นีม่า อดยิ้มไม่ได้ เมื่อได้ยินเพื่อนสาวอ่านบทกลอนจากหนังสือเล่มโตที่ยกขึ้นสูงอยู่ตรงหน้า
“อิเหนา ใช่มั๊ยเนี่ย”
“ฮื่อ” มุกดารับคำ ก่อนจะวางหนังสือพระราชนิพนธ์ “อิเหนา” ลงบนโต๊ะยาวในห้องสมุดอย่างแผ่วเบา
เหลียวมองไปรอบบริเวณที่มีผู้คนนั่งจับกลุ่มอ่านหนังสือกันอยู่บางตา แล้วจึงชมเชยเพื่อน
“นีม่า เก่งจัง รู้ด้วยว่าเอามาจากวรรณคดีเรื่องไหน”
หญิงสาวหัวเราะกับคำชมก่อนจะหยอดกลับไปบ้าง
“ทำไมจะไม่รู้ละจ้ะ หลายอาทิตย์มานี่เห็นมุกดาของฉันพูดแต่ชื่อของอิเหนา บุษบา”
“แล้วก็…จรกา”
ประโยคสุดท้ายนีม่าพยายามลากเสียงยาว แล้วยักคิ้วล้อเลียนเพื่อนอย่างเจตนา
มุกดา จับน้ำเสียงอันไม่ปกตินั้นได้ คิ้วคู่งามขมวดขึ้น พลางค้อนใส่เพื่อนวงหนึ่งอย่างมีจริต
“แล้วกัน ทำเซ็งซะเนี่ย”
แต่มุกดาก็ทำกิริยาแง่งอนไปอย่างนั้นแหละ ชั่วครู่ก็เอามือป้องปากกระซิบ แล้วยื่นหน้ามาใกล้เพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ว่าแต่ว่า เจ้านายของพี่ชายนีม่านะหล่อพอๆ กับอิเหนาได้มั้ยละ แต่พี่เกดของมุกนะ บุษบาของแท้ร้อยเปอร์เซนต์”
หญิงสาวจากดัลวาส่ายหน้าไปมา
ไม่ใช่ไม่หล่อเหลา องอาจอย่างอิเหนานั่นหรอก แต่บุคคลิกต่างกันโดยสิ้นเชิงต่างหาก แล้วภาพของชายหนุ่มผู้เป็น “นาย” ก็ผุดวาบขึ้นมา ไม่ว่าจะใบหน้าเกลี้ยงเกลา คมคาย ริมฝีปากบาง จอนยาวใกล้ใบหู และผมยาวที่รวบตึงมัดเป็นหางม้าทางด้านหลัง
เป็น “เจ้าชาย” ในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้นแหละ
แต่คิดอีกที “เจ้าชาย” แห่งดัลวามีอะไรหลายอย่างที่เหมือนอิเหนาจริงๆ นั่นแหละ อย่างน้อยก็การตามหา “บุษบา” นี่ยังไง
คิดแล้วก็ทำให้นีม่าเผลอตัวยิ้มออกมา
“อ้าว แล้วกัน คิดถึงใครกันจ้ะ ยิ้มมีเลศนัยเสียจริงๆ” มุกดา ว่า ทำเอานีม่าต้องกระพริบตาถี่ แล้วพูดอย่างเขินอายว่า
“บ้าน่ามุก เปล่าคิดเสียหน่อย เอาเป็นว่าเจ้านายของนีม่า ไม่เชิงเหมือนอิเหนาหรอกนะ อย่างน้อยก็ยังโสดอยู่จ้ะ ไม่มีจินตหราแอบซ่อนไว้หรอก”
“อ๋อ”
“ว่าแต่ว่า นัดมาที่นี่ทำไม หรือว่าแค่มาอ่านอิเหนาให้ฟัง ต้องการอะไรเล่าจ้ะ”
มุกดายิ้มกว้างทันที
“ไม่ใช่อะไรหรอก แค่อยากรู้ว่าอิเหนาในหนังสือคลั่งไคล้บุษบาจะเป็นจะตายเสียขนาดนั้น แล้วอิเหนาของนีม่าละขนาดไหน”
นีม่าอึ้งไปพักใหญ่ ตอบเพื่อนไม่ถูกเหมือนกัน เพราะดูเหมือนมีแต่ตัวของคู่กรณีเท่านั้นที่จะตอบได้
“คงต้องดูกันไปซักพัก นีม่าก็ยังงงอยู่เหมือนกันแหละจ้ามุก”
มุกดาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“มันพิลึกตรงที่ว่าผู้หญิงคนที่นายของนีม่าตามหาดันมาเป็นพี่เกดไปเสียได้ อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น แล้วทีนี้พอตามเจอก็มีปัญหาอีก ว่าจะทำยังไงกันต่อไป จะเริ่มต้นจีบ หรือว่ารักจริงหวังแต่งกันไปเลย มันจะเหมือนเพลงมั้ยน้าที่เค้าว่า พรหมลิขิตบันดาลชักพานะ”
นีม่าถอนใจยาว อยากจะบอกเรื่องราวที่เก็บซ่อนไว้ให้เพื่อนสาวได้รับรู้เสียตั้งแต่ตอนนี้เลย แต่คิดอีกที-อย่าเพิ่งเถอะ แค่นี้ก็ยุ่งไม่รู้จะยุ่งอย่างไรแล้ว
“เฮ้อ…คิดแล้วก็” มุกดาถอนหายใจบ้าง
นีม่ากลั้นหัวเราะเมื่อเห็นอาการของเพื่อนสาว
“เป็นไรไปอีก มีเรื่องอะไรหนักใจอะไรอีกเล่า”
“ก็ตานั่น…”
“ตานั่นไหนเล่า”
“อ้าว แล้วกัน ก็ตานั่นเจ้าของรถฟักทองนั่นไง” มุกดาว่า
นีม่า หัวเราะเสียงดังจนคนในโต๊ะข้างๆ ต้องหันมามอง
“ฟักทองอะไรกันอีก”
“จรกานั่นไง นีม่าก้อ”
นีม่าร้องอ๋อแล้วจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“มุกน่าไปดูพี่เค้าหน่อยนะ หลังจากวันนั้นก็หายเงียบไปเลย รถฟักทองเฉาหมดเสียแล้วก็ไม่รู้”
แต่มุกดาส่ายหน้า เม้มริมฝีปากก่อนพูดเสียงค่อยๆ
“เอาไว้ก่อนเหอะ ยังไม่มีอารมณ์ เบื่อหน้าอีตานั่นด้วย ”
แม้จะพูดด้วยอาการแง่งอน แต่นีม่ารู้สึกว่ามีความรู้สึกบางอย่างแทรกซ้อนอยู่ในน้ำเสียงนั้น
และเสียงเรียก “ตานั่น” ก็อ่อนโยนอย่างน่าประหลาดทีเดียว
ท้องฟ้าเหนือหัวในขณะนี้กระจ่างไปด้วยแดด ลมรื่นรวยพัดพากลิ่นหอมของแม่น้ำเบื้องหน้าลอยวนมาเข้าจมูก
“ผมชอบแม่น้ำ”
ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีกรมท่า กางเกงยีนส์สีน้ำเงินสดใส และผมยาวที่ถูกปล่อยปลิวไสวไปตามลมพูดขึ้นมาเบาๆ ในขณะที่นั่งอยู่ตรงร้านอาหารน้ำ มองเห็นทิวทัศน์เป็นสะพานเหล็กข้ามแม่น้ำและสายตามองไปยังแม่น้ำกว้างเบื้องหน้าอย่างหลงใหล
เกดทำตากะพริบ แลดูชายหนุ่มที่นั่งเคียงด้วยสีหน้าแจ่มใส ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“ที่ประเทศของผม มีแม่น้ำเหมือนที่นี่เหมือนกัน แต่ไม่กว้างใหญ่เหมือนนักหรอก”
หญิงสาวพยักหน้า
ชายหนุ่มหันมามองหญิงสาวแล้วหัวเราะเบาๆ ดวงตายิบหยี แสดงถึงอารมณ์อันเบิกบาน
“จะไม่พูดอะไรเลยเหรอ”
คราวนี้เป็นเกดที่หัวเราะคิกขึ้นมาบ้าง
“พูดไม่ถูกนี่คะ คุณเช”
ชายหนุ่มร้องอืมม์อยู่ในลำคอ ก่อนจะเอามือล้วงลงไปในย่ามผ้าสีขาวข้างตัวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นดอกไม้สีขาวดอกหนึ่งในกล่องพลาสติกส่งให้หญิงสาว
“ดอกอะไรคะเนี่ย สวยจัง”
เกดพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ใช้สายตาจ้องมองดอกไม้ในมือด้วยอาการเริงรื่น ดอกไม้นั้นเป็นสีขาวกระจ่างราวปุยหิมะ มีกลิ่นหอมฟุ้งสดชื่น
“แมกโนเลียขาว ที่ประเทศของผมมีปลูกไว้เยอะมาก แทบจะเป็นดอกไม้ประจำชาติของเราเลยทีเดียว”
“งั้นหรือคะ…” เกดพึมพำโดยสายตายังคงจ้องอยู่ที่แมกโนเลียในมืออย่างสนอกสนใจ
“ความจริงแมกโนเลียมีหลายสีทั้งแดง ชมพู ม่วง แต่สวยที่สุด กลิ่นหอมที่สุดน่าจะเป็นแมกโนเลียขาว ผมคิดว่ามันเป็นต้นไม้มหัศจรรย์นะครับ ช่วงเวลาออกดอกของมันจะสลัดใบทิ้งทั้งต้นเหลือไว้แต่ดอกสีขาวบานสะพรั่ง”
“ขอบคุณนะคะ”
ประกายวิบวับปรากฎออกมาจากดวงตาทั้งคู่ของชายหนุ่ม
“ที่ดัลวา แมกโนเลีย จะออกดอกเบ่งบานช่วงฤดูใบไม้ผลิ ก็ตั้งแต่เดือนมีนาคมไปถึงเดือนมิถุนายน ที่นี่ก็มีเหมือนกันผมเคยเห็น”
“ดอกไม้ในฤดูร้อนสิคะเนี่ย” เกดว่ายิ้มๆ
“มันมีความหมายด้วยนะครับ อยากรู้มั๊ย”
หญิงสาวยิ้มอย่างขัดเขิน สบตาชายหนุ่มครั้งหนึ่งก่อนจะเสมองไปยังแม่น้ำเบื้องหน้า
“แมกโนเลียเป็นดอกไม้ประจำราศรีกรกฎ มันเป็นดอกไม้ที่เป็นตัวแทนของความมุ่งมั่น พยายาม”
เกดพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ผมดีใจที่ชอบ”
“เกดชอบค่ะ ชอบดอกไม้ แต่เรื่องต้นนี้ชื่ออะไร ต้นโน้นออกดอกเดือนไหน ไม่รู้กะเขาหรอก อยากรู้อะไรก็ถามวินเค้า”
“อ้อ คุณวิน”
“ค่ะ รายนั้นเกิดมาในดงดอกไม้ คุณตากับคุณยายเป็นชาวสวนแนะคะ อยู่กับต้นไม้ใบหญ้ามาตั้งแต่เด็ก โตขึ้นยังหากินกับต้นไม้อีก”
“ยังไงนะครับ หากินกับต้นไม้”
“คือเปิดร้านขายต้นไม้นะคะ ไม่ใช่อะไร”
“เป็นอย่างนั้นเอง”
“ดัลวา เป็นดินแดนแห่งพันธุ์ไม้งาม เห็นนีม่าเคยเล่าให้ฟังอย่างนั้น”
ชายหนุ่มใบหน้าเกลี้ยงเกลายิ้มอย่างขัดเขิน
“ครับ นอกจากแมกโนเลียแล้ว ดอกไม้ป่าหลายชนิดมีชื่อเสียงมาก ทั้งดอกฝิ่นสีฟ้า ศรีตรัง หรือซากุระ แล้วยังมีโรโดเดนดรอนป่าอีก รู้จักมั๊ยครับ”
หญิงสาวหัวเราะเสียงใส ก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ที่นี่เรียกกุหลาบพันปีไงครับ มีหลายสีทั้งชมพูอมม่วง เหลือง แต่สีแดงจะดูสดใสกว่าเพื่อน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ด้วย”
“ตายละ ผู้ชายแถวนี้เป็นไงกันเนี่ย มีความรู้เรื่องดอกไม้กันเหลือเกิน แต่เกดสิคะ ไม่เอาอ่าวเลย”
ชายหนุ่มมองหน้าอันเริงรื่นของหญิงสาวแล้วถามขึ้นอีกว่า
“คุณวินเป็นเพื่อนกับเกดมานานแล้วสินะครับ”
“ใช่ค่ะ…”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง นิ่งไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
“ผมเองก็ต้องขอบใจคุณวิน”
“อย่างนั้นหรือคะ…”เกดพูดอย่างงุนงง พลางก้มลงสูดกลิ่นหอมของดอกแมกโนเลียในมือ
“ที่ทำให้เราได้เจอกันอีกครั้ง”
ฟังถึงประโยคนี้ หญิงสาวนั่งนิ่งแทบจะลืมหายใจ มือไม้สั่น หัวใจเต้นตึกตักขึ้นมาทันที
ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงอันเยือกเย็นต่อไป ราวกับเป็นเรื่องธรรมดา
“เชื่อในรักแรกพบมั๊ยครับ”
เจอคำพูดตรงๆ เข้าอย่างนี้ หญิงสาวที่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไรมาแม้แต่น้อยจะทำอะไรได้ นอกจากนั่งนิ่ง ตัวแข็ง ไม่กล้าหันไปมองสบตาชายหนุ่มแม้แต่น้อย รู้สึกเกิดอาการร้อนวูบวาบ ได้แต่เหม่อมองไปที่แม่น้ำสีน้ำตาลที่ไหลเอื่อยอยู่เบื้องหน้า
“ว่าไงครับ…” ชายหนุ่มว่า ก่อนจะผินหน้ามองมายังใบหน้าด้านข้างของหญิงสาว
“คือว่า…” เกดเกิดอาการพูดติดขัดขึ้นมาทันที
“ไม่แน่ใจหรอกค่ะ แต่เกดเชื่อเรื่องโซลเมท”
คราวนี้เป็นชายหนุ่มที่หัวเราะออกมาบ้าง
“เรื่องคู่แท้ อย่างนั้นหรือครับ ที่ดัลวาก็มีความเชื่อเช่นนี้เหมือนกัน”
“งั้นหรือคะ…”
“ถึงเราจะมีวัฒนธรรม ประเพณีของตัวเอง แต่หนุ่มสาวชาวดัลวาก็เหมือนหนุ่มสาวในมุมอื่นของโลก ที่เชื่อในเรื่องของโชคชะตา เชื่อในเรื่องที่ถูกกำหนดมาแล้ว”
“คนไทยเรียกสิ่งนั้นว่าพรหมลิขิตคะ”
“อ้อ…จะจำไว้ครับ” ชายหนุ่มพูด ยิ้มอย่างเริงรื่น
เกดเสไปสบตากับชายหนุ่มแว่บหนึ่ง ก่อนจะรีบหลบตาด้วยความขัดเขิน
“เกดว่าเราไปกันดีกว่าคะ” หญิงสาวพูด พลางยันตัวลุกขึ้นจากร้านอาหารริมน้ำแห่งนั้น
“ครับ อย่างนั้นก็ได้” ชายหนุ่มตอบ พลางคว้ากระเป๋าผ้าข้างตัวเข้ามาคล้องที่ไหล่ แล้วลุกขึ้นตาม
“ผมไปส่งนะครับ”
เกดก้มหน้าลง ขบยิ้มอยู่ในใบหน้า สีหน้าแดงซ่าน
“เกรงใจนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี”
หญิงสาวถอนหายใจออกมาโดยแรง เพิ่งสังเกตเห็นว่า ผู้ชายจากดัลวาคนนี้ทำไมถึงได้พูดตรง ไม่ซ่อนเร้นความรู้สึกของตัวเองแม้สักน้อยเลยนะ
นึกอย่างนี้แล้ว เกดก็ก้าวเดินออกจากท่าน้ำ แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงจะอ่อนระโหยเสียเหลือเกิน เพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่ที่แน่ๆ คำถามที่เตรียมมาถามคุณเชคนนี้คงไม่จำเป็นอะไรแล้วมั๊ง
เกดบอกกับตัวเองในขณะที่หัวใจยังเต้นโครมครามไม่หยุด
๒๙.๑๐.๕๒
บทที่ 9-อดีตที่หวนคืน
คอนโดมิเนียมริมน้ำแห่งนั้นดูหรูหราเหลือเกิน ลำพังแค่ห้องรับแขก ที่สามารถมองผ่านกระจกแผ่นใหญ่ไปเห็นวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำกว้างเบื้องล่างนั้น วินก็พอเดาเอาว่าราคาของคอนโดมิเนียมแห่งนี้คงแพงระยับ จนคนอย่างเขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะฝันที่จะได้ครอบครองมัน
ชายหนุ่มไม่ได้ตระเตรียมตัวเองในการเดินทางมาพบ “เจ้านาย” ของนีม่าเท่าใดนัก เขายังคงสวมเสื้อยืด กางเกงยีนส์ แล้วรองเท้าผ้าใบสีซีดมอ เหมือนที่เคยเป็นมา
ตอนที่เดินทางมาถึงในครั้งแรกนั้น นีม่าเป็นคนมาเปิดประตูต้อนรับ หญิงสาวอยู่ในชุดเรียบง่าย เป็นชุดกระโปรงยาวสีฟ้าสดใส ให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง ใบหน้าผุดผาด แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอันเป็นกันเอง
ในห้องรับแขก นีม่า แนะนำให้ชายหนุ่มรู้จักกับ มูตา พี่ชายของเธอ มูตา เป็นชายหนุ่มวัยต้นสามสิบ ร่างท้วม ดวงตาหลุกหลิกไปมา ท่าทางระแวดระวังผู้มาเยือนอยู่พอสมควร แต่ก็ดูไม่เป็นพิษภัยเท่าใดนัก พูดคุยกันสองสามคำก็พอจะจับได้ว่าเป็นคนร่าเริง อารมณ์ดีอยู่พอสมควร
แต่คนที่นีม่าแนะนำและทำให้วินรู้สึกแปลกใจอย่างมากก็คือ “เจ้านาย” ของเธอนั่นเอง
“เจ้านาย” ของนีม่า ก้าวออกมาจากห้องพักหลังจากวินนั่งลงที่ชุดรับแขกได้ไม่นานนัก
ชายหนุ่มผู้ที่เป็น “เจ้านาย” ของนีม่าและพี่ชาย เป็นชายหนุ่มที่คะเนอายุแล้วน่าจะอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกับวิน รูปร่างสูงสง่า ผมยาวที่ถูกรวบไว้อย่างเป็นระเบียบ ผิวสีนวลกระจ่างตา เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นผ้าไหมเนื้อดีที่ปล่อยชายเสื้อออกมานอกกางเกง ตรงลำคอดูแปลกตาด้วยประคำอย่างที่วินเคยเห็นลามะในดินแดนหิมาลัยชอบสวมใส่เอาไว้ด้วย
เขาไม่ได้เป็นอย่างวินนึกฝันไว้เลยแม้แต่น้อย “เจ้านาย” ของนีม่าดูท่าทีปลอดโปร่ง เป็นกันเอง ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลา และรอยยิ้มอันแสนเปิดเผยนั่น ทำให้วินคลายความรู้สึกกดดันลงไปมาก
แต่กระนั้นก็เถอะ ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกว่า “เจ้านาย” คนนี้ดูไม่ธรรมดา มีบางสิ่งบางอย่างที่ให้ความรู้สึกถึงความน่าเกรงขาม มีรัศมีของชายสูงศักดิ์มากกว่าจะเป็น “เจ้านาย” คนหนึ่ง
ยิ่งเวลายิ้มด้วยแล้ว ทำให้ใบหน้าอันคมคายนั้นเปี่ยมเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
“ขอโทษที ความจริงเราควรได้เจอกันนานแล้ว”
