๑๑.๑๑.๕๐

ดอกไม้กับดาวดวงหนึ่ง

ดอกไม้ดอกหนึ่ง
อยู่ในป่า
เกิด เติบโต และรอวันผลิบาน
แต่วันหนึ่งดอกไม้เศร้าโศก
ไม่อยากเติบโต ผลิบาน
ร้าวรานเพราะไม่มีใครเห็น
แล้วฉันจะบานเพื่อใคร-ดอกไม้ถาม
จนวันหนึ่ง มีเสียงกระซิบมาจากเบื้องบน
ดังมาจากดาวดวงหนึ่งบนฟากฟ้า
บอกว่า-อย่าเศร้าไปเลยดอกไม้
เจ้าเกิดมาก็เพื่อผลิบาน-ไม่ใช่หรือ
เติบโต ผลิบาน เพื่อตัวเองไม่ได้หรือ
ดอกไม้สะท้านสะทก
ก่อนหัวใจสั่นไหวเมื่อมองขึ้นไปท้องฟ้าเบื้องบน
ดาวดวงนั้น เล็กกระจิดริด
ริบหรี่ราวแสงจากหิ่งห้อยในยามค่ำคืน
เจ้าเห็นข้าหรือไม่-ดวงดาวถาม
เห็นมั๊ยเล่า-ข้าเป็นเพียงดาวอับแสงดวงหนึ่ง
เป็นเพียงจุดเล็กๆบนฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดาวพราวแสง
แต่ถึงอย่างไรข้าไม่เคยหม่นเศร้ากับตัวเอง
อย่างน้อยข้าเกิดมาเพื่อส่องแสง
ข้ารู้เพียงเท่านั้น
ดอกไม้แย้มยิ้มให้กับดวงดาว
พบคำตอบให้ตัวเอง
ข้าพร้อมแล้วจะผลิบาน
เพื่อตัวเอง เพื่อโลก และเจ้าด้วย
ดวงดาว…

เรื่องเล่าของ"คอ"สะพาน

ถึงแม้จะเป็นคนดื่มเหล้า แต่ผมไม่ค่อยยอมรับความเป็น “คอสุรา” ของตัวเองเท่าใดนัก เพราะถึงอยากจะมีเหล้ากินทุกวัน แต่ผมก็นิยมดื่มพอประมาณ จิบพออ้วก เน้นความรื่นรมย์ในการดื่มกิน พูดคุย เสียมากกว่า ปะเหมาะเคราะห์ดีเจอเพื่อนร่วมวงประเภทคอหนักก็มักจะเจอค่อนขอดว่าการดื่มเหล้าของผมนั้นมันช่างเหลวไหล หาความเร้าใจไม่ได้เอาเสียเลย
หรืออย่าง “คอหนังสือ” ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ ถึงจะชอบอ่านหนังสือแต่มันก็เป็นการตะลุยอ่านดะ อะไรก็ได้ที่มันวางอยู่ตรงหน้า หรืออ่านเพราะชื่อเรื่อง แบบปก แต่หาได้ละเลียดในการค้นหาความหมายในแต่ละบรรทัด หรือพินิจพิเคราะห์กลวิธีในการเขียนอย่างที่ “คอ” ประเภทนี้เค้านิยมกัน บางทีหนังสือที่เขาว่ากันว่าอ่านแล้วเหมือนโดนตีหัวแบะ ผมอ่านแล้วก็เฉยๆ ไม่รู้สึกโดน ขนาดที่ว่าชีวิตต้องเปลี่ยนไปเพราะหนังสือเล่มนึงอะไรประมาณนั้นไม่ใช่ผมแน่นอน
“คอเพลง” หรือครับ อืมม์...ก็เคยพอจะเรียกได้เหมือนกันละครับ แต่มันก็กลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว ตอนนี้ชอบเพลงไหนก็หาโหลดเอาจากอินเตอร์เน็ตบ้าง แผ่นก็อปของเพื่อนบ้าง เครื่องที่ฟังก็เป็นแค่เอ็มพี-3 รุ่นกระป๋องกระแป๋ง ไม่ได้ฟังเครื่องเสียงจากสเตริโอเสียงกระหึ่มอีกต่อไป เรื่องฟังเพลงของผมในปัจจุบันนี่มันหยาบยิ่งกว่าทรายขี้เป็ดเสียอีก จะบอกให้
แล้วผมเป็น “คอ” อะไรกันเล่า
ผมก็จะตอบว่า ไม่รู้เหมือนกัน เพราะผมไม่ได้อะไรนักหนากับเรื่องเหล่านี้ จะอ่านหนังสือ กินเหล้า ฟังเพลง ก็ไม่ได้ยึดเอาอะไรเป็นสรณะ ไม่มีความเชี่ยวชาญในระดับ “คอ” กับเรื่องเหล่านี้
ชีวิตของผมมันก็เรื่อยเปื่อยไปเรื่อยนั่นแหละ ไม่ค่อยจะมีความไฝ่ฝันอะไรเหมือนผู้คนธรรมดาเท่าใดนัก ไม่หวังมีบ้าน มีรถขับ หรือร่ำรวยเป็นเศรษฐีกะเขา
ครับ...ใครจะว่าผมเพี้ยน แปลกแยก เป็นยอดมนุษย์จืดชืด ไม่ได้ความ ไร้น้ำยาก็ว่ามาเถอะครับ
แต่ผมก็คิดอย่างนี้จริงๆ


แต่ถามมาก็ดีแล้ว ทำให้ผมนึกถึงตัวเองว่า มีอะไรที่เชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งนะ มีบ้างมั๊ย
อะไรที่ทำให้ผมรู้สึกผูกพันด้วย ไม่ว่าจะเป็นคน สิ่งของ หรือสถานที่สักแห่งก็ได้
นึกแล้วก็อึ้งขึ้นมาอย่างทันทีทันใด เมื่อพบคำตอบว่า เกือบจะไม่มีเอาเสียเลย
ใช้คำว่า “เกือบจะ” ไม่ได้หมายความว่าผมค้นพบว่าตัวเองมีความจัดเจน ลึกซึ้ง มีความเป็น “คอ” ในอะไรแขนงหนึ่งขึ้นมาหรอกนะครับ
เพียงแต่มันทำให้ผมหวนระลึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาเท่านั้น
เป็นบางอย่างในอดีต ที่ยังกระทำอยู่ในปัจจุบัน และอาจผูกโยงไปถึงวันพรุ่งนี้
มันคือเรื่องราวเล็กๆ แสนจะธรรมดา ไม่ควรค่าแก่ความสนใจ นี่ถ้าไม่มีใครสะกิดเตือนก็คงเหมือนน้ำก้นบ่อ ที่ทำยังไงก็ไม่มีวันกระเพื่อมขึ้นมาถึงปากบ่อได้
แต่พอสะกิดเข้าเท่านั้นแหละ
มันไหลบ่าเหมือนน้ำล้นทำนบยังไงยังงั้นเชียวแหละครับ


ไม่อยากจะเรียกตัวเองว่าผู้เชี่ยวชาญอะไรนักหรอก แต่ถ้าถามผมว่าอะไรที่ทำเป็นกิจวัตรประจำวันนอกเหนือไปจากทำงาน และธุระส่วนตัวจิปาถะแล้ว
สิ่งที่ผมทำเป็นประจำก็คือการขึ้นลงสะพานครับ
เห็นมั๊ยละว่า มันโคตรจะธรรมดา
แต่เชื่อเถอะครับ สิ่งที่ผมทำจนคุ้นเคยก็คือการขึ้นสะพาน
อันหมายถึงการเดินขึ้น นั่งรถ อะไรอย่างนี้นะครับ
ผมขึ้นลงสะพานอยู่เกือบทุกวันครับ จากสะพานหนึ่งไปอีกสะพานหนึ่ง จากสะพานเล็กไปสะพานใหญ่
เรียกได้ว่าเป็น “คอสะพาน” คนหนึ่ง
เป็น “คอสะพาน” ที่ไม่ได้หมายถึง “คอ” อันเป็นส่วนหนึ่งของสะพานนะครับ
จริงอยู่-ใครก็ย่อมเคยขึ้น-ลงสะพานอยู่เป็นกิจวัตร ไม่มีอะไรแปลก แต่เชื่อเถอะครับ การขึ้นลงสะพานระหว่างคุณกับผม หรือใครๆก็ย่อมแตกต่างกัน
เราย่อมมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสะพานที่ไม่เหมือนกัน
และนี่คือเรื่องของผมกับ “สะพาน” ครับ


ถึงแม้พ่อจะเป็นคนอีสาน แม่เป็นคนภาคกลาง แต่ผมนะเป็นเด็กกรุงเทพฯ เป็นเด็กเมืองหลวงเต็มตัวเชียวแหละ
ผมเกิดที่เกียกกาย เขตดุสิต ที่โรงพยาบาลวชิระ ว่ากันตามจริงแล้ว ผมไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับตอนเกิดของตัวเองได้มากนัก จำได้แต่เพียงคนอื่นเอามาเล่าให้ฟัง และจำสถานที่บ้านที่ตัวเองเกิดได้พอเลาๆ
บ้านที่ว่า อยู่ในซอยวัดประดู่ธรรมาธิปัตย์ เป็นบ้านที่อยู่ในตรอกลึกเข้าไป เป็นบ้านไม้ธรรมดา เหมือนบ้านทั้งหลายแหล่ในละแวกนั้น
ครับ-บ้านที่อยู่เป็นบ้านหลังไม่ใหญ่ คับแคบ ไม่มีพื้นที่ แต่ละบ้านเวลาเข้าออกก็ต้องใช้สะพานไม้ในการสัญจร เวลาเดินต้องระวังให้ดี เพราะถ้าหล่นลงไปก็จะลงไปลอยคอในน้ำครำกันเลยทีเดียว
และตอนที่แม่เจ็บท้องไกล้คลอด ทั้งผมและแม่ก็ต้องผ่านสะพานไม้นี้เหมือนคนอื่นๆนั่นแหละ
มันเป็นสะพานแรกในชีวิตของผมครับคุณ

