๑๐.๑๒.๕๐

นักรบจากดาวดวงอื่น-บทที่ 4

การหลบหนี

(1)
ความเงียบอย่างประหลาดกำลังเกิดขึ้นในบ้านหลังเล็กหลังหนึ่งของหมู่บ้านเซียงอู่ หวูไว่นั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะ ที่นั่งตรงข้ามกับเขาคือ เอียนซี-หญิงสาวผู้มีความเป็นมาอันลึกลับ ซึ่งกำลังหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นจิบด้วยท่าทีครุ่นคิด ทางด้านขวาของเด็กหนุ่มเป็นลุง-ญาติผู้ใหญ่คนสำคัญของเด็กหนุ่มซึ่งกำลังเอามือลูบคางไปมา ส่วนป้าก็อยู่ระหว่างสาละวนลำเลียงจาน-ชามเข้าไปไว้ทางหลังบ้าน ระหว่างนั้นก็มองหน้าคนนั้นที คนโน้นที ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างแล้วก็ชะงักไปหลายครั้งหลายครา
บรรยากาศเช่นนี้สร้างความอึดอัดจนหวูไว่ต้องเอามือเกาหัวแกรกๆ โดยมีสายตาของลุงมองมาแล้วหัวเราะเบาๆ-ใช่ซิ เมื่อไม่รู้จะพูดอะไร เด็กหนุ่มก็มักจะแสดงอากัปกิริยาเช่นนี้เสมอนั่นแหละ
มันเสียบุคลิกนะหวูไว่ ป้ามักบ่นว่าเขาอย่างนี้เสมอ-แต่ทำไงได้ เขามักจะลืมตัวนี่
“ข้ามาจากเมืองเกียะหยู”
หญิงสาวพูดลอยๆทำลายความเงียบที่รุมเร้า เอาเถอะ-แม้จะไม่รู้ว่านางต้องการพูดกับใคร แต่สายตาที่มองมายังด็กหนุ่มก็น่าจะเป็นคำตอบอย่างดีอยู่แล้ว แต่หวูไว่จะทำอะไรได้เล่า เมืองเกียะหยูเหรอ-มันอยู่ที่ไหนกัน ห่างจากเซียงอู่มากมั๊ย เจริญมากหรือเปล่า เขาไม่รู้หรอก แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ
แต่เมื่อเหลือบสายตามองสีหน้าที่เบิกโพลงของป้า และเห็นลุงกำลังเลิกคิ้วขึ้นสูง เด็กหนุ่มก็สงสัยว่าเขาได้พลาดอะไรไปอย่างแรงหรือเปล่านี่
ลุงของหวูไว่ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบเฮือกใหญ่ แล้วถอนหายใจออกมาโดยแรงก่อนจะกล่าวว่า
“ถ้าข้าจำไม่ผิด เมืองเกียะหยูที่ว่า เป็นฐานที่มั่นของกองกำลังเมฆขาว…ไม่ใช่หรือ”
“ใช่”
กองกำลังเมฆขาว-หวูไว่แทบจะร้องอ๋อออกมาทันที เขาจำได้แล้ว มันคือกองทัพอันเกรียงไกรและมีชื่อเสียงที่เจ้าเพื่อนตัวดี เรียว-อากิ อยากไปสมัครเป็นทหารร่วมรบด้วยจนตัวสั่น และเป็นกองกำลังที่เป็นคู่ปรปักษ์กับกองทัพอัศวินดำนั่นเอง
อย่างนี้นี่เล่า…
“ที่ข้าบอกได้ในตอนนี้ก็คือ ข้าทำงานอยู่กับกองกำลังเมฆขาว ส่วนเรื่องนอกเหนือจากนี้ ขออภัยท่านลุงที่ไม่สะดวกจะบอกกล่าว”
“ข้าเข้าใจ…”ลุงพยักหน้ารับ
“แล้วคุณหนูจะทำอย่างไรต่อไปดีละเจ้าคะ…” คราวนี้เป็นป้าของหวูไว่ที่ถามบ้าง และเป็นคำถามที่เด็กหนุ่มก็สงสัยอยู่ตะหงิดๆเหมือนกัน
และคำตอบก็เกือบจะทำเอาเด็กหนุ่มพลัดตกจากเก้าอี้ไปเลย
“ไกล้ถึงเวลาที่ข้าจะต้องจากไปแล้ว”
หญิงสาวจากเมืองเกียะหยูหันมาทางหวูไว่
“ข้าคงต้องขอบใจเจ้ามากเป็นพิเศษ…”
“เพื่อนเจ้าสองคนนั่นก็เหมือนกันที่เสี่ยงชีวิตช่วยข้าไว้ แล้วก็ยังมีเพื่อนผู้หญิงของเจ้าอีกด้วย นางชื่ออะไรนะ”
“อาหลิง…นางชื่ออาหลิง” ตอบไปแล้ว เด็กหนุ่มก็สะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย ทำไมน้ำเสียงที่พูดออกไปมันถึงได้เศร้าสร้อยเช่นนี้เล่า
“ไม่เป็นไรหรอก เราเต็มใจช่วย” หวูไว่พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“นั่นซิ อย่าเกรงใจไปเลยคุณหนู…อ้า คุณหนูเอียนซี” ป้าว่า พลางรินชาจากกาใส่ถ้วยที่อยู่เบื้องหน้าหญิงสาว ก่อนจะเหลือบตามองหลานชายตัวดี ที่ขณะนี้หน้าตาซีดเซียว เหมือนคนเป็นไข้-ท่าจะเป็นเอามาก
“ว่าแต่ว่า ฟังที่คุณหนูเล่า ป้าว่าพวกทหารอัศวินดำมันจะยังป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้เอานา เกิดคุณหนูออกจากหมู่บ้านของเรา แล้วไปเจอทหารพวกนั้นเข้าจะทำยังไงกัน คุณหนูคนเดียวจะรับมือมันยังไงไหว”
หวูไว่พยักหน้าเออออเห็นด้วยกับป้าทุกอย่าง จริงด้วยซิ-นึกถึงทหารอัศวินดำพวกนั้น เด็กหนุ่มก็ตัวสั่นขึ้นมา คิดถึงสีหน้าเหมือนไม่ชีวิต และดาบสีดำมะเมื่อมของพวกนั้นแล้ว ก็ยิ่งหวาดเสียว ถ้าตอนนั้นไม่ได้นักพรตเฒ่าคนนั้นมาช่วยละก็…
เอียนซียิ้มน้อยๆ
“อย่าห่วงไปเลย ข้าเอาตัวรอดได้ ตอนนี้ข้าหายดีแล้ว พวกนั้นทำข้าอะไรไม่ได้หรอก”
“แล้วก็อีกอย่าง…”
“ข้ามีธุระที่ต้องไปสะสางอีกมาก ขืนข้ายังอยู่ต่อไปกลัวว่า หมู่บ้านของพวกท่านจะพลอยไม่ปลอดภัยไปด้วยนะซิ”
หวูไว่ได้แต่นั่งอึ้ง มองหน้าหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้าม พวงแก้มของหญิงสาวมีสีเลือดฝาดแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง ประกายตาก็แจ่มใสดังเดิม ส่วนบาดแผลบนแขนดูจะสมานกันสนิท แต่นึกถึงวันที่หญิงสาวออกไปจากเซียงอู่ เด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนหัวใจตกวูบลง
แต่จะทำอย่างไรได้เล่า เพราะเอียนซีพูดถูกทุกอย่าง ไกล้ถึงเวลาต้องจากลากันเสียที
คิดแล้วเด็กหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
ความเงียบอันประหลาดแผ่ซ่านออกมาอีกครั้ง หวูไว่ มองหน้าหญิงสาวตรงหน้า แล้วก็หันไปมองลุง หันไปมองป้า ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นทำลายความเงียบอันแสนอึดอึดด้วยประโยคอะไรดี
“หวูไว่…หวูไว่เว้ย แย่แล้ว”
เสียงตะโกนร้องของใครบางคนจากถนนหน้าบ้านดังขึ้นมาพอดี
“นั่นมันเสียงเจ้าอ้วนนี่…” ป้าพูด แน่แล้วเป็นเสียงอากิ เจ้าเพื่อนตัวแสบของหวูไว่นั่นเอง
“ว่าไง…” เด็กหนุ่มตะโกนตอบทั้งๆที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ก่อนจะลุกไปเปิดสลักประตูหน้าบ้านด้วยอาการเอื่อยเฉื่อย ออกจะรำคาญเสียงทุบประตูหน้าบ้านของเจ้าเพื่อนสองคนนั่นนิดๆด้วยซ้ำไป