นั่นเป็นประโยคแรกที่ “เจ้านาย” เอ่ยปากทักทายวิน หลังจากยื่นมือให้จับทักทาย และยิ่งทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกขึ้นมา เพราะเป็นการทักทายเป็นภาษาไทยด้วยเสียงกังวาน แจ่มชัด
และอาจจะด้วยดวงตาที่เบิกโพลงของวินนั่นเอง ทำให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามหัวเราะเสียงดังอยู่ในลำคอ
“ผมเคยเรียนหนังสืออยู่ที่นี่หลายปีครับ พูดไทยได้สบาย ผมเรียนที่โรงเรียนนานาชาติ ตรงซอยมิตรคาม ติดกับโบสถ์นั่นเอง”
วินพยักหน้ารับรู้
“บางทีเราอาจจะเคยเห็นกันบ้าง ผมรู้สึกอย่างนั้น อ้อลืมไป เรียกผมว่าเชนะครับ”
“เช…” วินพึมพำ
“เจ้านาย” ยิ้มรับก่อนจะหันไปทางสองพี่น้องที่ยืนค้อมหลังอยู่ไปไม่ไกลนัก แล้วพูดด้วยภาษาแปลกๆ ที่เดาเอาว่าจะเป็นภาษาที่มีชาวดัลวาเท่านั้นที่รับรู้ได้
ชั่วครู่ นีม่า ก็เดินเข้ามาหาวินแล้วพูดเสียงค่อยๆ
“นีม่ากับพี่ชายต้องออกไปทำธุระชั่วครู่ ขอตัวก่อนนะคะ”
วิน จะทำอะไรได้เล่านอกจากพยักหน้ารับอย่างเดียว
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือหลายวันที่ผ่านมา”
“ไม่เป็นไรครับ แต่ดูเหมือนว่าผมยังไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก”
“เจ้านาย” ที่ชื่อเช ยิ้มอย่างพอใจ
“ความจริงก็คือ ตอนที่นีม่าบอกว่าเจอคุณ ที่เคยเรียนอยู่ที่นั่น อารามดีใจผมก็เลยไม่ได้บอกรูปพรรณสัณฐานให้ชัดเจนกว่านั้น”
วินหยิบแก้วน้ำดื่มที่เบื้องหน้าขึ้นจิบ แล้วรอให้ “เจ้านาย” พูดประโยคต่อไป
“เมื่อตะกี้ ผมนั่งคุยกับนีม่า เธอพูดถึงรูปของพี่สาวของเพื่อนคนหนึ่ง ทำให้ผมนึกอะไรได้บางอย่าง”
“งั้นหรือครับ…”
“เด็กผู้หญิงคนนั้น สายตาสั้น”
“สายตาสั้นอย่างนั้นหรือครับ” วินทวนคำ แล้วสะดุ้งขึ้นมาครั้งหนึ่ง
“ใช่แล้วครับ เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ เจอกันครั้งแรกเธอใส่แว่นตา ผมก็ดันลืมนึกไปเสียนี่ ถ้าบอกแค่นี้น่าจะช่วยได้เยอะ ใช่มั๊ยครับ”
ใจของวินสั่นระรัวขึ้นมา ถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “เจ้านาย” แล้วถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่ปกติ
“คุณพบกับเด็กผู้หญิงคนนั้นครั้งแรกที่ไหนครับ”
“ที่โบสถ์ฝรั่งที่ติดกับโรงเรียนของผมนั่นแหละครับ”
วิน แทบจะกระโดดผลุงขึ้นจากโซฟาหรูที่นั่งอยู่
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมนึกออกบ้างแล้ว เด็กผู้หญิงบุคคลิกอย่างที่ว่า แล้วสวมแว่นตา เท่าที่นึกได้ก็น่าจะมีอยู่ 2 คน”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ร้องเสียงสั่นออกมา
“จริงหรือ…”
วินพยักหน้า เสียงอ่อนระโหย
“คนหนึ่งนะ ชื่ออมิตดา ซึ่งเท่าที่ทราบตอนนี้เธอไปเรียนและทำงานที่สหรัฐ ไม่ได้กลับมานานแล้ว”
“เจ้านาย” มีสีหน้าสลดขึ้นวูบหนึ่ง
“ส่วนอีกคนนึงนะ…” วินพูดเสียงสั่น
แล้วภาพวงหน้าของเด็กสาวสวมแว่นตา พร้อมรอยยิ้มอันเริงร่าปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
เส้นผมบังภูเขา จริงๆ ด้วยนั่นแหละ วินบอกกับตัวเอง
เกดละสายตาจากตึกเรียนสูงเบื้องหน้า แล้วเหลียวมองไปยังโบสถ์เก่าแก่ที่อยู่เยื้องกันไป แล้วก็ย้ายสายตากลับไปที่โรงเรียนนั่นอีก ผมยาวถึงไหล่ของหญิงสาวระเคลียแก้ม จนต้องใช้มือปัดอยู่หลายครั้ง
แล้วหญิงสาวก็ยกนาฬิกาบนข้อมือซ้ายขึ้นมา พลางบ่นอู้อี้ในลำคออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินไปที่โบสถ์ ซึ่งในขณะนี้ประตูใหญ่เปิดกว้าง มีเจ้าหน้าที่ความสะอาดอยู่ 2-3 คนกำลังสาละวนอยู่กับการเช็ดถู ปัดกวาด อยู่ทางลานหน้าของโบสถ์ โดยคนหนึ่งกำลังทำความสะอาดรูปปั้นนักบุญที่ตั้งเยื้องอยู่ไม่ไกล
“พี่คะ พอดีหนูมารอเพื่อน แต่ยังมาไม่ถึงเลย ขอเข้าไปรอข้างในได้มั๊ยคะ”
หญิงสูงวัยที่กำลังเอาผ้าชุบน้ำเช็ดที่ขอบประตูใหญ่เหลียวมามอง พลางยิ้มให้ก่อนพยักหน้ารับรู้
เกดยักไหล่ หัวเราะอย่างเขินอาย ก่อนจะก้าวเข้าไปข้างในตัวโบสถ์ ซึ่งในขณะนี้กำลังสว่างเรืองด้วยแสงจากดวงไฟเล็กๆ ที่ถูกประดับไว้ตามกำแพง ม้านั่งยาวสีน้ำตาลเรียงเป็นทิวแถวให้ความรู้สึกเงียบสงบ ส่วนพื้นเวทีทางด้านหน้ายังคงขรึมขลังเหมือนเคย
หญิงสาวเร่งฝีเท้าหวังจะไปนั่งรออยู่บนม้านั่งยาวแถวหน้า ก่อนที่จะต้องร้องอุทานออกมา เมื่อมองไปเห็นเงาตะคุ่มของร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งปรากฎอยู่ตรงที่เธอนั่งประจำ
และเพราะเสียงร้องนั่นเอง เงาตะคุ่มนั้นจึงเคลื่อนไหว แสงไฟจากกำแพงส่องให้เห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน
ใบหน้านั้นเรียวยาว ดวงตาสุกใส เป็นประกายเจิดจ้า รอยยิ้มๆ น้อยบนริมฝีปากทำให้เกดคลายใจลงได้หน่อยหนึ่ง ที่แปลกตาก็คือผมที่ยาวปะบ่าจนมองดูคล้ายนักดนตรีร็อกเสียเหลือเกิน
“ขอโทษค่ะ นึกว่าไม่มีคนอยู่”
เงียบ ชายหนุ่มเจ้าของร่างตะคุ่มนั้นยืนนิ่ง ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“คุณคะ…” เกดทักทายออกไปอีกครั้ง เมื่อมองเห็นว่าชายหนุ่มแปลกหน้าเอาแต่ยืนจ้องมองเธออยู่อย่างไม่กะพริบตา
“ครับ ว่าไงครับ” เสียงจากปากอันได้รูปนั้นแปลกแปร่งออกไป
เกดหัวเราะออกมาเบาๆ
“ขอโทษทีคะ มานั่งรอเพื่อนอยู่ ไม่นึกว่าเอ้อ…จะมีคนอื่นอยู่ในนี้”
พูดออกไปแล้ว หญิงสาวก็ทำท่าจะเดินเลี้ยวออกไปนั่งบนม้านั่งยาวที่ตั้งอยู่เยื้องออกไป
“นั่งแถวเดียวกันก็ได้ครับ เป็นเพื่อนกัน”
หญิงสาวพยักหน้ารับ แล้วทรุดร่างลงบนม้านั่งยาวแถวเดียวกันกับที่ชายหนุ่มนั่งอยู่ก่อนแล้ว พลางเงยหน้ามองไปยังรูปปั้นพระแม่มารีเบื้องหน้านั่น แล้วหลับตาลงช้าๆ
“สบายดีนะครับ…”
เกดรีบลืมตาขึ้นและเหลียวมองไปตามเสียงเรียก ก็พบกับวงหน้าของชายหนุ่มจ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มนั้นช่างเปิดเผย ในขณะที่ดวงตายิบหยีราวจะยิ้มได้อย่างนั่นแหละ
“สบายดีคะ…”
ตอบทักทายกลับไปแล้ว หญิงสาวก็ต้องร้องอุทานขึ้นมา
“เอ๊ะ…เรารู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าคะเนี่ย”
ชายแปลกหน้าหัวเราะเสียงกังวาน ก่อนพยักหน้า
“คงงั้นมั๊งครับ มันนานมากแล้วละ”
“หรือคะ” เกดพูดอย่างนึกสงสัย นึกประหลาดใจตัวเองอยู่เหมือนกัน เคยเจอหนุ่มหล่อคนนี้มาก่อนอย่างนั้นหรือ
“เราเจอกันที่ไหนลองบอกมาสิคะ เผื่อจะจำได้”
ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะถอนใจออกมา
“ว่าไงคะ ที่ไหน” เกดถามย้ำอีก
“ก็ที่นี่แหละครับ เมื่อหลายปีก่อน”
“แต่ตอนนั้นคุณใส่แว่นสายตานี่ครับ ใช่มั๊ย”
“หา…” เกดร้องออกมาอย่างลืมตัว พลางมองหน้าชายหนุ่มแล้วหลับตาลงอย่างพยายามใช้ความคิด
“ตอนนั้นก็ประมาณเดือนนี้เหมือนกันแหละครับ แต่มีฝนตกหนักแล้วผมก็วิ่งเข้ามา…”
ฟังถึงประโยคนี้ เกดก็ลืมตาขึ้นโดยเร็ว พลางพูดด้วยเสียงอันดังราวกับบังคับน้ำเสียงของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป
“เด็กผู้ชายคนนั้น…”
ชายแปลกหน้าหัวเราะเสียงดัง ก่อนพยักหน้ารับ แล้วจึงสบตาหญิงสาวโดยไม่หลบ
“ผมเอง”
เป็นเวลาเกือบ 3 ทุ่มแล้วที่ทั้งสองพี่น้องกินข้าวมื้อค่ำเสร็จ และขณะนี้นีม่าก้าวเดินออกไปทางระเบียง มองขึ้นไปบนฟากฟ้า เห็นแต่แสงจันทร์นวลที่ส่องแสงกลบรัศมีดาวเสียเกือบหมด แม่น้ำเบื้องล่างดูสวยแปลกตา โดยเฉพาะเมื่อสะท้อนกับแสงจันทร์เป็นประกายไหวระริก
“ดึกแล้ว คืนนี้เจ้าค้างที่นี่เถอะ พรุ่งนี้ไม่มีเรียนไม่ใช่หรือ” เสียงหนึ่งดังขึ้นทางแผ่นหลัง
“ฮื่อ คงงั้นละพี่มูตา” หญิงสาวตอบโดยไม่มองกลับไป
แล้วเสียงถอนหายใจหนักหน่วงก็ดังขึ้น
“หนักใจอะไรอีกละ พี่”
มูตา ก้าวมายืนเคียงข้างกับน้องสาวแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้าในคืนเดือนมืด
“นางจะใช่เด็กสาวคนที่ว่านั้นหรือ นีม่า”
“คงงั้นมั๊ง”
“ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนั้น อาจจะเป็นอีกคนก็ได้”
นีม่า ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย
“พอได้ฟังพี่วินพูด แล้วเอามารวมเข้ากับสิ่งที่องค์ชายตรัสไว้ก่อนหน้านี้ คงไม่ผิดแน่”
“อย่างนั้นหรือ เพราะอะไรบอกข้าสิ”
หญิงสาวเป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง
“พี่เกด เป็นเด็กผู้หญิงคนนั้นแน่ นอกจากจะมีบุคคลิกที่เหมือนกันทุกอย่างแล้ว ยังเป็นลูกกำพร้าแม่ เหมือนที่องค์ชายเคยตรัสไว้ด้วย จะผิดไปได้อย่างไรเล่า เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ”
พี่ชายร้องอืมม์อย่างเห็นด้วย ก่อนจะพูดลอยๆ ในความมืด
“ถ้างั้น เจ้าชายก็ได้พบซินเดอเรลล่าแล้ว เทพนิยายเรื่องนี้ก็คงจบแล้วสิ”
“แฮปปี้ เอนดิ้ง เสียด้วย” หญิงสาวว่า
“แต่ว่านีม่า” มูตา ทักท้วงก่อนจะหันมาสบสายตากับน้องสาว
“อย่าลืมว่า เจ้าชายมีฐานะอะไร แล้วผู้หญิงคนนั้น เอ้อ…พี่สาวของเพื่อนเจ้านะ”
“จริงสิ”
มูตากล่าวต่อไปอย่างหนักใจ
“แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ไม่รู้ว่าคิดอย่างไรกับเจ้าชายอีกด้วย ใช่มั๊ยเล่า”
นีม่าพยักหน้า ใช่แล้วเทพนิยายเรื่องนี้คงไม่จบลงง่ายๆ นักหรอก ยุ่งเหยิงพอตัวทีเดียวละ
แล้วอีกอย่าง…
ความคิดพานีม่าย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในตอนเย็น ที่เธอกับพี่ชายกลับมาที่คอนโดมีเนียมแห่งนี้ แล้วพบแค่วิน ยืนเหม่อมองผ่านกระจกไปยังแม่น้ำกว้างนั่น
“ได้เรื่องแล้วละ…” ชายหนุ่มหันมาบอก
“งั้นเหรอคะ “นีม่าร้องออกมา
“ฮื่อ…เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ เชียว” วินพูดติดตลก แต่เสียงหัวเราะที่ตามออกมาทำไมถึงได้ฝืดฝืนเช่นนั้นเล่า ดวงตาคู่นั้นก็แดงก่ำ ไม่เริงรื่นเหมือนที่เคยเห็นมา
เด็กผู้หญิงคนนั้นก็เกดไง ไม่เชื่อใช่มั๊ยละ” ชายหนุ่มว่าต่อ
นีม่า เลิกคิ้วขึ้นสูง อ้าปากกว้าง รู้สึกช็อกกับข่าวที่ได้รับ ทำไมถึงออกมาเป็นอย่างนี้ได้
หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มรุ่นพี่เบื้องหน้า ไหล่ที่ตก ริมฝีปากเม้มสนิท ดวงตาที่หม่นหมอง แล้วให้รู้สึกสงสารจับใจ
โธ่เอ๋ย พ่อจรกา นี่อิเหนาเขาจะมาชิงตัวบุษบาไปแล้ว จะทำอย่างไรเล่า
พระจันทร์ยามดึกลอยโค้งขึ้นอยู่เหนือศรีษะ สาดแสงสีนวลกระจ่างไปทั่ว คืนนี้ท้องฟ้าไม่มีดาวพร่างพรายเหมือนอย่างทุกวัน ลมพัดเย็นนำพากลิ่นดอกโมกฟุ้งมาเข้าจมูก
วินขับรถจักรยานวนเวียนไปมาอยู่บนลานซีเมนต์หน้าบ้านนานแล้ว บางครั้งก็นั่งนิ่งอยู่บนอาน แล้วเงยหน้าขึ้นมองฟากฟ้าเบื้องบนอันมืดมืด ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง แล้วก็ก้มหน้างุดๆ ปั่นจักรยานเวียนวนไปมา
เหตุการณ์นี้ไม่พ้นสายตาของตายายคู่นั้นที่ยืนมองอยู่บนระเบียงบ้าน ฝ่ายผู้เฒ่าหลังจากยืนมองอยู่นานก็ค่อยๆหย่อนตัวลงกับบันได ส่วนยายเฒ่าเอามือท้าวสะเอวแล้วมองลอดแว่นตามาทางหลานชายคนเดียว
“หลานมันเป็นอะไร ตาเฒ่า”
“จะไปรู้เรอะ เราก็นั่งดูมันพร้อมกันอยู่นี่”
“อ้าว พูดอย่างนี้หาเรื่องหรือไง” แม่แก่แหวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
แต่ดูเหมือนพ่อแก่จะไม่ใส่ใจด้วยเท่าใดนัก
“ถ้าหากให้เดา หลานมันก็คงมีเรื่องไม่สบายใจบางอย่าง”
“ก็แน่อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดก็รู้หรอกน่า ถ้าสบายดีจะมาปั่นจักรยานเหมือนขี่รถอยู่ในวงเวียนอย่างนี้ละหรือ”
พ่อแก่หัวเราะหึหึขึ้นมาเมื่อโดนสวนคืนเอามั่ง แล้วเอ่ยถามขึ้น
“แล้วเอาไงดี เราสองคนจะนั่งเฝ้าหลานอยู่อย่างนี้ หรือว่าเราจะเข้าไปถามมันดู เอาให้แน่ชัดไปเลย”
“อย่าเลย…” แม่แก่ปราม ราวกับรู้ใจหลานชายเป็นอย่างดี พลางส่ายหน้าไปมา
“ถ้าหลานอยากขอความช่วยเหลือ มันก็คงบอกเราเองนั่นแหละ อย่าไปเซ้าซี๊นักเลย บางทีมันก็มีปัญหาเรื่องหนุ่มสาวเขานั่นแหละ”
“ปัญหาหนุ่มสาวเหรอ ไม่ละมั๊ง” พ่อแก่ท้วงขึ้น
“ใครจะไปรู้…”
“ไม่เห็นมันจะมีแฟนที่ไหนไม่ใช่เหรอ ยายแก่”
หญิงชราถอนหายใจอีกแล้ว แต่ไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้น
คอตก เงียบ แววตาเศร้าๆ อย่างนี้ ตาเฒ่าเอ๋ย มันจะเป็นเรื่องอื่นไปได้อย่างไรเล่า
ชายหนุ่มไม่ได้ตระเตรียมตัวเองในการเดินทางมาพบ “เจ้านาย” ของนีม่าเท่าใดนัก เขายังคงสวมเสื้อยืด กางเกงยีนส์ แล้วรองเท้าผ้าใบสีซีดมอ เหมือนที่เคยเป็นมา
ตอนที่เดินทางมาถึงในครั้งแรกนั้น นีม่าเป็นคนมาเปิดประตูต้อนรับ หญิงสาวอยู่ในชุดเรียบง่าย เป็นชุดกระโปรงยาวสีฟ้าสดใส ให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง ใบหน้าผุดผาด แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอันเป็นกันเอง
ในห้องรับแขก นีม่า แนะนำให้ชายหนุ่มรู้จักกับ มูตา พี่ชายของเธอ มูตา เป็นชายหนุ่มวัยต้นสามสิบ ร่างท้วม ดวงตาหลุกหลิกไปมา ท่าทางระแวดระวังผู้มาเยือนอยู่พอสมควร แต่ก็ดูไม่เป็นพิษภัยเท่าใดนัก พูดคุยกันสองสามคำก็พอจะจับได้ว่าเป็นคนร่าเริง อารมณ์ดีอยู่พอสมควร