พอผมโตขึ้น ผมก็วิ่งเล่นอยู่บนสะพานไม้ในตรอกเล็กๆในซอยวัดประดู่ฯนั่นอยู่นาน
พอเริ่มเรียนหนังสือ ก็ต้องเดินข้ามสะพานออกมานั่งรอรถเมล์อยู่ที่ปากซอย และรถเมล์จะต้องวิ่งขึ้นสะพานเกียกกาย เป็นสะพานปูนเล็กๆที่ผมจะรู้สึกตื่นเต้นเวลานั่งรถเมล์ลงจากสะพาน เพราะความสูงชันของสะพานทำให้ผมรู้สึกเสียวที่ท้องน้อย ต้องเอาสองมือเล็กๆจับที่พนักที่นั่งไปเสียทุกคราว เป็นช่วงเวลาที่เหมือนกับตัวเองลืมหายใจเกือบทุกครั้ง
จนป้าๆน้าที่นั่งรถไปส่งที่โรงเรียนยังแซวว่า ผมนะเป็นโรคกลัวสะพานขึ้นสมอง

โรงเรียนของผมอยู่เลยแยกวชิระไปไม่ไกล เป็นโรงเรียนฝรั่งที่ตั้งอยู่ในซอยมิตคาม ถิ่นที่อยู่อาศัยของคนญวนเป็นส่วนใหญ่
เลยจากโรงเรียนไม่ไกล มีสะพานใหญ่ตั้งเด่นอยู่ มันคือสะพานกรุงธน ซึ่งเป็นสะพานแบ่งเขตระหว่างพระนครกับฝั่งธนบุรีในขณะนั้น
บางทีผมก็จะนั่งมองสะพานแห่งนี้จากตึกเรียน ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนเห็นยักษ์ตัวใหญ่ที่กำลังนอนหลับ เคียงข้างกับสะพานคือแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ช่างกว้างใหญ่ มอเห็นเรือลำเล็ก ลำน้อยวิ่งผ่านไปมาอยู่ตลอดเวลา
สารภาพตามตรง การนั่งดูสะพาน และเฝ้ามองแม่น้ำเจ้าพระยาจากห้องเรียนคือความเพลิดเพลินของผมเป็นที่สุดในยามนั้น
จนกระทั่งวันหนึ่ง บ้านของเราย้ายไปอยู่ฝั่งธน ตรงถนนจรัญสนิทวงศ์ และทำให้ผมต้องนั่งรถผ่านสะพานกรุงธนฯแห่งนี้เสมอ
ห้วงเวลาที่นั่งรถผ่านสะพานแห่งนี้เป็นครั้งแรก ผมพบว่า สะพานก็คือสะพาน ไม่ใช่ยักษ์นอนหลับอย่างที่เข้าใจ และมันก็ไม่ดูสวยงามเหมือนเมื่อมองจากตึกเรียนแม้แต่น้อย
แม่น้ำเจ้าพระยานั้นเล่าก็ไม่ได้ใส มีกลิ่นหอม อย่างที่ผมนึกฝันไว้ บางเวลาก็ขุ่นมัว แถมยังมีกอสวะไหลผ่าน ไม่ได้สวยงามอย่างที่จินตนาการไว้เลย
แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังชอบความรู้สึกที่นั่งรถผ่านสะพานและมองไปยังแม่น้ำเบื้องล่าง เลยไปถึงเวิ้งฟ้าเบื้องไกลนั่นอยู่ดี
มันไม่สามารถอธิบายถึงความรู้สึกได้ด้วยตัวหนังสือหรอกครับ
เหมือนความรู้สึก “ตกหลุมรัก” ใครสักคน
แต่ความรักของผมคือ “สะพาน” ไม่ใช่ “คน” นะซิครับ

หลังจากย้ายมาอยู่บ้านใหม่ที่ถนนจรัญสนิทวงศ์ ผมกับพบกับรักครั้งใหม่อีกครั้ง
รักใหม่ของผมก็คือ “สะพานพระราม 6”
เป็นสะพานที่มีประวัติเก่าแก่ตั้งแต่ครั้งสงครามโลก แม้มันจะดูคับแคบ และมีรถยั้วเยี้ยมากกว่าสะพานกรุงธนเป็นไหนๆแต่ผมก็ชอบ
เสน่ห์ของมันก็คือ ทางรถไฟที่คู่ขนานไปกับสะพาน ช่วงเวลาที่น่าเพลิดเพลินที่สุดก็คือ ยามรถไฟส่งเสียวหวูดๆมาแต่ไกล ตามมาด้วยเสียงกระชึกกระชักของรถไฟอันเก่าคร่ำคร่า
โรงเรียนแห่งใหม่ของผมตั้งอยู่ไกล้สะพานพระราม 6 เมื่อมองจากหน้าต่างห้องเรียน จะมองเห็นรถไฟวิ่งขึ้นลงวันละหลายรอบ วิ่งผ่านครั้งใดการสอนก็จะหยุดชะงักไปชั่วคราว
หลังจากนั้นนักเรียนในห้องก็จะหันมานับขบวนรถไฟว่ามีกี่ตู้ คู่หรือคี่ จะส่งเสียงหวูดกี่ครั้งกัน
มันเป็นเกมที่มีเล่นเฉพาะโรงเรียนของเราเท่านั้น
แต่เรื่องราวระหว่างผมกับสะพานแห่งนี้ ทางรถไฟ และแม่น้ำเจ้าพระยาที่ทอดตัวยาวอยู่เบื้องล่างนั้นก็ไม่ใช่ว่ามีแต่ความทรงจำที่งดงามเท่านั้น
มีอดีตที่อยากลืมเกิดขึ้นเช่นกัน
เหมือนอย่างครั้งหนึ่ง ในตอนเช้าที่มีหมอกในตอนเช้าๆโรยตัวกันอยู่เหนือสะพาน แม้จะมองมาจากห้องเรียนแต่มันก็ช่างสวยงามเหลือเกิน แต่เสียดายที่มันเป็นวันที่เกิดเรื่องเศร้าเกิดขึ้น
ในตอนสายของวันเดียวกัน ทุกคนในโรงเรียนได้รับข่าวว่า นักเรียนสาวรุ่นพี่คนสวยที่เป็นที่หมายปองของใครหลายคนในโรงเรียน ฆ่าตัวตายด้วยการให้รถไฟทับ หลังจากทะเลาะกับพี่ชาย แต่บ้างก็ว่าผิดหวังในความรัก
บางคนก็บอกเข้าใจผิดกันไปใหญ่ คนบ้าที่ไหนจะยอมให้รถไฟทับตายกันง่ายๆ เธอคนนั้นคงเดินพลาดจนเกิดอุบัติเหตุเสียมากกว่า
ผมและเพื่อนในห้องหลายคนได้แต่นั่งนิ่งอยู่ในห้อง ไม่มีใครกล้าไปดูศพ เพราะมันคงไม่น่าดูนักหรอก
ที่สำคัญ ผมและเพื่อนเป็นแค่เด็กนักเรียนมัธยม ไม่มีใครชอบเห็นความเศร้า ความผิดหวัง ไม่อยากมีความทุกข์นักหรอก
แต่หลังเหตุการณ์นั้นไม่กี่วัน ผมและเพื่อนบางคนเดินขึ้นไปบนสะพานในยามหัวค่ำ มองออกไปในแม่น้ำเบื้องล่าง มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากแสงตะเกียงวอมแวมจากเรือนไม้ที่ปลูกอยู่ริมแม่น้ำ กลิ่นดอกไม้ลอยมาปะทะจมูก แล้วผมกับเพื่อนก็ยกขวดเหล้าที่เตรียมกันมาขึ้นดื่มกันคนละอึก โดยไม่ได้พูดอะไรกัน
รู้แต่ว่ามันคลายความเศร้าลงไปได้นิดหนึ่ง


ผมยังพักอาศัยอยู่ที่ละแวกจรัญสนิทวงศ์เหมือนเดิม ยังนั่งรถขึ้นสะพานอยู่ตามปกติ
แต่สะพานที่นั่งรถข้ามอยู่ทุกวันคือสะพานพระราม 7 ซึ่งใหญ่โต มีเส้นให้รถวิ่ง 4 เลน แต่ก็ยังเป็นเส้นที่รถติดอยู่เหมือนเดิม
ส่วนสะพานพระราม 6 ปิดลงอย่างถาวร เปิดไว้เพื่อให้รถไฟวิ่งผ่านเท่านั้น
และผมก็ห่างเหิน “สะพาน” ของผมไปนานเหลือเกิน
แต่วันนี้ระหว่างที่ผมนั่งรถติดอยู่บนแท็กซี่บนสะพานพระราม 7 อะไรก็ไม่รู้ทำให้ผมจ่ายเงินกับโชฟอร์ แล้วก้าวลงจากรถกลางคัน เดินย้อนไปทางสะพานพระราม 6 เพื่อรำลึกถึงวันเก่าๆ
“สะพาน” ของผมทรุดโทรมไปตามเวลา รวมทั้งโรงเรียนเก่าของผมนั่นด้วย ท่าน้ำที่เคยเป็นศาลาให้ไปนั่งเอกเขนก กลายเป็นร้านอาหารริมน้ำใหญ่โตไปแล้ว ต้นก้ามปูที่เคยแผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้มหายไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยเสาปูนซีเมนต์ เลยไปอีกนิดสวนที่เคยโดดเรียนไปปีนต้นไม้เล่นก็สูญหายไปแล้วเช่นกัน
ผู้คนเดินสวนไปมาอย่างรีบเร่ง ไม่น่าแปลกใจนักหรอก เพราะเลยจากที่ตั้งโรงเรียนเก่าเป็นที่ตั้งของอู่รถประจำทางหลายสาย ชักช้ารถก็จะออกไปเสียก่อน เวลาของผู้คนวันนี้เป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น
ผมนั่งลงเงียบๆตรงท่าน้ำหลังโรงเรียนเก่า ลมพัดรวยรินมาจากแม่น้ำ เงยหน้าขึ้นไปมองเห็น “สะพาน” ของผมตั้งเด่นอยู่ที่เดิม เพียงแต่วันนี้มีแต่ความเงียบเหงาปกคลุมแทน
ผมอยากได้ยินเสียงรถไฟวิ่งกึงกังผ่านสะพานของผมอีกสักครั้ง