ดูเอาเถอะ-ประตูยังไม่ทันเปิดออกดีเลย เจ้าเพื่อนสองคนนั้นของหวูไว่ก็กระแทกเข้ามาอย่างแรงทำเอาเด็กหนุ่มเอียงกระเท่เร่ เกือบจะเสียหลักก้นจ้ำเบ้า
“เฮ้ย…”หวูไว่สบถออกมาอย่างหงุดหงิด
แต่เรียวกับอากิสนเสียที่ไหน ผ่านประตูเข้ามาได้แล้วก็กระโจนพรวดเข้ามา ในขณะที่ทุกคนในบ้านกำลังมองมากันด้วยสีหน้าประหลาดใจ สองคนนั่นก็หยุดพักหายใจชั่วครู่ พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“พวกเจ้าไปทำอะไรกันมา…” หวูไว่ที่เดินตามหลังมาบ่นอุบ
“คืออย่างนี้” เรียวว่าด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ข้า…ข้าเห็น…”
หวูไว่ส่ายหน้า เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย สองคนนี่เวลาเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ตกใจมากๆ เป็นต้องพูดติดอ่างอย่างนี้เสียทุกคราวไป
“ข้าเห็นพวกทหารนั่น…” คราวนี้เป็นเจ้าอ้วน-อากิ ที่กล่าวเสริมขึ้นมา
ทหารเหรอ-หวูไว่สะดุ้งขึ้นมา
“ใช่แล้ว…พวกเราเข้าไปตัดฟืนที่ป่าละเมาะนอกหมู่บ้านเมื่อตะกี้ เห็นพวกทหารอัศวินดำขี่ม้าตระเวนอยู่”
“ทำไงกันดี…ทำไงกันดี หือ…หวูไว่” คราวนี้เจ้าเรียวหันมาทางเด็กหนุ่มและจับแขนเขาเขย่าไปมาเพราะความตื่นเต้น
ความเงียบงันเกิดขึ้นอีกครั้ง เด็กหนุ่มรู้สึกมึนงง หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ นึกเห็นภาพพวกทหารในชุดเกราะสีดำพวกนั้นควบม้าเข้ามาในหมู่บ้านของเขา ลำพังเขาและเพื่อนๆจะเอาอะไรไปต้าน คนอื่นๆในหมู่บ้านเซียงอู่ก็เป็นชาวนา พ่อค้า แม่ค้า ไม่มีใครสู้รบปรบมือพวกอัศวินดำเหล่านั้นได้หรอก
“ยังพอมีเวลาน่า…”คราวนี้เป็นลุงของเด็กหนุ่มที่เตือนสติทุกคน แม้เสียงจะกระเส่าไปบ้างก็ตามทีเหอะ
“ถูกต้อง…”เอียนซี พยักหน้าและปราดลุกขึ้นทันที
“ถ้าข้าจากไปตอนนี้ และล่อให้พวกอัศวินดำไล่ตามไป ทุกคนในหมู่บ้านก็จะปลอดภัย”
“หา…ไม่ได้” อยู่ดีๆหวูไว่ก็พูดโพล่งออกมา
หญิงสาวมองมาที่เด็กหนุ่ม ส่งสายตาอันอ่อนโยนออกมาแล้วส่ายหน้าช้าๆ ดูเหมือนนี่อาจจะเป็นทางเลือกเดียวที่มีอยู่ไม่ใช่หรือ แต่การให้หญิงสาวคนเดียวเป็นเป้าของทหารกลุ่มใหญ่มันก็ออกจะเสี่ยงภัยเกินไป ถึงนางจะพอมีฝีมืออยู่ก็ตามทีเหอะ
“ข้าต้องไป…เดี๋ยวนี้”หญิงสาวย้ำอีกครั้ง
“พวกเราจะไปด้วย…” หวูไว่กล่าวเหมือนละเมอ พูดจบแล้วก็หันมามองหน้าเพื่อนทั้งสองคนที่ยืนหน้าซีด ตัวสั่นอยู่ข้างๆ
“พวกเจ้าอยากเป็นทหารของกองกำลังเมฆขาวไม่ใช่เหรอ ข้าจะบอกให้ นางมาจากกองกำลังนั่นนะ รู้หรือเปล่า นี่เป็นโอกาสของพวกเจ้าแล้ว”
เรียวและอากิ มองหน้ากันไปมาแล้วหันไปมองที่เอียนซี แล้วจึงกลับมามองที่หวูไว่ด้วยสายตาละห้อย ก่อนพยักหน้าช้าๆ
หญิงสาวส่ายหน้าอีกแล้ว
“ดีแล้วละ ให้พวกหนุ่มนี้ช่วยเจ้าเถอะ” ลุงว่าเสียงเครียดๆ ก่อนจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นซดเฮือกใหญ่
“และข้ามีแผนการณ์…”
แผนเหรอ-หวูไว่มองหน้าลุงอย่างประหลาดใจ

(2)
ถนนสายนั้นทั้งเล็กและแคบ แต่นอกจากถนนนี้แล้วบริเวณรอบข้างก็ล้วนแล้วแต่เป็นชายป่า ทุ่งหญ้า ไม่มีเส้นทางใดที่จะผ่านออกไปได้ และหากมุ่งตรงไปตามถนนดินสายนี้ก็จะผ่านเนินซึ่งจะเป็นสายตัดออกสู่ถนนใหญ่ได้ในที่สุด
เสียงฝีเท้าม้าตัวหนึ่งกระหึ่มมาแต่ไกล บนม้านั่งเห็นร่างชายหนุ่มร่างท้วม ใส่หมวกกุยเล้ยควบม้าด้วยอาการเร่งรีบ และด้านหลังมีหญิงสาวร่างสูงโปร่งในชุดสีขาวนั่งเอาหน้าแนบกับแผ่นหลังของชายผู้ขับขี่
ไม่ช้าไม่นานก็มีเสียงกังวานตามมาทางด้านหลัง แล้วทันใดทหารชุดสีดำกลุ่มใหญ่บนหลังม้าก็ทะยานไปตามถนน เร่งฝีเท้าเพื่อตามให้ทันการควบหนีของหนุ่มสาวคู่นั้น ทันใด ทหารในชุดสีดำคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนบนโกลน ง้างคันธนูขึ้นสายและน้าวลูกธนูเต็มแรง ส่งให้ลูกธนูดอกนั้นทะยานพุ่งออกมา โดยมีหนุ่มสาวคู่นั้นเป็นเป้าหมาย
โชคดีนัก ลูกธนูวิ่งเฉียดร่างของคนทั้งคู่บนม้าไปหวุดหวิด แต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้ม้าเสียหลัก จนชายหนุ่มผู้ขี่ต้องดึงสายรั้งโดยแรงเพื่อพยุงตัวให้อยู่บนหลังม้าให้ได้ แต่ก็ยังผลให้ ทหารเกราะดำพวกนั้นเร่งฝีม้าเข้ามาและรายล้อมคนทั้งคู่เอาไว้
ทหารคนที่ยิงธนูย่างม้าเข้ามาไกล้แล้วชี้หน้า
“เจ้านะเปิดหมวกออกซะ แล้วคุณหนูเอียนขอเชิญลงจากม้าด้วย”
ชายคนขี่ม้าค่อยๆถอดหมวกของตัวเองออกช้าๆ ใบหน้านั้นอวบกลม นัยน์ตาตี่ ในขณะที่มีรอยยิ้มแห้งๆ ในขณะที่หญิงสาวด้านหลังค่อยๆเงยหน้าขึ้น ใบหน้าพอกไว้ด้วยแป้งขาว ปากแดง ในขณะที่ผมยาวนั้นยุ่งเหยิง ริมฝีปากหนาอันผิดรูปของนางสั่นระริก สิ่งที่พอจะเรียกได้ว่างดงามของหญิงสาวก็คือ เสื้อและกระโปรงขาวของนางเท่านั้นกระมัง
“พวกเจ้า…พวกเจ้าเป็นใคร” ทหารผู้นั้นพูดเหมือนตะคอก
“เจ้าไม่ใช่เอียนซีนี่…”
ชายหนุ่มเจ้าของม้าที่รูปร่างท้วมหนา พูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า
“เอียนซีไหนกันขอรับท่าน…พวกข้าไม่รู้จัก”
ทหารผู้นั้นกระโดดลงจากม้าแล้วตะคอกว่า “ถ้าอย่างนั้นเสื้อผ้าของนังผู้หญิงนั่น…”
หญิงร่างผอมสูงยิ้มอย่างกระมิดกระเมี้ยนแล้วปล่อยน้ำเสียงทุ้มใหญ่ผิดกับชุดที่สวมใส่ออกมาว่า
“มันไม่ใช่เสื้อผ้าของข้าหรอกเจ้าคะ เมื่อตะกี้มีผู้หญิงคนหนึ่งเอามาให้ข้าใส่ บอกว่าอยากแลกกับชุดของข้านะคะ แล้วเสื้อผ้าสวยๆอย่างนี้ใครไม่อยากได้บ้างละคะ…ท่านขุนพล”