แต่คนที่นีม่าแนะนำและทำให้วินรู้สึกแปลกใจอย่างมากก็คือ “เจ้านาย” ของเธอนั่นเอง
“เจ้านาย” ของนีม่า ก้าวออกมาจากห้องพักหลังจากวินนั่งลงที่ชุดรับแขกได้ไม่นานนัก
ชายหนุ่มผู้ที่เป็น “เจ้านาย” ของนีม่าและพี่ชาย เป็นชายหนุ่มที่คะเนอายุแล้วน่าจะอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกับวิน รูปร่างสูงสง่า ผมยาวที่ถูกรวบไว้อย่างเป็นระเบียบ ผิวสีนวลกระจ่างตา เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นผ้าไหมเนื้อดีที่ปล่อยชายเสื้อออกมานอกกางเกง ตรงลำคอดูแปลกตาด้วยประคำอย่างที่วินเคยเห็นลามะในดินแดนหิมาลัยชอบสวมใส่เอาไว้ด้วย
เขาไม่ได้เป็นอย่างวินนึกฝันไว้เลยแม้แต่น้อย “เจ้านาย” ของนีม่าดูท่าทีปลอดโปร่ง เป็นกันเอง ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลา และรอยยิ้มอันแสนเปิดเผยนั่น ทำให้วินคลายความรู้สึกกดดันลงไปมาก
แต่กระนั้นก็เถอะ ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกว่า “เจ้านาย” คนนี้ดูไม่ธรรมดา มีบางสิ่งบางอย่างที่ให้ความรู้สึกถึงความน่าเกรงขาม มีรัศมีของชายสูงศักดิ์มากกว่าจะเป็น “เจ้านาย” คนหนึ่ง
ยิ่งเวลายิ้มด้วยแล้ว ทำให้ใบหน้าอันคมคายนั้นเปี่ยมเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
“ขอโทษที ความจริงเราควรได้เจอกันนานแล้ว”
นั่นเป็นประโยคแรกที่ “เจ้านาย” เอ่ยปากทักทายวิน หลังจากยื่นมือให้จับทักทาย และยิ่งทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกขึ้นมา เพราะเป็นการทักทายเป็นภาษาไทยด้วยเสียงกังวาน แจ่มชัด
และอาจจะด้วยดวงตาที่เบิกโพลงของวินนั่นเอง ทำให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามหัวเราะเสียงดังอยู่ในลำคอ
“ผมเคยเรียนหนังสืออยู่ที่นี่หลายปีครับ พูดไทยได้สบาย ผมเรียนที่โรงเรียนนานาชาติ ตรงซอยมิตรคาม ติดกับโบสถ์นั่นเอง”
วินพยักหน้ารับรู้
“บางทีเราอาจจะเคยเห็นกันบ้าง ผมรู้สึกอย่างนั้น อ้อลืมไป เรียกผมว่าเชนะครับ”
“เช…” วินพึมพำ
“เจ้านาย” ยิ้มรับก่อนจะหันไปทางสองพี่น้องที่ยืนค้อมหลังอยู่ไปไม่ไกลนัก แล้วพูดด้วยภาษาแปลกๆ ที่เดาเอาว่าจะเป็นภาษาที่มีชาวดัลวาเท่านั้นที่รับรู้ได้
ชั่วครู่ นีม่า ก็เดินเข้ามาหาวินแล้วพูดเสียงค่อยๆ
“นีม่ากับพี่ชายต้องออกไปทำธุระชั่วครู่ ขอตัวก่อนนะคะ”
วิน จะทำอะไรได้เล่านอกจากพยักหน้ารับอย่างเดียว
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือหลายวันที่ผ่านมา”
“ไม่เป็นไรครับ แต่ดูเหมือนว่าผมยังไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก”
“เจ้านาย” ที่ชื่อเช ยิ้มอย่างพอใจ
“ความจริงก็คือ ตอนที่นีม่าบอกว่าเจอคุณ ที่เคยเรียนอยู่ที่นั่น อารามดีใจผมก็เลยไม่ได้บอกรูปพรรณสัณฐานให้ชัดเจนกว่านั้น”
วินหยิบแก้วน้ำดื่มที่เบื้องหน้าขึ้นจิบ แล้วรอให้ “เจ้านาย” พูดประโยคต่อไป
“เมื่อตะกี้ ผมนั่งคุยกับนีม่า เธอพูดถึงรูปของพี่สาวของเพื่อนคนหนึ่ง ทำให้ผมนึกอะไรได้บางอย่าง”
“งั้นหรือครับ…”
“เด็กผู้หญิงคนนั้น สายตาสั้น”
“สายตาสั้นอย่างนั้นหรือครับ” วินทวนคำ แล้วสะดุ้งขึ้นมาครั้งหนึ่ง
“ใช่แล้วครับ เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ เจอกันครั้งแรกเธอใส่แว่นตา ผมก็ดันลืมนึกไปเสียนี่ ถ้าบอกแค่นี้น่าจะช่วยได้เยอะ ใช่มั๊ยครับ”
ใจของวินสั่นระรัวขึ้นมา ถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “เจ้านาย” แล้วถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่ปกติ
“คุณพบกับเด็กผู้หญิงคนนั้นครั้งแรกที่ไหนครับ”
“ที่โบสถ์ฝรั่งที่ติดกับโรงเรียนของผมนั่นแหละครับ”
วิน แทบจะกระโดดผลุงขึ้นจากโซฟาหรูที่นั่งอยู่
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมนึกออกบ้างแล้ว เด็กผู้หญิงบุคคลิกอย่างที่ว่า แล้วสวมแว่นตา เท่าที่นึกได้ก็น่าจะมีอยู่ 2 คน”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ร้องเสียงสั่นออกมา
“จริงหรือ…”
วินพยักหน้า เสียงอ่อนระโหย
“คนหนึ่งนะ ชื่ออมิตดา ซึ่งเท่าที่ทราบตอนนี้เธอไปเรียนและทำงานที่สหรัฐ ไม่ได้กลับมานานแล้ว”
“เจ้านาย” มีสีหน้าสลดขึ้นวูบหนึ่ง
“ส่วนอีกคนนึงนะ…” วินพูดเสียงสั่น
แล้วภาพวงหน้าของเด็กสาวสวมแว่นตา พร้อมรอยยิ้มอันเริงร่าปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
เส้นผมบังภูเขา จริงๆ ด้วยนั่นแหละ วินบอกกับตัวเอง
เกดละสายตาจากตึกเรียนสูงเบื้องหน้า แล้วเหลียวมองไปยังโบสถ์เก่าแก่ที่อยู่เยื้องกันไป แล้วก็ย้ายสายตากลับไปที่โรงเรียนนั่นอีก ผมยาวถึงไหล่ของหญิงสาวระเคลียแก้ม จนต้องใช้มือปัดอยู่หลายครั้ง
แล้วหญิงสาวก็ยกนาฬิกาบนข้อมือซ้ายขึ้นมา พลางบ่นอู้อี้ในลำคออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินไปที่โบสถ์ ซึ่งในขณะนี้ประตูใหญ่เปิดกว้าง มีเจ้าหน้าที่ความสะอาดอยู่ 2-3 คนกำลังสาละวนอยู่กับการเช็ดถู ปัดกวาด อยู่ทางลานหน้าของโบสถ์ โดยคนหนึ่งกำลังทำความสะอาดรูปปั้นนักบุญที่ตั้งเยื้องอยู่ไม่ไกล
“พี่คะ พอดีหนูมารอเพื่อน แต่ยังมาไม่ถึงเลย ขอเข้าไปรอข้างในได้มั๊ยคะ”
หญิงสูงวัยที่กำลังเอาผ้าชุบน้ำเช็ดที่ขอบประตูใหญ่เหลียวมามอง พลางยิ้มให้ก่อนพยักหน้ารับรู้
เกดยักไหล่ หัวเราะอย่างเขินอาย ก่อนจะก้าวเข้าไปข้างในตัวโบสถ์ ซึ่งในขณะนี้กำลังสว่างเรืองด้วยแสงจากดวงไฟเล็กๆ ที่ถูกประดับไว้ตามกำแพง ม้านั่งยาวสีน้ำตาลเรียงเป็นทิวแถวให้ความรู้สึกเงียบสงบ ส่วนพื้นเวทีทางด้านหน้ายังคงขรึมขลังเหมือนเคย
หญิงสาวเร่งฝีเท้าหวังจะไปนั่งรออยู่บนม้านั่งยาวแถวหน้า ก่อนที่จะต้องร้องอุทานออกมา เมื่อมองไปเห็นเงาตะคุ่มของร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งปรากฎอยู่ตรงที่เธอนั่งประจำ
และเพราะเสียงร้องนั่นเอง เงาตะคุ่มนั้นจึงเคลื่อนไหว แสงไฟจากกำแพงส่องให้เห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน
ใบหน้านั้นเรียวยาว ดวงตาสุกใส เป็นประกายเจิดจ้า รอยยิ้มๆ น้อยบนริมฝีปากทำให้เกดคลายใจลงได้หน่อยหนึ่ง ที่แปลกตาก็คือผมที่ยาวปะบ่าจนมองดูคล้ายนักดนตรีร็อกเสียเหลือเกิน
“ขอโทษค่ะ นึกว่าไม่มีคนอยู่”
เงียบ ชายหนุ่มเจ้าของร่างตะคุ่มนั้นยืนนิ่ง ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“คุณคะ…” เกดทักทายออกไปอีกครั้ง เมื่อมองเห็นว่าชายหนุ่มแปลกหน้าเอาแต่ยืนจ้องมองเธออยู่อย่างไม่กะพริบตา
“ครับ ว่าไงครับ” เสียงจากปากอันได้รูปนั้นแปลกแปร่งออกไป
เกดหัวเราะออกมาเบาๆ
“ขอโทษทีคะ มานั่งรอเพื่อนอยู่ ไม่นึกว่าเอ้อ…จะมีคนอื่นอยู่ในนี้”
พูดออกไปแล้ว หญิงสาวก็ทำท่าจะเดินเลี้ยวออกไปนั่งบนม้านั่งยาวที่ตั้งอยู่เยื้องออกไป
“นั่งแถวเดียวกันก็ได้ครับ เป็นเพื่อนกัน”
หญิงสาวพยักหน้ารับ แล้วทรุดร่างลงบนม้านั่งยาวแถวเดียวกันกับที่ชายหนุ่มนั่งอยู่ก่อนแล้ว พลางเงยหน้ามองไปยังรูปปั้นพระแม่มารีเบื้องหน้านั่น แล้วหลับตาลงช้าๆ
“สบายดีนะครับ…”
เกดรีบลืมตาขึ้นและเหลียวมองไปตามเสียงเรียก ก็พบกับวงหน้าของชายหนุ่มจ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มนั้นช่างเปิดเผย ในขณะที่ดวงตายิบหยีราวจะยิ้มได้อย่างนั่นแหละ
“สบายดีคะ…”
ตอบทักทายกลับไปแล้ว หญิงสาวก็ต้องร้องอุทานขึ้นมา
“เอ๊ะ…เรารู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าคะเนี่ย”
ชายแปลกหน้าหัวเราะเสียงกังวาน ก่อนพยักหน้า
“คงงั้นมั๊งครับ มันนานมากแล้วละ”
“หรือคะ” เกดพูดอย่างนึกสงสัย นึกประหลาดใจตัวเองอยู่เหมือนกัน เคยเจอหนุ่มหล่อคนนี้มาก่อนอย่างนั้นหรือ
“เราเจอกันที่ไหนลองบอกมาสิคะ เผื่อจะจำได้”
ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะถอนใจออกมา
“ว่าไงคะ ที่ไหน” เกดถามย้ำอีก
“ก็ที่นี่แหละครับ เมื่อหลายปีก่อน”
“แต่ตอนนั้นคุณใส่แว่นสายตานี่ครับ ใช่มั๊ย”
“หา…” เกดร้องออกมาอย่างลืมตัว พลางมองหน้าชายหนุ่มแล้วหลับตาลงอย่างพยายามใช้ความคิด
“ตอนนั้นก็ประมาณเดือนนี้เหมือนกันแหละครับ แต่มีฝนตกหนักแล้วผมก็วิ่งเข้ามา…”
ฟังถึงประโยคนี้ เกดก็ลืมตาขึ้นโดยเร็ว พลางพูดด้วยเสียงอันดังราวกับบังคับน้ำเสียงของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป
“เด็กผู้ชายคนนั้น…”
ชายแปลกหน้าหัวเราะเสียงดัง ก่อนพยักหน้ารับ แล้วจึงสบตาหญิงสาวโดยไม่หลบ
“ผมเอง”
เป็นเวลาเกือบ 3 ทุ่มแล้วที่ทั้งสองพี่น้องกินข้าวมื้อค่ำเสร็จ และขณะนี้นีม่าก้าวเดินออกไปทางระเบียง มองขึ้นไปบนฟากฟ้า เห็นแต่แสงจันทร์นวลที่ส่องแสงกลบรัศมีดาวเสียเกือบหมด แม่น้ำเบื้องล่างดูสวยแปลกตา โดยเฉพาะเมื่อสะท้อนกับแสงจันทร์เป็นประกายไหวระริก
“ดึกแล้ว คืนนี้เจ้าค้างที่นี่เถอะ พรุ่งนี้ไม่มีเรียนไม่ใช่หรือ” เสียงหนึ่งดังขึ้นทางแผ่นหลัง
“ฮื่อ คงงั้นละพี่มูตา” หญิงสาวตอบโดยไม่มองกลับไป
แล้วเสียงถอนหายใจหนักหน่วงก็ดังขึ้น
“หนักใจอะไรอีกละ พี่”
มูตา ก้าวมายืนเคียงข้างกับน้องสาวแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้าในคืนเดือนมืด
“นางจะใช่เด็กสาวคนที่ว่านั้นหรือ นีม่า”
“คงงั้นมั๊ง”
“ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนั้น อาจจะเป็นอีกคนก็ได้”
นีม่า ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย
“พอได้ฟังพี่วินพูด แล้วเอามารวมเข้ากับสิ่งที่องค์ชายตรัสไว้ก่อนหน้านี้ คงไม่ผิดแน่”
“อย่างนั้นหรือ เพราะอะไรบอกข้าสิ”
หญิงสาวเป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง
“พี่เกด เป็นเด็กผู้หญิงคนนั้นแน่ นอกจากจะมีบุคคลิกที่เหมือนกันทุกอย่างแล้ว ยังเป็นลูกกำพร้าแม่ เหมือนที่องค์ชายเคยตรัสไว้ด้วย จะผิดไปได้อย่างไรเล่า เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ”
พี่ชายร้องอืมม์อย่างเห็นด้วย ก่อนจะพูดลอยๆ ในความมืด
“ถ้างั้น เจ้าชายก็ได้พบซินเดอเรลล่าแล้ว เทพนิยายเรื่องนี้ก็คงจบแล้วสิ”
“แฮปปี้ เอนดิ้ง เสียด้วย” หญิงสาวว่า
“แต่ว่านีม่า” มูตา ทักท้วงก่อนจะหันมาสบสายตากับน้องสาว
“อย่าลืมว่า เจ้าชายมีฐานะอะไร แล้วผู้หญิงคนนั้น เอ้อ…พี่สาวของเพื่อนเจ้านะ”
“จริงสิ”
มูตากล่าวต่อไปอย่างหนักใจ
“แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ไม่รู้ว่าคิดอย่างไรกับเจ้าชายอีกด้วย ใช่มั๊ยเล่า”
นีม่าพยักหน้า ใช่แล้วเทพนิยายเรื่องนี้คงไม่จบลงง่ายๆ นักหรอก ยุ่งเหยิงพอตัวทีเดียวละ
แล้วอีกอย่าง…
ความคิดพานีม่าย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในตอนเย็น ที่เธอกับพี่ชายกลับมาที่คอนโดมีเนียมแห่งนี้ แล้วพบแค่วิน ยืนเหม่อมองผ่านกระจกไปยังแม่น้ำกว้างนั่น
“ได้เรื่องแล้วละ…” ชายหนุ่มหันมาบอก
“งั้นเหรอคะ “นีม่าร้องออกมา
“ฮื่อ…เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ เชียว” วินพูดติดตลก แต่เสียงหัวเราะที่ตามออกมาทำไมถึงได้ฝืดฝืนเช่นนั้นเล่า ดวงตาคู่นั้นก็แดงก่ำ ไม่เริงรื่นเหมือนที่เคยเห็นมา
เด็กผู้หญิงคนนั้นก็เกดไง ไม่เชื่อใช่มั๊ยละ” ชายหนุ่มว่าต่อ
นีม่า เลิกคิ้วขึ้นสูง อ้าปากกว้าง รู้สึกช็อกกับข่าวที่ได้รับ ทำไมถึงออกมาเป็นอย่างนี้ได้
หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มรุ่นพี่เบื้องหน้า ไหล่ที่ตก ริมฝีปากเม้มสนิท ดวงตาที่หม่นหมอง แล้วให้รู้สึกสงสารจับใจ
โธ่เอ๋ย พ่อจรกา นี่อิเหนาเขาจะมาชิงตัวบุษบาไปแล้ว จะทำอย่างไรเล่า
พระจันทร์ยามดึกลอยโค้งขึ้นอยู่เหนือศรีษะ สาดแสงสีนวลกระจ่างไปทั่ว คืนนี้ท้องฟ้าไม่มีดาวพร่างพรายเหมือนอย่างทุกวัน ลมพัดเย็นนำพากลิ่นดอกโมกฟุ้งมาเข้าจมูก
วินขับรถจักรยานวนเวียนไปมาอยู่บนลานซีเมนต์หน้าบ้านนานแล้ว บางครั้งก็นั่งนิ่งอยู่บนอาน แล้วเงยหน้าขึ้นมองฟากฟ้าเบื้องบนอันมืดมืด ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง แล้วก็ก้มหน้างุดๆ ปั่นจักรยานเวียนวนไปมา
เหตุการณ์นี้ไม่พ้นสายตาของตายายคู่นั้นที่ยืนมองอยู่บนระเบียงบ้าน ฝ่ายผู้เฒ่าหลังจากยืนมองอยู่นานก็ค่อยๆหย่อนตัวลงกับบันได ส่วนยายเฒ่าเอามือท้าวสะเอวแล้วมองลอดแว่นตามาทางหลานชายคนเดียว
“หลานมันเป็นอะไร ตาเฒ่า”
“จะไปรู้เรอะ เราก็นั่งดูมันพร้อมกันอยู่นี่”
“อ้าว พูดอย่างนี้หาเรื่องหรือไง” แม่แก่แหวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
แต่ดูเหมือนพ่อแก่จะไม่ใส่ใจด้วยเท่าใดนัก
“ถ้าหากให้เดา หลานมันก็คงมีเรื่องไม่สบายใจบางอย่าง”
“ก็แน่อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดก็รู้หรอกน่า ถ้าสบายดีจะมาปั่นจักรยานเหมือนขี่รถอยู่ในวงเวียนอย่างนี้ละหรือ”
พ่อแก่หัวเราะหึหึขึ้นมาเมื่อโดนสวนคืนเอามั่ง แล้วเอ่ยถามขึ้น
“แล้วเอาไงดี เราสองคนจะนั่งเฝ้าหลานอยู่อย่างนี้ หรือว่าเราจะเข้าไปถามมันดู เอาให้แน่ชัดไปเลย”