เป็นอีกวันที่ผมปล่อยเวลาให้อดีต
ผมย้อนกลับมาที่สะพานกรุงธนอีกครั้ง เพื่อจะออกไปรำลึกความหลังเก่า
ผมก้าวเดินขึ้นสะพานในขณะที่แดดยามบ่ายอ่อนแรงลงไป มีเด็ก ผู้ใหญ่ สาละวนอยู่กับการหย่อนเบ็ดลงแม่น้ำ ในขณะที่รถบนสองฝั่งของสะพานแน่นขนัด และคงจะติดยาวมากกว่านี้เมื่อโรงเรียนละแวกนี้ปล่อยเด็กกลับบ้าน
ในแม่น้ำ มีเรือลำใหญ่ จอดเรียงรายทั้งสองฟากฝั่ง ร้านอาหาร โรงแรม ผุดสะพรั่งขึ้นเต็มไปด้วย และทำให้สะพานที่ผมคุ้นเคยเปลี่ยนไปไม่เหมือนแต่ก่อน
แต่มันไม่ทำให้ผมเศร้าได้อีกต่อไป
เพราะผมบอกกับตัวเองว่านี่คือวัฎจักรของชีวิต ไม่มีอะไรจะคงอยู่ได้ตลอดไป มีรุ่งเรืองก็ต้องมีเสื่อมโทรม
ว่าไปแล้วมันก็เป็นแค่สะพานที่มีความทรงจำของผมอยู่ในนั้น แต่ในวันหนึ่งก็ต้องมีคนรุ่นต่อไปมานั่งโหยหาอดีตเหมือนอย่างที่ผมกระทำอยู่เช่นกัน
กลิ่นแม่น้ำอันแสนจะคุ้นเคยลอยเข้ามากระทบจมูก มีลมอ่อนโชยมาแผ่วๆ ผมกำลังก้าวลงจากสะพาน และกำลังมุ่งไปสู่ที่หมายเบื้องหน้า
มันอาจจะมี “สะพาน” ที่รอผมอยู่เบื้องหน้าอีกมากมายนัก
ใครจะรู้ละ มันอาจเป็นสะพานที่สร้างความรื่นรมย์ เพลิดเพลิน ให้กับ “คอสะพาน” เยี่ยงกว่าในอดีตก็เป็นได้
ว่าแต่ว่าผมเล่าเรื่องสะพานของผมให้ฟังแล้ว
คุณละครับ มีเรื่องเล่าของสะพานของคุณให้ผมฟังบ้างหรือเปล่า
ผมอยากฟัง

นักรบจากดาวดวงอื่น (2)