“ไม่ใช่…ข้าไม่ใช่ท่านขุนพลเว้ย” ทหารผู้นั้นกล่าวอย่างหงุดหงิด ทำท่าจะชักดาบที่พาดไว้ด้านหลังออกมา
“อย่าคะ…อย่า ข้ากลัวแล้ว” หญิงสาวหน้าตาประหลาดละล่ำละลักปากคอสั่น และคุกเข่าร้องขอชีวิตเป็นพัลวัน
“พวกเจ้าไม่ได้หลอกข้านะ…” นายทหารคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงกร้าว ในขณะที่ชายหนุ่มร่างอ้วนและหญิงบอบบางผู้นั้นเอาแต่คุกเข่าร่ำร้องขอชีวิตเป็นพัลวัน
“พวกนั้นหนีไปทางไหน…”ทหารชุดดำถาม
“ทางนั้นเจ้าคะ…”ฝ่ายหญิงชี้มือไปทางทิศเหนือของถนนดินเส้นนั้น
ทหารชุดดำมองคนทั้งสองชั่วครู่ ก่อนจะเดินขึ้นไปหลังม้าและส่งเสียงกังวานก้อง
“พวกเราไป…”
จากนั้นเหล่าทหารในชุดสีดำเหมือนผืนฟ้าในยามค่ำคืนก็ห้อตะบึงม้าจากไปราวลมพัด
ไม่นานนัก หญิงชุดขาวที่นั่งคุกเข่าร้องขอชีวิตก็ทิ้งร่างลงกับพื้นถนนอย่างหมดแรง
“รอดหวุดหวิดนิ…อากิ” เสียงของเด็กหนุ่มที่ทุ้มใหญ่ดังมาจากร่างของสาวร่างผอมที่นอนเหนื่อยหอบอยู่
ในขณะที่ ชายหนุ่มที่กำลังจูงบังเหียนม้าและมองไปยังทิศทางที่ทหารพวกนั้นควบม้าจากไปพูดออกมาลอยๆ
“แผนการณ์ท่านลุงนี่เยี่ยมยอดจริงๆเนอะ…”
หญิงร่างผอมผลุดขึ้นลุกนั่ง ถอดผมยาวที่แสนจะยุ่งเหยิงออกจากศรีษะอย่างไม่ใยดี ถึงตอนนี้ถ้าหากทหารพวกนั้นวกกลับมาก็คงจะตีอกชกหัวกันเป็นการใหญ่กับการโดนหลอกครั้งสำคัญ เพราะชายในร่างหญิงที่นั่งทอดกายอยู่บนถนนในขณะก็คือ เรียว-เด็กหนุ่มหน้าทะเล้นแห่งหมู่บ้านเซียงอู่นั่นเอง
“แล้วเราจะไงกันต่อไปดี ” เจ้าอ้วน-อากิถามพลางเกาคางไปมา
เรียวหันไปหยิบของบางอย่างในอกเสื้อออกมาแล้วยกขึ้นส่องกับอากาศ มันเป็นแผ่นป้ายเหล็กสีทองเจิดจ้า มีพู่สีแดงห้อยพลิ้วไปมา
“คุณหนูบอกว่า ห่างจากที่นี่ไม่ไกล ขี่ม้าออกไปทางทิศตะวันออกราว 1 ชั่วยามมีกองกำลังเมฆขาวตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำ เอาป้ายทองนี่ให้พวกนั้น เราก็จะปลอดภัย หลังจากนั้นทหารของกองกำลังเมฆขาวจะตามไปช่วยคุณหนูเอียนเองนั่นแหละ”
“หวังว่าพวกหวูไว่คงปลอดภัยอยู่นะ…เมื่อถึงตอนนั้น” อากิเปรยออกมา
เรียวร้องอืมม์อย่างเห็นด้วย

(3)
ตะวันดวงโตลับขอบโลกไปแล้ว และดาวบางดวงเริ่มส่องประกายอยู่บนฟากฟ้าเบื้องบนมองเห็นอยู่ลิบๆอยู่ในขณะนี้ และอีกไม่ช้าหรอก ดวงดาวก็จะพร่างพรายเต็มผืนฟ้าไปหมด
“นี่…”เสียงหญิงสาวดังขึ้นและสะกิดหลัง ทำให้เด็กหนุ่มต้องละสายตาจากการเฝ้ามองดวงดาวเบื้องบนและหันมามองหญิงสาวที่อยู่ข้างๆแทน
เอียนซี-หญิงสาวผู้งามสง่าแห่งกองกำลังเมฆขาวอยู่ในชุดเสื้อและกระโปรงสีน้ำตาล แต่บนอกเสื้อมีสร้อยทองห้อยเหรียญกลมรูปวงรีประดับประดาขึ้นมา ในขณะที่ใบหน้าไม่ได้ปะแป้ง จึงดูงดงามตามธรรมชาติ สวยแปลกตาไปอีกแบบหนึ่ง
“เฮ้อ…นี่เรากำลังหลบหนีอยู่นะ ไม่ใช่มาเดินชมธรรมชาติ หวูไว่” หญิงสาวว่าอย่างตัดพ้อ และส่งสายตาค้อนมาที่เด็กหนุ่มอย่างพองาม
“ข้าขอโทษ…ลืมตัวไปนะ”
ความมืดกำลังปกคลุมป่า เสียงใบไม้จากกิ่งเล็กกิ่งน้อยไหวลู่ไปตามแรงลม หากตั้งใจมองดูจะให้ความรู้สึกเหมือนยักษ์ตัวใหญ่ที่โยกแขนขาของตัวเองไปมา ราวกับเต้นระบำท่ามกลางความเงียบสงัด แต่ว่าไปแล้วก็ไม่ถือว่าเงียบสงัดเสียทีเดียวนัก ยังคงมีเสียงนกกลางคืน แมลงร้องดังประสานสอดคล้องเหมือนท่วงทำนองดนตรีอันแปลกประหลาดแทรกซ้อนขึ้นมา
แน่ละ-หวูไว่ไม่กลัวสักนิด จะเป็นป่าที่ปกคลุมไปด้วยความมืดไปด้วยราตรีกาล หรือเสียงกรูเกรียวไปมาของต้นไม้เหล่านั้นก็เถอะ สำหรับเขาแล้ว มันคือการร่ายรำต่างหาก การร่ายรำจากธรรมชาติที่สอดคล้องกลมกลืนราวกับบทเพลงที่มีทำนองเดียวกัน
แต่ห้วงเวลานี้ เด็กหนุ่มไม่ได้อยู่คนเดียว มีเอียนซี-หญิงสาวแห่งกองกำลังเมฆขาวเดินตามหลังอยู่ ป่าอันมืดมิด ความเงียบอันแสนจะไม่คุ้นเคย ทำให้หญิงสาวเกิดความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูก เหมือนความกลัว อาการอกสั่นขวัญแขวน ประเดประดัง คลุกเคล้าไปกับความอ้างว้าง ที่รายล้อมอยู่รอบตัวขณะนี้
สิ่งเดียวที่ทำให้หญิงสาวคลายความกังวลก็คือ การเดินดุ่มอย่างคล่องแคล่ว ไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเด็กหนุ่มที่ก้าวย่างอยู่ข้างหน้า เป็นการเดินด้วยท่าทีปลอดโปร่งเหมือนเดิมอยู่ในบ้านของตัวเองยังไงยังงั้น
น่าแปลกนัก-เด็กหนุ่มร่างบอบบาง ที่ไม่กล้าแม้กระทั่งใช้มีดฆ่าหมูป่า สร้างความอบอุ่นใจให้แก่หญิงสาวที่มาจากกองกำลังที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคได้อย่างไร
“นี่…” จู่ๆหวูไว่ที่เดินพาหญิงสาวลัดเลาะผ่านต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่า ก็หยุดกึกอย่างไม่ทันบอกกล่าวแล้วหันหลังมา ทำเอาหญิงสาวชะงักและสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อยจนต้องเผลอถามออกไปว่า
“หวูไว่…มีอะไร”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “เปล่าหรอก…ข้าว่าเราก็เดินมาไกลพอสมควรแล้ว พักก่อนดีกว่า ดูเหมือนแผนการณ์ของท่านลุงจะได้ผลนะ”
เอียนซีส่ายหน้า
“ข้านะไม่เหนื่อยหรอก แต่ที่อยากถามเจ้าก็คือ เราจะต้องเดินกันอีกนานมั๊ย”
เด็กหนุ่มเอานิ้วชี้ชี้ตรงออกไปข้างหน้า
“อีกไม่ไกลนักหรอกอีกไม่นานเราก็จะไปถึงสุดเขตของป่าแห่งนี้ ซึ่งที่นั่นจะมีลำน้ำสายเล็กๆ ซึ่งถ้าเราล่องเรือตามเส้นทางน้ำนี้ไปก็จะลัดเลาะไปจนถึงต้นแม่น้ำใหญ่และขึ้นฝั่งที่นั่น ซึ่งเมื่อไปถึงก็จะปลอดภัยแล้ว”
หญิงสาวร้องอืมม์และพยักหน้ารับคำ
“เจ้าเคยบอกข้าใช่มั๊ยว่า ไม่ค่อยได้ออกไปไกลจากเซียงอู่ แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้เป็นการเดินทางไกลของเจ้าซีนะ”
