๑๐.๑๒.๕๐

นักรบจากดาวดวงอื่น-บทที่ 4

การหลบหนี

(1)
ความเงียบอย่างประหลาดกำลังเกิดขึ้นในบ้านหลังเล็กหลังหนึ่งของหมู่บ้านเซียงอู่ หวูไว่นั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะ ที่นั่งตรงข้ามกับเขาคือ เอียนซี-หญิงสาวผู้มีความเป็นมาอันลึกลับ ซึ่งกำลังหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นจิบด้วยท่าทีครุ่นคิด ทางด้านขวาของเด็กหนุ่มเป็นลุง-ญาติผู้ใหญ่คนสำคัญของเด็กหนุ่มซึ่งกำลังเอามือลูบคางไปมา ส่วนป้าก็อยู่ระหว่างสาละวนลำเลียงจาน-ชามเข้าไปไว้ทางหลังบ้าน ระหว่างนั้นก็มองหน้าคนนั้นที คนโน้นที ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างแล้วก็ชะงักไปหลายครั้งหลายครา
บรรยากาศเช่นนี้สร้างความอึดอัดจนหวูไว่ต้องเอามือเกาหัวแกรกๆ โดยมีสายตาของลุงมองมาแล้วหัวเราะเบาๆ-ใช่ซิ เมื่อไม่รู้จะพูดอะไร เด็กหนุ่มก็มักจะแสดงอากัปกิริยาเช่นนี้เสมอนั่นแหละ
มันเสียบุคลิกนะหวูไว่ ป้ามักบ่นว่าเขาอย่างนี้เสมอ-แต่ทำไงได้ เขามักจะลืมตัวนี่
“ข้ามาจากเมืองเกียะหยู”
หญิงสาวพูดลอยๆทำลายความเงียบที่รุมเร้า เอาเถอะ-แม้จะไม่รู้ว่านางต้องการพูดกับใคร แต่สายตาที่มองมายังด็กหนุ่มก็น่าจะเป็นคำตอบอย่างดีอยู่แล้ว แต่หวูไว่จะทำอะไรได้เล่า เมืองเกียะหยูเหรอ-มันอยู่ที่ไหนกัน ห่างจากเซียงอู่มากมั๊ย เจริญมากหรือเปล่า เขาไม่รู้หรอก แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ
แต่เมื่อเหลือบสายตามองสีหน้าที่เบิกโพลงของป้า และเห็นลุงกำลังเลิกคิ้วขึ้นสูง เด็กหนุ่มก็สงสัยว่าเขาได้พลาดอะไรไปอย่างแรงหรือเปล่านี่
ลุงของหวูไว่ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบเฮือกใหญ่ แล้วถอนหายใจออกมาโดยแรงก่อนจะกล่าวว่า
“ถ้าข้าจำไม่ผิด เมืองเกียะหยูที่ว่า เป็นฐานที่มั่นของกองกำลังเมฆขาว…ไม่ใช่หรือ”
“ใช่”
กองกำลังเมฆขาว-หวูไว่แทบจะร้องอ๋อออกมาทันที เขาจำได้แล้ว มันคือกองทัพอันเกรียงไกรและมีชื่อเสียงที่เจ้าเพื่อนตัวดี เรียว-อากิ อยากไปสมัครเป็นทหารร่วมรบด้วยจนตัวสั่น และเป็นกองกำลังที่เป็นคู่ปรปักษ์กับกองทัพอัศวินดำนั่นเอง
อย่างนี้นี่เล่า…
“ที่ข้าบอกได้ในตอนนี้ก็คือ ข้าทำงานอยู่กับกองกำลังเมฆขาว ส่วนเรื่องนอกเหนือจากนี้ ขออภัยท่านลุงที่ไม่สะดวกจะบอกกล่าว”
“ข้าเข้าใจ…”ลุงพยักหน้ารับ
“แล้วคุณหนูจะทำอย่างไรต่อไปดีละเจ้าคะ…” คราวนี้เป็นป้าของหวูไว่ที่ถามบ้าง และเป็นคำถามที่เด็กหนุ่มก็สงสัยอยู่ตะหงิดๆเหมือนกัน
และคำตอบก็เกือบจะทำเอาเด็กหนุ่มพลัดตกจากเก้าอี้ไปเลย
“ไกล้ถึงเวลาที่ข้าจะต้องจากไปแล้ว”
หญิงสาวจากเมืองเกียะหยูหันมาทางหวูไว่
“ข้าคงต้องขอบใจเจ้ามากเป็นพิเศษ…”
“เพื่อนเจ้าสองคนนั่นก็เหมือนกันที่เสี่ยงชีวิตช่วยข้าไว้ แล้วก็ยังมีเพื่อนผู้หญิงของเจ้าอีกด้วย นางชื่ออะไรนะ”
“อาหลิง…นางชื่ออาหลิง” ตอบไปแล้ว เด็กหนุ่มก็สะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย ทำไมน้ำเสียงที่พูดออกไปมันถึงได้เศร้าสร้อยเช่นนี้เล่า
“ไม่เป็นไรหรอก เราเต็มใจช่วย” หวูไว่พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“นั่นซิ อย่าเกรงใจไปเลยคุณหนู…อ้า คุณหนูเอียนซี” ป้าว่า พลางรินชาจากกาใส่ถ้วยที่อยู่เบื้องหน้าหญิงสาว ก่อนจะเหลือบตามองหลานชายตัวดี ที่ขณะนี้หน้าตาซีดเซียว เหมือนคนเป็นไข้-ท่าจะเป็นเอามาก
“ว่าแต่ว่า ฟังที่คุณหนูเล่า ป้าว่าพวกทหารอัศวินดำมันจะยังป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้เอานา เกิดคุณหนูออกจากหมู่บ้านของเรา แล้วไปเจอทหารพวกนั้นเข้าจะทำยังไงกัน คุณหนูคนเดียวจะรับมือมันยังไงไหว”
หวูไว่พยักหน้าเออออเห็นด้วยกับป้าทุกอย่าง จริงด้วยซิ-นึกถึงทหารอัศวินดำพวกนั้น เด็กหนุ่มก็ตัวสั่นขึ้นมา คิดถึงสีหน้าเหมือนไม่ชีวิต และดาบสีดำมะเมื่อมของพวกนั้นแล้ว ก็ยิ่งหวาดเสียว ถ้าตอนนั้นไม่ได้นักพรตเฒ่าคนนั้นมาช่วยละก็…
เอียนซียิ้มน้อยๆ
“อย่าห่วงไปเลย ข้าเอาตัวรอดได้ ตอนนี้ข้าหายดีแล้ว พวกนั้นทำข้าอะไรไม่ได้หรอก”
“แล้วก็อีกอย่าง…”
“ข้ามีธุระที่ต้องไปสะสางอีกมาก ขืนข้ายังอยู่ต่อไปกลัวว่า หมู่บ้านของพวกท่านจะพลอยไม่ปลอดภัยไปด้วยนะซิ”
หวูไว่ได้แต่นั่งอึ้ง มองหน้าหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้าม พวงแก้มของหญิงสาวมีสีเลือดฝาดแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง ประกายตาก็แจ่มใสดังเดิม ส่วนบาดแผลบนแขนดูจะสมานกันสนิท แต่นึกถึงวันที่หญิงสาวออกไปจากเซียงอู่ เด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนหัวใจตกวูบลง
แต่จะทำอย่างไรได้เล่า เพราะเอียนซีพูดถูกทุกอย่าง ไกล้ถึงเวลาต้องจากลากันเสียที
คิดแล้วเด็กหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
ความเงียบอันประหลาดแผ่ซ่านออกมาอีกครั้ง หวูไว่ มองหน้าหญิงสาวตรงหน้า แล้วก็หันไปมองลุง หันไปมองป้า ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นทำลายความเงียบอันแสนอึดอึดด้วยประโยคอะไรดี
“หวูไว่…หวูไว่เว้ย แย่แล้ว”
เสียงตะโกนร้องของใครบางคนจากถนนหน้าบ้านดังขึ้นมาพอดี
“นั่นมันเสียงเจ้าอ้วนนี่…” ป้าพูด แน่แล้วเป็นเสียงอากิ เจ้าเพื่อนตัวแสบของหวูไว่นั่นเอง
“ว่าไง…” เด็กหนุ่มตะโกนตอบทั้งๆที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ก่อนจะลุกไปเปิดสลักประตูหน้าบ้านด้วยอาการเอื่อยเฉื่อย ออกจะรำคาญเสียงทุบประตูหน้าบ้านของเจ้าเพื่อนสองคนนั่นนิดๆด้วยซ้ำไป
ดูเอาเถอะ-ประตูยังไม่ทันเปิดออกดีเลย เจ้าเพื่อนสองคนนั้นของหวูไว่ก็กระแทกเข้ามาอย่างแรงทำเอาเด็กหนุ่มเอียงกระเท่เร่ เกือบจะเสียหลักก้นจ้ำเบ้า
“เฮ้ย…”หวูไว่สบถออกมาอย่างหงุดหงิด
แต่เรียวกับอากิสนเสียที่ไหน ผ่านประตูเข้ามาได้แล้วก็กระโจนพรวดเข้ามา ในขณะที่ทุกคนในบ้านกำลังมองมากันด้วยสีหน้าประหลาดใจ สองคนนั่นก็หยุดพักหายใจชั่วครู่ พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“พวกเจ้าไปทำอะไรกันมา…” หวูไว่ที่เดินตามหลังมาบ่นอุบ
“คืออย่างนี้” เรียวว่าด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ข้า…ข้าเห็น…”
หวูไว่ส่ายหน้า เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย สองคนนี่เวลาเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ตกใจมากๆ เป็นต้องพูดติดอ่างอย่างนี้เสียทุกคราวไป
“ข้าเห็นพวกทหารนั่น…” คราวนี้เป็นเจ้าอ้วน-อากิ ที่กล่าวเสริมขึ้นมา
ทหารเหรอ-หวูไว่สะดุ้งขึ้นมา
“ใช่แล้ว…พวกเราเข้าไปตัดฟืนที่ป่าละเมาะนอกหมู่บ้านเมื่อตะกี้ เห็นพวกทหารอัศวินดำขี่ม้าตระเวนอยู่”
“ทำไงกันดี…ทำไงกันดี หือ…หวูไว่” คราวนี้เจ้าเรียวหันมาทางเด็กหนุ่มและจับแขนเขาเขย่าไปมาเพราะความตื่นเต้น
ความเงียบงันเกิดขึ้นอีกครั้ง เด็กหนุ่มรู้สึกมึนงง หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ นึกเห็นภาพพวกทหารในชุดเกราะสีดำพวกนั้นควบม้าเข้ามาในหมู่บ้านของเขา ลำพังเขาและเพื่อนๆจะเอาอะไรไปต้าน คนอื่นๆในหมู่บ้านเซียงอู่ก็เป็นชาวนา พ่อค้า แม่ค้า ไม่มีใครสู้รบปรบมือพวกอัศวินดำเหล่านั้นได้หรอก
“ยังพอมีเวลาน่า…”คราวนี้เป็นลุงของเด็กหนุ่มที่เตือนสติทุกคน แม้เสียงจะกระเส่าไปบ้างก็ตามทีเหอะ
“ถูกต้อง…”เอียนซี พยักหน้าและปราดลุกขึ้นทันที
“ถ้าข้าจากไปตอนนี้ และล่อให้พวกอัศวินดำไล่ตามไป ทุกคนในหมู่บ้านก็จะปลอดภัย”
“หา…ไม่ได้” อยู่ดีๆหวูไว่ก็พูดโพล่งออกมา
หญิงสาวมองมาที่เด็กหนุ่ม ส่งสายตาอันอ่อนโยนออกมาแล้วส่ายหน้าช้าๆ ดูเหมือนนี่อาจจะเป็นทางเลือกเดียวที่มีอยู่ไม่ใช่หรือ แต่การให้หญิงสาวคนเดียวเป็นเป้าของทหารกลุ่มใหญ่มันก็ออกจะเสี่ยงภัยเกินไป ถึงนางจะพอมีฝีมืออยู่ก็ตามทีเหอะ
“ข้าต้องไป…เดี๋ยวนี้”หญิงสาวย้ำอีกครั้ง
“พวกเราจะไปด้วย…” หวูไว่กล่าวเหมือนละเมอ พูดจบแล้วก็หันมามองหน้าเพื่อนทั้งสองคนที่ยืนหน้าซีด ตัวสั่นอยู่ข้างๆ
“พวกเจ้าอยากเป็นทหารของกองกำลังเมฆขาวไม่ใช่เหรอ ข้าจะบอกให้ นางมาจากกองกำลังนั่นนะ รู้หรือเปล่า นี่เป็นโอกาสของพวกเจ้าแล้ว”
เรียวและอากิ มองหน้ากันไปมาแล้วหันไปมองที่เอียนซี แล้วจึงกลับมามองที่หวูไว่ด้วยสายตาละห้อย ก่อนพยักหน้าช้าๆ
หญิงสาวส่ายหน้าอีกแล้ว
“ดีแล้วละ ให้พวกหนุ่มนี้ช่วยเจ้าเถอะ” ลุงว่าเสียงเครียดๆ ก่อนจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นซดเฮือกใหญ่
“และข้ามีแผนการณ์…”
แผนเหรอ-หวูไว่มองหน้าลุงอย่างประหลาดใจ