บทที่ 2 :หลังแผ่นดินไหว
(1)
ในเช้าวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ อากาศสดชื่น แดดแจ่ม หวูไว่รีบออกจากบ้านแต่เช้า เพราะนัด เรียว-อากิ เพื่อนเกลอว่าจะไปเก็บสมุนไพรที่ชายป่าซึ่งอยู่ไกลหมู่บ้านออกไป
แน่ละ-เด็กหนุ่มตั้งใจแล้วว่า หลังจากเก็บสมุนไพรเสร็จ จะหาโอกาสไปนอนเล่นในลำธาร แล้วก็ปีนต้นไม้ขึ้นไปแหกปากตะโกนให้ลั่นทุ่ง ป่าหญ้า ลำธารในฤดูใบไม้ผลิช่างสดใส มีชีวิตชีวาเหลือเกิน
เพราะอะไรที่ชอบชีวิตเช่นนี้-เด็กหนุ่มตอบตัวเองไม่ถูกนักหรอก รู้แต่ว่าเขาชอบความงดงาม แจ่มใส ที่แต่งแต้มจากธรรมชาติรอบตัว รักที่จะเห็นพระอาทิตย์ดวงกลมโตโผล่พ้นขอบฟ้าพอๆกับที่เฝ้ามองตะวันดวงเดียวกันนี้ลับหายไปจากมุมหนุ่งของโลกในยามโพล้เพล้
ดูเหมือนว่า เขารักที่จะเติบโตและงอกงามอยู่กับโลกที่มีแม่ธรรมชาติเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง
ถ้าเป็นไปได้ วันนี้เด็กหนุ่มตั้งใจว่า จะหาโอกาสมุดลอดเข้าไปในกอดอกไม้หลากสี เฝ้ามองผีเสื้อ แมลง บินวนเวียนไปมาอย่างเพลิดเพลิน
ส่วนเรื่องกลิ่นตัวของเขานะเหรอมันเป็นเรื่องเล็กน้อยหรอกน่า
เจ้าเพื่อนสองคนนั้นคงบ่นอุบกลิ่นอันเหม็นเขียวจากตัวเขาเหมือนเคยนั่นแหละ แต่ก็ช่างเถอะ-ได้ลงแช่น้ำในลำธารด้วยกันก็คงหมดเรื่องแล้ว
แค่นึกถึง เด็กหนุ่มก็หลับตา สูดลมหายใจเต็มปอด รู้สึกถึงความอิ่มเอิบที่แผ่ซ่านออกมา และมีรอยยิ้มน้อยๆปรากฎขึ้นที่มุมปาก
เมื่อพ้นมาจากบ้าน หวูไว่เดินผ่านบ้านเรือนหลายหลัง ตาเฒ่าหูที่ตื่นเช้าเป็นกิจวัตร กำลังกวาดลาดบ้านของตัวเองอยู่เงียบๆ ตาเฒ่าเพียงแต่เงยหน้าขึ้นนิดหนึ่งเมื่อเขาเดินผ่าน เลยไปหน่อย อาหลิง ลูกสาวคนสวยของป้าเหนียง แม่ค้าที่ตลาดเพิ่งเดินกลับมาจากการนำเสื้อผ้าไปซัก อาหลิงพยักเพยิดกับเด็กหนุ่มเป็นการท้าทาย
“ไปไหนแต่เช้า…หวูไว่”
“ไปเก็บสมุนไพรที่ชายป่านะ…”
“อ้อ…ขยันจริงเชียว” พูดเสร็จหญิงสาวก็หัวเราะคิกคัก เพราะรู้ดีว่า การเก็บสมุนไพรเป็นแค่ข้ออ้างของเด็กหนุ่มเท่านั้น ใครก็รู้ว่า หวูไว่ ชอบไปเกลือกกลิ้งอยู่ชายป่า ราวกับเป็นบ้านที่สองของตัวเองนั่นเลยทีเดียว
หวูไว่นะคุ้นเคยกับอาหลิงมาตั้งแต่เด็ก ลูกสาวของป้าเหนียงคนนี้เป็นหญิงสาวที่น่ารัก อัธยาศัยดี หน้าตาแจ่มใส อารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ จะว่าเป็นสาวสวยประจำหมู่บ้านของเซียงอู่ก็คงไม่ผิดนัก
แต่อย่างว่านั่นแหละ ในสายตาของอาหลิงแล้ว หวูไว่เป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น
“ที่สำคัญข้าคิดว่าเจ้าเหมาะเป็นเพื่อนที่พูดคุยด้วยได้ แต่คงไม่ใช่สามีที่ดีเท่าไหร่นักหรอก” อาหลิง บอกกับเด็กหนุ่มไว้เช่นนี้มานอนแล้ว
หวูไว่เห็นชอบด้วย เพราะเขาคิดว่าตัวเองไม่ใช่ชายในฝันของเพื่อนสาวคนนี้แน่ และเรื่องการมีคนรัก มีครอบครัว ไม่เคยอยู่ในความคิดของเขาเลยในตอนนี้
ที่สำคัญ อากิ และ เรียว ก็ฟัดกันตายอยู่แล้วเพื่อแย่งกันขอความรักจากอาหลิงคนนี้
หวูไว่ ทักทายอาหลิงแล้ว ก็สาวเท้าเดินต่อไป ทิ้งหมู่บ้าน ผู้คนที่รู้จักและคุ้นเคยไว้เบื้องหลัง แล้วมุ่งหน้าสู่ชายป่าอย่างเร่งรีบ เพราะไม่อยากให้เพื่อนสองคนนั่นบ่นอุบเหมือนเคย
“เจ้านี่นะ…ทำอะไรก็ชักช้า เดินก็ช้า คิดอะไรก็ช้า ทำอะไรเหมือนดูเล่นไปหมด เจ้าเด็กเฉื่อย”
นั่นแหละ สิ่งที่เรียว และ อากิ บ่นอยู่เสมอ แต่หวูไว่ไม่โกรธเพื่อนหรอก เพราะที่ว่าก็มีส่วนถูกอยู่เหมือนกัน
แต่มันจะรีบเร่งกับการใช้ชีวิตไปทำไมกันนะไม่เข้าใจ หวูไว่บอกกับตัวเอง
(2)
“เฮ้อ…สบายจัง”
อากิ พูดเสียงดัง ในขณะที่สองตาหลับพริ้มท่ามกลางสายลมอ่อนๆที่พัดพากลิ่นหอมจากดอกไม้ป่าไกล้ลำธารเข้ามากระทบจมูก
ขณะนี้ หวูไว่ อากิ และ เรียว นอนอยู่บนพื้นหญ้าอันอ่อนนุ่มบนเนินเล็กๆ ทั้งหมดถอดเสื้อวางไว้ข้างตัว ในขณะที่กางเกงเปียกชื้นเพราะเพิ่งผ่านพ้นการแช่ตัวไว้ในลำธารนานกว่าครึ่งค่อนวัน
อากิหลับตา ใช้มือสองข้างตบเบาๆที่พุงของตัวเองไปมา ขณะที่เรียวลืมตาร้องเพลงฮึมฮัมอยู่คนเดียว
ส่วนหวูไว่นอนเอียงข้าง ชันศอกไว้กับต้นหญ้า มองดอกไม้เล็กๆที่งอกขึ้นมาอยู่ไกล้ๆตัวอย่างสนอกสนใจ
“นี่…หวูไว่” อยู่ดีๆ เจ้าอ้วน-อากิ ก็ลุกขึ้นมา และก้าวพรวดมายืนค้ำต่อหน้าหวูไว่
“ข้าพูดจริงๆนะ พวกเราไปสมัครเป็นทหารกันเถอะ”
“ไม่…ข้าไม่ชอบ ไม่สนใจ” หวูไว่ตอบ โดยที่ยังจ้องมองไปที่ดอกไม้เล็กๆอย่างไม่วางตา
“ดีๆ…ข้าเอาด้วย” เรียวว่าและหยุดร้องเพลงที่ตัวเองฟังเข้าใจอยู่คนเดียว แล้วลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจ แล้วจึงเดินมานั่งยองๆอยู่ข้างๆ
“ข้าก็อยากเป็นนะ อยากเป็นทหาร เป็นนักรบ มันคงโก้พิลึกเนอะ”
คราวนี้ อากิ ลงนั่งยองๆเหมือนกัน หันไปใช้มือขวาแตะบ่าอันเปล่าเปลือยของเรียวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ใช่-พวกเราไปสมัครเป็นทหารของกองกำลังเมฆขาวกัน”
“กองกำลังเมฆขาวเหรอ…”หวูไว่สงสัย ก่อนจะหงายร่างบนพื้นหญ้า มือทั้งสองข้างสอดไว้ที่ท้ายทอย
“เจ้าโง่…”
“ทึ่มด้วย…”
หวูไว่ ผลุดลุกขึ้น หันไปมองเรียวที อากิที อย่างงุนงงสงสัย
“ข้าไม่รู้จักนี่…อธิบายหน่อย”
“ว้า-เจ้าเนี่ย ทำไมมันถึงได้ล้าหลังและเชยอะไรอย่างนี้นะ” อากิว่าน้ำเสียงเซ็งๆ
“กองกำลังเมฆขาวก็คือกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด กล้าหาญที่สุด พวกเขาเป็นกองกำลังรบที่สมน้ำสมเนื้อกับกองทัพอัศวินดำมากที่สุด” เรียวอธิบายในขณะที่หยิบเสื้อขึ้นมาสวม และจัดผมอันยุ่งเหยิงให้เข้าที่
“อ้อ…”หวูไว่พึมพำ
“แล้วอะไรคืออัศวินดำหว่า…”เด็กหนุ่มถามต่อ
“เฮ้อ…”คราวนี้เพื่อนทั้งสองคนร้องออกมาพร้อมกันราวกับนัดไว้ แล้วจึงหงายหลังผลึ่งด้วยอาการเซ็งชีวิต ระอากับความซื่อบื้อของหวูไว่เสียเหลือเกิน
“ไม่รู้จักหรือไงนะ กองทัพอัศวินดำก็คือ กองทัพที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในแผ่นดิน ว่ากันว่าพวกมันเป็นนักรบที่ไม่มีวิญญาน ไร้หัวใจ ฆ่าฟันผู้คนตั้งมากมาย ปล้น แย่งชิงทรัพย์ โอ๊ย สารพัดแหละ”
“พูดง่ายๆ มันก็โจรปล้นแผ่นดินดีๆนั่นแหละ” อากิ เสริมคำเรียว
หวูไว่คันปากอยากจะถามต่อ แต่ในขณะนั้นเอง เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนเสียงอะไรดังจากพื้นหญ้ารอบตัว และรับรู้ได้ถึงอาการสั่นไหวไปทั่วบริเวณ รู้สึกเหมือนผืนแผ่นดินเกิดอาการโก่งตัวขึ้นอย่างรุนแรง
ทั้งสามคมมองหน้าเลิ่กลั่กกันไปมา หวูไว่รีบคว้าเสื้อมาสวม หยิบต้นสมุนไพรที่เก็บมาเอาไว้ในอกเสื้อ
“ผะ…ผะ…แผ่นดินไหว” อากิพูดเสียงสั่น
“ชะ…ใช่ แผ่นดินไหวนะซิ” เรียวตะโกน
ไม่ต้องพูดอะไรกันอีกแล้ว เด็กหนุ่มจากเซียงอู่ผลุดลุกขึ้นพร้อมกัน และวิ่งแจ้นลงจากเนินหญ้าด้วยความเร็วสุดชีวิต
ทั้งหมดวิ่งอย่างสุดฝีเท้ามุ่งตรงไปยังป่าใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า แม้มันจะเป็นผืนป่าที่อยู่ตรงข้ามกับที่ตั้งของหมู่บ้านเซีบงอู่ก็เหอะ แต่ใครจะสนละ
เพราะแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวมันไล่ตามหลังพวกเขามาติดๆอย่างนี้
ตัวใครตัวมันแล้วกัน
(3)
ทั้งสามวิ่งตะบึงท่ามกลางเสียงเลื่อนลั่นของแผ่นดินใต้ล่าง และแรงสะเทือนที่ดังไปทั่วทั้งป่า
นานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่กว่าจะรู้ตัวอีกที ทั้งสามคนก็พบว่าตัวเองได้วิ่งตะบึงออกจากหมู่บ้านเซียงอู่มาไกล จนไม่ได้รับรู้แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวอีกต่อไป
แต่ปัญหาก็คือ…
“ที่นั่นมันที่ไหนกันเนี่ย” หวูไว่พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ ในขณะที่เรียว และ อากิ หลังงองุ้มเอามือกุมเข่าสองข้างด้วยอาการหมดแรงไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ในตอนนี้ นอกจากเอาร่างพิงกับต้นไม้ใหญ่ และเหลียวมองสภาพรอบด้านอย่างสังเกตสังกา
บริเวณที่ทั้งสามคนยืนอยู่มีต้นไม้ดกครึ้มยืนเรียงเป็นแถวตรง มีสีสันอันแปลกตาทั้งเขียว เหลือง ส้ม ขนานไปกับต้นไม้มีถนนทอดยาวสายหนึ่งวางตัวเคียงคู่กันไปเป็นถนนสายยาวที่มองไม่เห็นถึงปลายถนน ในขณะที่อีกฟากหนึ่งของถนนเป็นทุ่งหญ้าที่มีต้นหญ้าสูงใหญ่ไหวไปมาตามแรงลมอยู่ตลอดเวลา
“นี่… เจ้าว่าถนนสายนี้มันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหนนะ…” อากิ พูดลอยๆ ออกมาในขณะที่เหม่อมองถนนสายยาวราวกับต้องการรู้ว่าจุดสิ้นสุดของถนนมันอยู่ตรงไหนกันแน่
“มันเหมือนเส้นทางเข้าสู่เมืองนะ หรือว่าไง” หวูไว่พึมพำขึ้นมา
“เมืองเหรอ…” คราวนี้เป็นเพื่อนทั้งสองคนที่พูดออกมาพร้อมกัน และมองตากันอยู่ไปมาและหัวเราะเสียงเบาๆ พร้อมกันราวกับนัดไว้
หวูไว่ มองหน้าเพื่อนเกลอสองคนอยู่ชั่วครู่ แล้วเกิดอาการสะดุ้งสุดตัวขึ้นมาทันทีทันใด
“ไม่นะ… ไม่มีทาง” หวูไว่ พูดพร้อมกับลส่ายหน้าช้าๆ ไม่ใส่ใจกับดวงตาออดอ้อนของเพื่อนทั้งสองคนแม้แต่น้อย
“น่า… หวูไว่” อากิ อ้อนวอน
“ใช่… ข้าว่าเราเดินอีกไม่นานก็จะต้องได้เห็นเมืองแล้ว เมืองที่จะไม่เหมือนเซียงอู่ของเราที่จะมีอาหารแปลกๆ ผู้คนใหม่ๆ รอพวกเราอยู่ไง”
”แล้วก็ผู้หญิง…ที่สวยๆ ด้วย” เรียวพูดด้วยน้ำเสียงละเมอ
เป็นอีกครั้งที่หวูไว่ต้องเกาหัวแกรกๆ และถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ข้าว่าเราควรกลับหมู่บ้านได้แล้ว เจ้าไม่เป็นห่วงคนที่บ้านหรือไงนะ และลุงก็รอพืชสมุนไพรของข้าเอาไปปรุงยาด้วย”
“น่า…นะ”
“ใช่ คนที่หมู่บ้านเรานะชินกับแผ่นดินไหวจะตาย และข้าว่าบางทีนะ แผ่นดินไหวอาจไม่เกิดที่เซียงอู่เสียด้วยซ้ำไป”
หวูไว่ มองหน้าเรียวที อากิที และหันรีหันขวางอยู่ชั่วขณะ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งสุดขีด
“ก็ได้ เจ้าเพื่อนบ้า แต่ฟังนะถ้าถนนนี้ไม่ได้เป็นเส้นทางเข้าเมือง และถ้าเราเดินจนหมดแรงแล้วไม่เจออะไร ต้องรีบกลับนะ…”
“แน่อยู่แล้วแหละ”
“อืมม์…ใช่ เราก็แค่ลองเดินไปดูไม่เห็นจะเสียหายไรเลย”
”เนอะ…” เรียวพยักเพยิดกับอากิ
เป็นอีกครั้งที่หวูไว่ต้องใจอ่อนยอมตามความต้องการของเพื่อนทั้งสอง
ถ้านับตั้งแต่เกิดและอาศัยอยู่ในเซียงอู่ด้วยกัน นี่เป็นการโอนอ่อนผ่อนตามเรียว และอากินับพันครั้งได้แล้วมั้ง
โอ๊ย! กลุ้มใจจริงๆ เลย หวูไว่บ่นกับตัวเองในขณะที่ก้าวเท้าเดินไปตามถนนที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาท่ามกลางการกระโดดโลดเต้นของเพื่อนทั้งสองคน
(4)
“โอ๊ย…”
เจ้าอ้วน-อากิ ร้องขึ้นมาแล้วก็หยุดเดินเสียดื้อๆ
เรียวก็หยุดเดินเหมือนกัน ถึงไม่ได้พูดอะไรแต่สีหน้าอันเหยเก แสดงอาการว่าไม่ได้ดีไปกว่าเท่าใดนักเลย
มีก็แต่หวูไว่เท่านั้นที่ดูจะอารมณ์ดีกว่าเพื่อน เอามือจิ้มไปที่หน้าของเพื่อนทั้งสองคนอย่างนึกสนุก
“ว่าไงละ…จะไปต่อมั๊ย”
เรียวยกมือขึ้นโบกเหมือนจะบอกว่า อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลย ส่วนอากินั้นเล่าก็ได้แต่ร้องอูยๆ ไปมา และพากันทิ้งร่างกองกับพื้นหญ้าริมถนนอย่างหมดสภาพ
แดดยามบ่ายแก่ๆ เริ่มร้อนขึ้นทุกขณะ ลมไม่ไหวติง ในขณะที่ถนนที่ทอดยาวเบื่องหน้ายังมองไม่เห็นว่าสุดขอบถนนสายนี้อยู่ใกล้หรือไกลแค่ไหน หวูไว่ที่เริ่มจะหมดแรงแล้วเหมือนกันมองไปรอบตัวอย่างลังเล
ว่าไปแล้ว เขาและเพื่อนทั้งสองคนก็เดินมาตามถนนสายนี้นานนับชั่วโมงแล้ว แต่ดูเหมือนถนนจะทอดยาวออกไปอีกไม่รู้จบ ไม่มีเมือง ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีผู้คนผ่านไปมาอย่างที่ต้องการแม้แต่น้อย
ไม่รู้ว่าจะก้าวเดินต่อไป หรือถอยหลังกลับบ้านดี
จังหวะนั้นเอง มีเสียงดังกึงกังดังแว่วขึ้นมาบนถนนที่หวูไว่ยืนพักเอาแรงอยู่ ไม่ช้าภาพหนึ่งก็ปรากฎต่อหน้า ม้าตัวหนึ่งกำลังกระโจนทะยานตรงเข้ามาได้มีร่างคนผู้หนึ่งโน้มตัวอยู่เหนือคอเรียกให้ถูกก็ต้องบอกว่ามันกำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วเหมือนเหาะได้เสียมากกว่า
เหวอ-หวูไว่ร้องด้วยอาการตกใจ
ที่ตกใจก็เพราะว่าเจ้าม้านั่นกำลังพุ่งตรงมายังที่เขายืนอยู่นะซิ และขาทั้งสองของเขาก็ยืนแข็งอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ขยับตัวหลบแต่อย่างใด
จะหลบได้อย่างไรเล่า เดินมาจนหมดแรงอย่างนี้นะ
หวูไว่ หลับตาปี๋เหมือนไม่อยากรับรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาในอีกไม่กี่อึดใจข้าหน้านี้
หูสองข้างได้ยินแต่เสียงร้อง “หวูไว่ ระวัง” ของเจ้าเพื่อนเกลอสองคนนั่นดังแว่วเข้ามา
จบสิ้นกันแล้วเรา…เด็กหนุ่มพูดกับตัวเองอยู่ในใจ
“…”
“หยุด… หยุดเดี๋ยวนี้”
มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาพร้อมกับฝุ่นและดินฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ หวูไว่ลืมตาขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
ม้าสีเขียวร่างทะมึนกำลังฝีเท้า หักตัวเลี้ยวอย่างกระทันหัน ตัวสั่นเทิ้มเหมือนตกใจกับมนุษย์เบื้องหน้าที่ยืนเด๋ออ๋าขวางอยู่บนถนน แล้วขืนตัวออกมาเพียงเศษเสี้ยวนาทีก่อนจะพุ่งเข้าชนร่างของเด็กหนุ่ม
เฮ้ย…
หวูไว่ร้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่น ก่อนจะหันไปเห็นร่างบนม้ากำลังรั้งบังเหียนจนสุดกำลังจนดูเหมือนว่าร่างนั้นเอียงกระเท่เร่ และกำลังจะร่วงตกจากหลังม้าลงมากระแทกกับพื้นถนนแล้วในขณะนี้
ดูเอาเถอะไม่รู้ว่า หวูไว่เอาแรงมาจากไหน รีบทะยานเข้าหาก่อนที่ร่างบนม้านั้นจะหล่นลงบนพื้นถนน
แอ้ก…
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่เทมาที่แขนทั้งสองข้าง แน่ละเขามาทันก่อนที่ร่างนั้นจะถึงพื้นแต่น้ำหนักที่โถมเข้ามาจากร่างนั้นก็ทับเสียจนหวูไว่กลิ้งไปกับพื้น และเกิดอาการจุกจนร้องอะไรไม่ออก
โดยมีร่างของเจ้าของม้าทับอยู่บนร่างของเขา
“อูย…เจ็บจังเลย” เด็กหนุ่มร้องอยู่ในใจ
แต่ก่อนที่สติจะดับวูบลงไป กลิ่นหอมจางๆ ลอยเข้ามากระทบจมูก เป็นกลิ่นหอมประหลาดที่หวูไว่ไม่เคยได้กลิ่นเยี่ยงนี้มาก่อนเลย
“…”