“อย่าเลย…” แม่แก่ปราม ราวกับรู้ใจหลานชายเป็นอย่างดี พลางส่ายหน้าไปมา
“ถ้าหลานอยากขอความช่วยเหลือ มันก็คงบอกเราเองนั่นแหละ อย่าไปเซ้าซี๊นักเลย บางทีมันก็มีปัญหาเรื่องหนุ่มสาวเขานั่นแหละ”
“ปัญหาหนุ่มสาวเหรอ ไม่ละมั๊ง” พ่อแก่ท้วงขึ้น
“ใครจะไปรู้…”
“ไม่เห็นมันจะมีแฟนที่ไหนไม่ใช่เหรอ ยายแก่”
หญิงชราถอนหายใจอีกแล้ว แต่ไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้น
คอตก เงียบ แววตาเศร้าๆ อย่างนี้ ตาเฒ่าเอ๋ย มันจะเป็นเรื่องอื่นไปได้อย่างไรเล่า
๒๕.๑๐.๕๒
บทที่ 8-ความลับในใจ
เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ที่มุกดา และ นีม่า เฝ้ามองชายหนุ่มรูปร่างสันทัดผู้นั้นสาละวนอยู่กับการใช้กรรไกรตบแต่งต้นไม้เล็กๆ ในกระถาง ภายใต้เรือนไม้สีเขียวชะอุ่ม ที่มีไม้เลื้อยโอบคลุมอยู่โดยรอบ และทั่วบริเวณเรียงรายไปด้วยต้นไม้หลากพันธุ์ มีทั้งไม้ดอกอย่างต้นปีบ สุพรรณิการ์ พุดซ้อน โมก ไปจนถึงไม้เลื้อย ทั้ง อัญชัน พวงแสด บานบุรี
“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ดูแลนะ วันนี้เอาเสียหน่อย” ชายหนุ่มพูดโดยยังไม่เงยหน้าจากต้นไม้เล็กๆ ในกระถางเบื้องหน้า
นีม่า ส่ายสายตาไปทั่วร้านขายต้นไม้ พลางสูดกลิ่นหอมของมะลิซ้อนที่แตกกิ่งสล้างไปถึงหลังคา แล้วเหลียวมองแผ่นหลังของชายหนุ่มด้วยแววตาอันแช่มชื่น
“ขายต้นไม้ น่าจะเป็นงานที่มีความสุขนะคะ”
วิน ผินหน้ามายิ้มให้ ก่อนพยักหน้ารับ
“ก็เพลินดีหรอกครับ แต่ที่ร้านนี่เราก็ทำกันเล็กๆ ไม่ได้ทำเป็นธุรกิจใหญ่โตอะไร”
“แล้วเมื่อไหร่จะรวย…จะอยู่อย่างนี้ไปจนตายเลยหรือไง” เสียงแข็งของมุกดาดังขึ้น พลางค้อนใส่ชายหนุ่ม
วิน ยักไหล่ครั้งหนึ่ง ก่อนจะหยัดกายขึ้นจากกอดอกไม้ในกระถาง แล้วเดินไปทรุดร่างลงนั่งบนโต๊ะเล็กๆ ที่มีสองสาวนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“ชอบพูดอย่างนี้อีกแล้ว ยายมุก จะอยากรวยไปถึงไหนกัน ถามหน่อย ทำงานพอเลี้ยงตัวเองได้ มีความสุขกับสิ่งที่ทำยังไม่พออีกหรือไง” ชายหนุ่มพูดพลางสบตากับหญิงสาวรุ่นน้อง
มุกดา เบะปาก แล้วหันไปแตะแขนเพื่อนสาว
“นีม่าล่ะ อยากรวยมั้ย”
นีม่ายิ้มน้อยๆ ไม่ตอบคำ มองหน้าเพื่อนสาวทีหนึ่ง แล้วก็หันไปมองชายหนุ่มเบื้องหน้า
“สองคนนี่ เคยคุยกันดีๆ บ้างมั้ยเนี่ย เจอกันทีไรพูดขัดคอกันอยู่เรื่อย”
“เชอะ…” มุกดาร้องขึ้น
“พี่ไม่ใช่คนชอบหาเรื่องก่อนนะ ดูเอาเองเถิดครับ”
หญิงสาวจากดินแดนอันไกล้โพ้น กลั้นยิ้ม มองสองหนุ่มสาวร่วมโต๊ะด้วยอารมณ์ชื่นบาน
“ก็ทำตัวอย่างนี้ ใช้ชีวิตอย่างนี้ไปเรื่อยๆ รอชาติหน้าเถอะผู้หญิงที่สนใจเขาถึงจะใจอ่อน ตาบ๊องเอ๊ย” มุกดายังไม่ยอมลดราวาศอก
วิน หัวเราะเสียงดัง
“ว่าแต่ว่า ตกลงให้พี่ไปพบเจ้านายของนีม่าวันไหนดี” ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่อง ราวกับว่าไม่ยากต่อล้อต่อเถียงของสาวรุ่นน้องอีกต่อไป
“แล้วแต่ทางพี่สะดวกเถอะค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
“งั้นก็สักกลางอาทิตย์หน้าแล้วกัน ตอนนี้พี่มีงานค้างอยู่นิดหน่อย แล้วพรุ่งนี้ต้องพาพ่อแก่ไปหาหมอด้วย”
“พ่อแก่…งั้นหรือ” นีม่าถามขึ้น
“อ้าว ลืมบอกไป พ่อแก่ก็เป็นคุณตาของพี่เองนั่นแหละ”
ชายหนุ่มตอบไปแล้วก็หันมาพูดกับมุกดาเหมือนนึกได้
“วันก่อน พ่อแก่ยังพูดถึงมุกอยู่เลยนะ”
หญิงสาวยิ้มแป้น
“ดีจัง มุกคิดถึงคุณตา เพราะคุณตาใจดี ไม่กวนประสาทเหมือนคนบางคน” มุกดาไม่วายแขวะ
“แล้วกัน มุกนี่” นีม่า พูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ นึกขำกับอาการแง่งอนของเพื่อนสาว ซึ่งดูเหมือนว่าจะกำเริบทุกครั้งที่ปะทะคารมกับชายหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้
“คิดว่า ถ้าได้เจอกับเจ้านายของนีม่า ได้ข้อมูลเพิ่มเติม อาจจะพอคลำหาเจอเด็กสาวลึกลับคนนั้นก็ได้” ชายหนุ่มว่า
“ได้อย่างนั้นก็ดีสิคะ”
วิน เหลือบตามองมุกดาแล้วถามขึ้น
“เสร็จจากนี้แล้วกลับบ้านเลยหรือเปล่า พี่ฝากของไปให้เกดเค้าหน่อย”
มุกดามีสีหน้าเบื่อๆ ก่อนพยักหน้ารับ
“ตามเคย”
วินยิ้มอยู่ในสีหน้า ก่อนจะหยิบรูปใบหนึ่งยื่นให้ พลางบอก
“พอดีไปค้นหนังสือรุ่นเก่าๆ เจอรูปเกดสมัยตอนเรียนมัธยมปลายติดอยู่ด้วย เอาไปให้ทีนะ น้องมุกคนงาม”
“อย่ามาคนงอน คนงามนะ ไม่ชอบ” มุกบ่นก่อนจะเอื้อมมือไปรับรูปจากมือของชายหนุ่ม แล้วจึงยื่นรูปให้เพื่อนสาวดู
“นีม่านี่ไง รูปพี่เกดสมัยโน้น เป็นไงสวยมั๊ย”
นีม่า เหลือบตามองแว่บหนึ่ง หน้าตาของหญิงสาวในรูปกับปัจจุบันดูจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก เพียงแต่ผมตัดสั้นกว่าที่เคยเห็น ส่วนดวงตาและรอยยิ้มอันเริงรื่นให้ความรู้สึกเป็นกันเอง
“อืมม์ หน้าตาไม่ค่อยเปลี่ยนเลย แต่เอ๊ะ-พี่เกดสายตาสั้นด้วยหรือนี่ เพิ่งรู้”
“เกดเค้าสั้นไม่มากหรอก ตอนนี้เลิกใส่แล้ว หันมาใช้คอนแทคเลนส์” วินตอบแทน
“รู้ไปหมดเชียวนะ รู้ดีกว่าตัวพี่เกดเสียอีกมั๊งเนี่ย” มุกแขวะ
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำ นอกจากยิ้มแห้งๆ เท่านั้น ดูเหมือนว่าเด็กสาวรุ่นน้องคนนี้ดูจะ “รู้ทัน” จนดักคอเขาได้ทุกทีไปสิน่า
เกดเฝ้ามองรูปเก่าเก็บที่เพิ่งได้รับมาซ้ำไปซ้ำมาอยู่เป็นนาน ก่อนจะชายตามองไปยังน้องสาวที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้นั้น แล้วอมยิ้มถามขึ้น
“ดูสิ หน้าตาพี่นี่ตลกดีจัง สมัยนั้นนะ ว่ามั๊ย”
มุกดา พูดโดยไม่เงยหน้าจากหนังสือ
“ที่ตลกยิ่งกว่าก็คือ ข้างหลังรูปนั่น พี่เกด”
“หือม์ อะไรนะ” พี่สาวอุทานขึ้น ก่อนพลิกรูปดูทางด้านหลัง ก่อนจะหัวเราะเสียงใส เมื่อมีคนมือดีใช้ดินสอวาดรูปหัวใจ พร้อมสลักข้อความว่า “คิดถึงเสมอ รักคนสวยนะจ้ะ” เอาไว้ด้วยอีกต่างหาก
“หัวใจใครน้าเนี่ย…นึกไม่ออกแฮะ”
“จะใครเสียอีกเล่า ไม่ใช่ของคุณพี่จรกานั่นหรอกหรือ”
เกดส่ายหน้า
“ไม่ใช่หรอก วินไม่เขียนข้อความแบบนี้หรอก พี่รู้”
มุกดาถอนหายใจพลางบ่น
“นั่นนะสิ ซื่อบื๊อออกอย่างนั้น”
“คนที่เขียนข้อความนี้ ก็คงเพื่อนๆ มือซนของวินนั่นแหละมากกว่า พี่ว่านะ”
เกดเหลือบตามองน้องสาว ที่ขณะนี้วางหนังสือเอาไว้ข้างตัว แล้วทอดสายตามองไปที่จอโทรทัศน์เบื้องหน้า คิ้วที่ขมวดลง และใบหน้าอันบูดบึ้ง แสดงถึงอารมณ์อันแปรปรวนที่ดูเหมือนจะติดตัวมานานหลายปีแล้ว
“ไม่ดีใจเหรอ…”
มุกดาหันหน้ามาทางพี่สาวแล้วถามขึ้น
“ทำไมมุกต้องดีใจด้วยเล่าพี่เกด”
เกดหัวเราะ
“ก็ในข้อที่ว่า รูปหัวใจนั่นไม่ใช่ของวินนะสิ”
“อ้าว แล้วกัน ไม่เกี่ยวกับมุกแม้แต่นิดเดียว คุณพี่”
คนเป็นพี่สาวเอามือยีหัวน้องสาวด้วยอาการเอ็นดู
“จะให้พี่พูดตามตรงหรือไงนะ”
เป็นครั้งแรกที่มุกดา สาวคนกล้าวางสีหน้าไม่ถูก แล้วถามด้วยน้ำเสียงไม่ปกติออกไปว่า
“พูดให้ดีนะจ้ะ คุณพี่”
เกดถอนหายใจอีกเฮือก
“เป็นพี่เป็นน้องมากี่ปีกันแล้ว พี่สาวคนนี้ไม่ได้ตาบอดนะจ้ะ เพียงแต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น”
“หยุด-หยุดเลยคุณพี่สาว ไปกันใหญ่แล้ว กินยาผิดขนานมาหรือไง”
หญิงสาวคนพี่เอาร่างอิงกับหมอนใบเล็กที่วางพิงอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น แล้วใช้สายตาสังเกตสังกาผู้เป็นน้องสาวอยู่นาน ก่อนถอนหายใจยาว
“เอาเถิด เป็นผู้ร้ายปากแข็งต่อไปเถอะ พี่ไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว งานค้างเยอะ” เกดว่าก่อนจะลุกจากที่นั่งแล้วก้าวเท้าออกไป แต่ไม่วายหันหลังมายิ้มอย่างเป็นปริศนาให้กับน้องสาว
มุกดา ทำทีเป็นสนใจกับรายการโทรทัศน์เบื้องหน้า แต่หลังจากเหลือบตามองพี่สาวเดินจากไปแล้ว ก็อดพึมพำกับตัวเองไม่ได้
“ว่าแต่คนอื่นเค้าตาบอด พี่เกดเค้าจะรู้บ้างมั๊ยเนี่ยว่า ตัวเองก็บอด แถมบอดสนิทอีกต่างหาก”
ถึงตอนนี้หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจยาว จิตกระหวัดไปถึงใบหน้าดำๆ แต่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มเห็นฟันขาว ที่อยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาอยู่ในความคิดเสียอย่างนั้นแหละ
ตาบ๊องเอ๊ย รู้ตัวบ้างมั๊ย คนอื่นเขากับคิดกับตัวเองยังไงมั่งนะ เฮ้อ
ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะทำงานในห้องนอนนานแล้ว คอมพิวเตอร์บนโต๊ะถูกเปิดทิ้งไว้ ส่วนอาร์ตเวิร์กสีสดใสของงานโบชัวร์ที่ออกแบบให้กับร้านกาแฟแห่งหนึ่งถูกวางไว้ใกล้ๆ
แต่ขณะนี้เจ้าของโต๊ะให้ความสนใจเสียงเปาะแปะของเม็ดฝนที่กระทบกับหลังคาบ้านมากกว่าอื่นใด
วิน เงยหน้าออกไปนอกหน้าต่าง แล้วก็อมยิ้มให้กับกิ่งไม้ใหญ่ที่ยื่นออกมา มองดูเหมือนแขนของยักษ์ตัวใหญ่ที่แกว่งไกวไปมาตามแรงลม บางครั้งก็ส่งเสียงกรูเกรียว เหมือนกับจะทักทายมนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่นั่งดูมันอยู่เป็นนานแล้ว
ชายหนุ่มไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนโรแมนติกอะไรนัก แต่ไม่รู้ว่าทำไม ทุกครั้งที่ฤดูร้อนมาถึง ได้เห็นดอกไม้ที่ชูช่ออยู่บนกระถาง ริมกำแพง หรือเต็มพรืดตามถนนใหญ่ ความสุขดูเหมือนจะหลั่งถ้นอยู่ภายใน
ยิ่งหลังฝนในฤดูร้อนซาลงแล้ว ได้เห็นน้ำค้างเกาะพราวปนอยู่บนใบไม้ แล้วก็สูดกลิ่นระรวยของดอกอะไรก็ไม่รู้ที่ลอยฟุ้งเข้าจมูก ทำให้หัวใจหวิวด้วยความตื้นตัน อิ่มเอมใจที่ได้เห็นความสวยงามอย่างนี้
แน่ละ-บางครั้ง บรรยากาศที่รายล้อมอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก่อให้เกิดความเหงาอย่างสุดบรรยาย ว้าเหว่จนอยากหาใครสักคนพูดคุยด้วย รู้สึกได้ถึงความหม่นหมองในหัวใจ
มันคงเหมือนในหนังสือบางเรื่องที่เขาเคยอ่าน เป็นหนังสือที่อธิบายถึง “ลักษณ์” ของคนไว้ 9 ชนิด
และหนึ่งในนั้นคือลักษณ์ของคนโศกซึ้ง ซึ่งชอบจะหมกมุ่นอยู่ในอารมณ์ มักจะนำตัวเองเข้าสู่วังวนของอารมณ์ และความรู้สึกอยู่เสมอ
“มักจะมีความเพลิดเพลินแฝงอยู่ในอารมณ์ทุกข์” คือการสรุปลักษะเด่นของลักษณ์คนโศกซึ้งเอาไว้ ซึ่งทำให้ชายหนุ่มติดใจนักหนา เพราะมันเป็นเช่นว่านั้นจริงๆ ดูเหมือนเขารู้สึกได้ถึงอารมณ์ส่วนลึกของตัวเอง ราวกับมีประสาทสัมผัสไวกว่าคนอื่น แต่วิน ก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองคือลักษณ์ของ “คนโศกซึ้ง” จริงละหรือ
บางทีความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นก็อาจเพราะช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขาจมจ่อมตัวเองกับเรื่องราวครั้งอดีตเป็นส่วนใหญ่ ภาพเก่าเก็บ หนังสือรุ่นสมัยเรียนมัธยมปลาย การไปเยี่ยมเยือนโรงเรียนเก่า ให้ความรู้สึกโหยหาบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไป
แล้ววินก็หัวเราะให้กับตัวเอง เมื่อนึกถึงภาพเก่าเก็บของเพื่อนสาวคนสนิท ภาพนั้นช่วยดึงความทรงจำเก่าๆ กลับคืนมาอีกครั้ง
ภาพนั้น เพื่อนสมัยเรียนคนหนึ่งไปถ่ายมาจากไหนก็ไม่รู้ พอได้มาแล้วก็เอาดินสอไปเขียนรูปหัวใจ พร้อมถ้อยคำหวานแหวว มายื่นให้กับเขาเพื่อช่วยส่งต่อให้กับเกด
แต่ทำไมเขาถึงไม่ส่งมอบภาพนี้ให้กับเกดนะ เขาจำความรู้สึกตัวเองไม่ได้หรอก และตัวเพื่อนคนนั้นก็คงลืมๆ ไปแล้วกระมัง มานึกได้อีกทีก็เมื่อเห็นภาพนี้ซุกซ่อนอยู่ในหนังสือรุ่นเมื่อไม่กี่วันนี่เอง
ความคิดที่ผุดพรายขึ้นมา พาชายหนุ่มย้อนกลับไปที่วันวาน วันที่ยังนุ่งโรงเรียนขาสั้น ผมสั้นเกรียนติดหนังศรีษะ และได้ใช้ชีวิตร่วมกันอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหญ่
วินค่อยๆ ดึงลิ้นชักทางขวามือแล้วหยิบสมุดบันทึกเล่มหนาเล่มหนึ่งออกมา มันเป็นสมุดปกสีเลือดหมู สีเก่าซีด บันทึกเล่มนี้นอนอยู่ในลิ้นชักมาเป็นเวลานานแล้ว
นอกจากจะเป็นไดอารี่ที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คน สถานที่ แห่งความทรงจำไว้มากมายแล้ว บันทึกเล่มนี้ยังซุกซ่อนความรู้สึกที่ไม่อาจเปิดเผยกับใครไว้อีกด้วย
เป็นครั้งแรกในเวลายาวนานที่วินหยิบไดอารี่เล่มนี้ขึ้นมาอีกครั้ง
มือของชายหนุ่มสั่นเมื่อพลิกหน้าแรกของสมุดบันทึกขึ้น พร้อมกันนั้นวงหน้าของเด็กสาวสวมแว่นตา พร้อมรอยยิ้มอันเริงร่าปรากฏอยู่ตรงหน้า
โธ่เอ๋ย นอนไม่หลับอีกแล้วสิเรา คืนนี้ รู้สึกว้าวุ่นใจจนต้องลุกขึ้นมาเขียนบันทึก
รู้สึกสงสารเกดเป็นกำลัง
ความจริงแล้วอาการป่วยของแม่เกดก็เป็นที่รู้ดีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะปุบปับอย่างนี้
ขนาดเราเป็นคนนอกยังรู้สึกใจหาย แล้วตัวเกดเองเล่าจะเป็นถึงขนาดไหนกัน
เอาเถอะ ถึงคุณน้าจะหย่ากับคุณพ่อของเกดนานแล้ว แต่ความผูกพันระหว่างแม่ลูกคู่นี้ก็ยังอยู่ เราเองยังจำภาพที่คุณน้าพาเกดมาที่โบสถ์เกือบทุกอาทิตย์ได้ติดตา ทั้งคู่ดูมีความสุขเหลือเกิน ยามจูงมือกันเข้าไปฟังศีลที่โบสถ์นั่น
แต่ภาพนั้นไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้อีกแล้วสิ ใช่มั๊ย