หวูไว่พยักหน้า เอามือเกาศรีษะแล้วยิ้มแห้งๆ
“ลำน้ำที่อยู่สุดเขตป่าแห่งนี้คือเส้นทางสุดท้ายที่ข้าคุ้นเคยแล้ว ข้าไม่เคยข้ามไปจนถึงเขตลำน้ำใหญ่นั่นเลย”
“อ้อ…เหรอ”หญิงสาวอุทาน
“ลำบากเจ้าจริงๆนะ…”
เด็กหนุ่มโบกไม้โบกมือและส่ายหน้าปฎิเสธเป็นพัลวัน ก่อนจะหันมาสบตากับหญิงสาวแห่งเมืองเกียะหยู แต่ชั่วแว่บเดียวเท่านั้นก็หลบตาลง
“ไม่หรอก…”
เอียนซีใช้มือผลักหลังเด็กหนุ่มให้ก้าวเดินต่อไป แต่คราวนี้หญิงสาวเร่งฝีเท้าก้าวมาเดินเคียงข้างหวูไว่ อาการตื่นกลัว อึดอัดกับความเงียบรอบตัวของหญิงสาวหายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้
“หวูไว่…รู้มั๊ย เจ้าเป็นเด็กหนุ่มที่แปลกมาก ข้าไม่เคยเจอเด็กหนุ่มอย่างเจ้ามาก่อนเลย” เอียนซีโพล่งขึ้นมาดื้อๆ
หวูไว่ชะงักขึ้นมาชั่วขณะ แล้วก็เอามือลูบผมตัวเองไปมา แต่ไม่ได้ตอบอะไร
“นี่ ไม่ใช่ผมสีทองของเจ้าหรอกน่า ข้าหมายถึงนิสัยนะ”
“นิสัยเหรอ”
หญิงสาวพยักหน้ารับ มองลอดเงาของต้นไม้ทะลุไปยังเบื้องบนที่นวลด้วยแสงจันทร์ที่ทอรัศมีลงมา
“ในเมืองของข้า อาจจะเจริญกว่าหมู่บ้านของเจ้าก็จริง แต่ก็ไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มคนใดเหมือนเจ้ามาก่อน ไม่เคยมีใครอ่อนโยน รักธรรมชาติรอบตัวเหมือนเจ้า …”
“พวกเขา…”หญิงสาวพูดชะงักไว้แค่นั้น ดวงตาทอแววเศร้าขึ้นมาวูบหนึ่ง
“ที่สำคัญ เจ้าไม่มีฝีมือติดตัว ใช้อาวุธอะไรก็ไม่เป็น แต่เจ้าก็กล้าหาญไม่แพ้พวกทหารของกองกำลังเมฆขาวเลยนะ”
คราวนี้เป็นเด็กหนุ่มที่อึ้ง หวูไว่รู้สึกหัวใจพองโต มือไม้สั่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“ไม่ละมั๊ง คุณหนู”
คำตอบนี้ทำเอาหญิงสาวหัวเราะคิกขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
“เป็นความจริง ตั้งแต่ตอนที่เจ้าช่วยข้าไว้จากทหารอัศวินดำพวกนั้น ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของข้า แล้วก็พาข้าหนีมานี่ ดูเหมือนเจ้าจะไม่กลัวพวกอัศวินดำนั่นซักนิด”
“หวูไว่ ข้าว่าคนอย่างเจ้าสามารถเป็นทหารที่ดีของกองกำลังเมฆขาวได้เลยนะ เจ้าอยากเป็นบ้างมั๊ย”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าและโบกมือช้าๆ
“อย่าเลย ข้าคิดว่าตัวเองคงไม่เหมาะ ข้าไม่ชอบการสู้รบมาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ชอบจับดาบ ไม่เคยฝึกการใช้อาวุธ และที่สำคัญข้าไม่อยากจากบ้านไปไหน”
เอียนซี อึ้งไปพักใหญ่
“เห็นความแปลกของตัวเองหรือยังหวูไว่ หือม์”
“แปลกอีกแล้วหรือ…”เด็กหนุ่มทำเสียงเซ็งๆเหมือนไม่ชอบใจความแปลกของตัวเองเท่าใดนัก แต่ก็ทำให้หญิงสาวถึงกับหัวเราะเบาๆออกมาทันที
“ที่ข้าว่าแปลกก็เพราะ เด็กหนุ่มอายุขนาดเจ้าจำนวนกว่าครึ่งค่อนแผ่นดิน ล้วนแล้วแต่ใฝ่ฝันได้เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังเมฆขาวทั้งนั้นแหละ มีแต่เจ้าเท่านั้น”
“งั้นถามหน่อย-ความฝันของเจ้าคืออะไร เงินทอง หรือว่ามีคนรักละ?”
หวูไว่เกาหัวแกรกๆเหมือนเคย
เขาเขินอายไม่รู้จะบอกกับหญิงสาวอย่างไรดี ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาก็คงบอกว่า มันคือการไม่ต้องทำอะไร ได้ใช้ชีวิตมีความสุขไปวันๆอยู่ในเซียงอู่ก็เพียงพอ แต่สำหรับตอนนี้
“ขอให้เจ้าปลอดภัย ได้กลับไปที่เกียะหยูเถอะ”
ประโยคนี้เด็กหนุ่มไม่ได้พูดออกไป ได้แต่บอกตัวเองในใจเท่านั้น

(4)
มันเป็นสะพานที่ทอดยาวสู่แม่น้ำเล็กๆสายหนึ่ง ฟ้าครึ้ม มีเสียงเลื่อนลั่นบนฟากฟ้าเบื้องบนอยู่เป็นระยะ ลมนิ่ง ทุกสิ่งเงียบสงบ ให้ความรู้สึกอ้างว้างบางอย่าง
เป็นความเงียบที่บางคนบอกว่าน่ากลัวเกินไป คล้ายกับบรรยากาศยามพายุใหญ่ไกล้จะมาเยือน
มีร่างคนผู้หนึ่งนั่งสงบอยู่ริมสะพาน มองจากด้านหลังจะเห็นผมยาวพลิ้วไปตามแรงลม ไหล่ทั้งสองข้างกว้าง แสดงถึงความผึ่งผาย โดยเฉพาะเสื้อตัวบางสีดำที่ทำจากผ้าเนื้อดียิ่งขับเน้นให้น่าสนใจไปอีก
ในมือของคนผู้นั้นกำลังกุมเบ็ดตกปลา และนั่งอยู่ริมสะพานนั้นด้วยท่าทีปลอดโปร่ง ดูท่าปลาจะยังไม่กินเหยื่อ สังเกตได้จากร่างนั้นที่ไม่ขยับ ไหวติง แต่อย่างใด
และอย่างช้าๆ มีกลุ่มทหารในชุดดำเดินเหมือนวิ่งกระหืดกระหอบมาที่สะพานแห่งนั้น ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นสะพานและร้องโพล่งออกมาพร้อมกัน
“ท่านขุนพล…”
“ว่าไง”เสียงนั้นกังวานมาจากปากของคนผู้นั้น เป็นเสียงที่ฟังเยือกเย็น แต่ก็ฟังดูเปี่ยมอำนาจ จนทำเอาทหารในชุดเกราะดำเหล่านั้นก้มหน้ามองพื้นสะพานด้วยอาการลนลาน
ร่างนั้นหันมาช้า ใบหน้านั้นเรียวยาว เกลี้ยงเกลา จมูกโด่ง คิ้วโก่ง ดวงตากลมโต เสียดายนักที่ดวงตาคู่นั้นกลอกกลิ้งไปมาแสดงถึงความเจ้าเล่ห์และเลือดเย็น และประกายตากำลังจ้องมองมายังทหารในชุดเกราะดำจนแทบทะลุ
ทหารคนหนึ่งที่คุกเข่า ไหล้คู่เงยหน้าขึ้นสบชายหนุ่มเบื้องหน้าพูดเสียงสั่น ตะกุกตะกัก “พวกมัน…พวกมันหนีไปได้ ท่านขุนพล”
ชายหนุ่มร่างผึ่งผายเขม่งมองกลุ่มทหารที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าไปมา ก่อนเงยหน้าหัวเราะด้วยเสียงอันดัง เป็นเสียงหัวเราะที่ทำเอาทหารเหล่านั้นหนาวยะเยือก มันเหมือนเสียงคำรามของพยัคฆ์ในป่าใหญ่เสียมากกว่า
“พวกเจ้าคือกองกำลังของทหารอัศวินดำที่มีชื่อก้องฟ้า แต่ไม่มีความสามารถที่จะตามจับตัวผู้หญิงคนเดียวที่ได้รับบาดเจ็บได้ พูดไปใครจะเชื่อ”
“รู้มั๊ย…ถ้าเรื่องนี้ข้านำไปรายงานท่านนายพลซื่อ พวกเจ้าจะต้องเจอกับอะไร”