นักรบจากดาวดวงอื่น (1)

(1)
ข้าขอเตือน
หายนะ ความวิบัติกำลังจะมาเยือนเจ้าในไม่ช้านี้
และมันไม่มีทางหลีกเลี่ยง…
นายพลซื่อชางสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อเสียงกังวานสุดท้ายดังขึ้น เหงื่อชุ่มเต็มแผ่นหลัง หัวใจของท่านนายพลเต้นไม่เป็นจังหวะ ขนลุกเกรียวทั้งแขนและขา
“มันคืออะไรกัน…”
นายพลผู้ยิ่งใหญ่เฝ้าบอกกับตัวเองว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นศึกสงครามน้อย-ใหญ่ เพียงไร ก็ไม่เคยสร้างความตื่นกลัวอย่างไร้สาเหตุเช่นนี้มาก่อนเลย
เป็นความกลัวที่เกิดขึ้นอย่างไรเหตุผล ร่างสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจบังคับได้
บอกไปจะมีใครเชื่อ เพราะความกลัวที่ว่ามันเกิดขึ้นในความฝันเท่านั้น
หลายเดือนที่ผ่านมา นายพลซื่อชางตกอยู่ในห้วงความรู้สึกที่ประหลาด เมื่อเขาฝันเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
เป็นเด็กหนุ่มหน้าซีดขาว คิ้วดกดำ หน้าผากกว้าง
แต่สิ่งแปลกประหลาดในตัวของเด็กหนุ่มก็คือดวงตาสีฟ้าสุกสกาว และผมยาวสลวยที่มีสีทอง
เป็นสีทองอันเปล่งปลั่งเหมือนทองคำ
เด็กหนุ่มสวมชุดสีเทาทั้งเสื้อและกางเกง และนำพาท่านนายพลเดินทางไปในดินแดนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นดินแดนที่งดงามราวกับอาณาจักรในฝัน
เด็กหนุ่มเดินนำนายพลซื่อชางไปถึงปราสาทแห่งหนึ่ง ที่วิจิตรสวยงามราวสวรรค์ชั้นฟ้า และมีชายชราร่างผอมสูง มีหนวดเคราสีดอกเลาผู้หนึ่งยืนอยู่อย่างเดียวดาย
เป็นชายชราที่แนะนำตัวเองว่า เป็นผู้เฒ่าแห่งอาณาจักรแห่งนี้ ที่สามารถหยั่งรู้อนาคตได้
“ความหายนะกำลังจะมาเยือนท่าน…นายพลซื่อชาง”
นั่นแหละ-คำทำนายของผู้เฒ่าที่กล่าวกับผู้ยิ่งใหญ่แห่งกองทัพอัศวินดำ
แต่จะเป็นได้ละหรือ?
บางคืน ในความฝันนั้น ท่านนายพลจะเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นนั่งสมาธิ หลับตาลง มือวางไว้บนตักสองข้าง ไม่ช้าสิ่งประหลาดก็บังเกิดขึ้น
มีแสงสีขาวแผ่รัศมีมาจากเด็กหนุ่มผมสีทองผู้นั้น
แสงนั้นค่อยๆแผ่กระจายวนเวียนอยู่รอบตัวของท่านนายพล
ไม่ช้าแสงสีขาวนั้นก็โอบล้อมอยู่รอบตัว ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
นายพลซื่อชางรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก มีแรงกดดันมหาศาลโถมทับลงมา รู้สึกราวกับว่าลมหายใจจะขาดห้วงไป ณ วินาที นั้น
ช่วยด้วย…
ท่านนายพลตะโกนออกไปและรู้สึกแปลกใจกับเสียงร้องของตัวเอง นายพลผู้ยิ่งใหญ่เยี่ยงเขากำลังร้องขอความช่วยเหลือ มันเป็นไปได้อย่างไร
พอฝันถึงตรงนี้ทีไร นายพลซื่อชางก็จะสะดุ้งตื่นขึ้นมา พร้อมกับเหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นที่ขมับสองข้าง ริมฝีปากสั่นระริก หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ
หลังผ่านความฝันครั้งแรก นายพลซื่อชางคิดว่าเป็นเพียงความฝันลมๆแล้งๆ หาความจริงไม่ได้เลย
แต่เกือบทุกครั้งเมื่อนอนหลับ นายพลต้องฝันเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ สลับกับการปรากฎตัวของผู้เฒ่าแห่งอาณาจักรแห่งความฝันอยู่เป็นครั้งคราว
และทุกครั้งจะจบลงด้วยคำทำนายที่ว่า นายพลซื่อชางไม่มีทางหลีกเลี่ยงชะตากรรมในครั้งนี้ได้
เด็กหนุ่มกลายเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนนายพลผู้ยิ่งใหญ่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนนายพลซื่อชางไม่มีความสุข จิตใจอ่อนแอลงไปจากเดิมเป็นอันมาก
ท่านนายพลตกอยู่ในห้วงความรู้สึกที่จับต้นชนปลายไม่ถูก มันเป็นแค่ความฝัน หรือว่า เป็นความจริงกันแน่
ถ้ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน มันก็น่าจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเหมือนความฝันทั่วไป ไม่ใช่หรือ
มีทางเดียวเท่านั้น…
“ต้องตามหาเด็กชายผู้มีผมสีทองและดวงตาสีฟ้าให้เจอ…”นายพลซื่อชางบอกกับตัวเอง
(2)
“หวูไว่…เป็นเจ้าแน่ๆ”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนทำจมูกฟุดฟิดไปมาและพูดขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนพื้นหญ้า มีต้นไม้ใหญ่บดบังแสงแดดตอนบ่ายๆไม่ให้ร้อนจนเกินไปนัก ขณะนี้ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิ่งโต คิ้วขมวด แสดงถึงอารมณ์อันฉุนเฉียว
ข้างเด็กหนุ่มร่างอ้วน มีหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันยืนอยู่ เป็นเด็กหนุ่มร่างผอมสูง ใบหน้าเรียวยาว จมูกยาวแหลม และขณะนี้กำลังเอามือท้าวสะเอวอย่างไม่สบอารมณ์ และดวงตาเพ่งมองไปในทิศเดียวกับหนุ่มร่างท้วม
ถ้ามองตามไปก็จะเห็นร่างหนึ่งนอนราบไปกับผืนหญ้า ร่างนั้นนอนนิ่ง ไม่ไหวติง มีเพียงเสียงหายใจเข้าออกที่บ่งบอกว่าร่างนั้นยังมีชีวิตอยู่ และที่น่าแปลกก็คือ ผีเสื้อแสนสวยกำลังบินตอมใบหน้า ราวกับตอมดอกไม่อยู่ก็ไม่ปาน
“เจ้าตัวแสบรับสารภาพมาซ่ะดีๆ…” เด็กหนุ่มร่างผอมพูดกับร่างที่ไม่ไหวติงด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“หือม์…”เสียงอู้อี้จากร่างนั้นดังขึ้นเบาๆ
“เจ้าบ้าเอ๊ย…ไม่รู้เลยหรือไงว่ากลิ่นตัวเจ้านะมันแย่มาก มันเหม็นเขียว” คราวนี้เด็กหนุ่มร่างท้วมพูดเสริมพร้อมกับเอามือปิดจมูกโดยเร็ว
ร่างนั้นขยับตัวขึ้นอย่างช้าๆ ผีเสื้อบนจมูกบินว่อนหนีไปแล้ว แต่มีนกน้อยๆตัวหนึ่งโฉบเข้ามาเกาะอยู่ที่ไหล่ด้านขวา ผมยาวของร่างนั้นดูยุ่งเหยิง แก้มขวามีคราบจากดินเกาะติด หากแต่ถ้าได้ล้างคราบจากใบหน้านั้นแล้ว ดวงหน้ารียาวรูปไข่ก็ดูมีเสน่ห์ไม่เบา
เด็กหนุ่มหยัดร่างของตัวเองขึ้น เคลื่อนไหวตัวเองอย่างช้าๆ ก่อนจะหันมามองเพื่อนทั้งสองคนอย่างเต็มตา พร้อมกันนั้นมีรอยยิ้มน้อยๆปรากฎขึ้นที่ริมฝีปาก รูปร่างของเด็กหนุ่มไม่สูงนัก แข้งขาดูเก้งก้าง บอบบาง
“ทำไมละเรียว อากิด้วย เจ้าไม่ชอบกลิ่นตัวของข้าหรือไง” เด็กหนุ่มชื่อหวูไว่ตอบเสียงซื่อ และยกแขนสองทาบเข้ากับจมูก เหมือนอยากพิสูจน์กลิ่นกายภายในตัว
“ข้าไม่เห็นจะเหม็นเลย…หอมละซิไม่ว่า” เด็กหนุ่มพูดและอ้าแขนวิ่งร่าเข้ามาหาเพื่อนทั้งสองคนอย่างนึกสนุก
“โอ๊ย…ไม่เอา ไอ้เพื่อนบ้า” เรียว และ อากิ ตะโกนเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน และพากันถอยกรูด ก่อนจะไปยืนหลบหลังต้นไม้ใหญ่อย่างนึกระแวง
“แล้วดูเจ้าซิ รองเท้าก็ไม่ใส่ด้วย แหวะ” อากิ เด็กหนุ่มร่างอ้วนยื่นหน้าตะโกนออกมาจากหลังต้นไม้
“แฮ่…เพลินไปหน่อยนะ” หวูไว่ว่า พร้อมกับสอดสายตามองหารองเท้าของตัวเอง ซึ่งดูเหมือนจะถอดวางไว้ตรงพุ่มไม้ไกล้ๆ
“พวกเจ้าสองคนนี่ก็แปลก ข้าไม่ได้ไปนอนคลุกของเหม็นมา มันแค่เป็นกลิ่นของต้นไม้ ใบหญ้า แล้วก็กลิ่นเกสรดอกไม้เท่านั้นเอง”
การเที่ยวเดินตะลอนตามท้องทุ่งไกล้หมู่บ้าน เป็นสิ่งที่หวูไว่โปรดปรานมากเป็นพิเศษ เขามีความสุขเสมอยามได้เห็นความเขียวชะอุ่มของต้นไม้ ได้แช่ร่างอยู่ในลำธาร มองฝูงนกน้อยๆบินไปมาอยู่บนท้องฟ้า
หรือบางทีก็นึกครึ้มแหกปากร้องเพลงออกมาอย่างสบายอารมณ์
ความจริงแล้ว เจ้าเพื่อนทั้งสองคนนันก็รู้ดี-รู้ดีมาตลอด เพราะหวูไว่ชอบทำอย่างนี้มาตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ จนตอนนี้อายุย่างเข้า 17 แล้ว ก็ยังชอบเดินป่า คลุกตัว เกลือกกลิ้ง อยู่ในทุ่งหญ้า ป่าเขาเหมือนเดิม
“นี่…หวูไว่”คราวนี้เป็นเจ้าโย่ง-เรียว ที่ยื่นหน้าออกมาจากหลังต้นไม้บ้าง
“เจ้าว่าเราสองคนแปลกนักเหรอ แต่ลองคิดให้ดีซิ ในโลกนี้จะมีใครแปลกไปกว่าเจ้าอีกละ…”
“ไม่มีหรอกมั๊ง” อากิ เสริม
“ข้าเหรอ” หวูไว่ เอานิ้วชี้หน้าตัวเอง
เรียวค่อยๆเดินออกมาจากหลังต้นไม้ ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนกล่าวออกมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
“นี่เพื่อน-ลองดูสีผมของเจ้าซิ มีเด็กคนไหนที่มีผมสีทองเหมือนเจ้าบ้าง”
“จริงด้วย” อากิ ว่าและพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นตาม และมายืนเกาะบ่าของเรียวยื่นหน้าทะเล้นมาที่หวูไว่
“แล้วลูกตาเจ้าด้วย ไม่เห็นเหรอไงว่ามันมีสีฟ้า ไม่ใช่สีดำเหมือนพวกเรานะเฟ้ย”
ปล่อยมุขจบแล้ว เด็กหนุ่มอ้วนกับผอมก็แหงนหน้าขึ้นฟ้า ส่งเสียงหัวร่อดังลั่นทุ่ง
หวูไว่จะทำอะไรได้อีกเล่า-นอกจากหัวเราะแห้งๆแล้วเอามือลูบผมสีทองของตัวเองไปมา
(3)