(2)
ถนนสายนั้นทั้งเล็กและแคบ แต่นอกจากถนนนี้แล้วบริเวณรอบข้างก็ล้วนแล้วแต่เป็นชายป่า ทุ่งหญ้า ไม่มีเส้นทางใดที่จะผ่านออกไปได้ และหากมุ่งตรงไปตามถนนดินสายนี้ก็จะผ่านเนินซึ่งจะเป็นสายตัดออกสู่ถนนใหญ่ได้ในที่สุด
เสียงฝีเท้าม้าตัวหนึ่งกระหึ่มมาแต่ไกล บนม้านั่งเห็นร่างชายหนุ่มร่างท้วม ใส่หมวกกุยเล้ยควบม้าด้วยอาการเร่งรีบ และด้านหลังมีหญิงสาวร่างสูงโปร่งในชุดสีขาวนั่งเอาหน้าแนบกับแผ่นหลังของชายผู้ขับขี่
ไม่ช้าไม่นานก็มีเสียงกังวานตามมาทางด้านหลัง แล้วทันใดทหารชุดสีดำกลุ่มใหญ่บนหลังม้าก็ทะยานไปตามถนน เร่งฝีเท้าเพื่อตามให้ทันการควบหนีของหนุ่มสาวคู่นั้น ทันใด ทหารในชุดสีดำคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนบนโกลน ง้างคันธนูขึ้นสายและน้าวลูกธนูเต็มแรง ส่งให้ลูกธนูดอกนั้นทะยานพุ่งออกมา โดยมีหนุ่มสาวคู่นั้นเป็นเป้าหมาย
โชคดีนัก ลูกธนูวิ่งเฉียดร่างของคนทั้งคู่บนม้าไปหวุดหวิด แต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้ม้าเสียหลัก จนชายหนุ่มผู้ขี่ต้องดึงสายรั้งโดยแรงเพื่อพยุงตัวให้อยู่บนหลังม้าให้ได้ แต่ก็ยังผลให้ ทหารเกราะดำพวกนั้นเร่งฝีม้าเข้ามาและรายล้อมคนทั้งคู่เอาไว้
ทหารคนที่ยิงธนูย่างม้าเข้ามาไกล้แล้วชี้หน้า
“เจ้านะเปิดหมวกออกซะ แล้วคุณหนูเอียนขอเชิญลงจากม้าด้วย”
ชายคนขี่ม้าค่อยๆถอดหมวกของตัวเองออกช้าๆ ใบหน้านั้นอวบกลม นัยน์ตาตี่ ในขณะที่มีรอยยิ้มแห้งๆ ในขณะที่หญิงสาวด้านหลังค่อยๆเงยหน้าขึ้น ใบหน้าพอกไว้ด้วยแป้งขาว ปากแดง ในขณะที่ผมยาวนั้นยุ่งเหยิง ริมฝีปากหนาอันผิดรูปของนางสั่นระริก สิ่งที่พอจะเรียกได้ว่างดงามของหญิงสาวก็คือ เสื้อและกระโปรงขาวของนางเท่านั้นกระมัง
“พวกเจ้า…พวกเจ้าเป็นใคร” ทหารผู้นั้นพูดเหมือนตะคอก
“เจ้าไม่ใช่เอียนซีนี่…”
ชายหนุ่มเจ้าของม้าที่รูปร่างท้วมหนา พูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า
“เอียนซีไหนกันขอรับท่าน…พวกข้าไม่รู้จัก”
ทหารผู้นั้นกระโดดลงจากม้าแล้วตะคอกว่า “ถ้าอย่างนั้นเสื้อผ้าของนังผู้หญิงนั่น…”
หญิงร่างผอมสูงยิ้มอย่างกระมิดกระเมี้ยนแล้วปล่อยน้ำเสียงทุ้มใหญ่ผิดกับชุดที่สวมใส่ออกมาว่า
“มันไม่ใช่เสื้อผ้าของข้าหรอกเจ้าคะ เมื่อตะกี้มีผู้หญิงคนหนึ่งเอามาให้ข้าใส่ บอกว่าอยากแลกกับชุดของข้านะคะ แล้วเสื้อผ้าสวยๆอย่างนี้ใครไม่อยากได้บ้างละคะ…ท่านขุนพล”
“ไม่ใช่…ข้าไม่ใช่ท่านขุนพลเว้ย” ทหารผู้นั้นกล่าวอย่างหงุดหงิด ทำท่าจะชักดาบที่พาดไว้ด้านหลังออกมา
“อย่าคะ…อย่า ข้ากลัวแล้ว” หญิงสาวหน้าตาประหลาดละล่ำละลักปากคอสั่น และคุกเข่าร้องขอชีวิตเป็นพัลวัน
“พวกเจ้าไม่ได้หลอกข้านะ…” นายทหารคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงกร้าว ในขณะที่ชายหนุ่มร่างอ้วนและหญิงบอบบางผู้นั้นเอาแต่คุกเข่าร่ำร้องขอชีวิตเป็นพัลวัน
“พวกนั้นหนีไปทางไหน…”ทหารชุดดำถาม
“ทางนั้นเจ้าคะ…”ฝ่ายหญิงชี้มือไปทางทิศเหนือของถนนดินเส้นนั้น
ทหารชุดดำมองคนทั้งสองชั่วครู่ ก่อนจะเดินขึ้นไปหลังม้าและส่งเสียงกังวานก้อง
“พวกเราไป…”
จากนั้นเหล่าทหารในชุดสีดำเหมือนผืนฟ้าในยามค่ำคืนก็ห้อตะบึงม้าจากไปราวลมพัด
ไม่นานนัก หญิงชุดขาวที่นั่งคุกเข่าร้องขอชีวิตก็ทิ้งร่างลงกับพื้นถนนอย่างหมดแรง
“รอดหวุดหวิดนิ…อากิ” เสียงของเด็กหนุ่มที่ทุ้มใหญ่ดังมาจากร่างของสาวร่างผอมที่นอนเหนื่อยหอบอยู่
ในขณะที่ ชายหนุ่มที่กำลังจูงบังเหียนม้าและมองไปยังทิศทางที่ทหารพวกนั้นควบม้าจากไปพูดออกมาลอยๆ
“แผนการณ์ท่านลุงนี่เยี่ยมยอดจริงๆเนอะ…”
หญิงร่างผอมผลุดขึ้นลุกนั่ง ถอดผมยาวที่แสนจะยุ่งเหยิงออกจากศรีษะอย่างไม่ใยดี ถึงตอนนี้ถ้าหากทหารพวกนั้นวกกลับมาก็คงจะตีอกชกหัวกันเป็นการใหญ่กับการโดนหลอกครั้งสำคัญ เพราะชายในร่างหญิงที่นั่งทอดกายอยู่บนถนนในขณะก็คือ เรียว-เด็กหนุ่มหน้าทะเล้นแห่งหมู่บ้านเซียงอู่นั่นเอง
“แล้วเราจะไงกันต่อไปดี ” เจ้าอ้วน-อากิถามพลางเกาคางไปมา
เรียวหันไปหยิบของบางอย่างในอกเสื้อออกมาแล้วยกขึ้นส่องกับอากาศ มันเป็นแผ่นป้ายเหล็กสีทองเจิดจ้า มีพู่สีแดงห้อยพลิ้วไปมา
“คุณหนูบอกว่า ห่างจากที่นี่ไม่ไกล ขี่ม้าออกไปทางทิศตะวันออกราว 1 ชั่วยามมีกองกำลังเมฆขาวตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำ เอาป้ายทองนี่ให้พวกนั้น เราก็จะปลอดภัย หลังจากนั้นทหารของกองกำลังเมฆขาวจะตามไปช่วยคุณหนูเอียนเองนั่นแหละ”
“หวังว่าพวกหวูไว่คงปลอดภัยอยู่นะ…เมื่อถึงตอนนั้น” อากิเปรยออกมา
เรียวร้องอืมม์อย่างเห็นด้วย