แน่ละ คุณพ่อของเกด น้าเยาว์คงจะปลอบประโลมให้เกดคลายเศร้าได้ในไม่ช้า แต่ภายในลึกๆ ไม่มีอะไรจะมาอุดรอยโหว่ในหัวใจของเกดได้หรอก
ถึงเกดจะไม่มีน้ำตาให้เห็น แต่เรารู้ว่าเธอเศร้า เศร้ามากเหลือเกิน
ความรู้สึกของการเป็นลูกกำพร้า เหมือนโดนใครบางคนทิ้งเราไปอย่างไม่ใยดี ปล่อยให้เราเคว้งคว้าง เหมือนหลงทางอยู่ในความมืด มันทรมาน มีแต่ลูกกำพร้าเหมือนกันเท่านั้นที่จะเข้าใจความรู้สึกได้
เกดเล่า ผูกพันกับแม่มานานหลายปี แม้จะแยกบ้านกันอยู่ แต่อยู่ดีๆ ต้องมาจากกันไปอย่างนี้ มันยากจะทำใจจริงๆ
ไม่รู้จะปลอบใจเพื่อนอย่างไร ไม่รู้เลย
วินถอนหายใจครั้งหนึ่งเมื่ออ่านบันทึกมาถึงตรงนี้
จำได้ว่าเขียนบันทึกนี้หลังจากแม่ของเกดเสียชีวิตไปได้ไม่นานนัก เอามาอ่านอีกครั้งตอนนี้สำนวนดูจะเชยเหลือกำลัง
แต่เขาก็ยังจำความรู้สึกตอนที่เขียนบันทึกนี้ได้ดี
แน่ละ ความรู้สึกของการสูญเสียแม่ มันนำพาความทุกข์มาให้อย่างเหลือแสน เขาเองก็เช่นกัน แต่เมื่อมาเห็นเพื่อนต้องประสบเคราะห์กรรมในลักษณะเดียวกัน ชายหนุ่มรู้ว่าเกดต้องการใครสักคนที่จะปลอบโยน แบ่งเบาความทุกข์แม้สักเล็กน้อยก็ยังดี
พ่อของเขาบอกว่า ตั้งแต่เด็กแล้วที่เขาเป็นคนขี้สงสาร ใจอ่อนเสียเหลือเกิน โกรธใครไม่ค่อยเป็น พะวงแต่ว่าคนอื่นจะโกรธ จะเกลียด จนดูเหมือนว่าจะกลายเป็นลูกไล่ให้เพื่อนฝูงเสียเรื่อยไป
“ความจริงก็คือลูกเป็นคนที่หวังดี จริงใจกับทุกคน พูดให้ถูก นิสัยของลูกก็ถอดแบบมาจากแม่เขานั่นแหละ”
คงจะจริงอย่างที่พ่อว่า แม่จากไปตอนที่วินเริ่มเรียนตอนม.ต้นด้วยโรคหัวใจที่แม่เก็บงำไว้เป็นเวลานาน ภาพในความทรงจำของเขาที่มีต่อแม่ก็คือ ผู้หญิงที่แสนจะใจดี พูดน้อย เก็บความทุกข์เอาไว้กับตัว แจกจ่ายความสุขให้กับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
และเท่าที่ทราบพ่อรักแม่ รักเหลือเกิน และความรักนั้นเผื่อแผ่มาถึงเขา ถึงฐานะทางบ้านจะไม่ร่ำรวยนัก แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงชีวิตอันแสนจะอบอุ่น รื่นรมย์
เสียดายสุขนั้นสั้นนัก
เพราะอย่างนั้น เมื่อแม่จากไปพ่อจึงเป็นคนที่โศกเศร้าเสียใจมากที่สุด หลังจากนั้นชีวิตของพ่อก็มีแต่การทำงานเพื่อเลี้ยงดูเขาให้เติบโต ไม่สนใจใครอีกเลย
แล้ววันหนึ่งพ่อก็ตัดสินใจกลับไปบวชที่บ้านเกิด หลังจากแม่เสียไปได้ 3 ปี
“จำไว้นะวิน พ่อไม่ได้ทิ้งลูก ไม่ได้หลบหนีอะไรทั้งสิ้น ลูกโตแล้วสามารถดูแลตัวเองได้ คุณตา คุณยาย รักลูกมาก และจะเลี้ยงให้ลูกโตขึ้นเป็นคนดี พ่ออยากไปบวช ไม่รู้ว่าจะนานสักเท่าไหร่ พ่อมีคำถามในชีวิตบางอย่างที่กำลังค้นหา บางทีธรรมะอาจจะให้คำตอบนั้นกับพ่อได้”
หลังจากนั้น พ่อก็บวชเป็นพระในวัดป่าแห่งหนึ่งในบ้านเกิด และไม่เคยสึกออกมาอีกเลย
แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มไม่เคยลืมช่วงเวลาที่มีความสุขร่วมกับพ่อและแม่เป็นเวลาหลายปีนั่นเลย และรับรู้ต่อมาว่า นิสัยช่างคิด มีจิตใจอันกว้างขวาง ทุกข์ร้อนแทนคนอื่นของเขานั้น เป็นส่วนผสมมาจากพ่อและแม่คนละครึ่งนั่นเอง
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของเขาก็คือพ่อแก่ แม่แก่ แล้วก็เพื่อนฝูงอีกกลุ่ม
และที่สนิทสนมกว่าใครเพื่อนก็คือบุษบา-เกด นั่นเอง
เขากับเกดเป็นเพื่อนกันมานาน เป็นมาตั้งแต่เรียนชั้นประถมนั่นแหละ พ่อและแม่ของทั้งสองฝ่ายก็รู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ความผูกพันเริ่มแน่นแฟ้นน่าจะเป็นตอนที่เข้าเรียนระดับม.ต้น ในโรงเรียนเดียวกัน ชั้นเดียวกัน ห้องเดียวกัน แถมยังนั่งติดกันอีกต่างหาก
ไปไหนต่อไหนด้วยกัน กลับบ้านพร้อมกัน จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคู่ปาท่องโก๋
ถึงขนาดล้อว่าเป็นแฟนกันก็มี
แปลกที่ยามโดนล้อ คนที่อายหน้าแดง อยากเอาหัวมุดลงดินกลับกลายเป็นเขาเองไปเสียได้
ส่วนเกดนะหรือ มีแต่เสียงหัวเราะเริงร่าแล้วก็ใช้มือเคาะศรีษะคนถามไปเสียทุกครั้ง
“ไอ้บ้า…” เกดจะพูดออกมาเช่นนั้น แล้วพยักเพยิดมาทางเขาแล้วพูดขึ้นว่า
“อย่าไปถือพวกนี้เลยนะ วินก็รู้นี่ว่าเกดมีแฟนแล้ว
นึกถึงความหลังในตอนนี้แล้ววินก็ถอนหายใจ ส่ายศรีษะไปมา นี่เป็นความลับของเขากับเพื่อนสาวสองคนเท่านั้น
“เกดเชื่อในเรื่องของโซลเมต ผู้ชายในฝันนะ เอาเป็นว่ารออีกสิบปี ถ้าเกดไม่เจอผู้ชายคนนั้น เกดจะยอมเป็นแฟนวินนะจ้ะ”
พูดจบแล้ว เกดก็จะหัวเราะเสียงดัง ดวงตาวิบวับเป็นประกายบางอย่าง
ไม่รับรู้เลยว่า เพื่อนคนนี้แอบภาวนาให้สิบปีนั้นผ่านไปโดยเร็วที่สุด
นึกถึงแล้ว วินก็อยากหัวเราะกับความบ้าบอของตัวเองเสียเหลือเกิน
แต่จะทำได้อย่างไรเล่า มันเป็นของมันเอง บังคับไม่ได้
ความรักมันห้ามกันได้เสียที่ไหน
“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ดูแลนะ วันนี้เอาเสียหน่อย” ชายหนุ่มพูดโดยยังไม่เงยหน้าจากต้นไม้เล็กๆ ในกระถางเบื้องหน้า
นีม่า ส่ายสายตาไปทั่วร้านขายต้นไม้ พลางสูดกลิ่นหอมของมะลิซ้อนที่แตกกิ่งสล้างไปถึงหลังคา แล้วเหลียวมองแผ่นหลังของชายหนุ่มด้วยแววตาอันแช่มชื่น
“ขายต้นไม้ น่าจะเป็นงานที่มีความสุขนะคะ”
วิน ผินหน้ามายิ้มให้ ก่อนพยักหน้ารับ
“ก็เพลินดีหรอกครับ แต่ที่ร้านนี่เราก็ทำกันเล็กๆ ไม่ได้ทำเป็นธุรกิจใหญ่โตอะไร”
“แล้วเมื่อไหร่จะรวย…จะอยู่อย่างนี้ไปจนตายเลยหรือไง” เสียงแข็งของมุกดาดังขึ้น พลางค้อนใส่ชายหนุ่ม
วิน ยักไหล่ครั้งหนึ่ง ก่อนจะหยัดกายขึ้นจากกอดอกไม้ในกระถาง แล้วเดินไปทรุดร่างลงนั่งบนโต๊ะเล็กๆ ที่มีสองสาวนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“ชอบพูดอย่างนี้อีกแล้ว ยายมุก จะอยากรวยไปถึงไหนกัน ถามหน่อย ทำงานพอเลี้ยงตัวเองได้ มีความสุขกับสิ่งที่ทำยังไม่พออีกหรือไง” ชายหนุ่มพูดพลางสบตากับหญิงสาวรุ่นน้อง
มุกดา เบะปาก แล้วหันไปแตะแขนเพื่อนสาว
“นีม่าล่ะ อยากรวยมั้ย”
นีม่ายิ้มน้อยๆ ไม่ตอบคำ มองหน้าเพื่อนสาวทีหนึ่ง แล้วก็หันไปมองชายหนุ่มเบื้องหน้า
“สองคนนี่ เคยคุยกันดีๆ บ้างมั้ยเนี่ย เจอกันทีไรพูดขัดคอกันอยู่เรื่อย”
“เชอะ…” มุกดาร้องขึ้น
“พี่ไม่ใช่คนชอบหาเรื่องก่อนนะ ดูเอาเองเถิดครับ”
หญิงสาวจากดินแดนอันไกล้โพ้น กลั้นยิ้ม มองสองหนุ่มสาวร่วมโต๊ะด้วยอารมณ์ชื่นบาน
“ก็ทำตัวอย่างนี้ ใช้ชีวิตอย่างนี้ไปเรื่อยๆ รอชาติหน้าเถอะผู้หญิงที่สนใจเขาถึงจะใจอ่อน ตาบ๊องเอ๊ย” มุกดายังไม่ยอมลดราวาศอก
วิน หัวเราะเสียงดัง
“ว่าแต่ว่า ตกลงให้พี่ไปพบเจ้านายของนีม่าวันไหนดี” ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่อง ราวกับว่าไม่ยากต่อล้อต่อเถียงของสาวรุ่นน้องอีกต่อไป
“แล้วแต่ทางพี่สะดวกเถอะค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
“งั้นก็สักกลางอาทิตย์หน้าแล้วกัน ตอนนี้พี่มีงานค้างอยู่นิดหน่อย แล้วพรุ่งนี้ต้องพาพ่อแก่ไปหาหมอด้วย”
“พ่อแก่…งั้นหรือ” นีม่าถามขึ้น
“อ้าว ลืมบอกไป พ่อแก่ก็เป็นคุณตาของพี่เองนั่นแหละ”
ชายหนุ่มตอบไปแล้วก็หันมาพูดกับมุกดาเหมือนนึกได้
“วันก่อน พ่อแก่ยังพูดถึงมุกอยู่เลยนะ”
หญิงสาวยิ้มแป้น
“ดีจัง มุกคิดถึงคุณตา เพราะคุณตาใจดี ไม่กวนประสาทเหมือนคนบางคน” มุกดาไม่วายแขวะ
“แล้วกัน มุกนี่” นีม่า พูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ นึกขำกับอาการแง่งอนของเพื่อนสาว ซึ่งดูเหมือนว่าจะกำเริบทุกครั้งที่ปะทะคารมกับชายหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้
“คิดว่า ถ้าได้เจอกับเจ้านายของนีม่า ได้ข้อมูลเพิ่มเติม อาจจะพอคลำหาเจอเด็กสาวลึกลับคนนั้นก็ได้” ชายหนุ่มว่า
“ได้อย่างนั้นก็ดีสิคะ”
วิน เหลือบตามองมุกดาแล้วถามขึ้น
“เสร็จจากนี้แล้วกลับบ้านเลยหรือเปล่า พี่ฝากของไปให้เกดเค้าหน่อย”
มุกดามีสีหน้าเบื่อๆ ก่อนพยักหน้ารับ
“ตามเคย”
วินยิ้มอยู่ในสีหน้า ก่อนจะหยิบรูปใบหนึ่งยื่นให้ พลางบอก
“พอดีไปค้นหนังสือรุ่นเก่าๆ เจอรูปเกดสมัยตอนเรียนมัธยมปลายติดอยู่ด้วย เอาไปให้ทีนะ น้องมุกคนงาม”
“อย่ามาคนงอน คนงามนะ ไม่ชอบ” มุกบ่นก่อนจะเอื้อมมือไปรับรูปจากมือของชายหนุ่ม แล้วจึงยื่นรูปให้เพื่อนสาวดู
“นีม่านี่ไง รูปพี่เกดสมัยโน้น เป็นไงสวยมั๊ย”
นีม่า เหลือบตามองแว่บหนึ่ง หน้าตาของหญิงสาวในรูปกับปัจจุบันดูจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก เพียงแต่ผมตัดสั้นกว่าที่เคยเห็น ส่วนดวงตาและรอยยิ้มอันเริงรื่นให้ความรู้สึกเป็นกันเอง
“อืมม์ หน้าตาไม่ค่อยเปลี่ยนเลย แต่เอ๊ะ-พี่เกดสายตาสั้นด้วยหรือนี่ เพิ่งรู้”
“เกดเค้าสั้นไม่มากหรอก ตอนนี้เลิกใส่แล้ว หันมาใช้คอนแทคเลนส์” วินตอบแทน
“รู้ไปหมดเชียวนะ รู้ดีกว่าตัวพี่เกดเสียอีกมั๊งเนี่ย” มุกแขวะ
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำ นอกจากยิ้มแห้งๆ เท่านั้น ดูเหมือนว่าเด็กสาวรุ่นน้องคนนี้ดูจะ “รู้ทัน” จนดักคอเขาได้ทุกทีไปสิน่า
เกดเฝ้ามองรูปเก่าเก็บที่เพิ่งได้รับมาซ้ำไปซ้ำมาอยู่เป็นนาน ก่อนจะชายตามองไปยังน้องสาวที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้นั้น แล้วอมยิ้มถามขึ้น
“ดูสิ หน้าตาพี่นี่ตลกดีจัง สมัยนั้นนะ ว่ามั๊ย”
มุกดา พูดโดยไม่เงยหน้าจากหนังสือ
“ที่ตลกยิ่งกว่าก็คือ ข้างหลังรูปนั่น พี่เกด”
“หือม์ อะไรนะ” พี่สาวอุทานขึ้น ก่อนพลิกรูปดูทางด้านหลัง ก่อนจะหัวเราะเสียงใส เมื่อมีคนมือดีใช้ดินสอวาดรูปหัวใจ พร้อมสลักข้อความว่า “คิดถึงเสมอ รักคนสวยนะจ้ะ” เอาไว้ด้วยอีกต่างหาก
“หัวใจใครน้าเนี่ย…นึกไม่ออกแฮะ”
“จะใครเสียอีกเล่า ไม่ใช่ของคุณพี่จรกานั่นหรอกหรือ”
เกดส่ายหน้า
“ไม่ใช่หรอก วินไม่เขียนข้อความแบบนี้หรอก พี่รู้”
มุกดาถอนหายใจพลางบ่น
“นั่นนะสิ ซื่อบื๊อออกอย่างนั้น”
“คนที่เขียนข้อความนี้ ก็คงเพื่อนๆ มือซนของวินนั่นแหละมากกว่า พี่ว่านะ”
เกดเหลือบตามองน้องสาว ที่ขณะนี้วางหนังสือเอาไว้ข้างตัว แล้วทอดสายตามองไปที่จอโทรทัศน์เบื้องหน้า คิ้วที่ขมวดลง และใบหน้าอันบูดบึ้ง แสดงถึงอารมณ์อันแปรปรวนที่ดูเหมือนจะติดตัวมานานหลายปีแล้ว
“ไม่ดีใจเหรอ…”
มุกดาหันหน้ามาทางพี่สาวแล้วถามขึ้น
“ทำไมมุกต้องดีใจด้วยเล่าพี่เกด”
เกดหัวเราะ
“ก็ในข้อที่ว่า รูปหัวใจนั่นไม่ใช่ของวินนะสิ”
“อ้าว แล้วกัน ไม่เกี่ยวกับมุกแม้แต่นิดเดียว คุณพี่”
คนเป็นพี่สาวเอามือยีหัวน้องสาวด้วยอาการเอ็นดู
“จะให้พี่พูดตามตรงหรือไงนะ”
เป็นครั้งแรกที่มุกดา สาวคนกล้าวางสีหน้าไม่ถูก แล้วถามด้วยน้ำเสียงไม่ปกติออกไปว่า
“พูดให้ดีนะจ้ะ คุณพี่”
เกดถอนหายใจอีกเฮือก
“เป็นพี่เป็นน้องมากี่ปีกันแล้ว พี่สาวคนนี้ไม่ได้ตาบอดนะจ้ะ เพียงแต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น”
“หยุด-หยุดเลยคุณพี่สาว ไปกันใหญ่แล้ว กินยาผิดขนานมาหรือไง”
หญิงสาวคนพี่เอาร่างอิงกับหมอนใบเล็กที่วางพิงอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น แล้วใช้สายตาสังเกตสังกาผู้เป็นน้องสาวอยู่นาน ก่อนถอนหายใจยาว
“เอาเถิด เป็นผู้ร้ายปากแข็งต่อไปเถอะ พี่ไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว งานค้างเยอะ” เกดว่าก่อนจะลุกจากที่นั่งแล้วก้าวเท้าออกไป แต่ไม่วายหันหลังมายิ้มอย่างเป็นปริศนาให้กับน้องสาว
มุกดา ทำทีเป็นสนใจกับรายการโทรทัศน์เบื้องหน้า แต่หลังจากเหลือบตามองพี่สาวเดินจากไปแล้ว ก็อดพึมพำกับตัวเองไม่ได้
“ว่าแต่คนอื่นเค้าตาบอด พี่เกดเค้าจะรู้บ้างมั๊ยเนี่ยว่า ตัวเองก็บอด แถมบอดสนิทอีกต่างหาก”
ถึงตอนนี้หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจยาว จิตกระหวัดไปถึงใบหน้าดำๆ แต่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มเห็นฟันขาว ที่อยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาอยู่ในความคิดเสียอย่างนั้นแหละ
ตาบ๊องเอ๊ย รู้ตัวบ้างมั๊ย คนอื่นเขากับคิดกับตัวเองยังไงมั่งนะ เฮ้อ
ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะทำงานในห้องนอนนานแล้ว คอมพิวเตอร์บนโต๊ะถูกเปิดทิ้งไว้ ส่วนอาร์ตเวิร์กสีสดใสของงานโบชัวร์ที่ออกแบบให้กับร้านกาแฟแห่งหนึ่งถูกวางไว้ใกล้ๆ
แต่ขณะนี้เจ้าของโต๊ะให้ความสนใจเสียงเปาะแปะของเม็ดฝนที่กระทบกับหลังคาบ้านมากกว่าอื่นใด
วิน เงยหน้าออกไปนอกหน้าต่าง แล้วก็อมยิ้มให้กับกิ่งไม้ใหญ่ที่ยื่นออกมา มองดูเหมือนแขนของยักษ์ตัวใหญ่ที่แกว่งไกวไปมาตามแรงลม บางครั้งก็ส่งเสียงกรูเกรียว เหมือนกับจะทักทายมนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่นั่งดูมันอยู่เป็นนานแล้ว
ชายหนุ่มไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนโรแมนติกอะไรนัก แต่ไม่รู้ว่าทำไม ทุกครั้งที่ฤดูร้อนมาถึง ได้เห็นดอกไม้ที่ชูช่ออยู่บนกระถาง ริมกำแพง หรือเต็มพรืดตามถนนใหญ่ ความสุขดูเหมือนจะหลั่งถ้นอยู่ภายใน