ค่ำวันนั้น หวูไว่กลับไปนอนคิดเรื่องผมสีทอง และดวงตาสีฟ้าของตัวเองอยู่คนเดียว เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่า ทำไมตัวเองถึงได้เกิดมามีรูปลักษณ์ที่ผิดแผกกับคนอื่นเช่นนี้
พูดตามจริง เขาก็ไม่ค่อยรู้จักเรื่องราวของตัวเองสักกี่มากน้อยนักหรอก
เท่าที่รู้ หมู่บ้านที่เขาอยู่ ชื่อหมู่บ้านเซียงอู่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆห่างไกลความเจริญ ผู้คนในหมู่บ้านรู้จักกันเป็นอย่างดี ดูแลกันเหมือนพี่น้อง ญาติมิตร ทุกคนใช้ชีวิตเรียบง่าย มีอาชีพทำการเกษตร ทำนา เป็นอาชีพหลัก แม้มีรายได้ไม่มากนักแต่ก็ไม่ถือว่าขาดแคลน อยู่กันได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพ
ชีวิตของผู้คนที่นี่ไม่เร่งรีบ แต่ก็มีชีวิตชีวา และยังมึความคึกครื้นเกือบทุกสัปดาห์ เพราะทุกคนในหมู่บ้านชอบเสียงเพลง รักการเต้นรำ
ไกล้กับหมู่บ้านมีทุ่งหญ้าผืนใหญ่ให้นอนเกลือกกลิ้งได้ทั้งวันทั้งคืน และยังมีแอ่งน้ำใส ที่หวูไว่ชอบไปนอนเอ้อระเหยอยู่บนเปลที่ผูกโยงไว้กับต้นไม้ใหญ่อันแสนจะร่มเย็นอยู่เสมอ
แล้วต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกเล่า-เด็กหนุ่มบอกกับตัวเอง
หมู่บ้านของเขา อยู่ห่างไกลจากสงครามที่รบพุ่งเพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่ง และดูเหมือนอาณาบริเวณไกล้เคียงกันก็ไม่มีสิ่งใดที่ควรค่าแก่การแย่งชิงแม้แต่น้อย
หวูไว่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กที่เงียบสงบ อยู่กับลุงและป้าที่โอบอ้อมอารี ใจดี ส่วนพ่อและแม่ของเขานั้นเป็นใคร เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มีก็แต่คำบอกกล่าวของลุงที่เล่าให้ฟังว่า เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านเซียงอู่ที่สูญหายไปเมื่อครั้งมีน้ำท่วมใหญ่ หลังจากหวูไว่คลอดได้ไม่นาน
“พ่อรักแม่ของเจ้ามาก และทั้งสองรักเจ้ามากที่สุด” นี่คือประโยคที่ลุงถ่ายทอดให้เขาฟังครั้งแล้วครั้งเล่า
“แล้วพ่อ หรือ แม่ ของข้าละ ที่มีผมสีทอง แล้วก็ลูกตาสีฟ้านั่นด้วย” หวูไว่ถามคำถามนี้อยู่บ่อยๆ
แต่คำตอบที่ได้รับก็อย่างเดิมๆนั่นแหละ
“อื๋อ…เจ้าจะสนใจไปทำไมนักเล่า” ลุงจะกล่าวประโยคนี้ด้วยเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอเสมอ
“ก็ข้าอยากรู้นี่…”หวูไว่บอก
ลุงจะเหลือบตามองเขาหน่อยหนึ่งก่อนจะให้คำตอบว่า
“โอ๊ย…มันนานแล้วนาหลานเอ๊ย”
“แล้วอีกอย่าง…ข้าไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องพ่อแม่เจ้านักหรอก สงสารป้าเขา” แล้วลุงก็จะพยักเพยิดไปทางป้าที่นั่งอยู่ไกล้ๆ
แล้วป้าก็จะทำตาแดงๆ เอามือปิดหน้าแล้วร้องฮือๆ
“โธ่หลาน…ป้าขอเถอะนะ ป้าขอ อย่าพูดอีกเลย”
หวูไว่จึงได้แต่เงียบกริบ ไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการทราบครั้งแล้วครั้งเล่า จนคร้านที่จะถามในที่สุด
(4)
ความจริงแล้ว หวูไว่ไม่ใช่คนขี้สงสัย ไม่ใช่คนขี้ใจน้อย ถ้าหากจะมีเรื่องที่ทำให้ต้องผิดหวัง หรือไม่สบอารมณ์ เด็กหนุ่มก็จะเพียงแต่จะบ่นว่าโธ่เอ๊ย-หลังจากนั้นก็จะเกาหัวแกรกๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
หวูไว่แทบจะไม่เคยโกรธใคร ถึงขั้นเกลียดชังยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ว่าไปแล้วเขาเป็นมิตรกับทุกคนนั่นแหละ แถมใจเย็น อารมณ์ดีอีกต่างหาก
จนบางครั้งต้องโดนคนในหมู่บ้านบ่นว่า เขานะช่างเป็นคนดีจนน่าเบื่อ และแสนจะจืดชืดเสียนี่กระไร
และเด็กหนุ่มก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยทุกประการ
หากให้มองย้อนกลับไป แล้วอธิบายความเป็นตัวเอง หวูไว่ก็คงบอกว่า ชีวิตของเขานั้นไม่มีอะไรน่าจดจำนัก เพราะมันราบเรียบ ขาดสีสัน เวลาส่วนมากของเขาก็คือการนั่งเงียบๆ อ่านหนังสือ ไม่ชอบคาดหวังสิ่งใด
อัอ-ดูจะขาดความทะเยอทะยานไปเสียหน่อยๆด้วย
เจ้าไม่มีความฝันอะไรกับเขาบ้างหรือไงนะ-เป็นคำถามที่หวูไว่เจออยู่เสมอ
“ข้าก็พอจะมีบ้างหรอก” เด็กหนุ่มบอกแบบอ้อมแอ้ม
เพราะความฝันเล็กๆของเด็กหนุ่มก็คือการอยู่เฉย ไม่ต้องการทำอะไรเลย
“ข้าเชื่อเหมือนที่ลุงสอนนะ นั่นก็คือ วันนี้ เวลานี้สำคัญที่สุด ไม่ใช่อดีตที่ผ่านไปแล้ว และอนาคตที่ยังมาไม่ถึง”เด็กหนุ่มจะตอบอย่างนี้ไปเสียทุกครั้ง
แต่ช้าก่อน-หวูไว่ไม่ใช่จอมขี้เกียจประจำหมู่บ้านหรอกนะ ไม่ใช่เลย
แถมเป็นเด็กที่มีน้ำใจอย่างมาก
จะให้ช่วยทำอะไรละ-ซ่อมแซมบ้าน ช่วยดำนา ดูแลคนป่วย เขาทำได้ทั้งนั้นแหละ-แถมทำอย่างเต็มใจอีกด้วย
นอกเหนือจากนี้ละ
ปลูกต้นไม้ เลี้ยงหมู ทำอาหาร แล้วก็ร้องเพลง มันคือภาพของหวูไว่ซึ่งเป็นที่คุ้นเคยของคนในหมู่บ้านมาอย่างยาวนาน
แต่สำหรับเรียว และ อากิ เพื่อนรักทั้งสองคนกลับคิดต่างออกไป เพราะทั้งสองคนนั่นมองว่าอะไรทั้งหลายแหล่ที่เด็กหนุ่มทุ่มทำลงไป ไม่เห็นจะเกิดประโยชน์แก่ตัวเองสักเท่าใดนัก
พอได้ยินอย่างนั้น หวูไว่ก็จะยิ้ม ไม่ตอบรับและปฎิเสธ เพราะเขารู้ว่าตัวเองพอใจที่จะได้ทำอย่างนั้น
เรียว และ อากิ ทำนายทายทักว่า หวูไว่คงจะมีชีวิตเช่นนี้ไปจนตายนั่นแหละ
“แล้วต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกเล่า” เด็กหนุ่มบอก
อากิก็จะพูดว่า “นี่หวูไว่ จอมซื่อบื้อ เจ้าไม่คิดว่าชีวิตเยี่ยงนี้ออกจะขาดรสชาติไปหน่อยหรอกหรือ”
แล้วเรียวก็จะเป็นลูกคู่พูดตามออกมาว่า
“นี่…เจ้าเพื่อนบ้า พวกเราอายุ 17 กันแล้วนะ แต่ไม่เคยไปไหนนอกหมู่บ้านเลย ไม่รู้จักผู้หญิงหมู่บ้านอื่น ไม่เคยแม้แต่จะจับดาบฆ่าหมูป่าสักตัวเลย เราจะต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ไปจนตายเลยหรือไง”
สิ่งที่หวูไว่บอกกับเพื่อนก็คือเสียงหัวเราะเบาๆ
“จะหาความสุขไม่ได้จนกว่าจะหยุดหา”
สิ้นเสียงพูด เพื่อนทั้งสองคนก็จะพร้อมใจกันหัวเราะเสียงสนั่นหวั่นไหว
“อีกแล้ว เจ้าพูดอย่างนี้อีกแล้ว น่าเบื่อเสียจริงๆ และข้ารู้ว่าเจ้าลอกเลียนคำพูดของลุงเจ้ามาใช่มั๊ยเล่า” เรียวว่าเสียงขำๆ
หวูไว่ได้แต่พยักหน้า มันเป็นคำสอนของลุงจริงๆ เป็นคำสอนที่ดูจะมีความหมายแฝงเร้นบางอย่าง
แต่เด็กอายุ 17 ไม่รู้ว่ามันความหมายลึกซึ้งอะไรบ้าง เหมือนหลายสิ่งหลายอย่างที่ลุงและป้าพร่ำสอนเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“สักวันเจ้าจะเข้าใจเองนั่นแหละ หวูไว่เอ๊ย” ป้าบอก
(5)
สิ่งที่หวูไว่ชื่นชอบอีกอย่างก็คือ การเดินชมพระอาทิตย์ดวงโตลับขอบฟ้าในยามพลบค่ำร่วมกับลุง
เป็นช่วงเวลาที่ลุงจะพูดถึงคำสอนแปลกๆให้เขาฟัง ทั้งรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
อาทิเช่น
“อะไรคือกฎของดอกไม้ อธิบายให้ลุงฟังซิ หวูไว่”
“มันคือการกำเนิด เบ่งบาน แล้วก็เหี่ยวเฉา”
“แล้วความหมายของมันละ…”
เด็กหนุ่มเกาหัวแกรกๆ
“มันคือกฎแห่งชีวิตที่เกิดมาแล้วก็ดับไป”
ลุงจะหัวเราะอย่างพออกพอใจ
“ใช่แล้ว ชีวิตคือการเกิดและแตกดับ มันเป็นความเที่ยงแท้ในธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มนุษย์เราพยายามหลีกหนี ต่อต้าน แต่ความจริงก็คือ ไม่มีใครหลีกหนีความตายได้”
หวูไว่อึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะเหลือบตามองไปที่ดอกไม้สองข้างทาง บางดอกก็เล็ก บางดอกก็ใหญ่ บางดอกก็เบ่งบาน และบางดอกก็เหี่ยวเฉา โรยรา
“เราควรจะทำยังไงดี ไอ้ชีวิตเนี่ย” หวูไว่พูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง
ลุงจะยิ้มขันๆ
“เจ้าจะต้องเรียนรู้ที่จะมีสติ รู้จักปล่อยวาง ทำจิตให้เป็นอิสระ”
เป็นอีกครั้งที่หวูไว่มึนตึ๊บ ถึงพอจะรู้ความหมายที่ลุงพร่ำสอนอยู่บ้าง แต่เขาก็ต้องใช้เวลาขบคิดอยู่นานกว่าจะเข้าใจได้ และบางทีก็ไม่รู้ความหมายอะไรเหล่านั้นเลย
“ทำไมลุงถึงได้รู้อะไรเยอะแยะอย่างนี้เล่า” หวูไว่ถามดื้อๆขึ้นมา
“มันไม่ใช่สิ่งที่ลุงรู้มาตั้งแต่กำเนิดหรอก หลานเอ๊ย ลุงเรียนรู้เอาจากธรรมชาติรอบตัวนะ”
“แล้วก็เอ่อ…บางอย่างลุงก็รับรู้จากคนอื่นอีกทอดนึงนะ”
“ใครกันครับลุง-ใครกัน”
ลุงจะนิ่งไปชั่วขณะ เหมือนใคร่ครวญคำตอบที่จะบอกกับหลานชาย
“เจ้าไม่รู้จักหรอก แต่วันหนึ่งข้างหน้าถ้าโชคดีเจ้าน่าจะมีโอกาสได้พบกับท่าน”
ท่านเหรอ-หวูไว่ไม่ค่อยเห็นลุงเรียกใครว่าท่านบ่อยนัก ใครกันหนอที่ลุงให้ความเคารพนบนอบถึงปานนั้น
แต่ในไม่ช้า เมื่อลุงพาหวูไว่เดินขึ้นมาถึงชะง่อนผาเพื่อรอชมพระอาทิตย์ตก บทสนทนาก็มักจะจบลงดื้อๆ ช่วงเวลานั้นสองลุงหลานจะนั่งลงเงียบๆ เฝ้ามองตะวันตกดินด้วยหัวใจอันอิ่มเอิบ
เป็นความสุขที่หวูไว่ไม่อาจอธิบายความรู้สึกได้