“ไม่ได้เรื่องเลย…” ชายหนุ่มผมยาวหรี่ตาพูด
ทหารอัศวินดำที่หมดฤทธิ์ สิ้นลายอยู่บนสะพานยาวแห่งนั้น ยกมือขอชีวิตต่อชายหนุ่มเบื้องหน้าเป็นพัลวัน
“ลำพังคุณหนูเอียนคนเดียว พวกเรามีปัญญาจับตัวมาให้ท่านขุนพลได้แน่ แต่ว่า…”
“แต่ว่า…อะไร”
“มีนักพรตคนนึงมาขัดขวางพวกเราเอาไว้”
“นักพรตเหรอ”
ทหารคนเดิมรีบละล่ำละลักตอบ “นักพรตนั่นใช้การลงมือเพียงครั้งเดียวก็ฆ่าคนของเราได้แล้วครับ”
“หรือว่าพวกเจ้าเจอกับ…” ชายหนุ่มที่มีดวงตาอันเกรี้ยวกราดพึมพำขึ้นมา
“นอกจากนั้นข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องรายงานท่านขุนพลด้วย” ทหารคนเดิมว่าด้วยน้ำเสียแผ่ว
“ตอนที่เราเจอคุณหนูเอียน ก่อนที่จะมีนักพรตเฒ่าคนนั้นมาขัดขวาง เราเจอกับเด็กหนุ่ม 3 คนรวมอยู่ในกลุ่มของนางด้วย และหนึ่งในนั้น…เอ้อ”
“มีอะไรรีบบอก อย่าอ้อมค้อม” ขุนพลหนุ่มผู้นั้นตวาด
“ถ้าข้าจำไม่ผิด มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่น่าประหลาดมาก เพราะมันมีผมสีทอง แถมดวงตาสีฟ้า ข้าสงสัยว่า…”
“หรือว่า…”พึมพำออกมาแค่นั้น ชายหนุ่มก็ออกคำเสียงเหมือนคำรามออกมา
“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง และอย่าทำให้ผิดหวัง จับนังตัวแสบคนนั้น แล้วก็เด็กหนุ่มคนที่เจ้าว่ามาให้ได้”
ทหารอัศวินดำทั้งหมดรับคำเสียงดัง แต่ไม่วายมีเสียงร้องถามจากนายทหารคนเดิมว่า “แต่ว่า…พวกเราไล่ตามพวกมันในเส้นทางทุกสายแล้วนะครับ แต่ไม่มีร่องรอยพวกนั้นอยู่เลย”
ขุนพลหนุ่มหัวเราะหึหึขึ้นมา
“ถ้าพวกมันไม่ได้เดินทางด้วยม้า ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่สามารถหลบหนีไปทางอื่นได้นี่”
“อย่างเช่น…ทางนั้น”
พูดเสร็จ ชายหนุ่มก็กวาดสายตามองไปยังคุ้งน้ำเบื้องหน้าอย่างมีความหมาย

๓.๑๒.๕๐

นักรบจากดาวดวงอื่น (3)

บทที่ 3-หญิงสาวผู้ลึกลับ
(1)
“หวูไว่ๆ”
มีมือหนึ่งกำลังเขย่าตัวเขาไปมา ในขณะที่เด็กหนุ่มรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งร่าง และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เขาขยับตัวไม่ได้ เหมือนมีน้ำหนักบางอย่างมากดทับบนร่าง
หวูไว่พยายามลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ และกำลังเห็นเจ้าอ้วน-อากิ กำลังเอามืออันอวบอ้วนเขย่าร่างเขาไปมา และเรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยน้ำเสียงสั่น
อ้าว…
เด็กหนุ่มพูดได้แค่นั้น เมื่อเหลือบตาขึ้นมองและพบว่าน้ำหนักที่กดทับอยู่บนร่างของเขาในขณะนี้คือร่างของคนผู้หนึ่ง ที่ดูเหมือนว่าจะนอนสลบไสลและยึดเอาร่างของเขาเป็นเบาะนอนไปเสียแล้ว
และร่างที่นอนทับเขาอยู่ในขณะนี้ก็คงจะเป็นเจ้าของม้าที่กระเด็นจากหลังม้าเมื่อตะกี้ และยังส่งกลิ่นหอมประหลาดมาเข้าจมูกหวูไว่เสียด้วย
กลิ่นหอมเหรอ…
“ช่วยข้าที เร็ว” เด็กหนุ่มบอกกับเพื่อนเกลอแล้วพยายามหยัดตัวขึ้น ในขณะที่อากิ ที่ก้มตัวอยู่เหนือร่างของเขากำลังช่วยออกแรงดึงร่างที่ทับหวูไว่ขึ้นมา
“ผะ…ผะ…ผู้หญิง” เรียว ที่กำลังออกแรงรั้งบังเหียนม้าหนุ่มที่กำลังตื่นกลัวและมองมาร้องขึ้น
ก็ใช่นะซิ…ถ้าไม่ใช่ผู้หญิง จะมีกลิ่นหอมออกมาจากได้อย่างไรเล่า หวูไว่พูดกับตัวเองในใจ ในขณะที่ยันร่างลุกขึ้นนั่งโดยเร็ว และมองไปยังอากิที่วางร่างของหญิงสาวไว้บนพื้นหญ้าด้วยอาการละมุนละม่อม
ตายละ…
เด็กหนุ่มพึมพำขึ้นมาเมื่อมองเห็นร่างเจ้าของม้าอย่างเต็มตา นอกจากจะเป็นผู้หญิงแล้ว ยังดูเหมือนจะเธอจะมีอายุพอๆกับเขาเท่านั้น ผมยาวอันยุ่งเหยิงอาจจะปิดบังใบหน้าบางส่วนไว้ แต่ถึงอย่างนั้นจมูกอันโด่งเชิด ปากน้อยๆอันได้รูป แก้มนวล ดวงหน้ากลม ผิวขาวอันกระจ่างตา และดวงตาที่พริ้มหลับ ก็ทำให้หวูไว่เกิดอาการใจสั่นขึ้นมา
เมื่อเพ่งมองให้ละเอียดกว่านั้น หวูไว่ก็พบว่า เด็กสาวมีผมยาวสีดำอันสละสวย และอยู่ในชุดอันทะมะทะแมง สวมชุดขาวทั้งเสื้อและกางเกง และยังมีผ้าคลุมสีขาวผืนใหญ่คลุมทับอยู่บนร่างอีก และรอบคอยังมีสร้อยห้อยเหรียญกลมรูปวงรีแขวนไว้ด้วย
หวูไว่ค่อยๆเดินไปก้มอยู่เหนือเด็กสาวที่สลบไสล เฝ้ามองอย่างไม่วางตา รู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกด ลืมเลือนเหตุการณ์ และสถานที่รอบตัวไปชั่วขณะ
“เฮ้ย…เจ้าบ้า มัวแต่จ้องอยู่นั่นแหละ เอาไงกันดี” เจ้าอ้วน-อากิ ว่าด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ
นั่นแหละ-หวูไว่ถึงได้รู้สึกตัว
“ก็…ก็…ไปตักน้ำที่ลำธารมาซิ”
เด็กหนุ่มพูดได้แค่นั้นจริงๆ

(2)
เด็กหนุ่มค่อยๆเทน้ำจากกระบอกไม่ไผ่ทาบเข้ากับริมฝีปากน้อยๆของหญิงสาวที่ขณะนี้พิงร่างไว้กับต้นไม่ใหญ่อย่างช้าๆ และเฝ้ามองดวงหน้าอันงดงามอย่างละเอียดอีกครั้ง ในขณะที่เพื่อนเกลอทั้งสองคนนั่นเข้ามานั่งยองๆอยู่ไกล้ๆด้วย
“สวยเนอะ…” เรียวว่า
“นางจะฟื้นมั๊ยเนี่ย หรือว่า…” อากิ พูดตามประสาคนขี้สงสัย
หวูไว่ หันหน้ามาเอ็ดเพื่อนให้เงียบเสียงไวๆ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเอายังไงต่อไป เธอผู้นี้เป็นใครกัน แต่แค่ตกจากหลังม้า แถมโถมน้ำหนักตัวมาทับเขาจนจุกแอ้กอย่างนี้ ไม่น่าจะสลบยาวนานอย่างนี้นี่นา
และชั่วครู่ ร่างน้อยๆที่พิงแอบกับต้นไม่ใหญ่ก็เริ่มรู้สึกตัว เริ่มด้วยนิ้วมือสองข้างที่เริ่มขยับ ขนตาระริกไหว ก่อนดวงตางดงามจะค่อยๆลืมขึ้น
หวูไว่ นั่งยองมองดวงตาสองข้างที่กำลังเผยอขึ้นอย่างใจจดใจจ่อเขาเดาเอาว่า ดวงตาของเธอคงจะคมกริบ และสุกสกาวชวนให้ใจหวั่นไหว
พรวด!