ยิ่งหลังฝนในฤดูร้อนซาลงแล้ว ได้เห็นน้ำค้างเกาะพราวปนอยู่บนใบไม้ แล้วก็สูดกลิ่นระรวยของดอกอะไรก็ไม่รู้ที่ลอยฟุ้งเข้าจมูก ทำให้หัวใจหวิวด้วยความตื้นตัน อิ่มเอมใจที่ได้เห็นความสวยงามอย่างนี้
แน่ละ-บางครั้ง บรรยากาศที่รายล้อมอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก่อให้เกิดความเหงาอย่างสุดบรรยาย ว้าเหว่จนอยากหาใครสักคนพูดคุยด้วย รู้สึกได้ถึงความหม่นหมองในหัวใจ
มันคงเหมือนในหนังสือบางเรื่องที่เขาเคยอ่าน เป็นหนังสือที่อธิบายถึง “ลักษณ์” ของคนไว้ 9 ชนิด
และหนึ่งในนั้นคือลักษณ์ของคนโศกซึ้ง ซึ่งชอบจะหมกมุ่นอยู่ในอารมณ์ มักจะนำตัวเองเข้าสู่วังวนของอารมณ์ และความรู้สึกอยู่เสมอ
“มักจะมีความเพลิดเพลินแฝงอยู่ในอารมณ์ทุกข์” คือการสรุปลักษะเด่นของลักษณ์คนโศกซึ้งเอาไว้ ซึ่งทำให้ชายหนุ่มติดใจนักหนา เพราะมันเป็นเช่นว่านั้นจริงๆ ดูเหมือนเขารู้สึกได้ถึงอารมณ์ส่วนลึกของตัวเอง ราวกับมีประสาทสัมผัสไวกว่าคนอื่น แต่วิน ก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองคือลักษณ์ของ “คนโศกซึ้ง” จริงละหรือ
บางทีความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นก็อาจเพราะช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขาจมจ่อมตัวเองกับเรื่องราวครั้งอดีตเป็นส่วนใหญ่ ภาพเก่าเก็บ หนังสือรุ่นสมัยเรียนมัธยมปลาย การไปเยี่ยมเยือนโรงเรียนเก่า ให้ความรู้สึกโหยหาบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไป
แล้ววินก็หัวเราะให้กับตัวเอง เมื่อนึกถึงภาพเก่าเก็บของเพื่อนสาวคนสนิท ภาพนั้นช่วยดึงความทรงจำเก่าๆ กลับคืนมาอีกครั้ง
ภาพนั้น เพื่อนสมัยเรียนคนหนึ่งไปถ่ายมาจากไหนก็ไม่รู้ พอได้มาแล้วก็เอาดินสอไปเขียนรูปหัวใจ พร้อมถ้อยคำหวานแหวว มายื่นให้กับเขาเพื่อช่วยส่งต่อให้กับเกด
แต่ทำไมเขาถึงไม่ส่งมอบภาพนี้ให้กับเกดนะ เขาจำความรู้สึกตัวเองไม่ได้หรอก และตัวเพื่อนคนนั้นก็คงลืมๆ ไปแล้วกระมัง มานึกได้อีกทีก็เมื่อเห็นภาพนี้ซุกซ่อนอยู่ในหนังสือรุ่นเมื่อไม่กี่วันนี่เอง
ความคิดที่ผุดพรายขึ้นมา พาชายหนุ่มย้อนกลับไปที่วันวาน วันที่ยังนุ่งโรงเรียนขาสั้น ผมสั้นเกรียนติดหนังศรีษะ และได้ใช้ชีวิตร่วมกันอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหญ่
วินค่อยๆ ดึงลิ้นชักทางขวามือแล้วหยิบสมุดบันทึกเล่มหนาเล่มหนึ่งออกมา มันเป็นสมุดปกสีเลือดหมู สีเก่าซีด บันทึกเล่มนี้นอนอยู่ในลิ้นชักมาเป็นเวลานานแล้ว
นอกจากจะเป็นไดอารี่ที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คน สถานที่ แห่งความทรงจำไว้มากมายแล้ว บันทึกเล่มนี้ยังซุกซ่อนความรู้สึกที่ไม่อาจเปิดเผยกับใครไว้อีกด้วย
เป็นครั้งแรกในเวลายาวนานที่วินหยิบไดอารี่เล่มนี้ขึ้นมาอีกครั้ง
มือของชายหนุ่มสั่นเมื่อพลิกหน้าแรกของสมุดบันทึกขึ้น พร้อมกันนั้นวงหน้าของเด็กสาวสวมแว่นตา พร้อมรอยยิ้มอันเริงร่าปรากฏอยู่ตรงหน้า
โธ่เอ๋ย นอนไม่หลับอีกแล้วสิเรา คืนนี้ รู้สึกว้าวุ่นใจจนต้องลุกขึ้นมาเขียนบันทึก
รู้สึกสงสารเกดเป็นกำลัง
ความจริงแล้วอาการป่วยของแม่เกดก็เป็นที่รู้ดีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะปุบปับอย่างนี้
ขนาดเราเป็นคนนอกยังรู้สึกใจหาย แล้วตัวเกดเองเล่าจะเป็นถึงขนาดไหนกัน
เอาเถอะ ถึงคุณน้าจะหย่ากับคุณพ่อของเกดนานแล้ว แต่ความผูกพันระหว่างแม่ลูกคู่นี้ก็ยังอยู่ เราเองยังจำภาพที่คุณน้าพาเกดมาที่โบสถ์เกือบทุกอาทิตย์ได้ติดตา ทั้งคู่ดูมีความสุขเหลือเกิน ยามจูงมือกันเข้าไปฟังศีลที่โบสถ์นั่น
แต่ภาพนั้นไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้อีกแล้วสิ ใช่มั๊ย
แน่ละ คุณพ่อของเกด น้าเยาว์คงจะปลอบประโลมให้เกดคลายเศร้าได้ในไม่ช้า แต่ภายในลึกๆ ไม่มีอะไรจะมาอุดรอยโหว่ในหัวใจของเกดได้หรอก
ถึงเกดจะไม่มีน้ำตาให้เห็น แต่เรารู้ว่าเธอเศร้า เศร้ามากเหลือเกิน
ความรู้สึกของการเป็นลูกกำพร้า เหมือนโดนใครบางคนทิ้งเราไปอย่างไม่ใยดี ปล่อยให้เราเคว้งคว้าง เหมือนหลงทางอยู่ในความมืด มันทรมาน มีแต่ลูกกำพร้าเหมือนกันเท่านั้นที่จะเข้าใจความรู้สึกได้
เกดเล่า ผูกพันกับแม่มานานหลายปี แม้จะแยกบ้านกันอยู่ แต่อยู่ดีๆ ต้องมาจากกันไปอย่างนี้ มันยากจะทำใจจริงๆ
ไม่รู้จะปลอบใจเพื่อนอย่างไร ไม่รู้เลย
วินถอนหายใจครั้งหนึ่งเมื่ออ่านบันทึกมาถึงตรงนี้
จำได้ว่าเขียนบันทึกนี้หลังจากแม่ของเกดเสียชีวิตไปได้ไม่นานนัก เอามาอ่านอีกครั้งตอนนี้สำนวนดูจะเชยเหลือกำลัง
แต่เขาก็ยังจำความรู้สึกตอนที่เขียนบันทึกนี้ได้ดี
แน่ละ ความรู้สึกของการสูญเสียแม่ มันนำพาความทุกข์มาให้อย่างเหลือแสน เขาเองก็เช่นกัน แต่เมื่อมาเห็นเพื่อนต้องประสบเคราะห์กรรมในลักษณะเดียวกัน ชายหนุ่มรู้ว่าเกดต้องการใครสักคนที่จะปลอบโยน แบ่งเบาความทุกข์แม้สักเล็กน้อยก็ยังดี
พ่อของเขาบอกว่า ตั้งแต่เด็กแล้วที่เขาเป็นคนขี้สงสาร ใจอ่อนเสียเหลือเกิน โกรธใครไม่ค่อยเป็น พะวงแต่ว่าคนอื่นจะโกรธ จะเกลียด จนดูเหมือนว่าจะกลายเป็นลูกไล่ให้เพื่อนฝูงเสียเรื่อยไป
“ความจริงก็คือลูกเป็นคนที่หวังดี จริงใจกับทุกคน พูดให้ถูก นิสัยของลูกก็ถอดแบบมาจากแม่เขานั่นแหละ”
คงจะจริงอย่างที่พ่อว่า แม่จากไปตอนที่วินเริ่มเรียนตอนม.ต้นด้วยโรคหัวใจที่แม่เก็บงำไว้เป็นเวลานาน ภาพในความทรงจำของเขาที่มีต่อแม่ก็คือ ผู้หญิงที่แสนจะใจดี พูดน้อย เก็บความทุกข์เอาไว้กับตัว แจกจ่ายความสุขให้กับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
และเท่าที่ทราบพ่อรักแม่ รักเหลือเกิน และความรักนั้นเผื่อแผ่มาถึงเขา ถึงฐานะทางบ้านจะไม่ร่ำรวยนัก แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงชีวิตอันแสนจะอบอุ่น รื่นรมย์
เสียดายสุขนั้นสั้นนัก
เพราะอย่างนั้น เมื่อแม่จากไปพ่อจึงเป็นคนที่โศกเศร้าเสียใจมากที่สุด หลังจากนั้นชีวิตของพ่อก็มีแต่การทำงานเพื่อเลี้ยงดูเขาให้เติบโต ไม่สนใจใครอีกเลย
แล้ววันหนึ่งพ่อก็ตัดสินใจกลับไปบวชที่บ้านเกิด หลังจากแม่เสียไปได้ 3 ปี
“จำไว้นะวิน พ่อไม่ได้ทิ้งลูก ไม่ได้หลบหนีอะไรทั้งสิ้น ลูกโตแล้วสามารถดูแลตัวเองได้ คุณตา คุณยาย รักลูกมาก และจะเลี้ยงให้ลูกโตขึ้นเป็นคนดี พ่ออยากไปบวช ไม่รู้ว่าจะนานสักเท่าไหร่ พ่อมีคำถามในชีวิตบางอย่างที่กำลังค้นหา บางทีธรรมะอาจจะให้คำตอบนั้นกับพ่อได้”
หลังจากนั้น พ่อก็บวชเป็นพระในวัดป่าแห่งหนึ่งในบ้านเกิด และไม่เคยสึกออกมาอีกเลย
แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มไม่เคยลืมช่วงเวลาที่มีความสุขร่วมกับพ่อและแม่เป็นเวลาหลายปีนั่นเลย และรับรู้ต่อมาว่า นิสัยช่างคิด มีจิตใจอันกว้างขวาง ทุกข์ร้อนแทนคนอื่นของเขานั้น เป็นส่วนผสมมาจากพ่อและแม่คนละครึ่งนั่นเอง
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของเขาก็คือพ่อแก่ แม่แก่ แล้วก็เพื่อนฝูงอีกกลุ่ม
และที่สนิทสนมกว่าใครเพื่อนก็คือบุษบา-เกด นั่นเอง
เขากับเกดเป็นเพื่อนกันมานาน เป็นมาตั้งแต่เรียนชั้นประถมนั่นแหละ พ่อและแม่ของทั้งสองฝ่ายก็รู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ความผูกพันเริ่มแน่นแฟ้นน่าจะเป็นตอนที่เข้าเรียนระดับม.ต้น ในโรงเรียนเดียวกัน ชั้นเดียวกัน ห้องเดียวกัน แถมยังนั่งติดกันอีกต่างหาก
ไปไหนต่อไหนด้วยกัน กลับบ้านพร้อมกัน จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคู่ปาท่องโก๋
ถึงขนาดล้อว่าเป็นแฟนกันก็มี
แปลกที่ยามโดนล้อ คนที่อายหน้าแดง อยากเอาหัวมุดลงดินกลับกลายเป็นเขาเองไปเสียได้
ส่วนเกดนะหรือ มีแต่เสียงหัวเราะเริงร่าแล้วก็ใช้มือเคาะศรีษะคนถามไปเสียทุกครั้ง
“ไอ้บ้า…” เกดจะพูดออกมาเช่นนั้น แล้วพยักเพยิดมาทางเขาแล้วพูดขึ้นว่า
“อย่าไปถือพวกนี้เลยนะ วินก็รู้นี่ว่าเกดมีแฟนแล้ว
นึกถึงความหลังในตอนนี้แล้ววินก็ถอนหายใจ ส่ายศรีษะไปมา นี่เป็นความลับของเขากับเพื่อนสาวสองคนเท่านั้น
“เกดเชื่อในเรื่องของโซลเมต ผู้ชายในฝันนะ เอาเป็นว่ารออีกสิบปี ถ้าเกดไม่เจอผู้ชายคนนั้น เกดจะยอมเป็นแฟนวินนะจ้ะ”
พูดจบแล้ว เกดก็จะหัวเราะเสียงดัง ดวงตาวิบวับเป็นประกายบางอย่าง
ไม่รับรู้เลยว่า เพื่อนคนนี้แอบภาวนาให้สิบปีนั้นผ่านไปโดยเร็วที่สุด
นึกถึงแล้ว วินก็อยากหัวเราะกับความบ้าบอของตัวเองเสียเหลือเกิน
แต่จะทำได้อย่างไรเล่า มันเป็นของมันเอง บังคับไม่ได้
ความรักมันห้ามกันได้เสียที่ไหน
๑๓.๑๐.๕๒
บทที่ 7-ถวิลหา
ฝนพรำมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ลมพัดแรงจนต้นไม้หน้าบ้านไหวเอนไปมา ใบไม้พร่างพรู ลอยคว้างอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ก่อนจะปลิวกระจายลงกับพื้น วิน มองลั่นทมที่ดอกหล่นเกลื่อนอยู่ตามพื้น แล้วก้มตัวเก็บดอกร่วงๆ มาดอกหนึ่ง สูดกลิ่นหอมจางๆ เหมือนที่เคยทำอยู่เป็นประจำ
“ดอกร่วงหมดเลย” วินเอ่ยขึ้น พลางสบตากับชายสูงวัยที่นั่งอยู่เบื้องหน้า ทั้งคู่นั่งอยู่บนโต๊ะไม้ที่รายล้อมด้วยต้นไม้เขียวชะอุ่ม ชั้นล่างของบ้านไม้สีฟ้ากลางสวน
ชายสูงวัย รูปร่างผอมเพรียว ผมสีดอกเลา ใส่เสื้อแขนสั้นลายดอกไม้ กางเกงแพรสีแดง กำลังยิ้มแย้มให้เด็กหนุ่ม พลางใช้มือชี้ไปที่กอเฟื่องฟ้าชุ่มน้ำที่อยู่ไม่ห่างไกลกันนัก
“นั่นก็เหมือนกันเห็นมั๊ยเล่า กลีบช้ำ ดอกร่วงยิ่งกว่าลั่นทมเสียอีก ธรรมดาก็ร่วงง่ายอยู่แล้วเจอฝนฤดูร้อนยิ่งไปใหญ่”
“พ่อแก่ น่าจะใส่เสื้อให้อบอุ่นกว่านี้นะ อากาศเย็นเดี๋ยวก็ไม่สบายอีก” เด็กหนุ่มเตือนด้วยความเป็นห่วง
ชายสูงวัยพยักหน้ารับรู้
“อย่าห่วงพ่อแก่ไปเลย พ่อนะชาวสวน แข็งแรงจะตายไป ไปบอกแม่แก่เขาเถอะ รายนั้นอากาศเปลี่ยนนิดเดียวก็ครั่นเนื้อครั่นตัวแล้ว”
พ่อแก่กล่าวตอบไปแล้ว ก็มองหน้าหลานชายที่กำลังก้มหน้าสาละวนกับการพลิกหนังสือเล่มโตไปมาอย่างสนอกสนใจ
“ทำอะไรนะลูก เห็นพลิกไปพลิกมาอยู่ตั้งนานแล้ว”
วิน เงยหน้าแล้วยิ้มเห็นฟันขาว
“ไม่มีอะไรหรอกพ่อแก่ หนังสือรุ่นของโรงเรียนเก่านะครับ”
“คิดถึงเพื่อนเก่าๆ หรือไง”
ชายหนุ่มส่ายหน้า
“เปล่าหรอกครับ เอามาทำงานนิดหน่อย”
“ทำงานเหรอ พ่อแก่ชักงง” ชายชราถามขึ้น พลางยื่นหน้ามองหนังสือเล่มโตเบื้องหน้าหลานชายอย่างสนใจใคร่รู้
วิน เอามือเกาศรีษะ แล้วยิ้มแห้งๆ
“ตามหาคนนะครับ ยายมุกไหว้วานให้ช่วย”
“อย่างนั้นหรือ…” พ่อแก่พึมพำ
“ยายมุก เพื่อนลูกนะหรือ…”
วิน ส่ายหน้าแล้วอธิบาย
“ไม่ใช่ครับ นั่นเกดครับ นี่ยายมุกคนน้อง”
พ่อแก่หัวเราะอย่างขัดเขิน
“อ้าวเหรอ พ่อแก่นี่แย่จริง ความจำชักเสื่อม ยายคนเล็กที่แก่นๆ พูดไม่หยุดนั่นใช่มั๊ยละ เดี๋ยวนี้ยังติดหนังสือการ์ตูนเหมือนเดิมหรือเปล่า”
“ไม่แล้วครับ มุกเขาเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ปีหน้าก็จะรับปริญญาแล้ว”
ชายชราพยักหน้ารับรู้
“เออ เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกินนะ เห็นเป็นเด็กแก่นกระโหลกอยู่ไม่กี่วัน เป็นสาวเสียแล้ว”
วิน เงยหน้าจากหนังสือรุ่น
“ครับ เร็วเหลือเกิน”
พ่อแก่ถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง
“ลูกก็เหมือนกัน เผลอแผล็บเดียวนี่ใกล้จะมีเมียแล้วสิเนี่ย”
“ยัง-ยังหรอกครับ พ่อแก่” เด็กหนุ่มร้องเสียงหลง
ชายชราสูงวัยหัวเราะเสียงดังอย่างคนอารมณ์ดี
“อย่าอายไปเลย ชอบคนพี่หรือคนน้องละ”
วินนิ่งเงียบชั่วครู่แล้วส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ
“พ่อแก่ นึกได้แล้ว เกด-คนพี่ ที่สวยๆ เรียนหนังสือเก่งใช่มั๊ยเล่า”
“ครับ…”
“อืมม์…แต่ก็น่ารักทั้งพี่ทั้งน้องนั่นแหละ แถมรักกันดีเหมือนพี่น้องคลานตามกันมา”
วิน นั่งนิ่งฟังเรื่องเล่าของพ่อแก่อย่างเพลิดเพลิน
“แต่คนพี่นั่น เหมือนแม่เค้านะ ทั้งหน้าตา อะไรหลายๆ อย่าง”
“งั้นหรือครับ…”
พ่อแก่หลับตาชั่วครู่ ยิ้มละไมบนสีหน้า
“แม่เขานะ เห็นอ่อนแออย่างนั้นเถอะ แต่จริงๆแล้ว อ่อนนอกแข็งใน จิตใจเด็ดเดี่ยวนัก ลองว่าตัดสินใจอะไรแล้วไม่มีเปลี่ยนเด็ดขาด ไม่เชื่อก็ไปถามแม่แก่เขาเถอะ ขานั้นเขาพูดถูกคอกันดี”
ชายชราสูดลมหายใจยาวครั้งหนึ่ง
“เสียดายที่…”
แม้จะพูดออกมาไม่เต็มประโยค แต่วิน ก็พอจะรับรู้ความรู้สึกของพ่อแก่ได้เป็นอย่างดี
อ่อนนอกแข็งในอย่างนั้นหรือ เกดเป็นอย่างนั้นด้วยมั้ยนะ ชายหนุ่มถามตัวเองขึ้นมา
“พี่เกด”
เสียงแหลมเล็กของหญิงสาวผิวเกลี้ยงเกลา ผมยาวปะบ่า ในชุดเสื้อยืดสีขาวแขนกุด กางเกงขาสั้นสีน้ำตาล อวดเรือนขาวผ่องดังขึ้น ขณะนอนอยู่บนเตียงที่ตั้งอยู่กลางห้องสีขาวกระจ่างตา
เสียงนั้นทำให้ผู้ที่นั่งสาละวนอยู่กับกองหนังสือตรงหน้าบนโต๊ะทำงานซึ่งเยื้องอยู่ไม่ไกลนัก ต้องหันหน้าไปมอง
“ว่าไงเล่าจ้ะ คุณน้องสาว” เกดถามขึ้นพลางเหลือบหางตามอง แล้วยิ้มน้อยๆ
“มุกเลือกคนถูกหรือเปล่า”
พี่สาวมองสบตาน้องสาว แล้วอมยิ้มถาม
“เลือกใคร แฟนเหรอ?”