(3)
ตะวันดวงโตลับขอบโลกไปแล้ว และดาวบางดวงเริ่มส่องประกายอยู่บนฟากฟ้าเบื้องบนมองเห็นอยู่ลิบๆอยู่ในขณะนี้ และอีกไม่ช้าหรอก ดวงดาวก็จะพร่างพรายเต็มผืนฟ้าไปหมด
“นี่…”เสียงหญิงสาวดังขึ้นและสะกิดหลัง ทำให้เด็กหนุ่มต้องละสายตาจากการเฝ้ามองดวงดาวเบื้องบนและหันมามองหญิงสาวที่อยู่ข้างๆแทน
เอียนซี-หญิงสาวผู้งามสง่าแห่งกองกำลังเมฆขาวอยู่ในชุดเสื้อและกระโปรงสีน้ำตาล แต่บนอกเสื้อมีสร้อยทองห้อยเหรียญกลมรูปวงรีประดับประดาขึ้นมา ในขณะที่ใบหน้าไม่ได้ปะแป้ง จึงดูงดงามตามธรรมชาติ สวยแปลกตาไปอีกแบบหนึ่ง
“เฮ้อ…นี่เรากำลังหลบหนีอยู่นะ ไม่ใช่มาเดินชมธรรมชาติ หวูไว่” หญิงสาวว่าอย่างตัดพ้อ และส่งสายตาค้อนมาที่เด็กหนุ่มอย่างพองาม
“ข้าขอโทษ…ลืมตัวไปนะ”
ความมืดกำลังปกคลุมป่า เสียงใบไม้จากกิ่งเล็กกิ่งน้อยไหวลู่ไปตามแรงลม หากตั้งใจมองดูจะให้ความรู้สึกเหมือนยักษ์ตัวใหญ่ที่โยกแขนขาของตัวเองไปมา ราวกับเต้นระบำท่ามกลางความเงียบสงัด แต่ว่าไปแล้วก็ไม่ถือว่าเงียบสงัดเสียทีเดียวนัก ยังคงมีเสียงนกกลางคืน แมลงร้องดังประสานสอดคล้องเหมือนท่วงทำนองดนตรีอันแปลกประหลาดแทรกซ้อนขึ้นมา
แน่ละ-หวูไว่ไม่กลัวสักนิด จะเป็นป่าที่ปกคลุมไปด้วยความมืดไปด้วยราตรีกาล หรือเสียงกรูเกรียวไปมาของต้นไม้เหล่านั้นก็เถอะ สำหรับเขาแล้ว มันคือการร่ายรำต่างหาก การร่ายรำจากธรรมชาติที่สอดคล้องกลมกลืนราวกับบทเพลงที่มีทำนองเดียวกัน
แต่ห้วงเวลานี้ เด็กหนุ่มไม่ได้อยู่คนเดียว มีเอียนซี-หญิงสาวแห่งกองกำลังเมฆขาวเดินตามหลังอยู่ ป่าอันมืดมิด ความเงียบอันแสนจะไม่คุ้นเคย ทำให้หญิงสาวเกิดความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูก เหมือนความกลัว อาการอกสั่นขวัญแขวน ประเดประดัง คลุกเคล้าไปกับความอ้างว้าง ที่รายล้อมอยู่รอบตัวขณะนี้
สิ่งเดียวที่ทำให้หญิงสาวคลายความกังวลก็คือ การเดินดุ่มอย่างคล่องแคล่ว ไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเด็กหนุ่มที่ก้าวย่างอยู่ข้างหน้า เป็นการเดินด้วยท่าทีปลอดโปร่งเหมือนเดิมอยู่ในบ้านของตัวเองยังไงยังงั้น
น่าแปลกนัก-เด็กหนุ่มร่างบอบบาง ที่ไม่กล้าแม้กระทั่งใช้มีดฆ่าหมูป่า สร้างความอบอุ่นใจให้แก่หญิงสาวที่มาจากกองกำลังที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคได้อย่างไร
“นี่…” จู่ๆหวูไว่ที่เดินพาหญิงสาวลัดเลาะผ่านต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่า ก็หยุดกึกอย่างไม่ทันบอกกล่าวแล้วหันหลังมา ทำเอาหญิงสาวชะงักและสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อยจนต้องเผลอถามออกไปว่า
“หวูไว่…มีอะไร”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “เปล่าหรอก…ข้าว่าเราก็เดินมาไกลพอสมควรแล้ว พักก่อนดีกว่า ดูเหมือนแผนการณ์ของท่านลุงจะได้ผลนะ”
เอียนซีส่ายหน้า
“ข้านะไม่เหนื่อยหรอก แต่ที่อยากถามเจ้าก็คือ เราจะต้องเดินกันอีกนานมั๊ย”
เด็กหนุ่มเอานิ้วชี้ชี้ตรงออกไปข้างหน้า
“อีกไม่ไกลนักหรอกอีกไม่นานเราก็จะไปถึงสุดเขตของป่าแห่งนี้ ซึ่งที่นั่นจะมีลำน้ำสายเล็กๆ ซึ่งถ้าเราล่องเรือตามเส้นทางน้ำนี้ไปก็จะลัดเลาะไปจนถึงต้นแม่น้ำใหญ่และขึ้นฝั่งที่นั่น ซึ่งเมื่อไปถึงก็จะปลอดภัยแล้ว”
หญิงสาวร้องอืมม์และพยักหน้ารับคำ
“เจ้าเคยบอกข้าใช่มั๊ยว่า ไม่ค่อยได้ออกไปไกลจากเซียงอู่ แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้เป็นการเดินทางไกลของเจ้าซีนะ”
หวูไว่พยักหน้า เอามือเกาศรีษะแล้วยิ้มแห้งๆ
“ลำน้ำที่อยู่สุดเขตป่าแห่งนี้คือเส้นทางสุดท้ายที่ข้าคุ้นเคยแล้ว ข้าไม่เคยข้ามไปจนถึงเขตลำน้ำใหญ่นั่นเลย”
“อ้อ…เหรอ”หญิงสาวอุทาน
“ลำบากเจ้าจริงๆนะ…”
เด็กหนุ่มโบกไม้โบกมือและส่ายหน้าปฎิเสธเป็นพัลวัน ก่อนจะหันมาสบตากับหญิงสาวแห่งเมืองเกียะหยู แต่ชั่วแว่บเดียวเท่านั้นก็หลบตาลง
“ไม่หรอก…”
เอียนซีใช้มือผลักหลังเด็กหนุ่มให้ก้าวเดินต่อไป แต่คราวนี้หญิงสาวเร่งฝีเท้าก้าวมาเดินเคียงข้างหวูไว่ อาการตื่นกลัว อึดอัดกับความเงียบรอบตัวของหญิงสาวหายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้
“หวูไว่…รู้มั๊ย เจ้าเป็นเด็กหนุ่มที่แปลกมาก ข้าไม่เคยเจอเด็กหนุ่มอย่างเจ้ามาก่อนเลย” เอียนซีโพล่งขึ้นมาดื้อๆ
หวูไว่ชะงักขึ้นมาชั่วขณะ แล้วก็เอามือลูบผมตัวเองไปมา แต่ไม่ได้ตอบอะไร
“นี่ ไม่ใช่ผมสีทองของเจ้าหรอกน่า ข้าหมายถึงนิสัยนะ”
“นิสัยเหรอ”
หญิงสาวพยักหน้ารับ มองลอดเงาของต้นไม้ทะลุไปยังเบื้องบนที่นวลด้วยแสงจันทร์ที่ทอรัศมีลงมา
“ในเมืองของข้า อาจจะเจริญกว่าหมู่บ้านของเจ้าก็จริง แต่ก็ไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มคนใดเหมือนเจ้ามาก่อน ไม่เคยมีใครอ่อนโยน รักธรรมชาติรอบตัวเหมือนเจ้า …”
“พวกเขา…”หญิงสาวพูดชะงักไว้แค่นั้น ดวงตาทอแววเศร้าขึ้นมาวูบหนึ่ง
“ที่สำคัญ เจ้าไม่มีฝีมือติดตัว ใช้อาวุธอะไรก็ไม่เป็น แต่เจ้าก็กล้าหาญไม่แพ้พวกทหารของกองกำลังเมฆขาวเลยนะ”
คราวนี้เป็นเด็กหนุ่มที่อึ้ง หวูไว่รู้สึกหัวใจพองโต มือไม้สั่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“ไม่ละมั๊ง คุณหนู”
คำตอบนี้ทำเอาหญิงสาวหัวเราะคิกขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
“เป็นความจริง ตั้งแต่ตอนที่เจ้าช่วยข้าไว้จากทหารอัศวินดำพวกนั้น ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของข้า แล้วก็พาข้าหนีมานี่ ดูเหมือนเจ้าจะไม่กลัวพวกอัศวินดำนั่นซักนิด”
“หวูไว่ ข้าว่าคนอย่างเจ้าสามารถเป็นทหารที่ดีของกองกำลังเมฆขาวได้เลยนะ เจ้าอยากเป็นบ้างมั๊ย”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าและโบกมือช้าๆ
“อย่าเลย ข้าคิดว่าตัวเองคงไม่เหมาะ ข้าไม่ชอบการสู้รบมาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ชอบจับดาบ ไม่เคยฝึกการใช้อาวุธ และที่สำคัญข้าไม่อยากจากบ้านไปไหน”
เอียนซี อึ้งไปพักใหญ่
“เห็นความแปลกของตัวเองหรือยังหวูไว่ หือม์”
“แปลกอีกแล้วหรือ…”เด็กหนุ่มทำเสียงเซ็งๆเหมือนไม่ชอบใจความแปลกของตัวเองเท่าใดนัก แต่ก็ทำให้หญิงสาวถึงกับหัวเราะเบาๆออกมาทันที
“ที่ข้าว่าแปลกก็เพราะ เด็กหนุ่มอายุขนาดเจ้าจำนวนกว่าครึ่งค่อนแผ่นดิน ล้วนแล้วแต่ใฝ่ฝันได้เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังเมฆขาวทั้งนั้นแหละ มีแต่เจ้าเท่านั้น”
“งั้นถามหน่อย-ความฝันของเจ้าคืออะไร เงินทอง หรือว่ามีคนรักละ?”
หวูไว่เกาหัวแกรกๆเหมือนเคย
เขาเขินอายไม่รู้จะบอกกับหญิงสาวอย่างไรดี ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาก็คงบอกว่า มันคือการไม่ต้องทำอะไร ได้ใช้ชีวิตมีความสุขไปวันๆอยู่ในเซียงอู่ก็เพียงพอ แต่สำหรับตอนนี้
“ขอให้เจ้าปลอดภัย ได้กลับไปที่เกียะหยูเถอะ”
ประโยคนี้เด็กหนุ่มไม่ได้พูดออกไป ได้แต่บอกตัวเองในใจเท่านั้น