“เฮ้ย…” หวูไว่ร้องขึ้นมา
จะไม่ร้องด้วยความตกใจได้อย่างไร เมื่อหญิงสาวที่กำลังลืมตาตื่นขึ้นมา เกิดอาการสำลักน้ำขึ้นมาทันทีทันใด และน้ำในปากพุ่งเป็นทางเข้าเต็มใบหน้าของหวูไว่อย่างไม่คาดฝัน
เหวอ
เด็กหนุ่มค่อยๆเอามือลูบน้ำที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้าตัวเอง ในขณะที่เจ้าเพื่อนสองคนนั่นหัวเราะงอหายอยู่ข้างๆ
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง หวูไว่กำลังเห็นดวงตาคมของหญิงสาวจ้องมองมาอยู่แล้ว จริงแหะ-พอลืมตาอย่างนี้เธอดูสวยเหลือเกิน แม้แต่ริมฝีปากที่ซีดเผือดนั่นก็ช่างดูดีอะไรอย่างนี้นะ
เด็กหนุ่มเหมือนตกอยู่ในภวังค์ก้าวเดินเข้าไปไกล้ๆหญิงสาวที่ดูอ่อนแรง
“นี่…”
นั่นแหละที่หวูไว่กระซิบออกมาจากลำคอ และยังไม่ได้ทันพูดอะไรต่อไป ดวงตาคู่นั้นก็ลุกวาวขึ้น ลุกวาวเหมือนดวงตาของเสือสาวในป่ากว้างอย่างไรอย่างนั้น
พร้อมกันนั้นเท้าขวาของหญิงแปลกหน้าก็เหยียดออกมาเต็มแรง และพุ่งเข้าที่ท้องของเด็กหนุ่มเสียงดังพลั่ก
“โอ๊ย…”
ร่างของเด็กหนุ่มกระเด็นปลิวออกไป พร้อมกับอาการเจ็บที่พุ่งเสียดขึ้นมาขณะนอนกลิ้งกับพื้น พูดอะไรไม่ออก
“นี่มัน…”
เรียวและอากินั่นก็อยู่ในอาการตกตะลึงไม่แพ้กัน ตาลีตาเหลือกเข้ามาดูอาการของหวูไว่ด้วยท่าทีตกใจ
หญิงสาวค่อยๆหยัดตัวเองขึ้นอย่างช้าๆและมองมาที่กลุ่มเด็กหนุ่มอย่างไม่วางตา ก่อนจะยกนิ้วชี้มาและพูดด้วยน้ำเสียงอิดโรยว่า
“พวกเจ้าเป็นใครกัน…”
หวูไว่จุกจนพูดอะไรไม่ออก ในใจนึกไปว่า ทำไมหญิงสาวหน้าตาสวยคนนี้ถึงได้ดุจัง เท้ายังหนักอีกต่างหาก
ช่างเป็นการทักทายที่น่าประทับใจอะไรเช่นนี้
“นี่…พวกข้าช่วยเจ้าไว้นะ” อากิ พูดอย่างใจดีสู้เสือ แต่น้ำเสียงไม่วายสั่น ในขณะที่ช่วยประคองหวูไว่ลุกขึ้นนั่ง
“เราเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาที่หลงทางมา ไม่ได้คิดทำร้ายเจ้าซักหน่อย” คราวนี้เรียวเริ่มพูดอย่างมีน้ำโห
“อะไรกัน พวกเจ้าไม่ใช่…” หญิงสาวพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง
“งั้นก็…ขอโทษ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลกว่าเดิม แต่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ในวินาทีถัดมาหญิงสาวในชุดสีขาวอันสะคราญตาก็ทำให้หวูไว่และพวกสะดุ้งขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อแผดเสียงออกมาว่า
“รีบหนี…ศัตรูกำลังมา”
ยังไม่ทันสิ้นประโยคหลัง ก็มีเสียงย่ำม้าของคนกลุ่มหนึ่งดังแหวกขึ้นมาบนถนนเส้นเดิม
“ไม่ทันแล้ว…”หญิงสาวพูด
“ใครกัน…” หวูไว่ถาม
“พวกอัศวินดำ” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
หา…

(3)
ธรรมดาแล้ว หวูไว่ไม่ค่อยตกใจอะไรง่ายๆ ไม่ค่อยรู้สึกหงุดหงิด เสียอารมณ์ แต่วันนี้เขารู้สึกว่าขัดข้องไปหมด
เรียกให้ถูกก็คือรู้สึกว่าความซวยมาเยือนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เริ่มตั้งแต่วิ่งหนีแผ่นดินไหว เกือบจะโดนม้าเหยียบ แล้วยังมาโดนหญิงสาวแปลกหน้าพ่นน้ำรดเสียเต็มหน้า แถมฝากรอยถีบไว้อีก
และที่แย่ที่สุดก็คือ กำลังโดนรุมล้อมโดยชายฉกรรจ์ 4-5 คนเบื้องหน้าในขณะนี้
เขาไม่รู้หรอกว่า พวกทหารอัศวินดำนะมันน่ากลัวแค่ไหน แต่พอเห็นพวกที่ยืนสีหน้าทะมึงถึง แต่งตัวใส่เกราะในชุดสีดำ สวมหมวกเหล็ก ในมือกุมดาบเล่มโตและมองมาที่พวกเขาอย่างไม่วางตา หวูไว่ก็รู้เลยว่า ความซวยสุดสุดกำลังจะมาเยือนแล้ว
ก็ดูเจ้าเพื่อนเกลอสองคนนั่นปะไร ตัวใหญ่กว่าเขาแท้ๆ แต่ดันมายืนตัวสั่นเทาแอบอยู่ข้างหลังเขาเสียนี่ โธ่
คนที่ได้สติกว่าเพื่อนก็คือหญิงสาวในชุดขาว ที่ในขณะนี้ยืนจังก้า และถือกระบี่สีขาวด้ามเรียวยาวอยู่ในมือ
แต่มันจะไหวหรือนี่ หน้าซีดออกอย่างนั้น แล้วพวกทหารนั่นก็มีจำนวนมากกว่าเสียด้วยซิ
“คุณหนูเอียน…ในที่สุดเราก็พบกันอีก”ทหารคนหนึ่งเดินก้าวออกมาจากแถวและเรียกชื่อหญิงสาวชุดขาวราวกับคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
หวูไว่ไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่มองหน้าหญิงสาว และทหารชุดดำสลับไปมา
“พวกท่านจะเอายังไง…” หญิงสาวที่ถูกเรียกขานว่าคุณหนูเอียนถามออกมา และมือขยับกระบี่ เหมือนกับเตรียมพร้อมที่จะชักออกจากฝักได้ทุกเมื่อ
นายทหารคนนั้นหัวเราะหึหึขึ้นมาอย่างนึกขัน
“ข้าว่าคุณหนูยอมให้พวกข้าจับตัวกลับไปเสียดีๆ ท่านคนเดียวไม่มีทางสู้พวกข้าได้หรอก ข้ารู้ว่าท่านได้รับบาดเจ็บอีกด้วย”
“แล้วก็…”นายทหารพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ และยกดาบขึ้นชี้มาทางหวูไว่และพวก
“คิดว่าสวะพวกนี้จะช่วยท่านได้หรอกหรือ…ฮ่า”
สวะเหรอ ได้ยินอย่างนั้นหวูไว่รู้สึกเหมือนเลือดขึ้นหน้า
“พวกเจ้าแน่มากหรือไง…หา”เด็กหนุ่มตะโกนอย่างเหลืออด
ครั้นแล้ว นายทหารคนนั้นก็ชักดาบออกจากฝัก เสียงที่ชักดาบออกจากฝักคือเสียงเหล็กเสียดสีกับเหล็ก ซึ่งช่างฟังบาดหูเสียเหลือเกิน และในจังหวะเดียวกันนั้นทหารที่ยืนอยู่ข้างหลังทั้งหมดก็ชักดาบออกจากฝักโดยพร้อมเพรียงกันอีกด้วย
ในขณะที่คุณหนูเอียนก็ชักกระบี่ออกจากฝักเช่นกัน ประกายจากดาบสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมา
เออ ทำไงกันละคราวนี้ หวูไว่คิดในใจ
รอดจากโดนม้าเหยียบ แต่ต้องมาตายใต้คมดาบของพวกทหารเหล่านี้เรอะ ซวยชะมัดยาดเลย
ทันใดนั้น มีประกายวาววับชนิดหนึ่งลอยแหวกอากาศผ่านหวูไว่และพวกและพุ่งปักเข้าที่ลำคอของทหารคนหนึ่งในกลุ่มเสียงดังฉึก ไม่มีใครทันได้เห็นว่า มันพุ่งมาจากไหนและเป็นฝีมือใครกันแน่
แต่ทหารเคราะห์ร้ายคนนั้นเอามือกุมคอตัวเองและกลิ้งลงบนพื้น ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาอีกเลย
หวูไว่ ดวงตาลุกโพลงเมื่อเห็นเหตุการณ์ระทึกขวัญต่อหน้าต่อตา
“ใครกัน…ใครกันวะ” นายทหารที่เป็นผู้นำกลุ่มตะโกนออกมา พร้อมกับกวัดแกว่งดาบไปมาอย่างโกรธแค้น