ช้างกับกิ่งไม้

คุณเคยได้รับเมล์ข้อความประเภทนี้หรือเปล่าครับ
ระบบของคนรุ่นใหม่ ไม่ต้องถ่อสังขาร รอรถติดไปทำงาน ความเชื่อที่ว่าคนที่ทำงานรายได้ดีกว่าคุณเป็นคนเก่งกว่าคุณ ซึ่งนั่นหาใช่ความจริงไม่
คุณคือใคร? คนที่ประสบความสำเร็จ-คนที่ล้มเหลว-คนที่พยายามจะประสบความสำเร็จการโพสต์ในเว็บเป็นธุรกิจเงินแสนต่อเดือน?
คุณเคยคิดไหมว่าน่าจะมีวิธีทำเงินได้ดีกว่านี้ ในสมัยเรียนเคยมีอาจารย์ท่านใด สอนให้คุณรู้จักวิธีสร้างความร่ำรวยบ้าง พวกเราเรียนหนังสือมาชั่วชีวิต แต่ไม่มีวิชาใดเลย ที่สอนให้เราร่ำรวยมั่งคั่ง
ลองคลิกเข้าไปดูข้อความ ก็จะได้ความหมายคล้ายๆกัน เป็นการชักชวนให้ลงทะเบียน สมัครเป็นสมาชิก เข้าร่วมงาน ทั้งที่ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะได้รับผลตอบแทนอย่างที่เขียนโน้มน้าวเอาไว้เลย
เมล์ประภทนี้เป็นเมล์ขยะ-ที่ไม่ควรค่าแห่งความสนใจแม้แต่นิดเดียว
แต่เมื่อเร็วๆนี้ มีเมล์ขยะประเภทนี้ส่งเข้ามา จะด้วยเพราะผมมีเวลาว่างเหลือเฟืออะไรก็ตามแต่ แต่เมื่อลองคลิกเข้าไปดูเล่นๆ กลับได้ค้นพบข้อความที่เป็น “ของใหม่” ในเมล์ประเภทนี้ และต้องยอมรับว่าน่าสนใจไม่เลวเลยทีเดียว
มันเป็นเรื่องของ “ช้างกับกิ่งไม้”
“นานมาแล้ว ชาวอินเดียใช้วิธีการนำลูกช้างมาฝึกให้เชื่อง โดยล่ามโซ่ขนาดใหญ่ที่ขาของลูกช้างติดกับต้นไม้หรือซุงขนาดใหญ่ พละกำลังของลูกช้างเองไม่สามารถที่ทำให้ลูกช้างมีอิสระได้ ความพยายามหลายๆครั้งแล้วทำไม่สำเร็จนั้น ทำให้ลูกช้างจดจำว่า ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และหลังจากความพยายามอย่างเต็มที่ในระยะเวลาที่นานพอสมควรแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ลูกช้างจะยอมแพ้ไปเอง และเชื่อว่าไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจหนีไปไหนได้ ท้ายที่สุดเมื่อลูกช้างโตเต็มที่ มีน้ำหนักหลายตัน คนเลี้ยงก็อาจเพียงแต่ผูกช้างนั้นไว้กับกิ่งไม้ก็พอ มันจะไม่หนีไปไหน อันที่จริงมันไม่คิดที่จะหนีไปไหนเลยด้วยซ้ำ เราเองก็คงไม่ต่างอะไรกับช้าง เราเชื่อไปเองว่าเราไม่อาจหลุดพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ ความเชื่อนี้จะฝังหัวเรามากขึ้นๆ จนในที่สุดมันกลายเป็นความจริงในจิตใต้สำนึก แต่ถึงที่สุดเราเองต้องตัดสินใจและตระหนักให้ได้ว่า สิ่งที่ผูกติดเราไว้ ไม่ใช่ต้นไม้หรือหรือขอนไม้ที่ใหญ่โต มันเป็นเพียงกิ่งไม้เล็กๆ สิ่งสำคัญก็คือเราต้องเริ่มต้นที่จะกล้าหักกิ่งไม้นั้นทิ้ง แล้วมุ่งหน้าไปยังป่าสีเขียวอันอุดมสมบูรณ์”
ช้างกับกิ่งไม้ นำมาจากหนังสือ The Elephant & The Twig ของ Geoff Thomson เท่าที่ทราบมีฉบับแปลเป็นภาษาไทยวางขายมาหลายปีแล้ว ซึ่งไม่รู้ทำอีท่าไหน ถูกโยงมาเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจบนอินเตอร์เน็ตไปเสียได้ เป็นธุรกิจที่ดำเนินการจริง หรือหลอกลวงก็ไม่ทราบได้
แต่เอาเถอะ-”ช้างกับกิ่งไม้” ก็มีคุณค่าบางอย่างในเนื้อหาที่น่านำเอาไปคิดต่อ “ช้างกับกิ่งไม้” ไม่ได้เป็นปรัชญาที่ซับซ้อน ลึกซึ้งอะไรนัก “ความคิด” ในเนื้อหาที่สื่อออกมา หากแปลความหมายผิดเพี้ยนไปก็อาจกลายเป็นทางเลือกอันตรายเสียด้วยซ้ำ
แต่ถึงอย่างไรก็ยังพอมองเห็น “ความดีงาม” ที่สอดแทรกอยู่ในนั้น
บอกตามตรง บางแง่มุมใน “ช้างกับกิ่งไม้” พ้องพานกับความรู้สึก “การเริ่มต้น” ของการ “คิดการเล็ก” ในหลายแวดวงได้อย่างกลมกลืน
แน่นอน-การเริ่มต้นของการคิดการเล็กนั้น บางทีก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะรู้สึกว่าตัวเองคือช้างที่ถูกล่ามโซ่-มันไม่ได้เลวร้ายหรือหดหู่อะไรอย่างนั้น
แต่เสียงเรียกร้องให้คนหนึ่งก้าวออกเดิน เพราะต้องการแสวงหาความลึกลับในป่าสีเขียวอันอุดมสมบูรณ์เบื้องหน้า นั่นต่างหากที่น่าใคร่ครวญหาคำตอบ
มันเป็นเรื่องของ “หัวใจ” ล้วนๆไม่มีก้อนกรวดปน
มีนักเขียนหนุ่มบางคนเคยให้สัมภาษณ์ว่า สำหรับผมแล้ว การรักในสิ่งที่ทำและได้ทำในสิ่งที่รักควบคู่กันไป คือการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ ส่วนผลที่ตามมาหลังจากนั้นทั้งเลวและร้ายก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป “
แม้จะฟังดูเขื่องๆหน่อย แต่มันก็ใช่เลย
อย่างไรก็แล้วแต่ ขอให้มีความสุขกับการเกิดเป็น “ช้าง” ทุกคนครับ
ไม่ว่าคุณจะถูก ” ล่าม ” เอาไว้หรือไม่ก็ตาม