(4)
มันเป็นสะพานที่ทอดยาวสู่แม่น้ำเล็กๆสายหนึ่ง ฟ้าครึ้ม มีเสียงเลื่อนลั่นบนฟากฟ้าเบื้องบนอยู่เป็นระยะ ลมนิ่ง ทุกสิ่งเงียบสงบ ให้ความรู้สึกอ้างว้างบางอย่าง
เป็นความเงียบที่บางคนบอกว่าน่ากลัวเกินไป คล้ายกับบรรยากาศยามพายุใหญ่ไกล้จะมาเยือน
มีร่างคนผู้หนึ่งนั่งสงบอยู่ริมสะพาน มองจากด้านหลังจะเห็นผมยาวพลิ้วไปตามแรงลม ไหล่ทั้งสองข้างกว้าง แสดงถึงความผึ่งผาย โดยเฉพาะเสื้อตัวบางสีดำที่ทำจากผ้าเนื้อดียิ่งขับเน้นให้น่าสนใจไปอีก
ในมือของคนผู้นั้นกำลังกุมเบ็ดตกปลา และนั่งอยู่ริมสะพานนั้นด้วยท่าทีปลอดโปร่ง ดูท่าปลาจะยังไม่กินเหยื่อ สังเกตได้จากร่างนั้นที่ไม่ขยับ ไหวติง แต่อย่างใด
และอย่างช้าๆ มีกลุ่มทหารในชุดดำเดินเหมือนวิ่งกระหืดกระหอบมาที่สะพานแห่งนั้น ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นสะพานและร้องโพล่งออกมาพร้อมกัน
“ท่านขุนพล…”
“ว่าไง”เสียงนั้นกังวานมาจากปากของคนผู้นั้น เป็นเสียงที่ฟังเยือกเย็น แต่ก็ฟังดูเปี่ยมอำนาจ จนทำเอาทหารในชุดเกราะดำเหล่านั้นก้มหน้ามองพื้นสะพานด้วยอาการลนลาน
ร่างนั้นหันมาช้า ใบหน้านั้นเรียวยาว เกลี้ยงเกลา จมูกโด่ง คิ้วโก่ง ดวงตากลมโต เสียดายนักที่ดวงตาคู่นั้นกลอกกลิ้งไปมาแสดงถึงความเจ้าเล่ห์และเลือดเย็น และประกายตากำลังจ้องมองมายังทหารในชุดเกราะดำจนแทบทะลุ
ทหารคนหนึ่งที่คุกเข่า ไหล้คู่เงยหน้าขึ้นสบชายหนุ่มเบื้องหน้าพูดเสียงสั่น ตะกุกตะกัก “พวกมัน…พวกมันหนีไปได้ ท่านขุนพล”
ชายหนุ่มร่างผึ่งผายเขม่งมองกลุ่มทหารที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าไปมา ก่อนเงยหน้าหัวเราะด้วยเสียงอันดัง เป็นเสียงหัวเราะที่ทำเอาทหารเหล่านั้นหนาวยะเยือก มันเหมือนเสียงคำรามของพยัคฆ์ในป่าใหญ่เสียมากกว่า
“พวกเจ้าคือกองกำลังของทหารอัศวินดำที่มีชื่อก้องฟ้า แต่ไม่มีความสามารถที่จะตามจับตัวผู้หญิงคนเดียวที่ได้รับบาดเจ็บได้ พูดไปใครจะเชื่อ”
“รู้มั๊ย…ถ้าเรื่องนี้ข้านำไปรายงานท่านนายพลซื่อ พวกเจ้าจะต้องเจอกับอะไร”
“ไม่ได้เรื่องเลย…” ชายหนุ่มผมยาวหรี่ตาพูด
ทหารอัศวินดำที่หมดฤทธิ์ สิ้นลายอยู่บนสะพานยาวแห่งนั้น ยกมือขอชีวิตต่อชายหนุ่มเบื้องหน้าเป็นพัลวัน
“ลำพังคุณหนูเอียนคนเดียว พวกเรามีปัญญาจับตัวมาให้ท่านขุนพลได้แน่ แต่ว่า…”
“แต่ว่า…อะไร”
“มีนักพรตคนนึงมาขัดขวางพวกเราเอาไว้”
“นักพรตเหรอ”
ทหารคนเดิมรีบละล่ำละลักตอบ “นักพรตนั่นใช้การลงมือเพียงครั้งเดียวก็ฆ่าคนของเราได้แล้วครับ”
“หรือว่าพวกเจ้าเจอกับ…” ชายหนุ่มที่มีดวงตาอันเกรี้ยวกราดพึมพำขึ้นมา
“นอกจากนั้นข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องรายงานท่านขุนพลด้วย” ทหารคนเดิมว่าด้วยน้ำเสียแผ่ว
“ตอนที่เราเจอคุณหนูเอียน ก่อนที่จะมีนักพรตเฒ่าคนนั้นมาขัดขวาง เราเจอกับเด็กหนุ่ม 3 คนรวมอยู่ในกลุ่มของนางด้วย และหนึ่งในนั้น…เอ้อ”
“มีอะไรรีบบอก อย่าอ้อมค้อม” ขุนพลหนุ่มผู้นั้นตวาด
“ถ้าข้าจำไม่ผิด มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่น่าประหลาดมาก เพราะมันมีผมสีทอง แถมดวงตาสีฟ้า ข้าสงสัยว่า…”
“หรือว่า…”พึมพำออกมาแค่นั้น ชายหนุ่มก็ออกคำเสียงเหมือนคำรามออกมา
“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง และอย่าทำให้ผิดหวัง จับนังตัวแสบคนนั้น แล้วก็เด็กหนุ่มคนที่เจ้าว่ามาให้ได้”
ทหารอัศวินดำทั้งหมดรับคำเสียงดัง แต่ไม่วายมีเสียงร้องถามจากนายทหารคนเดิมว่า “แต่ว่า…พวกเราไล่ตามพวกมันในเส้นทางทุกสายแล้วนะครับ แต่ไม่มีร่องรอยพวกนั้นอยู่เลย”
ขุนพลหนุ่มหัวเราะหึหึขึ้นมา
“ถ้าพวกมันไม่ได้เดินทางด้วยม้า ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่สามารถหลบหนีไปทางอื่นได้นี่”
“อย่างเช่น…ทางนั้น”
พูดเสร็จ ชายหนุ่มก็กวาดสายตามองไปยังคุ้งน้ำเบื้องหน้าอย่างมีความหมาย

๓.๑๒.๕๐

นักรบจากดาวดวงอื่น (3)

บทที่ 3-หญิงสาวผู้ลึกลับ
(1)
“หวูไว่ๆ”
มีมือหนึ่งกำลังเขย่าตัวเขาไปมา ในขณะที่เด็กหนุ่มรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งร่าง และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เขาขยับตัวไม่ได้ เหมือนมีน้ำหนักบางอย่างมากดทับบนร่าง
หวูไว่พยายามลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ และกำลังเห็นเจ้าอ้วน-อากิ กำลังเอามืออันอวบอ้วนเขย่าร่างเขาไปมา และเรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยน้ำเสียงสั่น
อ้าว…
เด็กหนุ่มพูดได้แค่นั้น เมื่อเหลือบตาขึ้นมองและพบว่าน้ำหนักที่กดทับอยู่บนร่างของเขาในขณะนี้คือร่างของคนผู้หนึ่ง ที่ดูเหมือนว่าจะนอนสลบไสลและยึดเอาร่างของเขาเป็นเบาะนอนไปเสียแล้ว
และร่างที่นอนทับเขาอยู่ในขณะนี้ก็คงจะเป็นเจ้าของม้าที่กระเด็นจากหลังม้าเมื่อตะกี้ และยังส่งกลิ่นหอมประหลาดมาเข้าจมูกหวูไว่เสียด้วย
กลิ่นหอมเหรอ…
“ช่วยข้าที เร็ว” เด็กหนุ่มบอกกับเพื่อนเกลอแล้วพยายามหยัดตัวขึ้น ในขณะที่อากิ ที่ก้มตัวอยู่เหนือร่างของเขากำลังช่วยออกแรงดึงร่างที่ทับหวูไว่ขึ้นมา
“ผะ…ผะ…ผู้หญิง” เรียว ที่กำลังออกแรงรั้งบังเหียนม้าหนุ่มที่กำลังตื่นกลัวและมองมาร้องขึ้น
ก็ใช่นะซิ…ถ้าไม่ใช่ผู้หญิง จะมีกลิ่นหอมออกมาจากได้อย่างไรเล่า หวูไว่พูดกับตัวเองในใจ ในขณะที่ยันร่างลุกขึ้นนั่งโดยเร็ว และมองไปยังอากิที่วางร่างของหญิงสาวไว้บนพื้นหญ้าด้วยอาการละมุนละม่อม
ตายละ…
เด็กหนุ่มพึมพำขึ้นมาเมื่อมองเห็นร่างเจ้าของม้าอย่างเต็มตา นอกจากจะเป็นผู้หญิงแล้ว ยังดูเหมือนจะเธอจะมีอายุพอๆกับเขาเท่านั้น ผมยาวอันยุ่งเหยิงอาจจะปิดบังใบหน้าบางส่วนไว้ แต่ถึงอย่างนั้นจมูกอันโด่งเชิด ปากน้อยๆอันได้รูป แก้มนวล ดวงหน้ากลม ผิวขาวอันกระจ่างตา และดวงตาที่พริ้มหลับ ก็ทำให้หวูไว่เกิดอาการใจสั่นขึ้นมา
เมื่อเพ่งมองให้ละเอียดกว่านั้น หวูไว่ก็พบว่า เด็กสาวมีผมยาวสีดำอันสละสวย และอยู่ในชุดอันทะมะทะแมง สวมชุดขาวทั้งเสื้อและกางเกง และยังมีผ้าคลุมสีขาวผืนใหญ่คลุมทับอยู่บนร่างอีก และรอบคอยังมีสร้อยห้อยเหรียญกลมรูปวงรีแขวนไว้ด้วย
หวูไว่ค่อยๆเดินไปก้มอยู่เหนือเด็กสาวที่สลบไสล เฝ้ามองอย่างไม่วางตา รู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกด ลืมเลือนเหตุการณ์ และสถานที่รอบตัวไปชั่วขณะ
“เฮ้ย…เจ้าบ้า มัวแต่จ้องอยู่นั่นแหละ เอาไงกันดี” เจ้าอ้วน-อากิ ว่าด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ
นั่นแหละ-หวูไว่ถึงได้รู้สึกตัว
“ก็…ก็…ไปตักน้ำที่ลำธารมาซิ”
เด็กหนุ่มพูดได้แค่นั้นจริงๆ