“โหย…พี่สาว”
มุกดาบ่น แล้วผลุดลุกขึ้นนั่งบนเตียง
“ก็…เรื่องที่ช่วยให้ตามหาเด็กผู้หญิงคนนั้น แบบว่า…”
คนเป็นพี่ยิ้มละไม
“อ๋อ เรื่องนั้นเอง”
มุกดา เหลือบตามองพี่สาว ที่นั่งเงียบไม่ยอมอธิบายต่อ
“รับปากนีม่ามาแล้วก็อยากให้ตามหาคนได้สำเร็จ แต่ไม่รู้ว่า…”
เกด สบตากับน้องสาว เหมือนรอคำพูดประโยคต่อไป
“เห็นเอื่อยเฉื่อยอย่างนั้น ก็กลัวเหมือนกันนะ ถ้ายังไงมองไม่เห็นโอกาสมุกจะได้บอกนีม่าเขาเสียตั้งแต่เนิ่น”
“อย่าเพิ่งเลยน่า วินเขาขยันขันแข็งกับงานนี้ดี แถมได้สนุกเหมือนกลับไปเจาะเวลาหาอดีต"
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี”
“นี่ถ้า…” มุกพึมพำ ในขณะที่นั่งเอามือกุมที่หัวเข่า ก้มศรีษะลงแนบ ก่อนเงยหน้าขึ้น
“ถ้าอะไรจ้ะ…”
มุกดามีดวงตาเริงรื่น
“ถ้าไม่ได้พี่เกดช่วยขอร้องอีกแรง ตานั่นจะมีแก่ใจช่วยมุกมั๊ยเนี่ย อยากรู้จัง”
พี่สาวเลิกคิ้วสูง
“ทำไมคิดอย่างนั้นเล่า วินนะเขาเป็นคนมีน้ำใจ มุกก็รู้นี่ ”
“เชอะ ลองบุษบาออกแรงขอร้อง มีหรือจรกาตัวดำจะกล้าปฎิเสธ”
พี่สาวส่งเสียงร้องจุ๊ๆ แล้วเอามือชี้หน้าน้องสาว
“เรียกอย่างนั้นอีกแล้ว ไม่เอาน่าน้องพี่”
มุกดาแลบลิ้น
“น่า ล้อเล่น”
แล้วหญิงสาวก็ทิ้งร่างลงบนเตียงเสียงดังตึง
เกด พับหนังสือในมือลงวางกับโต๊ะ พลางส่ายหน้าอย่างระอา
“ชักเอาใหญ่แล้วนะเรา”
มุกดาไม่สนใจเสียงเอ๊ดของพี่สาวเท่าไหร่นัก นอนหลับตาอยู่บนเตียง แต่มือยังอยู่ไม่สุข ไต่ไปตามหัวเตียงจนปัดไปโดนซองพลาสติกหล่นจากหัวเตียงไปกระทบพื้นห้องเสียงดังตึงขึ้นมา
“ตายละ…แตกหรือเปล่านั่น” มุกร้องขึ้น ในขณะที่ผู้พี่สาวใช้สายตากราดไปมองสิ่งที่กลิ้งอยู่กับพื้นห้อง
“ซนจังเลยเราเนี่ย เก็บแว่นให้พี่หน่อย”
มุก กลิ้งร่างลงบนเตียงแล้วกระโจนเอามือคว้าซองแว่นตานั้นขึ้นมาแล้วถามขึ้น
“ไม่ค่อยเห็นพี่เกดใส่แว่นนานแล้ว”
เกดส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ใช่-ไม่ได้ใช้นานแล้ว พี่ใช้คอนแทคเลนส์นะ ที่ยังเก็บแว่นเอาไว้ก็เพื่อใช้ตอนอ่านหนังสือก่อนนอนเท่านั้น”
“อ้อ มุกเคยเห็นพี่เกดใส่บ่อยๆ ก็สมัยตอนเรียนโน่น หลายปีมาแล้วนี่นะ”
“ใช่-จำแม่นนี่เรา” เกดตอบสั้นๆ แล้วก็หันไปสนใจกับกองหนังสือตรงหน้าต่อไปตามเดิม
แสงยามเย็นไม่ร้อนแรงนัก แดดโรยตัวอ่อนลง ในขณะที่หนุ่มสาวคู่นั้นพากันเดินเข้าไปสวนสาธารณะใหญ่ใจกลางเมืองหลวง มองไปทางไหนก็เห็นผู้คนพลุกพล่าน มีทั้งมาวิ่งออกกำลังกาย เดินเล่น หรือนั่งหามุมสงบอ่านหนังสือ
เจ้าชายโดร์เช กวาดพระเนตรไปทั่วบริเวณ มองไปที่บึงน้ำกว้างที่อยู่เบื้องหน้า ท่ามกลางสีเขียวขจีของต้นไม้ใหญ่น้อยรายล้อมอยู่โดยรอบ ใช้สายตาเฝ้าดูกิ่งอ่อนช้อยของต้นตะแบกกวัดไกวไปมา ก่อนจะหันมามองชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งกำลังเข็นรถคันเล็กๆ ที่มีทารกตัวน้อยๆ หลับอยู่ในนั้นเดินผ่านไป
“ที่นี่สวยมาก นีม่า”
“เพคะ บรรยากาศที่นี่ทำให้นีม่านึกถึงดัลวาอยู่เสมอ”
“เจ้าคงคิดถึงบ้านสินะ จากมาเรียนที่นี่หลายปีแล้ว”
“เพคะ แต่หม่อมฉันก็รู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้านเหมือนกัน”
เจ้าชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ พลางตรัสว่า
“เราไปนั่งที่ริมน้ำนั่นเถอะ เงียบสงบดี” หญิงสาวค้อมศรีษะลง ยิ้มน้อยๆ แล้วก้าวเดินตามชายหนุ่มไปอย่างช้าๆ ก่อนจะทรุดตัวลงบนม้านั่งยาวสีขาวที่ว่างอยู่
“นี่ นีม่า”
“ว่าไงเพคะ”
เจ้าชายโดร์เชหันพระพักตร์มา
“ไม่ต้องถือพิธีรีตองมากนักหรอก แล้วก็…”
นีม่าพยักหน้ารับคำ
“แล้วเจ้าก็พูดภาษาไทยกับข้าเถอะ อย่างน้อยจะได้ช่วยฟื้นภาษาไทยให้กับข้าด้วย เข้าใจหรือไม่”
หญิงสาวยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
เจ้าชายโดร์เชผินพระพักตร์ไปยังบึงน้ำกว้างเบื้องหน้า ซึ่งในขณะนี้มีนกกระยางสีขาวบินโฉบไปมาอย่างเริงร่า กลางบึงน้ำมีคู่หนุ่มสาว 2-3 คู่พายเรือไปมาอย่างเพลิดเพลิน
“เจ้าคงอยากรู้สินะ”
“เพคะ…?” หญิงสาวร้องขึ้นอย่างงุนงง
“เหตุผลที่ข้าเดินทางมาที่นี่ แล้วก็ตามหาเด็กสาวคนนั้น” เจ้าชายโดร์เชตรัส
นีม่านั่งนิ่ง ไม่รู้จะตอบอย่างไรต่อไปดี
“ว่าอย่างไรเล่า”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างอายๆ ก็ใครไม่อยากจะรู้เล่า รัชทายาทหนุ่มจากดินแดนอันไกลโพ้นเดินทางข้ามขอบฟ้ามาตามหาผู้หญิงคนหนึ่ง มันเหมือนเทพนิยายที่เคยอ่านตอนเด็กนี่นา
“เท่าที่ทราบจากพี่มูตา เจ้าชายพบเด็กผู้หญิงคนนั้นตอนมาเรียนหนังสือที่นี่เมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ครั้งเดียวไม่ใช่หรือ”
เจ้าชายโดร์เชส่ายพระพักตร์
“ไม่หรอก ไม่ใช่อย่างที่มูตาเข้าใจ ข้าไม่ได้พบเด็กสาวคนนั้นเพียงครั้งเดียวหรอก ยังมีตามมาอีกหลายครั้ง”
“อย่างนั้นหรือ…” นีม่าอุทานขึ้น
เจ้าชายหนุ่มใช้พระหัตถ์ลูบคำลูกประคำบนลำพระศอ แล้วหลับพระเนตรลง ราวกับต้องการให้ความหลังครั้งอดีตผุดพรายขึ้นมาอีกครั้ง
เสียงพูดภาษาอังกฤษของแม่ชีดังกังวานอยู่หน้ากระดานดำ ในขณะที่นักเรียนชายราว 30 คนในห้องนั่งสงบตั้งอกตั้งใจฟังเป็นอย่างดี แต่บางจังหวะก็มีเสียงกระซิบ เสียงหัวเราะแทรกซ้อนขึ้นมา
แดดอ่อนยามเช้าส่องแสงสีทองกระทบมาที่โต๊ะเรียนด้านที่อยู่ติดกับริมหน้าต่าง นักเรียนที่นั่งอยู่บางคนเอามืองับหน้าต่างเพื่อหลบแดดที่ลามเลียเข้ามา แต่มีอยู่โต๊ะหนึ่งที่ปล่อยให้แดดลอดหน้าต่างเข้ามาถึงหน้า ลำคอ แขน แต่ไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวไปไหน
เด็กหนุ่มบนโต๊ะตัวนั้น มีใบหน้าเรียวยาว ดวงตาแจ่มใส ทรงผมตัดสั้น แต่ก็ไม่สั้นจนเกินไปนัก ยามลมริมหน้าต่างพัดมา เส้นผมยาวที่ปิดปกคลุมหน้าผากปลิวไปมา และในขณะนี้เด็กหนุ่มแทบจะเป็นเพียงคนเดียวในห้องที่ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยให้เสียงพูดของแม่ชีผู้สอนในคาบเรียนนี้ดังแว่วอยู่ในหู
เด็กหนุ่มกำลังมองไปข้างล่าง บางครั้งก็แย้มยิ้มน้อยๆ แต่บางครั้งก็หลบวูบจากหน้าต่างหันไปฟังบทเรียนจากแม่ชีครั้งหนึ่ง แล้วก็หันกลับมองออกไปข้างล่างเหมือนเดิม
ถ้ามองตามสายตาของเด็กหนุ่มออกไป มองเห็นโบสถ์ฝรั่งสีขาวตั้งอยู่ไม่ไกล มีเพียงรั้วเหล็กของโรงเรียนกั้นขวางไว้เท่านั้น ลานกว้างหน้าโบสถ์ในขณะนี้ มีนักเรียนหญิงในชุดเสื้อแขนยาวผูกคอซองกลุ่มหนึ่ง ยืนถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน โดยมีต้นสนทะเลสูงใหญ่ 2 เป็นฉากหลัง
บางครั้งนักเรียนสาวกลุ่มนั้นก็กระโจนมาเกาะรั้วโรงเรียน ชี้ไม้ชี้มือไปยังต้นชงโค ราชพฤกษ์ และหางนกยูงฝรั่ง ที่กำลังแตกดอกออกช่อ สีสันสวยงามด้วยอาการเริงใจ
เด็กสาวกลุ่มนั้นหัวเราะคิกคักกันชั่วครู่ใหญ่ แล้วก็คนหนึ่งในกลุ่มนั้นก็ชี้มือชี้ไม้ไปยังเด็กหนุ่มที่เพ่งสายตามองลงมา แล้วพากันพูดคุยเสียงดังเจื้อยแจ้ว จนทำให้เด็กหนุ่มต้องละสายตาหนีด้วยอาการขัดเขิน
เพียงครู่หนึ่งเท่านั้น เด็กหนุ่มก็มองลงมาอีก ยิ้มน้อยๆ ให้กับเด็กสาวกลุ่มนั้น
แต่สังเกตให้ดี ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะยิ้มทักทายให้กับเด็กสาวคนเดียวในกลุ่ม ที่ขณะนี้แยกตัวมาเกาะรั้วกำแพง เงยหน้ามองต้นตาเบบูย่า ที่ปลูกอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
เด็กสาวเงยหน้ามองดอกตาเบบูยาที่บานไสวล้อลมอยู่ แล้วจังหวะหนึ่งก็ชำเลืองมองขึ้นไปบนตึกเรียนที่มีเด็กหนุ่มจ้องมองลงมา
เด็กสาวผมสั้น ผิวขาวกระจ่างราวสีชมพู ค่อยๆ แย้มยิ้มออกมา แล้วโบกมือให้กับเด็กหนุ่มเหมือนคุ้นเคยกัน
ชั่วครู่เท่านั้น กลุ่มเพื่อนๆ ก็กรูกันเข้ามาหาเด็กสาว กระซิบกระซาบถาม สลับกับการเงยหน้ามองขึ้นไปบนตึกเรียน แล้วก็หัวเราะคิกคักออกมา
เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างเผลอตัว เสียงดังเสียจนแม่ชีที่กำลังหันหน้าเขียนชอล์กลงบนกระดานดำ ต้องหันหน้ามา สายตาดุมองลอดผ่านแว่นสายตา จนทำให้เด็กหนุ่มต้องนั่งตัวแข็ง
แต่ก็ยังแอบชำเลืองกลุ่มเด็กสาวทางเบื้องล่างที่กำลังเดินหัวเราะหัวใคร่ออกจากลานหน้าโบสถ์แห่งนั้นไป
เด็กหนุ่มอมยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย แล้วจึงก้มหน้าตาก้มตาเปิดหนังสือเรียนบนโต๊ะ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แค่นั้นเองหรือ”
“ฮื่อ…”
“เจ้าชายไม่เคยคุยกับเด็กสาวคนนั้นเลย”
ชายหนุ่มเพ่งสายตามองบึงน้ำกว้าง แล้วจึงพยักหน้า
“แค่คุยในโบสถ์ครั้งเดียวเท่านั้น”
หญิงสาวที่นั่งอยู่บนม้านั่งยาวเคียงข้างกับชายหนุ่มถอนหายใจยาวออกมา
“โธ่เอ๊ย…”
เจ้าชายโดร์เช ทรงพระสรวลออกมา
“หลังจากนั้นข้าเห็นเด็กสาวคนนั้นเกือบทุกอาทิตย์ บางทีก็มากับเพื่อนกลุ่มเดิม หรือบางหนก็แยกตัวมาคนเดียว ขี่จักรยานมาวนเวียนอยู่ลานหน้าโบสถ์บ้าง มาเดินเล่นคนเดียวบ้าง ส่วนใหญ่เด็กสาวนั่นไม่เห็นข้าหรอก หรือถ้าเห็นอย่างมากก็แค่อมยิ้มแล้วชำเลืองมาเท่านั้น แล้วก็…”
พูดไม่ทันจบประโยค นีม่าก็ชิงถามขึ้นก่อน
“ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่รู้จักชื่อเด็กผู้หญิงคนนั้น ไม่รู้ความเป็นมา อย่างมากก็โบกมือทักทาย ยิ้มให้กัน แค่นั้นหรือ”
“ใช่แล้ว…นีม่า”
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอ
ต้นรักของเจ้าชายรัชทายาทเกิดขึ้น แล้วค่อยๆ ผลิใบอย่างนี้หรอกหรือ
“ยิ่งกว่าซินเดอเรลล่าอีกนะเนี่ย ในนิยายซินเดอเรลล่ายังมีโอกาสเต้นรำกับเจ้าชายมั่ง แต่นี่…”
เจ้าชายโดร์เชถอนพระทัย
“ข้ารู้ แต่นีม่า ข้าเองก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน”
นีม่า หันมองพระพักตร์ด้านข้างของรัชทายาทแห่งดัลวาด้วยสายตาอ่อนโยนลง
“นานมั๊ย เพคะ”
“ราว 3 เดือนเห็นจะได้ หลังจากนั้นข้าก็กลับดัลวาโดยที่…”
“ไม่ได้ร่ำลากัน หรือแม้แต่จะถามชื่อ แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นก็อาจจะไม่รับรู้ความรู้สึกนั้นของเจ้าชายเสียด้วยซ้ำไป” นีม่า ชิงพูดขึ้น
เจ้าชายโดร์เชนิ่งเงียบ แล้วจึงหันพระพักตร์มาทางหญิงสาว
“ไม่มีเหตุผลเลยใช่มั๊ย นีม่า”
หญิงสาวส่ายศรีษะไปมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เจ้าชายเพคะ ความรักไม่ใช่เรื่องเหตุผลหรอกนะเพคะ มันเป็นเรื่องของความรู้สึก”
“ขอบใจมาก นีม่า”
เจ้าชายโดร์เชถอนพระทัยครั้งหนึ่ง
“แต่ข้าก็ยังสงสัยอยู่ว่า ความรู้สึกนั่นจะใช่ความรักจริงหรือ ข้าอยากรู้จริงๆ นีม่า”
“เพราะอย่างนั้น เจ้าชายจึงกลับมาในหนนี้”
“จะว่าอย่างนั้นก็คงไม่ผิดนัก” รัชทายาทหนุ่มตรัสตอบ
“แต่ตอบให้อย่างหมดจดกว่านั้นก็คือ เด็กสาวคนนั้นมีเสน่ห์บางอย่าง ให้ข้าต้องถวิลหาอยู่ตลอดเวลา ตอนนั้นข้าเองก็อาย ไม่กล้าที่จะพูดกับเด็กสาวคนนั้นด้วย และถึงมีโอกาสพูด ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี”
เจ้าชายถอนพระทัยหนหนึ่ง
“ข้าเดินทางกลับมาหนนี้ ไม่ใช่มาเพื่อกลับมาหาเห็นหน้าเด็กสาวคนนั้นอีกครั้งเท่านั้น แต่ยังอยากมีโอกาสทำความรู้จักให้มากขึ้น ได้พูดคุย เรียนรู้ซึ่งกันและกัน อยากเห็นความอ่อนโยน รวมไปถึงอารมณ์แปรปรวน ที่บางครั้งสุข บางครั้งก็เศร้าของเด็กสาวคนนั้น มีความรู้สึกอยากจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เท่าที่ข้าจะสามารถทำได้”
“ เจ้าว่าข้าฟุ้งซ่าน เกินไปหรือไม่” รัชทายาทแห่งดัลวาตรัสถามขึ้นอีกครั้ง
หญิงสาวจะตอบอย่างไรได้เล่า นอกจากนั่งนิ่งแล้วทอดสายตายาวไปยังบึงน้ำเบื้องหน้านั่น
“ไม่หรอกเพคะ หม่อมฉันอยากทูลว่า ถ้าหากเจ้าชายได้พบกับเด็กสาวคนนั้นจริง บางทีนี่อาจเป็นพรหมลิขิตก็เป็นได้”
นีม่ารู้สึกเหมือนอย่างที่พูดจริงๆ
“ดอกร่วงหมดเลย” วินเอ่ยขึ้น พลางสบตากับชายสูงวัยที่นั่งอยู่เบื้องหน้า ทั้งคู่นั่งอยู่บนโต๊ะไม้ที่รายล้อมด้วยต้นไม้เขียวชะอุ่ม ชั้นล่างของบ้านไม้สีฟ้ากลางสวน
ชายสูงวัย รูปร่างผอมเพรียว ผมสีดอกเลา ใส่เสื้อแขนสั้นลายดอกไม้ กางเกงแพรสีแดง กำลังยิ้มแย้มให้เด็กหนุ่ม พลางใช้มือชี้ไปที่กอเฟื่องฟ้าชุ่มน้ำที่อยู่ไม่ห่างไกลกันนัก
“นั่นก็เหมือนกันเห็นมั๊ยเล่า กลีบช้ำ ดอกร่วงยิ่งกว่าลั่นทมเสียอีก ธรรมดาก็ร่วงง่ายอยู่แล้วเจอฝนฤดูร้อนยิ่งไปใหญ่”
“พ่อแก่ น่าจะใส่เสื้อให้อบอุ่นกว่านี้นะ อากาศเย็นเดี๋ยวก็ไม่สบายอีก” เด็กหนุ่มเตือนด้วยความเป็นห่วง
ชายสูงวัยพยักหน้ารับรู้
“อย่าห่วงพ่อแก่ไปเลย พ่อนะชาวสวน แข็งแรงจะตายไป ไปบอกแม่แก่เขาเถอะ รายนั้นอากาศเปลี่ยนนิดเดียวก็ครั่นเนื้อครั่นตัวแล้ว”
พ่อแก่กล่าวตอบไปแล้ว ก็มองหน้าหลานชายที่กำลังก้มหน้าสาละวนกับการพลิกหนังสือเล่มโตไปมาอย่างสนอกสนใจ
“ทำอะไรนะลูก เห็นพลิกไปพลิกมาอยู่ตั้งนานแล้ว”
วิน เงยหน้าแล้วยิ้มเห็นฟันขาว
“ไม่มีอะไรหรอกพ่อแก่ หนังสือรุ่นของโรงเรียนเก่านะครับ”
“คิดถึงเพื่อนเก่าๆ หรือไง”
ชายหนุ่มส่ายหน้า
“เปล่าหรอกครับ เอามาทำงานนิดหน่อย”
“ทำงานเหรอ พ่อแก่ชักงง” ชายชราถามขึ้น พลางยื่นหน้ามองหนังสือเล่มโตเบื้องหน้าหลานชายอย่างสนใจใคร่รู้
วิน เอามือเกาศรีษะ แล้วยิ้มแห้งๆ
“ตามหาคนนะครับ ยายมุกไหว้วานให้ช่วย”
“อย่างนั้นหรือ…” พ่อแก่พึมพำ
“ยายมุก เพื่อนลูกนะหรือ…”
วิน ส่ายหน้าแล้วอธิบาย
“ไม่ใช่ครับ นั่นเกดครับ นี่ยายมุกคนน้อง”
พ่อแก่หัวเราะอย่างขัดเขิน
“อ้าวเหรอ พ่อแก่นี่แย่จริง ความจำชักเสื่อม ยายคนเล็กที่แก่นๆ พูดไม่หยุดนั่นใช่มั๊ยละ เดี๋ยวนี้ยังติดหนังสือการ์ตูนเหมือนเดิมหรือเปล่า”
“ไม่แล้วครับ มุกเขาเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ปีหน้าก็จะรับปริญญาแล้ว”
ชายชราพยักหน้ารับรู้
“เออ เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกินนะ เห็นเป็นเด็กแก่นกระโหลกอยู่ไม่กี่วัน เป็นสาวเสียแล้ว”
วิน เงยหน้าจากหนังสือรุ่น
“ครับ เร็วเหลือเกิน”
พ่อแก่ถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง
“ลูกก็เหมือนกัน เผลอแผล็บเดียวนี่ใกล้จะมีเมียแล้วสิเนี่ย”
“ยัง-ยังหรอกครับ พ่อแก่” เด็กหนุ่มร้องเสียงหลง
ชายชราสูงวัยหัวเราะเสียงดังอย่างคนอารมณ์ดี
“อย่าอายไปเลย ชอบคนพี่หรือคนน้องละ”
วินนิ่งเงียบชั่วครู่แล้วส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ
“พ่อแก่ นึกได้แล้ว เกด-คนพี่ ที่สวยๆ เรียนหนังสือเก่งใช่มั๊ยเล่า”
“ครับ…”
“อืมม์…แต่ก็น่ารักทั้งพี่ทั้งน้องนั่นแหละ แถมรักกันดีเหมือนพี่น้องคลานตามกันมา”
วิน นั่งนิ่งฟังเรื่องเล่าของพ่อแก่อย่างเพลิดเพลิน
“แต่คนพี่นั่น เหมือนแม่เค้านะ ทั้งหน้าตา อะไรหลายๆ อย่าง”
“งั้นหรือครับ…”
พ่อแก่หลับตาชั่วครู่ ยิ้มละไมบนสีหน้า
“แม่เขานะ เห็นอ่อนแออย่างนั้นเถอะ แต่จริงๆแล้ว อ่อนนอกแข็งใน จิตใจเด็ดเดี่ยวนัก ลองว่าตัดสินใจอะไรแล้วไม่มีเปลี่ยนเด็ดขาด ไม่เชื่อก็ไปถามแม่แก่เขาเถอะ ขานั้นเขาพูดถูกคอกันดี”
ชายชราสูดลมหายใจยาวครั้งหนึ่ง
“เสียดายที่…”
แม้จะพูดออกมาไม่เต็มประโยค แต่วิน ก็พอจะรับรู้ความรู้สึกของพ่อแก่ได้เป็นอย่างดี
อ่อนนอกแข็งในอย่างนั้นหรือ เกดเป็นอย่างนั้นด้วยมั้ยนะ ชายหนุ่มถามตัวเองขึ้นมา
“พี่เกด”
เสียงแหลมเล็กของหญิงสาวผิวเกลี้ยงเกลา ผมยาวปะบ่า ในชุดเสื้อยืดสีขาวแขนกุด กางเกงขาสั้นสีน้ำตาล อวดเรือนขาวผ่องดังขึ้น ขณะนอนอยู่บนเตียงที่ตั้งอยู่กลางห้องสีขาวกระจ่างตา
เสียงนั้นทำให้ผู้ที่นั่งสาละวนอยู่กับกองหนังสือตรงหน้าบนโต๊ะทำงานซึ่งเยื้องอยู่ไม่ไกลนัก ต้องหันหน้าไปมอง
“ว่าไงเล่าจ้ะ คุณน้องสาว” เกดถามขึ้นพลางเหลือบหางตามอง แล้วยิ้มน้อยๆ
“มุกเลือกคนถูกหรือเปล่า”
พี่สาวมองสบตาน้องสาว แล้วอมยิ้มถาม
“เลือกใคร แฟนเหรอ?”