เหมือนมีลมกระโชกผ่านด้านข้างหวูไว่วูบหนึ่ง เห็นอีกทีเด็กหนุ่มก็มองเห็นร่างหนึ่งปรากฎขึ้นมาและกำลังประจันหน้ากับพวกทหารอัศวินดำ
มองจากด้านหลัง หวูไว่เห็นร่างนั้นอยู่ในชุดนักพรตสีเขียวสดตัวโคร่ง ในมือขวาถือแส้ยืนนิ่งอยู่ ร่างนั้นบอบบาง สูงเพรียว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่นะเหรอคนที่ปลิดชีวิตทหารอัศวินดำเมื่อตะกี้
ร่างในเสื้อนักพรตค่อยๆผินหน้ามาทางหวูไว่ ทำให้เด็กหนุ่มเห็นใบหน้านั้นได้อย่างเต็มตา เป็นใบหน้าของนักพรตชรา มีหนวดเครายาวสีเทา ดวงตายิบหยี และส่งรอยยิ้มอันเปี่ยมเมตตาออกมา
“หวูไว่…พวกเจ้าพาคุณหนูผู้นี้ไปก่อน ทางนี้ข้ารับมือเอง”
เด็กหนุ่มแห่งหมู่บ้านเซียงอู่ตะลึง เพราะนี่เป็นการเจอกันเป็นครั้งแรกระหว่างเขากับนักพรตเฒ่าแท้ๆ แต่ทำไมเล่า-ทำไมถึงรู้จักเขาและเรียกชื่อเขาได้ถูกนะ
“นี่ๆ…มีคนมาช่วยแล้ว เราไปกันเถอะ” เรียว ที่ยืนเกาะอยู่ข้างหลังหวูไว่ตั้งนานนมสะกิด
ความจริงแล้ว เด็กหนุ่มอยากจะอยู่ดูต่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป แต่เหลือบไปดูอาการของคุณหนูเอียนแล้วก็ต้องเปลี่ยนใจ ใบหน้าซีดขาว และต้องใช้กระบี่ยืนค้ำเพื่อไม่ให้ล้มลงไปของนางนะ ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจ
ในขณะที่ทหารอัศวินดำ 4-5 คนนั่นก็พากันถอยกรูดจับบังเหียนม้าไว้ในมือ ดูราวกับจะทราบความเป็นมาของนักพรตผู้นี้เป็นอย่างดี
ท่านเป็นใครกันนะ
“ขอบคุณท่านนักพรต” หวูไว่หันไปกล่าวขอบคุณ และเข้าไปพยุงคุณหนูเอียนขึ้นม้า และทะยอยเดินจากมา ทิ้งปัญหายุ่งยากและคำถามที่อยากรู้เอาไว้เบื้องหลัง

(4)
ดวงตาคู่นั้นพริ้มหลับ แต่ดูเหมือนไม่หลับสนิทเสียทีเดียวนัก เพราะขนตาสั่นระริกตลอดเวลา
หวูไว่เฝ้ามองวงหน้าบนเตียงนั้นอย่างไม่รู้เบื่อ คุณหนูเอียนคนนี้ มีความงาม และเสน่ห์ประหลาด ไม่เหมือนกับผู้หญิงในหมู่บ้านเซียงอู่ของเขา ไม่เหมือนกับสาวงามประจำหมู่บ้านอย่างอาหลิงด้วย
เสียอย่างเดียวที่เธอพูดน้อยไปหน่อย ระหว่างหลบหนีจากทหารอัศวินดำมายังหมู่บ้านของเขาก็นับว่าไกลโขอยู่ แต่คุณหนูเอียนที่นั่งอยู่บนหลังม้าพูดกับเขานับคำได้ นอกจากถามชื่อของเขาและเพื่อนทั้งสองคนก็แทบไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ก็อีกนั่นแหละ-เธอกำลังบาดเจ็บจะมีแก่ใจพูดอะไรได้เล่า
ในยามหลับเช่นนี้ หญิงสาวดูผ่อนคลาย ไม่ดุร้ายเหมือนตอนจับกระบี่อยู่ในมือสักนิด
เป็นความงามที่จะเปรียบกับอะไรดีนะ อ้อ-รู้แล้ว เหมือนดาวบางดวงที่เขาไม่รู้จักชื่อ ที่ดาษสะพรั่งอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนนั่นไง มันส่งประกายงดงาม แต่ก็มีไว้สำหรับจ้องมอง แต่ยากที่จะสัมผัสถึง
“หยุดนะ…”
อยู่ดีๆ หญิงสาวที่นอนหลับอยู่บนเตียงก็ละเมอขึ้นมา ในขณะที่มือไม้ก็ปัดป่ายไปมาในอากาศเป็นพัลวัน จนเผลอไปปัดโดนขวดน้ำบนโต๊ะข้างเตียง หล่นลงกับพื้นเป็นเสียงดังขึ้นมา
แล้วคุณหนูเอียนก็ตื่นขึ้นมา
นางค่อยๆพยายามจะผลุดลุกขึ้น ตวัดผ้าห่มออกจากตัว แล้วมองไปรอบๆห้องด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะมองมาที่หวูไว่แล้วร้องถามออกมาด้วยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
“ที่นี่ที่ไหนกัน…”
“หมู่บ้านเซียงอู่ และนี่ก็ห้องนอนของข้า คุณหนูปลอดภัยแล้วขอรับ”
หญิงสาวมีสีหน้าขวยอายเมื่อพบว่าตัวเองสลบไสลไม่รู้ตัว ในขณะที่เจ้าของเตียงมานั่งเฝ้าอยู่อย่างไม่วางตา
“ขอบคุณเจ้า…แล้วก็เอ่อ”
“อย่าเรียกข้าว่าคุณหนู ข้าชื่อเอียนซี”
“เอียนซี…เหรอ” หวูไว่พูดทวนคำ
หญิงสาวพยักหน้าแล้วก็ยิ้มน้อยๆออกมา
เป็นรอยยิ้มที่ทำให้หวูไว่ตะลึง รู้สึกเหมือนโลกสว่างไสวขึ้นมาทันที


(5)
“หน้าตาของเจ้าดูเหมือนคนไม่ได้นอนนะ” ลุงส่งเสียงทักในขณะที่เด็กหนุ่มสาละวนเทยาสมุนไพรจากหม้อบนเตาลงบนชามกระเบื้องอย่างระมัดระวัง
กว่าครึ่งค่อนวันได้แล้วกระมัง ที่หวูไว่เฝ้าอยู่หน้าเตาในห้องครัวและเคี่ยวยาสมุนไพรจากพืชพันธุ์หลายชนิดจนได้ยาสีเขียวคล้ำในชามกระเบื้อง สรรพคุณของมันจะช่วยล้างพิษ ขับเหงื่อ ส่วนข้างๆชามกระเบื้อง เป็นซองยาผงกลิ่นฉุนกึกซึ่งใช้โรยแผลสดให้สมานสนิทได้เร็วขึ้น
ชายสูงวัยกว่าเฝ้ามองหลานชายสาละวนกับตัวยาเบื้องหน้าด้วยสีหน้าแช่มชื่น ปีแล้วปีเล่าที่เฝ้าเคี่ยวกรำเรื่องการรักษาผู้ป่วยด้วยยาสมุนไพรจากพืชให้กับหลานชายดูจะไม่สูญเปล่า และดูเหมือนว่าหลานชายคนนี้จะห่วงใยคนป่วยในที่นอนซมอยู่ในห้องข้างๆนี่เป็นพิเศษเสียด้วยซิ
“นี่ถ้าใช้ยาสมานแผลกับบาดแผลบนแขนขวาของนาง แล้วให้ดื่มยาในถ้วยนั้นจนหมด ข้าว่าอีกไม่นานอาการของนางทุเลาลงมาก หวูไว่เจ้านี่จะเก่งกว่าลุงอีกละมั๊งเนี่ย”
เด็กหนุ่มหัวเราะๆอย่างเขิน และเกาหัวแกรกๆไปมา
“ข้ายังไม่เก่งถึงปานนั้น…ท่านลุง”
พูดเสร็จ หวูไว่ก็รู้สึกเหมือนหัวใจตกวูบลง ถ้านางอาการดีขึ้น ย่อมหมายความว่าไกล้เวลาที่หญิงสาวลึกลับผู้นี้ต้องจากเซียงอู่ไปแล้วนะสิ”
“ยาได้ที่แล้วละมั๊ง รีบเข้าไปให้นางดื่มได้แล้ว ลุงเตือนหลังจากเหลือบตาลงดูยาสมุนไพรในชาม และหันมาตบบ่าเด็กหนุ่มเบาๆ
“แล้วก็…”
“แล้วก็อะไรครับ ลุง” เด็กหนุ่มเกาหัวแกรกๆอีกแล้ว
ชายสูงวัยหัวเราะหึหึขึ้นมา
“ก็ไม่มีอะไรหรอก…เพียงแต่ลุงคิดว่าถ้านางทุเลากว่านี้ บางทีเราน่าจะคุยกับนางนะว่าจะเอายังไงกันต่อ ลุงก็อยากรู้พอๆกับเจ้านะแหละว่านางชื่ออะไร และต้องการทำอะไรต่อไป แล้วทำไมไปมีเรื่องกับพวกทหารที่พวกเจ้าเล่าให้ฟังนั่นอีก”
หวูไว่มองหน้าลุงตัวเองที่กำลังเอามือลูบหนวดแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา-เพราะเขาไม่แน่ใจว่าลุงจะได้รับคำตอบอย่างที่ต้องการหรือไม่
“หรือว่าเจ้าจะให้นางนอนอยู่ในห้องนั่น แล้วให้เจ้าป้อนยาไปตลอดชีวิต…หือ” ชายสูงวัยกว่าว่าอย่างนึกขัน
“โธ่…ลุงก็” เด็กหนุ่มตีหน้าปูเลี่ยนแล้วยิ้มอย่างเขินๆ ก่อนจะรวบห่อยาผงสมุนไพรไว้ในอกเสื้อ แล้วค่อยๆยกชามกระเบื้องขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