(2)
เด็กหนุ่มค่อยๆเทน้ำจากกระบอกไม่ไผ่ทาบเข้ากับริมฝีปากน้อยๆของหญิงสาวที่ขณะนี้พิงร่างไว้กับต้นไม่ใหญ่อย่างช้าๆ และเฝ้ามองดวงหน้าอันงดงามอย่างละเอียดอีกครั้ง ในขณะที่เพื่อนเกลอทั้งสองคนนั่นเข้ามานั่งยองๆอยู่ไกล้ๆด้วย
“สวยเนอะ…” เรียวว่า
“นางจะฟื้นมั๊ยเนี่ย หรือว่า…” อากิ พูดตามประสาคนขี้สงสัย
หวูไว่ หันหน้ามาเอ็ดเพื่อนให้เงียบเสียงไวๆ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเอายังไงต่อไป เธอผู้นี้เป็นใครกัน แต่แค่ตกจากหลังม้า แถมโถมน้ำหนักตัวมาทับเขาจนจุกแอ้กอย่างนี้ ไม่น่าจะสลบยาวนานอย่างนี้นี่นา
และชั่วครู่ ร่างน้อยๆที่พิงแอบกับต้นไม่ใหญ่ก็เริ่มรู้สึกตัว เริ่มด้วยนิ้วมือสองข้างที่เริ่มขยับ ขนตาระริกไหว ก่อนดวงตางดงามจะค่อยๆลืมขึ้น
หวูไว่ นั่งยองมองดวงตาสองข้างที่กำลังเผยอขึ้นอย่างใจจดใจจ่อเขาเดาเอาว่า ดวงตาของเธอคงจะคมกริบ และสุกสกาวชวนให้ใจหวั่นไหว
พรวด!
“เฮ้ย…” หวูไว่ร้องขึ้นมา
จะไม่ร้องด้วยความตกใจได้อย่างไร เมื่อหญิงสาวที่กำลังลืมตาตื่นขึ้นมา เกิดอาการสำลักน้ำขึ้นมาทันทีทันใด และน้ำในปากพุ่งเป็นทางเข้าเต็มใบหน้าของหวูไว่อย่างไม่คาดฝัน
เหวอ
เด็กหนุ่มค่อยๆเอามือลูบน้ำที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้าตัวเอง ในขณะที่เจ้าเพื่อนสองคนนั่นหัวเราะงอหายอยู่ข้างๆ
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง หวูไว่กำลังเห็นดวงตาคมของหญิงสาวจ้องมองมาอยู่แล้ว จริงแหะ-พอลืมตาอย่างนี้เธอดูสวยเหลือเกิน แม้แต่ริมฝีปากที่ซีดเผือดนั่นก็ช่างดูดีอะไรอย่างนี้นะ
เด็กหนุ่มเหมือนตกอยู่ในภวังค์ก้าวเดินเข้าไปไกล้ๆหญิงสาวที่ดูอ่อนแรง
“นี่…”
นั่นแหละที่หวูไว่กระซิบออกมาจากลำคอ และยังไม่ได้ทันพูดอะไรต่อไป ดวงตาคู่นั้นก็ลุกวาวขึ้น ลุกวาวเหมือนดวงตาของเสือสาวในป่ากว้างอย่างไรอย่างนั้น
พร้อมกันนั้นเท้าขวาของหญิงแปลกหน้าก็เหยียดออกมาเต็มแรง และพุ่งเข้าที่ท้องของเด็กหนุ่มเสียงดังพลั่ก
“โอ๊ย…”
ร่างของเด็กหนุ่มกระเด็นปลิวออกไป พร้อมกับอาการเจ็บที่พุ่งเสียดขึ้นมาขณะนอนกลิ้งกับพื้น พูดอะไรไม่ออก
“นี่มัน…”
เรียวและอากินั่นก็อยู่ในอาการตกตะลึงไม่แพ้กัน ตาลีตาเหลือกเข้ามาดูอาการของหวูไว่ด้วยท่าทีตกใจ
หญิงสาวค่อยๆหยัดตัวเองขึ้นอย่างช้าๆและมองมาที่กลุ่มเด็กหนุ่มอย่างไม่วางตา ก่อนจะยกนิ้วชี้มาและพูดด้วยน้ำเสียงอิดโรยว่า
“พวกเจ้าเป็นใครกัน…”
หวูไว่จุกจนพูดอะไรไม่ออก ในใจนึกไปว่า ทำไมหญิงสาวหน้าตาสวยคนนี้ถึงได้ดุจัง เท้ายังหนักอีกต่างหาก
ช่างเป็นการทักทายที่น่าประทับใจอะไรเช่นนี้
“นี่…พวกข้าช่วยเจ้าไว้นะ” อากิ พูดอย่างใจดีสู้เสือ แต่น้ำเสียงไม่วายสั่น ในขณะที่ช่วยประคองหวูไว่ลุกขึ้นนั่ง
“เราเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาที่หลงทางมา ไม่ได้คิดทำร้ายเจ้าซักหน่อย” คราวนี้เรียวเริ่มพูดอย่างมีน้ำโห
“อะไรกัน พวกเจ้าไม่ใช่…” หญิงสาวพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง
“งั้นก็…ขอโทษ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลกว่าเดิม แต่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ในวินาทีถัดมาหญิงสาวในชุดสีขาวอันสะคราญตาก็ทำให้หวูไว่และพวกสะดุ้งขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อแผดเสียงออกมาว่า
“รีบหนี…ศัตรูกำลังมา”
ยังไม่ทันสิ้นประโยคหลัง ก็มีเสียงย่ำม้าของคนกลุ่มหนึ่งดังแหวกขึ้นมาบนถนนเส้นเดิม
“ไม่ทันแล้ว…”หญิงสาวพูด
“ใครกัน…” หวูไว่ถาม
“พวกอัศวินดำ” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
หา…

(3)
ธรรมดาแล้ว หวูไว่ไม่ค่อยตกใจอะไรง่ายๆ ไม่ค่อยรู้สึกหงุดหงิด เสียอารมณ์ แต่วันนี้เขารู้สึกว่าขัดข้องไปหมด
เรียกให้ถูกก็คือรู้สึกว่าความซวยมาเยือนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เริ่มตั้งแต่วิ่งหนีแผ่นดินไหว เกือบจะโดนม้าเหยียบ แล้วยังมาโดนหญิงสาวแปลกหน้าพ่นน้ำรดเสียเต็มหน้า แถมฝากรอยถีบไว้อีก
และที่แย่ที่สุดก็คือ กำลังโดนรุมล้อมโดยชายฉกรรจ์ 4-5 คนเบื้องหน้าในขณะนี้
เขาไม่รู้หรอกว่า พวกทหารอัศวินดำนะมันน่ากลัวแค่ไหน แต่พอเห็นพวกที่ยืนสีหน้าทะมึงถึง แต่งตัวใส่เกราะในชุดสีดำ สวมหมวกเหล็ก ในมือกุมดาบเล่มโตและมองมาที่พวกเขาอย่างไม่วางตา หวูไว่ก็รู้เลยว่า ความซวยสุดสุดกำลังจะมาเยือนแล้ว
ก็ดูเจ้าเพื่อนเกลอสองคนนั่นปะไร ตัวใหญ่กว่าเขาแท้ๆ แต่ดันมายืนตัวสั่นเทาแอบอยู่ข้างหลังเขาเสียนี่ โธ่
คนที่ได้สติกว่าเพื่อนก็คือหญิงสาวในชุดขาว ที่ในขณะนี้ยืนจังก้า และถือกระบี่สีขาวด้ามเรียวยาวอยู่ในมือ
แต่มันจะไหวหรือนี่ หน้าซีดออกอย่างนั้น แล้วพวกทหารนั่นก็มีจำนวนมากกว่าเสียด้วยซิ
“คุณหนูเอียน…ในที่สุดเราก็พบกันอีก”ทหารคนหนึ่งเดินก้าวออกมาจากแถวและเรียกชื่อหญิงสาวชุดขาวราวกับคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
หวูไว่ไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่มองหน้าหญิงสาว และทหารชุดดำสลับไปมา
“พวกท่านจะเอายังไง…” หญิงสาวที่ถูกเรียกขานว่าคุณหนูเอียนถามออกมา และมือขยับกระบี่ เหมือนกับเตรียมพร้อมที่จะชักออกจากฝักได้ทุกเมื่อ
นายทหารคนนั้นหัวเราะหึหึขึ้นมาอย่างนึกขัน
“ข้าว่าคุณหนูยอมให้พวกข้าจับตัวกลับไปเสียดีๆ ท่านคนเดียวไม่มีทางสู้พวกข้าได้หรอก ข้ารู้ว่าท่านได้รับบาดเจ็บอีกด้วย”
“แล้วก็…”นายทหารพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ และยกดาบขึ้นชี้มาทางหวูไว่และพวก
“คิดว่าสวะพวกนี้จะช่วยท่านได้หรอกหรือ…ฮ่า”
สวะเหรอ ได้ยินอย่างนั้นหวูไว่รู้สึกเหมือนเลือดขึ้นหน้า
“พวกเจ้าแน่มากหรือไง…หา”เด็กหนุ่มตะโกนอย่างเหลืออด
ครั้นแล้ว นายทหารคนนั้นก็ชักดาบออกจากฝัก เสียงที่ชักดาบออกจากฝักคือเสียงเหล็กเสียดสีกับเหล็ก ซึ่งช่างฟังบาดหูเสียเหลือเกิน และในจังหวะเดียวกันนั้นทหารที่ยืนอยู่ข้างหลังทั้งหมดก็ชักดาบออกจากฝักโดยพร้อมเพรียงกันอีกด้วย
ในขณะที่คุณหนูเอียนก็ชักกระบี่ออกจากฝักเช่นกัน ประกายจากดาบสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมา
เออ ทำไงกันละคราวนี้ หวูไว่คิดในใจ
รอดจากโดนม้าเหยียบ แต่ต้องมาตายใต้คมดาบของพวกทหารเหล่านี้เรอะ ซวยชะมัดยาดเลย
ทันใดนั้น มีประกายวาววับชนิดหนึ่งลอยแหวกอากาศผ่านหวูไว่และพวกและพุ่งปักเข้าที่ลำคอของทหารคนหนึ่งในกลุ่มเสียงดังฉึก ไม่มีใครทันได้เห็นว่า มันพุ่งมาจากไหนและเป็นฝีมือใครกันแน่
แต่ทหารเคราะห์ร้ายคนนั้นเอามือกุมคอตัวเองและกลิ้งลงบนพื้น ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาอีกเลย
หวูไว่ ดวงตาลุกโพลงเมื่อเห็นเหตุการณ์ระทึกขวัญต่อหน้าต่อตา
“ใครกัน…ใครกันวะ” นายทหารที่เป็นผู้นำกลุ่มตะโกนออกมา พร้อมกับกวัดแกว่งดาบไปมาอย่างโกรธแค้น
เหมือนมีลมกระโชกผ่านด้านข้างหวูไว่วูบหนึ่ง เห็นอีกทีเด็กหนุ่มก็มองเห็นร่างหนึ่งปรากฎขึ้นมาและกำลังประจันหน้ากับพวกทหารอัศวินดำ
มองจากด้านหลัง หวูไว่เห็นร่างนั้นอยู่ในชุดนักพรตสีเขียวสดตัวโคร่ง ในมือขวาถือแส้ยืนนิ่งอยู่ ร่างนั้นบอบบาง สูงเพรียว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่นะเหรอคนที่ปลิดชีวิตทหารอัศวินดำเมื่อตะกี้
ร่างในเสื้อนักพรตค่อยๆผินหน้ามาทางหวูไว่ ทำให้เด็กหนุ่มเห็นใบหน้านั้นได้อย่างเต็มตา เป็นใบหน้าของนักพรตชรา มีหนวดเครายาวสีเทา ดวงตายิบหยี และส่งรอยยิ้มอันเปี่ยมเมตตาออกมา
“หวูไว่…พวกเจ้าพาคุณหนูผู้นี้ไปก่อน ทางนี้ข้ารับมือเอง”
เด็กหนุ่มแห่งหมู่บ้านเซียงอู่ตะลึง เพราะนี่เป็นการเจอกันเป็นครั้งแรกระหว่างเขากับนักพรตเฒ่าแท้ๆ แต่ทำไมเล่า-ทำไมถึงรู้จักเขาและเรียกชื่อเขาได้ถูกนะ
“นี่ๆ…มีคนมาช่วยแล้ว เราไปกันเถอะ” เรียว ที่ยืนเกาะอยู่ข้างหลังหวูไว่ตั้งนานนมสะกิด
ความจริงแล้ว เด็กหนุ่มอยากจะอยู่ดูต่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป แต่เหลือบไปดูอาการของคุณหนูเอียนแล้วก็ต้องเปลี่ยนใจ ใบหน้าซีดขาว และต้องใช้กระบี่ยืนค้ำเพื่อไม่ให้ล้มลงไปของนางนะ ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจ
ในขณะที่ทหารอัศวินดำ 4-5 คนนั่นก็พากันถอยกรูดจับบังเหียนม้าไว้ในมือ ดูราวกับจะทราบความเป็นมาของนักพรตผู้นี้เป็นอย่างดี
ท่านเป็นใครกันนะ
“ขอบคุณท่านนักพรต” หวูไว่หันไปกล่าวขอบคุณ และเข้าไปพยุงคุณหนูเอียนขึ้นม้า และทะยอยเดินจากมา ทิ้งปัญหายุ่งยากและคำถามที่อยากรู้เอาไว้เบื้องหลัง