“โหย…พี่สาว”
มุกดาบ่น แล้วผลุดลุกขึ้นนั่งบนเตียง
“ก็…เรื่องที่ช่วยให้ตามหาเด็กผู้หญิงคนนั้น แบบว่า…”
คนเป็นพี่ยิ้มละไม
“อ๋อ เรื่องนั้นเอง”
มุกดา เหลือบตามองพี่สาว ที่นั่งเงียบไม่ยอมอธิบายต่อ
“รับปากนีม่ามาแล้วก็อยากให้ตามหาคนได้สำเร็จ แต่ไม่รู้ว่า…”
เกด สบตากับน้องสาว เหมือนรอคำพูดประโยคต่อไป
“เห็นเอื่อยเฉื่อยอย่างนั้น ก็กลัวเหมือนกันนะ ถ้ายังไงมองไม่เห็นโอกาสมุกจะได้บอกนีม่าเขาเสียตั้งแต่เนิ่น”
“อย่าเพิ่งเลยน่า วินเขาขยันขันแข็งกับงานนี้ดี แถมได้สนุกเหมือนกลับไปเจาะเวลาหาอดีต"
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี”
“นี่ถ้า…” มุกพึมพำ ในขณะที่นั่งเอามือกุมที่หัวเข่า ก้มศรีษะลงแนบ ก่อนเงยหน้าขึ้น
“ถ้าอะไรจ้ะ…”
มุกดามีดวงตาเริงรื่น
“ถ้าไม่ได้พี่เกดช่วยขอร้องอีกแรง ตานั่นจะมีแก่ใจช่วยมุกมั๊ยเนี่ย อยากรู้จัง”
พี่สาวเลิกคิ้วสูง
“ทำไมคิดอย่างนั้นเล่า วินนะเขาเป็นคนมีน้ำใจ มุกก็รู้นี่ ”
“เชอะ ลองบุษบาออกแรงขอร้อง มีหรือจรกาตัวดำจะกล้าปฎิเสธ”
พี่สาวส่งเสียงร้องจุ๊ๆ แล้วเอามือชี้หน้าน้องสาว
“เรียกอย่างนั้นอีกแล้ว ไม่เอาน่าน้องพี่”
มุกดาแลบลิ้น
“น่า ล้อเล่น”
แล้วหญิงสาวก็ทิ้งร่างลงบนเตียงเสียงดังตึง
เกด พับหนังสือในมือลงวางกับโต๊ะ พลางส่ายหน้าอย่างระอา
“ชักเอาใหญ่แล้วนะเรา”
มุกดาไม่สนใจเสียงเอ๊ดของพี่สาวเท่าไหร่นัก นอนหลับตาอยู่บนเตียง แต่มือยังอยู่ไม่สุข ไต่ไปตามหัวเตียงจนปัดไปโดนซองพลาสติกหล่นจากหัวเตียงไปกระทบพื้นห้องเสียงดังตึงขึ้นมา
“ตายละ…แตกหรือเปล่านั่น” มุกร้องขึ้น ในขณะที่ผู้พี่สาวใช้สายตากราดไปมองสิ่งที่กลิ้งอยู่กับพื้นห้อง
“ซนจังเลยเราเนี่ย เก็บแว่นให้พี่หน่อย”
มุก กลิ้งร่างลงบนเตียงแล้วกระโจนเอามือคว้าซองแว่นตานั้นขึ้นมาแล้วถามขึ้น
“ไม่ค่อยเห็นพี่เกดใส่แว่นนานแล้ว”
เกดส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ใช่-ไม่ได้ใช้นานแล้ว พี่ใช้คอนแทคเลนส์นะ ที่ยังเก็บแว่นเอาไว้ก็เพื่อใช้ตอนอ่านหนังสือก่อนนอนเท่านั้น”
“อ้อ มุกเคยเห็นพี่เกดใส่บ่อยๆ ก็สมัยตอนเรียนโน่น หลายปีมาแล้วนี่นะ”
“ใช่-จำแม่นนี่เรา” เกดตอบสั้นๆ แล้วก็หันไปสนใจกับกองหนังสือตรงหน้าต่อไปตามเดิม
แสงยามเย็นไม่ร้อนแรงนัก แดดโรยตัวอ่อนลง ในขณะที่หนุ่มสาวคู่นั้นพากันเดินเข้าไปสวนสาธารณะใหญ่ใจกลางเมืองหลวง มองไปทางไหนก็เห็นผู้คนพลุกพล่าน มีทั้งมาวิ่งออกกำลังกาย เดินเล่น หรือนั่งหามุมสงบอ่านหนังสือ
เจ้าชายโดร์เช กวาดพระเนตรไปทั่วบริเวณ มองไปที่บึงน้ำกว้างที่อยู่เบื้องหน้า ท่ามกลางสีเขียวขจีของต้นไม้ใหญ่น้อยรายล้อมอยู่โดยรอบ ใช้สายตาเฝ้าดูกิ่งอ่อนช้อยของต้นตะแบกกวัดไกวไปมา ก่อนจะหันมามองชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งกำลังเข็นรถคันเล็กๆ ที่มีทารกตัวน้อยๆ หลับอยู่ในนั้นเดินผ่านไป
“ที่นี่สวยมาก นีม่า”
“เพคะ บรรยากาศที่นี่ทำให้นีม่านึกถึงดัลวาอยู่เสมอ”
“เจ้าคงคิดถึงบ้านสินะ จากมาเรียนที่นี่หลายปีแล้ว”
“เพคะ แต่หม่อมฉันก็รู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้านเหมือนกัน”
เจ้าชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ พลางตรัสว่า
“เราไปนั่งที่ริมน้ำนั่นเถอะ เงียบสงบดี” หญิงสาวค้อมศรีษะลง ยิ้มน้อยๆ แล้วก้าวเดินตามชายหนุ่มไปอย่างช้าๆ ก่อนจะทรุดตัวลงบนม้านั่งยาวสีขาวที่ว่างอยู่
“นี่ นีม่า”
“ว่าไงเพคะ”
เจ้าชายโดร์เชหันพระพักตร์มา
“ไม่ต้องถือพิธีรีตองมากนักหรอก แล้วก็…”
นีม่าพยักหน้ารับคำ
“แล้วเจ้าก็พูดภาษาไทยกับข้าเถอะ อย่างน้อยจะได้ช่วยฟื้นภาษาไทยให้กับข้าด้วย เข้าใจหรือไม่”
หญิงสาวยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
เจ้าชายโดร์เชผินพระพักตร์ไปยังบึงน้ำกว้างเบื้องหน้า ซึ่งในขณะนี้มีนกกระยางสีขาวบินโฉบไปมาอย่างเริงร่า กลางบึงน้ำมีคู่หนุ่มสาว 2-3 คู่พายเรือไปมาอย่างเพลิดเพลิน
“เจ้าคงอยากรู้สินะ”
“เพคะ…?” หญิงสาวร้องขึ้นอย่างงุนงง
“เหตุผลที่ข้าเดินทางมาที่นี่ แล้วก็ตามหาเด็กสาวคนนั้น” เจ้าชายโดร์เชตรัส
นีม่านั่งนิ่ง ไม่รู้จะตอบอย่างไรต่อไปดี
“ว่าอย่างไรเล่า”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างอายๆ ก็ใครไม่อยากจะรู้เล่า รัชทายาทหนุ่มจากดินแดนอันไกลโพ้นเดินทางข้ามขอบฟ้ามาตามหาผู้หญิงคนหนึ่ง มันเหมือนเทพนิยายที่เคยอ่านตอนเด็กนี่นา
“เท่าที่ทราบจากพี่มูตา เจ้าชายพบเด็กผู้หญิงคนนั้นตอนมาเรียนหนังสือที่นี่เมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ครั้งเดียวไม่ใช่หรือ”
เจ้าชายโดร์เชส่ายพระพักตร์
“ไม่หรอก ไม่ใช่อย่างที่มูตาเข้าใจ ข้าไม่ได้พบเด็กสาวคนนั้นเพียงครั้งเดียวหรอก ยังมีตามมาอีกหลายครั้ง”
“อย่างนั้นหรือ…” นีม่าอุทานขึ้น
เจ้าชายหนุ่มใช้พระหัตถ์ลูบคำลูกประคำบนลำพระศอ แล้วหลับพระเนตรลง ราวกับต้องการให้ความหลังครั้งอดีตผุดพรายขึ้นมาอีกครั้ง
เสียงพูดภาษาอังกฤษของแม่ชีดังกังวานอยู่หน้ากระดานดำ ในขณะที่นักเรียนชายราว 30 คนในห้องนั่งสงบตั้งอกตั้งใจฟังเป็นอย่างดี แต่บางจังหวะก็มีเสียงกระซิบ เสียงหัวเราะแทรกซ้อนขึ้นมา
แดดอ่อนยามเช้าส่องแสงสีทองกระทบมาที่โต๊ะเรียนด้านที่อยู่ติดกับริมหน้าต่าง นักเรียนที่นั่งอยู่บางคนเอามืองับหน้าต่างเพื่อหลบแดดที่ลามเลียเข้ามา แต่มีอยู่โต๊ะหนึ่งที่ปล่อยให้แดดลอดหน้าต่างเข้ามาถึงหน้า ลำคอ แขน แต่ไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวไปไหน
เด็กหนุ่มบนโต๊ะตัวนั้น มีใบหน้าเรียวยาว ดวงตาแจ่มใส ทรงผมตัดสั้น แต่ก็ไม่สั้นจนเกินไปนัก ยามลมริมหน้าต่างพัดมา เส้นผมยาวที่ปิดปกคลุมหน้าผากปลิวไปมา และในขณะนี้เด็กหนุ่มแทบจะเป็นเพียงคนเดียวในห้องที่ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยให้เสียงพูดของแม่ชีผู้สอนในคาบเรียนนี้ดังแว่วอยู่ในหู
เด็กหนุ่มกำลังมองไปข้างล่าง บางครั้งก็แย้มยิ้มน้อยๆ แต่บางครั้งก็หลบวูบจากหน้าต่างหันไปฟังบทเรียนจากแม่ชีครั้งหนึ่ง แล้วก็หันกลับมองออกไปข้างล่างเหมือนเดิม
ถ้ามองตามสายตาของเด็กหนุ่มออกไป มองเห็นโบสถ์ฝรั่งสีขาวตั้งอยู่ไม่ไกล มีเพียงรั้วเหล็กของโรงเรียนกั้นขวางไว้เท่านั้น ลานกว้างหน้าโบสถ์ในขณะนี้ มีนักเรียนหญิงในชุดเสื้อแขนยาวผูกคอซองกลุ่มหนึ่ง ยืนถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน โดยมีต้นสนทะเลสูงใหญ่ 2 เป็นฉากหลัง
บางครั้งนักเรียนสาวกลุ่มนั้นก็กระโจนมาเกาะรั้วโรงเรียน ชี้ไม้ชี้มือไปยังต้นชงโค ราชพฤกษ์ และหางนกยูงฝรั่ง ที่กำลังแตกดอกออกช่อ สีสันสวยงามด้วยอาการเริงใจ
เด็กสาวกลุ่มนั้นหัวเราะคิกคักกันชั่วครู่ใหญ่ แล้วก็คนหนึ่งในกลุ่มนั้นก็ชี้มือชี้ไม้ไปยังเด็กหนุ่มที่เพ่งสายตามองลงมา แล้วพากันพูดคุยเสียงดังเจื้อยแจ้ว จนทำให้เด็กหนุ่มต้องละสายตาหนีด้วยอาการขัดเขิน
เพียงครู่หนึ่งเท่านั้น เด็กหนุ่มก็มองลงมาอีก ยิ้มน้อยๆ ให้กับเด็กสาวกลุ่มนั้น
แต่สังเกตให้ดี ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะยิ้มทักทายให้กับเด็กสาวคนเดียวในกลุ่ม ที่ขณะนี้แยกตัวมาเกาะรั้วกำแพง เงยหน้ามองต้นตาเบบูย่า ที่ปลูกอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
เด็กสาวเงยหน้ามองดอกตาเบบูยาที่บานไสวล้อลมอยู่ แล้วจังหวะหนึ่งก็ชำเลืองมองขึ้นไปบนตึกเรียนที่มีเด็กหนุ่มจ้องมองลงมา
เด็กสาวผมสั้น ผิวขาวกระจ่างราวสีชมพู ค่อยๆ แย้มยิ้มออกมา แล้วโบกมือให้กับเด็กหนุ่มเหมือนคุ้นเคยกัน
ชั่วครู่เท่านั้น กลุ่มเพื่อนๆ ก็กรูกันเข้ามาหาเด็กสาว กระซิบกระซาบถาม สลับกับการเงยหน้ามองขึ้นไปบนตึกเรียน แล้วก็หัวเราะคิกคักออกมา
เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างเผลอตัว เสียงดังเสียจนแม่ชีที่กำลังหันหน้าเขียนชอล์กลงบนกระดานดำ ต้องหันหน้ามา สายตาดุมองลอดผ่านแว่นสายตา จนทำให้เด็กหนุ่มต้องนั่งตัวแข็ง
แต่ก็ยังแอบชำเลืองกลุ่มเด็กสาวทางเบื้องล่างที่กำลังเดินหัวเราะหัวใคร่ออกจากลานหน้าโบสถ์แห่งนั้นไป
เด็กหนุ่มอมยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย แล้วจึงก้มหน้าตาก้มตาเปิดหนังสือเรียนบนโต๊ะ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แค่นั้นเองหรือ”
“ฮื่อ…”
“เจ้าชายไม่เคยคุยกับเด็กสาวคนนั้นเลย”
ชายหนุ่มเพ่งสายตามองบึงน้ำกว้าง แล้วจึงพยักหน้า
“แค่คุยในโบสถ์ครั้งเดียวเท่านั้น”
หญิงสาวที่นั่งอยู่บนม้านั่งยาวเคียงข้างกับชายหนุ่มถอนหายใจยาวออกมา
“โธ่เอ๊ย…”
เจ้าชายโดร์เช ทรงพระสรวลออกมา
“หลังจากนั้นข้าเห็นเด็กสาวคนนั้นเกือบทุกอาทิตย์ บางทีก็มากับเพื่อนกลุ่มเดิม หรือบางหนก็แยกตัวมาคนเดียว ขี่จักรยานมาวนเวียนอยู่ลานหน้าโบสถ์บ้าง มาเดินเล่นคนเดียวบ้าง ส่วนใหญ่เด็กสาวนั่นไม่เห็นข้าหรอก หรือถ้าเห็นอย่างมากก็แค่อมยิ้มแล้วชำเลืองมาเท่านั้น แล้วก็…”
พูดไม่ทันจบประโยค นีม่าก็ชิงถามขึ้นก่อน
“ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่รู้จักชื่อเด็กผู้หญิงคนนั้น ไม่รู้ความเป็นมา อย่างมากก็โบกมือทักทาย ยิ้มให้กัน แค่นั้นหรือ”
“ใช่แล้ว…นีม่า”
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอ
ต้นรักของเจ้าชายรัชทายาทเกิดขึ้น แล้วค่อยๆ ผลิใบอย่างนี้หรอกหรือ
“ยิ่งกว่าซินเดอเรลล่าอีกนะเนี่ย ในนิยายซินเดอเรลล่ายังมีโอกาสเต้นรำกับเจ้าชายมั่ง แต่นี่…”
เจ้าชายโดร์เชถอนพระทัย
“ข้ารู้ แต่นีม่า ข้าเองก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน”
นีม่า หันมองพระพักตร์ด้านข้างของรัชทายาทแห่งดัลวาด้วยสายตาอ่อนโยนลง
“นานมั๊ย เพคะ”
“ราว 3 เดือนเห็นจะได้ หลังจากนั้นข้าก็กลับดัลวาโดยที่…”
“ไม่ได้ร่ำลากัน หรือแม้แต่จะถามชื่อ แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นก็อาจจะไม่รับรู้ความรู้สึกนั้นของเจ้าชายเสียด้วยซ้ำไป” นีม่า ชิงพูดขึ้น
เจ้าชายโดร์เชนิ่งเงียบ แล้วจึงหันพระพักตร์มาทางหญิงสาว
“ไม่มีเหตุผลเลยใช่มั๊ย นีม่า”
หญิงสาวส่ายศรีษะไปมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เจ้าชายเพคะ ความรักไม่ใช่เรื่องเหตุผลหรอกนะเพคะ มันเป็นเรื่องของความรู้สึก”
“ขอบใจมาก นีม่า”
เจ้าชายโดร์เชถอนพระทัยครั้งหนึ่ง
“แต่ข้าก็ยังสงสัยอยู่ว่า ความรู้สึกนั่นจะใช่ความรักจริงหรือ ข้าอยากรู้จริงๆ นีม่า”
“เพราะอย่างนั้น เจ้าชายจึงกลับมาในหนนี้”
“จะว่าอย่างนั้นก็คงไม่ผิดนัก” รัชทายาทหนุ่มตรัสตอบ
“แต่ตอบให้อย่างหมดจดกว่านั้นก็คือ เด็กสาวคนนั้นมีเสน่ห์บางอย่าง ให้ข้าต้องถวิลหาอยู่ตลอดเวลา ตอนนั้นข้าเองก็อาย ไม่กล้าที่จะพูดกับเด็กสาวคนนั้นด้วย และถึงมีโอกาสพูด ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี”
เจ้าชายถอนพระทัยหนหนึ่ง
“ข้าเดินทางกลับมาหนนี้ ไม่ใช่มาเพื่อกลับมาหาเห็นหน้าเด็กสาวคนนั้นอีกครั้งเท่านั้น แต่ยังอยากมีโอกาสทำความรู้จักให้มากขึ้น ได้พูดคุย เรียนรู้ซึ่งกันและกัน อยากเห็นความอ่อนโยน รวมไปถึงอารมณ์แปรปรวน ที่บางครั้งสุข บางครั้งก็เศร้าของเด็กสาวคนนั้น มีความรู้สึกอยากจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เท่าที่ข้าจะสามารถทำได้”
“ เจ้าว่าข้าฟุ้งซ่าน เกินไปหรือไม่” รัชทายาทแห่งดัลวาตรัสถามขึ้นอีกครั้ง
หญิงสาวจะตอบอย่างไรได้เล่า นอกจากนั่งนิ่งแล้วทอดสายตายาวไปยังบึงน้ำเบื้องหน้านั่น
“ไม่หรอกเพคะ หม่อมฉันอยากทูลว่า ถ้าหากเจ้าชายได้พบกับเด็กสาวคนนั้นจริง บางทีนี่อาจเป็นพรหมลิขิตก็เป็นได้”
นีม่ารู้สึกเหมือนอย่างที่พูดจริงๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)