“อ้อ…อีกอย่าง”
เด็กหนุ่มหันมามองและเลิกคิ้วขึ้น เพื่อรอว่าลุงมีอะไรจะบอกกับเขาอีก
“ข้าว่า หลังจากนี้เจ้าควรจะหาเวลาพักผ่อนบ้างนะ อย่างน้อยๆช่วงนี้ข้าไม่ค่อยเห็นเจ้าออกไปชมตะวันตกดินที่ชะง่อนผาเหมือนเคยเลย”
หวูไว่พยักหน้าหงึกหงักยอมรับ-จริงซิ นับตั้งแต่พาเอียนซีคนนี้หลบหนีพวกทหารอัศวินดำที่ตามไล่ เขาก็ใช้เวลาดูแลนางไม่ได้ทำอะไรอย่างที่ชอบทำเลย อย่างมากก็แค่ชวนอากิ-เรียว มานั่งคุยเล่นที่บ้านเท่านั้น
ชายผู้เป็นลุงมองหน้าหลานชายชั่วครู่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“ความจริง ถ้าอีกไม่กี่วันนางพอจะลุกจากห้องไปไหนมาไหนได้บ้างแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าก็ชวนนางขึ้นไปบนชะง่อนผาซิ ข้าว่านางคงชอบดูพระอาทิตย์ตกดินเหมือนเจ้านะ”
“อีกอย่าง…” ลุงพูดและเหลือบตามองเด็กหนุ่มอย่างมีเลศนัย
“ช่วงนี้ลุงปวดเมื่อยเนื้อตัว เดินเหินไม่สะดวก คงเป็นเพื่อนขึ้นเขาไปกับเจ้าไม่ได้หรอก” พูดเสร็จลุงก็ทำท่าสะบัดไหล่ บีบแขนของตัวเองไปมา
“นี่ป้าของเจ้าไปทำอะไรอยู่ที่ไหนนี่ อยากให้มาบีบนวดให้ลุงเสียหน่อย…เมื่อยจริงๆ” พูดเสร็จลุงก็เดินออกไปหน้าบ้าน ส่งเสียงโหวกเหวกเรียกหาป้าเป็นการใหญ่
หวูไว่ได้แต่ยิ้มพลางคิด-ดูพระอาทิตย์ตกดินที่ชะง่อนผาเหรอ ไม่เลวนี่

(6)
เด็กหนุ่มรู้สึกเขินอายเป็นบ้า ในขณะที่เดินพาเอียนซี-หญิงสาวลึกลับเดินออกจากบ้านแล้วต้องเดินผ่านตลาด ดูเอาเถิด-พวกพ่อค้า แม่ค้า และชาวบ้านในตลาดจ้องมองกันไม่วางตา ยิ่งคนไหนสนิทกับเขาหน่อย ส่งสายตาล้อเลียนเป็นการใหญ่ ไม่เว้นแม้กระทั่งอาหลิงด้วย
ไม่มีอะไรสักหน่อย-เด็กหนุ่มอยากจะแก้ตัวเหลือเกิน
หญิงสาวอาการทุเลาลงมากแล้ว สามารถเดินเหินได้ตามปกติ แต่ก็ยังคงเงียบไม่ค่อยพูดจาอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นหวูไว่ก็ไม่รู้สึกอะไรเสียแล้ว มีบางอย่างในตัวของเอียนซี-ที่ทำให้เขารู้สึกว่าเธอไม่เหมือนกับสาวในหมู่บ้าน ยิ่งนึกถึงดวงตาที่บางครั้งวาวโรจน์อย่างประหลาดด้วยแล้ว หวูไว่ยิ่งรู้สึกว่านางน่าคงมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา
เจ้าหญิงเหรอ คงไม่มั๊ง เด็กหนุ่มคิดอย่างฟุ้งซ่าน
ในขณะนี้ เอียนซี อยู่ในชุดเสื้อผ้าชาวบ้านธรรมดา เป็นเสื้อยาวสีน้ำตาลเนื้อหยาบ และกระโปรงสีกรมท่าที่ถูกปะชุนหลายจุด โชคดีนะที่รูปร่างของนางมีขนาดพอดีกับอาหลิง-จึงสวมเสื้อผ้ากันได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
“ข้าจะได้มีคู่แฝดไงละ หวูไว่” อาหลิง พูดตอนที่นำเอาเสื้อผ้าบางชุดมาให้ที่บ้าน เด็กหนุ่มได้แต่หัวเราะแห้งๆ และกล่าวขอบอกขอบใจเป็นการใหญ่ที่ให้เอียนซี-สาวลึกลับได้ยืมเสื้อผ้าใส่
แต่ถึงจะใส่เสื้อผ้าชุดเดียวกัน ทั้งสองสาวก็มีความงามที่แตกต่างกันมากอยู่ดี แตกต่างกันตรงไหนเหรอ-เด็กหนุ่มก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
ความงดงามของอาหลิงน่าจะอยู่ที่ความมีชีวิตชีวา เหมือนกล้วยไม้ป่าที่มีสีสันอันเปล่งปลั่ง และกลิ่นหอมอวลจมูก
ส่วนเอียนซี-งามเหมือนดอกเบญจมาศที่ยามออกดอกเหลืองอร่ามอยู่ในสวนดอกไม้ จะเจิดจ้า สง่างามราวกับทุ่งทองคำ
เด็กหนุ่มหยุดความคิดไว้เพียงแค่นั้น เมื่อเดินนำหญิงสาวแปลกหน้าออกห่างจากตลาดและหมู่บ้าน ผ่านสุมทุมพุ่มไม้ที่คุ้นเคย กลิ่นหอมจากดอกไม้นานาพันธ์ฟุ้งมาเข้าจมูก และมองเห็นชะง่อนผาอยู่เบื้องหน้า
หวูไว่วิ่งขึ้นไปอย่างลืมตัว มันเป็นความรู้สึกที่มีความสุขอย่างประหลาดล้ำเมื่อเท้าสัมผัสผืนหญ้าที่ชุ่มน้ำ และดอกไม้ดอกเล็กดอกน้อยที่โผล่แซมขึ้นมา มันให้ความรู้สึกนุ่มเท้าจนแทบจะอยากทอดรองเท้าทิ้ง และเดินย่ำขึ้นไปด้วยเท้าเปล่าเสียนี่กระไร
ไม่นาน เด็กหนุ่มก็ขึ้นมาสูดลมหายใจเต็มปอดอยู่บนชะง่อนผา ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ยืนสลับเป็นแห่งๆโดยรอบ ในขณะที่อากาศเริ่มเย็น ท้องฟ้าสลัว และอาทิตย์บนฟ้าไกลๆโน่นเริ่มกำลังจะจมหายไปในไม่ช้านี้แล้ว
“ฮูวว์…” เด็กหนุ่มตะโกนเรียกเอียนซีที่ค่อยๆเดินตามขึ้นมาอย่างช้าๆ และพบว่านางกำลังส่งยิ้มให้แต่ไกล พร้อมโบกมือให้ด้วย เด็กหนุ่มโบกมือตอบแล้วหัวเราะอย่างเขินๆ
ดูเหมือนว่า หญิงสาวลึกลับผู้นี้ดูจะตื่นตะลึงกับโลกรอบตัว ราวกับไม่เคยสัมผัสความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เมื่อเดินขึ้นมาถึงชะง่อนผาที่หวูไว่นั่งพักรออยู่บนโขดหินใหญ่ เด็กหนุ่มสังเกตเห็นว่านางกำลังสูดลมหายใจลึกๆ พลางหลับตาพริ้ม เสื้อสะบัดพลิ้วไปมาเพราะลมแรงบนชะง่อนผา
แล้วเอียนซีก็ลืมตาขึ้น แล้วยิ้มกว้าง มองเห็นฟันที่เรียงสวยงามและส่องประกายงามราวกับไข่มุก
หวูไว่มองไปแล้วก็ได้แต่อ้าปากค้างกับภาพของหญิงสาวข้างหน้า
หญิงสาวผู้มีความเป็นมาอันลึกลับย่นจมูกให้เด็กหนุ่มแล้วพูดยิ้มๆ
“นี่เจ้าจะไม่ชวนข้านั่งหรือไง…”
นั่นแหละ-เด็กหนุ่มจึงรู้สึกตัว ขยับตัวออกไปด้านหนึ่ง เพื่อให้หญิงสาวเขยิบขึ้นมานั่งบนโขดหินก้อนเดียวกัน และผินหน้าไปยังฟากฟ้าด้านที่ตะวันกำลังจะจมลงที่ขอบฟ้า
“สวยเหลือเกิน…ข้าไม่เคยเห็นตะวันตกดินสวยเหมือนที่นี่มาก่อนเลย” หญิงสาวพูดเหมือนละเมอ
หวูไว่ไม่ได้พูดอะไรได้แต่พยักหน้าตอบ แล้วหันมามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่กำลังปล่อยใจดื่มด่ำกับพระอาทิตย์สีแดงกลมโตเบื้องหน้านั่น ใบหน้านั้นเรียบเฉย แต่สุกสกาวด้วยดวงตาคมคู่นั้น ผมยาวของนางสะบัดไปมาตามแรงลม
แล้วอย่างช้าๆนางหันมามองเด็กหนุ่มและส่งรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกถึงความสว่างไสวออกมา
“เจ้าโชคดีมากหวูไว่…ที่ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงามเช่นนี้”
“ข้าชอบที่นี่มาก”
หวูไว่ยิ้มกว้างเมื่อรู้สึกว่า นางมีความสุขเช่นเดียวกับเขา
จากนั้นทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย เฝ้ามองตะวันลับฟ้าไปด้วยใจอันเป็นสุขอย่างเงียบๆ