(4)
ดวงตาคู่นั้นพริ้มหลับ แต่ดูเหมือนไม่หลับสนิทเสียทีเดียวนัก เพราะขนตาสั่นระริกตลอดเวลา
หวูไว่เฝ้ามองวงหน้าบนเตียงนั้นอย่างไม่รู้เบื่อ คุณหนูเอียนคนนี้ มีความงาม และเสน่ห์ประหลาด ไม่เหมือนกับผู้หญิงในหมู่บ้านเซียงอู่ของเขา ไม่เหมือนกับสาวงามประจำหมู่บ้านอย่างอาหลิงด้วย
เสียอย่างเดียวที่เธอพูดน้อยไปหน่อย ระหว่างหลบหนีจากทหารอัศวินดำมายังหมู่บ้านของเขาก็นับว่าไกลโขอยู่ แต่คุณหนูเอียนที่นั่งอยู่บนหลังม้าพูดกับเขานับคำได้ นอกจากถามชื่อของเขาและเพื่อนทั้งสองคนก็แทบไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ก็อีกนั่นแหละ-เธอกำลังบาดเจ็บจะมีแก่ใจพูดอะไรได้เล่า
ในยามหลับเช่นนี้ หญิงสาวดูผ่อนคลาย ไม่ดุร้ายเหมือนตอนจับกระบี่อยู่ในมือสักนิด
เป็นความงามที่จะเปรียบกับอะไรดีนะ อ้อ-รู้แล้ว เหมือนดาวบางดวงที่เขาไม่รู้จักชื่อ ที่ดาษสะพรั่งอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนนั่นไง มันส่งประกายงดงาม แต่ก็มีไว้สำหรับจ้องมอง แต่ยากที่จะสัมผัสถึง
“หยุดนะ…”
อยู่ดีๆ หญิงสาวที่นอนหลับอยู่บนเตียงก็ละเมอขึ้นมา ในขณะที่มือไม้ก็ปัดป่ายไปมาในอากาศเป็นพัลวัน จนเผลอไปปัดโดนขวดน้ำบนโต๊ะข้างเตียง หล่นลงกับพื้นเป็นเสียงดังขึ้นมา
แล้วคุณหนูเอียนก็ตื่นขึ้นมา
นางค่อยๆพยายามจะผลุดลุกขึ้น ตวัดผ้าห่มออกจากตัว แล้วมองไปรอบๆห้องด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะมองมาที่หวูไว่แล้วร้องถามออกมาด้วยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
“ที่นี่ที่ไหนกัน…”
“หมู่บ้านเซียงอู่ และนี่ก็ห้องนอนของข้า คุณหนูปลอดภัยแล้วขอรับ”
หญิงสาวมีสีหน้าขวยอายเมื่อพบว่าตัวเองสลบไสลไม่รู้ตัว ในขณะที่เจ้าของเตียงมานั่งเฝ้าอยู่อย่างไม่วางตา
“ขอบคุณเจ้า…แล้วก็เอ่อ”
“อย่าเรียกข้าว่าคุณหนู ข้าชื่อเอียนซี”
“เอียนซี…เหรอ” หวูไว่พูดทวนคำ
หญิงสาวพยักหน้าแล้วก็ยิ้มน้อยๆออกมา
เป็นรอยยิ้มที่ทำให้หวูไว่ตะลึง รู้สึกเหมือนโลกสว่างไสวขึ้นมาทันที


(5)
“หน้าตาของเจ้าดูเหมือนคนไม่ได้นอนนะ” ลุงส่งเสียงทักในขณะที่เด็กหนุ่มสาละวนเทยาสมุนไพรจากหม้อบนเตาลงบนชามกระเบื้องอย่างระมัดระวัง
กว่าครึ่งค่อนวันได้แล้วกระมัง ที่หวูไว่เฝ้าอยู่หน้าเตาในห้องครัวและเคี่ยวยาสมุนไพรจากพืชพันธุ์หลายชนิดจนได้ยาสีเขียวคล้ำในชามกระเบื้อง สรรพคุณของมันจะช่วยล้างพิษ ขับเหงื่อ ส่วนข้างๆชามกระเบื้อง เป็นซองยาผงกลิ่นฉุนกึกซึ่งใช้โรยแผลสดให้สมานสนิทได้เร็วขึ้น
ชายสูงวัยกว่าเฝ้ามองหลานชายสาละวนกับตัวยาเบื้องหน้าด้วยสีหน้าแช่มชื่น ปีแล้วปีเล่าที่เฝ้าเคี่ยวกรำเรื่องการรักษาผู้ป่วยด้วยยาสมุนไพรจากพืชให้กับหลานชายดูจะไม่สูญเปล่า และดูเหมือนว่าหลานชายคนนี้จะห่วงใยคนป่วยในที่นอนซมอยู่ในห้องข้างๆนี่เป็นพิเศษเสียด้วยซิ
“นี่ถ้าใช้ยาสมานแผลกับบาดแผลบนแขนขวาของนาง แล้วให้ดื่มยาในถ้วยนั้นจนหมด ข้าว่าอีกไม่นานอาการของนางทุเลาลงมาก หวูไว่เจ้านี่จะเก่งกว่าลุงอีกละมั๊งเนี่ย”
เด็กหนุ่มหัวเราะๆอย่างเขิน และเกาหัวแกรกๆไปมา
“ข้ายังไม่เก่งถึงปานนั้น…ท่านลุง”
พูดเสร็จ หวูไว่ก็รู้สึกเหมือนหัวใจตกวูบลง ถ้านางอาการดีขึ้น ย่อมหมายความว่าไกล้เวลาที่หญิงสาวลึกลับผู้นี้ต้องจากเซียงอู่ไปแล้วนะสิ”
“ยาได้ที่แล้วละมั๊ง รีบเข้าไปให้นางดื่มได้แล้ว ลุงเตือนหลังจากเหลือบตาลงดูยาสมุนไพรในชาม และหันมาตบบ่าเด็กหนุ่มเบาๆ
“แล้วก็…”
“แล้วก็อะไรครับ ลุง” เด็กหนุ่มเกาหัวแกรกๆอีกแล้ว
ชายสูงวัยหัวเราะหึหึขึ้นมา
“ก็ไม่มีอะไรหรอก…เพียงแต่ลุงคิดว่าถ้านางทุเลากว่านี้ บางทีเราน่าจะคุยกับนางนะว่าจะเอายังไงกันต่อ ลุงก็อยากรู้พอๆกับเจ้านะแหละว่านางชื่ออะไร และต้องการทำอะไรต่อไป แล้วทำไมไปมีเรื่องกับพวกทหารที่พวกเจ้าเล่าให้ฟังนั่นอีก”
หวูไว่มองหน้าลุงตัวเองที่กำลังเอามือลูบหนวดแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา-เพราะเขาไม่แน่ใจว่าลุงจะได้รับคำตอบอย่างที่ต้องการหรือไม่
“หรือว่าเจ้าจะให้นางนอนอยู่ในห้องนั่น แล้วให้เจ้าป้อนยาไปตลอดชีวิต…หือ” ชายสูงวัยกว่าว่าอย่างนึกขัน
“โธ่…ลุงก็” เด็กหนุ่มตีหน้าปูเลี่ยนแล้วยิ้มอย่างเขินๆ ก่อนจะรวบห่อยาผงสมุนไพรไว้ในอกเสื้อ แล้วค่อยๆยกชามกระเบื้องขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
“อ้อ…อีกอย่าง”
เด็กหนุ่มหันมามองและเลิกคิ้วขึ้น เพื่อรอว่าลุงมีอะไรจะบอกกับเขาอีก
“ข้าว่า หลังจากนี้เจ้าควรจะหาเวลาพักผ่อนบ้างนะ อย่างน้อยๆช่วงนี้ข้าไม่ค่อยเห็นเจ้าออกไปชมตะวันตกดินที่ชะง่อนผาเหมือนเคยเลย”
หวูไว่พยักหน้าหงึกหงักยอมรับ-จริงซิ นับตั้งแต่พาเอียนซีคนนี้หลบหนีพวกทหารอัศวินดำที่ตามไล่ เขาก็ใช้เวลาดูแลนางไม่ได้ทำอะไรอย่างที่ชอบทำเลย อย่างมากก็แค่ชวนอากิ-เรียว มานั่งคุยเล่นที่บ้านเท่านั้น
ชายผู้เป็นลุงมองหน้าหลานชายชั่วครู่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“ความจริง ถ้าอีกไม่กี่วันนางพอจะลุกจากห้องไปไหนมาไหนได้บ้างแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าก็ชวนนางขึ้นไปบนชะง่อนผาซิ ข้าว่านางคงชอบดูพระอาทิตย์ตกดินเหมือนเจ้านะ”
“อีกอย่าง…” ลุงพูดและเหลือบตามองเด็กหนุ่มอย่างมีเลศนัย
“ช่วงนี้ลุงปวดเมื่อยเนื้อตัว เดินเหินไม่สะดวก คงเป็นเพื่อนขึ้นเขาไปกับเจ้าไม่ได้หรอก” พูดเสร็จลุงก็ทำท่าสะบัดไหล่ บีบแขนของตัวเองไปมา
“นี่ป้าของเจ้าไปทำอะไรอยู่ที่ไหนนี่ อยากให้มาบีบนวดให้ลุงเสียหน่อย…เมื่อยจริงๆ” พูดเสร็จลุงก็เดินออกไปหน้าบ้าน ส่งเสียงโหวกเหวกเรียกหาป้าเป็นการใหญ่
หวูไว่ได้แต่ยิ้มพลางคิด-ดูพระอาทิตย์ตกดินที่ชะง่อนผาเหรอ ไม่เลวนี่

(6)
เด็กหนุ่มรู้สึกเขินอายเป็นบ้า ในขณะที่เดินพาเอียนซี-หญิงสาวลึกลับเดินออกจากบ้านแล้วต้องเดินผ่านตลาด ดูเอาเถิด-พวกพ่อค้า แม่ค้า และชาวบ้านในตลาดจ้องมองกันไม่วางตา ยิ่งคนไหนสนิทกับเขาหน่อย ส่งสายตาล้อเลียนเป็นการใหญ่ ไม่เว้นแม้กระทั่งอาหลิงด้วย
ไม่มีอะไรสักหน่อย-เด็กหนุ่มอยากจะแก้ตัวเหลือเกิน
หญิงสาวอาการทุเลาลงมากแล้ว สามารถเดินเหินได้ตามปกติ แต่ก็ยังคงเงียบไม่ค่อยพูดจาอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นหวูไว่ก็ไม่รู้สึกอะไรเสียแล้ว มีบางอย่างในตัวของเอียนซี-ที่ทำให้เขารู้สึกว่าเธอไม่เหมือนกับสาวในหมู่บ้าน ยิ่งนึกถึงดวงตาที่บางครั้งวาวโรจน์อย่างประหลาดด้วยแล้ว หวูไว่ยิ่งรู้สึกว่านางน่าคงมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา
เจ้าหญิงเหรอ คงไม่มั๊ง เด็กหนุ่มคิดอย่างฟุ้งซ่าน
ในขณะนี้ เอียนซี อยู่ในชุดเสื้อผ้าชาวบ้านธรรมดา เป็นเสื้อยาวสีน้ำตาลเนื้อหยาบ และกระโปรงสีกรมท่าที่ถูกปะชุนหลายจุด โชคดีนะที่รูปร่างของนางมีขนาดพอดีกับอาหลิง-จึงสวมเสื้อผ้ากันได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
“ข้าจะได้มีคู่แฝดไงละ หวูไว่” อาหลิง พูดตอนที่นำเอาเสื้อผ้าบางชุดมาให้ที่บ้าน เด็กหนุ่มได้แต่หัวเราะแห้งๆ และกล่าวขอบอกขอบใจเป็นการใหญ่ที่ให้เอียนซี-สาวลึกลับได้ยืมเสื้อผ้าใส่
แต่ถึงจะใส่เสื้อผ้าชุดเดียวกัน ทั้งสองสาวก็มีความงามที่แตกต่างกันมากอยู่ดี แตกต่างกันตรงไหนเหรอ-เด็กหนุ่มก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
ความงดงามของอาหลิงน่าจะอยู่ที่ความมีชีวิตชีวา เหมือนกล้วยไม้ป่าที่มีสีสันอันเปล่งปลั่ง และกลิ่นหอมอวลจมูก
ส่วนเอียนซี-งามเหมือนดอกเบญจมาศที่ยามออกดอกเหลืองอร่ามอยู่ในสวนดอกไม้ จะเจิดจ้า สง่างามราวกับทุ่งทองคำ
เด็กหนุ่มหยุดความคิดไว้เพียงแค่นั้น เมื่อเดินนำหญิงสาวแปลกหน้าออกห่างจากตลาดและหมู่บ้าน ผ่านสุมทุมพุ่มไม้ที่คุ้นเคย กลิ่นหอมจากดอกไม้นานาพันธ์ฟุ้งมาเข้าจมูก และมองเห็นชะง่อนผาอยู่เบื้องหน้า
หวูไว่วิ่งขึ้นไปอย่างลืมตัว มันเป็นความรู้สึกที่มีความสุขอย่างประหลาดล้ำเมื่อเท้าสัมผัสผืนหญ้าที่ชุ่มน้ำ และดอกไม้ดอกเล็กดอกน้อยที่โผล่แซมขึ้นมา มันให้ความรู้สึกนุ่มเท้าจนแทบจะอยากทอดรองเท้าทิ้ง และเดินย่ำขึ้นไปด้วยเท้าเปล่าเสียนี่กระไร
ไม่นาน เด็กหนุ่มก็ขึ้นมาสูดลมหายใจเต็มปอดอยู่บนชะง่อนผา ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ยืนสลับเป็นแห่งๆโดยรอบ ในขณะที่อากาศเริ่มเย็น ท้องฟ้าสลัว และอาทิตย์บนฟ้าไกลๆโน่นเริ่มกำลังจะจมหายไปในไม่ช้านี้แล้ว
“ฮูวว์…” เด็กหนุ่มตะโกนเรียกเอียนซีที่ค่อยๆเดินตามขึ้นมาอย่างช้าๆ และพบว่านางกำลังส่งยิ้มให้แต่ไกล พร้อมโบกมือให้ด้วย เด็กหนุ่มโบกมือตอบแล้วหัวเราะอย่างเขินๆ
ดูเหมือนว่า หญิงสาวลึกลับผู้นี้ดูจะตื่นตะลึงกับโลกรอบตัว ราวกับไม่เคยสัมผัสความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เมื่อเดินขึ้นมาถึงชะง่อนผาที่หวูไว่นั่งพักรออยู่บนโขดหินใหญ่ เด็กหนุ่มสังเกตเห็นว่านางกำลังสูดลมหายใจลึกๆ พลางหลับตาพริ้ม เสื้อสะบัดพลิ้วไปมาเพราะลมแรงบนชะง่อนผา
แล้วเอียนซีก็ลืมตาขึ้น แล้วยิ้มกว้าง มองเห็นฟันที่เรียงสวยงามและส่องประกายงามราวกับไข่มุก
หวูไว่มองไปแล้วก็ได้แต่อ้าปากค้างกับภาพของหญิงสาวข้างหน้า
หญิงสาวผู้มีความเป็นมาอันลึกลับย่นจมูกให้เด็กหนุ่มแล้วพูดยิ้มๆ
“นี่เจ้าจะไม่ชวนข้านั่งหรือไง…”
นั่นแหละ-เด็กหนุ่มจึงรู้สึกตัว ขยับตัวออกไปด้านหนึ่ง เพื่อให้หญิงสาวเขยิบขึ้นมานั่งบนโขดหินก้อนเดียวกัน และผินหน้าไปยังฟากฟ้าด้านที่ตะวันกำลังจะจมลงที่ขอบฟ้า
“สวยเหลือเกิน…ข้าไม่เคยเห็นตะวันตกดินสวยเหมือนที่นี่มาก่อนเลย” หญิงสาวพูดเหมือนละเมอ
หวูไว่ไม่ได้พูดอะไรได้แต่พยักหน้าตอบ แล้วหันมามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่กำลังปล่อยใจดื่มด่ำกับพระอาทิตย์สีแดงกลมโตเบื้องหน้านั่น ใบหน้านั้นเรียบเฉย แต่สุกสกาวด้วยดวงตาคมคู่นั้น ผมยาวของนางสะบัดไปมาตามแรงลม
แล้วอย่างช้าๆนางหันมามองเด็กหนุ่มและส่งรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกถึงความสว่างไสวออกมา
“เจ้าโชคดีมากหวูไว่…ที่ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงามเช่นนี้”
“ข้าชอบที่นี่มาก”
หวูไว่ยิ้มกว้างเมื่อรู้สึกว่า นางมีความสุขเช่นเดียวกับเขา
จากนั้นทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย เฝ้ามองตะวันลับฟ้าไปด้วยใจอันเป็นสุขอย่างเงียบๆ

๑๑.๑๑.๕๐

ดอกไม้กับดาวดวงหนึ่ง

ดอกไม้ดอกหนึ่ง
อยู่ในป่า
เกิด เติบโต และรอวันผลิบาน
แต่วันหนึ่งดอกไม้เศร้าโศก
ไม่อยากเติบโต ผลิบาน
ร้าวรานเพราะไม่มีใครเห็น
แล้วฉันจะบานเพื่อใคร-ดอกไม้ถาม
จนวันหนึ่ง มีเสียงกระซิบมาจากเบื้องบน
ดังมาจากดาวดวงหนึ่งบนฟากฟ้า
บอกว่า-อย่าเศร้าไปเลยดอกไม้
เจ้าเกิดมาก็เพื่อผลิบาน-ไม่ใช่หรือ
เติบโต ผลิบาน เพื่อตัวเองไม่ได้หรือ
ดอกไม้สะท้านสะทก
ก่อนหัวใจสั่นไหวเมื่อมองขึ้นไปท้องฟ้าเบื้องบน
ดาวดวงนั้น เล็กกระจิดริด
ริบหรี่ราวแสงจากหิ่งห้อยในยามค่ำคืน
เจ้าเห็นข้าหรือไม่-ดวงดาวถาม
เห็นมั๊ยเล่า-ข้าเป็นเพียงดาวอับแสงดวงหนึ่ง
เป็นเพียงจุดเล็กๆบนฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดาวพราวแสง
แต่ถึงอย่างไรข้าไม่เคยหม่นเศร้ากับตัวเอง
อย่างน้อยข้าเกิดมาเพื่อส่องแสง
ข้ารู้เพียงเท่านั้น
ดอกไม้แย้มยิ้มให้กับดวงดาว
พบคำตอบให้ตัวเอง
ข้าพร้อมแล้วจะผลิบาน
เพื่อตัวเอง เพื่อโลก และเจ้าด้วย
ดวงดาว…

เรื่องเล่าของ"คอ"สะพาน

ถึงแม้จะเป็นคนดื่มเหล้า แต่ผมไม่ค่อยยอมรับความเป็น “คอสุรา” ของตัวเองเท่าใดนัก เพราะถึงอยากจะมีเหล้ากินทุกวัน แต่ผมก็นิยมดื่มพอประมาณ จิบพออ้วก เน้นความรื่นรมย์ในการดื่มกิน พูดคุย เสียมากกว่า ปะเหมาะเคราะห์ดีเจอเพื่อนร่วมวงประเภทคอหนักก็มักจะเจอค่อนขอดว่าการดื่มเหล้าของผมนั้นมันช่างเหลวไหล หาความเร้าใจไม่ได้เอาเสียเลย
หรืออย่าง “คอหนังสือ” ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ ถึงจะชอบอ่านหนังสือแต่มันก็เป็นการตะลุยอ่านดะ อะไรก็ได้ที่มันวางอยู่ตรงหน้า หรืออ่านเพราะชื่อเรื่อง แบบปก แต่หาได้ละเลียดในการค้นหาความหมายในแต่ละบรรทัด หรือพินิจพิเคราะห์กลวิธีในการเขียนอย่างที่ “คอ” ประเภทนี้เค้านิยมกัน บางทีหนังสือที่เขาว่ากันว่าอ่านแล้วเหมือนโดนตีหัวแบะ ผมอ่านแล้วก็เฉยๆ ไม่รู้สึกโดน ขนาดที่ว่าชีวิตต้องเปลี่ยนไปเพราะหนังสือเล่มนึงอะไรประมาณนั้นไม่ใช่ผมแน่นอน
“คอเพลง” หรือครับ อืมม์...ก็เคยพอจะเรียกได้เหมือนกันละครับ แต่มันก็กลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว ตอนนี้ชอบเพลงไหนก็หาโหลดเอาจากอินเตอร์เน็ตบ้าง แผ่นก็อปของเพื่อนบ้าง เครื่องที่ฟังก็เป็นแค่เอ็มพี-3 รุ่นกระป๋องกระแป๋ง ไม่ได้ฟังเครื่องเสียงจากสเตริโอเสียงกระหึ่มอีกต่อไป เรื่องฟังเพลงของผมในปัจจุบันนี่มันหยาบยิ่งกว่าทรายขี้เป็ดเสียอีก จะบอกให้
แล้วผมเป็น “คอ” อะไรกันเล่า
ผมก็จะตอบว่า ไม่รู้เหมือนกัน เพราะผมไม่ได้อะไรนักหนากับเรื่องเหล่านี้ จะอ่านหนังสือ กินเหล้า ฟังเพลง ก็ไม่ได้ยึดเอาอะไรเป็นสรณะ ไม่มีความเชี่ยวชาญในระดับ “คอ” กับเรื่องเหล่านี้
ชีวิตของผมมันก็เรื่อยเปื่อยไปเรื่อยนั่นแหละ ไม่ค่อยจะมีความไฝ่ฝันอะไรเหมือนผู้คนธรรมดาเท่าใดนัก ไม่หวังมีบ้าน มีรถขับ หรือร่ำรวยเป็นเศรษฐีกะเขา
ครับ...ใครจะว่าผมเพี้ยน แปลกแยก เป็นยอดมนุษย์จืดชืด ไม่ได้ความ ไร้น้ำยาก็ว่ามาเถอะครับ
แต่ผมก็คิดอย่างนี้จริงๆ


แต่ถามมาก็ดีแล้ว ทำให้ผมนึกถึงตัวเองว่า มีอะไรที่เชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งนะ มีบ้างมั๊ย
อะไรที่ทำให้ผมรู้สึกผูกพันด้วย ไม่ว่าจะเป็นคน สิ่งของ หรือสถานที่สักแห่งก็ได้
นึกแล้วก็อึ้งขึ้นมาอย่างทันทีทันใด เมื่อพบคำตอบว่า เกือบจะไม่มีเอาเสียเลย
ใช้คำว่า “เกือบจะ” ไม่ได้หมายความว่าผมค้นพบว่าตัวเองมีความจัดเจน ลึกซึ้ง มีความเป็น “คอ” ในอะไรแขนงหนึ่งขึ้นมาหรอกนะครับ
เพียงแต่มันทำให้ผมหวนระลึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาเท่านั้น
เป็นบางอย่างในอดีต ที่ยังกระทำอยู่ในปัจจุบัน และอาจผูกโยงไปถึงวันพรุ่งนี้
มันคือเรื่องราวเล็กๆ แสนจะธรรมดา ไม่ควรค่าแก่ความสนใจ นี่ถ้าไม่มีใครสะกิดเตือนก็คงเหมือนน้ำก้นบ่อ ที่ทำยังไงก็ไม่มีวันกระเพื่อมขึ้นมาถึงปากบ่อได้
แต่พอสะกิดเข้าเท่านั้นแหละ
มันไหลบ่าเหมือนน้ำล้นทำนบยังไงยังงั้นเชียวแหละครับ


ไม่อยากจะเรียกตัวเองว่าผู้เชี่ยวชาญอะไรนักหรอก แต่ถ้าถามผมว่าอะไรที่ทำเป็นกิจวัตรประจำวันนอกเหนือไปจากทำงาน และธุระส่วนตัวจิปาถะแล้ว
สิ่งที่ผมทำเป็นประจำก็คือการขึ้นลงสะพานครับ
เห็นมั๊ยละว่า มันโคตรจะธรรมดา
แต่เชื่อเถอะครับ สิ่งที่ผมทำจนคุ้นเคยก็คือการขึ้นสะพาน
อันหมายถึงการเดินขึ้น นั่งรถ อะไรอย่างนี้นะครับ
ผมขึ้นลงสะพานอยู่เกือบทุกวันครับ จากสะพานหนึ่งไปอีกสะพานหนึ่ง จากสะพานเล็กไปสะพานใหญ่
เรียกได้ว่าเป็น “คอสะพาน” คนหนึ่ง
เป็น “คอสะพาน” ที่ไม่ได้หมายถึง “คอ” อันเป็นส่วนหนึ่งของสะพานนะครับ
จริงอยู่-ใครก็ย่อมเคยขึ้น-ลงสะพานอยู่เป็นกิจวัตร ไม่มีอะไรแปลก แต่เชื่อเถอะครับ การขึ้นลงสะพานระหว่างคุณกับผม หรือใครๆก็ย่อมแตกต่างกัน
เราย่อมมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสะพานที่ไม่เหมือนกัน
และนี่คือเรื่องของผมกับ “สะพาน” ครับ


ถึงแม้พ่อจะเป็นคนอีสาน แม่เป็นคนภาคกลาง แต่ผมนะเป็นเด็กกรุงเทพฯ เป็นเด็กเมืองหลวงเต็มตัวเชียวแหละ
ผมเกิดที่เกียกกาย เขตดุสิต ที่โรงพยาบาลวชิระ ว่ากันตามจริงแล้ว ผมไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับตอนเกิดของตัวเองได้มากนัก จำได้แต่เพียงคนอื่นเอามาเล่าให้ฟัง และจำสถานที่บ้านที่ตัวเองเกิดได้พอเลาๆ
บ้านที่ว่า อยู่ในซอยวัดประดู่ธรรมาธิปัตย์ เป็นบ้านที่อยู่ในตรอกลึกเข้าไป เป็นบ้านไม้ธรรมดา เหมือนบ้านทั้งหลายแหล่ในละแวกนั้น
ครับ-บ้านที่อยู่เป็นบ้านหลังไม่ใหญ่ คับแคบ ไม่มีพื้นที่ แต่ละบ้านเวลาเข้าออกก็ต้องใช้สะพานไม้ในการสัญจร เวลาเดินต้องระวังให้ดี เพราะถ้าหล่นลงไปก็จะลงไปลอยคอในน้ำครำกันเลยทีเดียว
และตอนที่แม่เจ็บท้องไกล้คลอด ทั้งผมและแม่ก็ต้องผ่านสะพานไม้นี้เหมือนคนอื่นๆนั่นแหละ
มันเป็นสะพานแรกในชีวิตของผมครับคุณ

พอผมโตขึ้น ผมก็วิ่งเล่นอยู่บนสะพานไม้ในตรอกเล็กๆในซอยวัดประดู่ฯนั่นอยู่นาน
พอเริ่มเรียนหนังสือ ก็ต้องเดินข้ามสะพานออกมานั่งรอรถเมล์อยู่ที่ปากซอย และรถเมล์จะต้องวิ่งขึ้นสะพานเกียกกาย เป็นสะพานปูนเล็กๆที่ผมจะรู้สึกตื่นเต้นเวลานั่งรถเมล์ลงจากสะพาน เพราะความสูงชันของสะพานทำให้ผมรู้สึกเสียวที่ท้องน้อย ต้องเอาสองมือเล็กๆจับที่พนักที่นั่งไปเสียทุกคราว เป็นช่วงเวลาที่เหมือนกับตัวเองลืมหายใจเกือบทุกครั้ง
จนป้าๆน้าที่นั่งรถไปส่งที่โรงเรียนยังแซวว่า ผมนะเป็นโรคกลัวสะพานขึ้นสมอง

โรงเรียนของผมอยู่เลยแยกวชิระไปไม่ไกล เป็นโรงเรียนฝรั่งที่ตั้งอยู่ในซอยมิตคาม ถิ่นที่อยู่อาศัยของคนญวนเป็นส่วนใหญ่
เลยจากโรงเรียนไม่ไกล มีสะพานใหญ่ตั้งเด่นอยู่ มันคือสะพานกรุงธน ซึ่งเป็นสะพานแบ่งเขตระหว่างพระนครกับฝั่งธนบุรีในขณะนั้น
บางทีผมก็จะนั่งมองสะพานแห่งนี้จากตึกเรียน ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนเห็นยักษ์ตัวใหญ่ที่กำลังนอนหลับ เคียงข้างกับสะพานคือแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ช่างกว้างใหญ่ มอเห็นเรือลำเล็ก ลำน้อยวิ่งผ่านไปมาอยู่ตลอดเวลา
สารภาพตามตรง การนั่งดูสะพาน และเฝ้ามองแม่น้ำเจ้าพระยาจากห้องเรียนคือความเพลิดเพลินของผมเป็นที่สุดในยามนั้น
จนกระทั่งวันหนึ่ง บ้านของเราย้ายไปอยู่ฝั่งธน ตรงถนนจรัญสนิทวงศ์ และทำให้ผมต้องนั่งรถผ่านสะพานกรุงธนฯแห่งนี้เสมอ
ห้วงเวลาที่นั่งรถผ่านสะพานแห่งนี้เป็นครั้งแรก ผมพบว่า สะพานก็คือสะพาน ไม่ใช่ยักษ์นอนหลับอย่างที่เข้าใจ และมันก็ไม่ดูสวยงามเหมือนเมื่อมองจากตึกเรียนแม้แต่น้อย
แม่น้ำเจ้าพระยานั้นเล่าก็ไม่ได้ใส มีกลิ่นหอม อย่างที่ผมนึกฝันไว้ บางเวลาก็ขุ่นมัว แถมยังมีกอสวะไหลผ่าน ไม่ได้สวยงามอย่างที่จินตนาการไว้เลย
แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังชอบความรู้สึกที่นั่งรถผ่านสะพานและมองไปยังแม่น้ำเบื้องล่าง เลยไปถึงเวิ้งฟ้าเบื้องไกลนั่นอยู่ดี
มันไม่สามารถอธิบายถึงความรู้สึกได้ด้วยตัวหนังสือหรอกครับ
เหมือนความรู้สึก “ตกหลุมรัก” ใครสักคน
แต่ความรักของผมคือ “สะพาน” ไม่ใช่ “คน” นะซิครับ

หลังจากย้ายมาอยู่บ้านใหม่ที่ถนนจรัญสนิทวงศ์ ผมกับพบกับรักครั้งใหม่อีกครั้ง
รักใหม่ของผมก็คือ “สะพานพระราม 6”
เป็นสะพานที่มีประวัติเก่าแก่ตั้งแต่ครั้งสงครามโลก แม้มันจะดูคับแคบ และมีรถยั้วเยี้ยมากกว่าสะพานกรุงธนเป็นไหนๆแต่ผมก็ชอบ
เสน่ห์ของมันก็คือ ทางรถไฟที่คู่ขนานไปกับสะพาน ช่วงเวลาที่น่าเพลิดเพลินที่สุดก็คือ ยามรถไฟส่งเสียวหวูดๆมาแต่ไกล ตามมาด้วยเสียงกระชึกกระชักของรถไฟอันเก่าคร่ำคร่า
โรงเรียนแห่งใหม่ของผมตั้งอยู่ไกล้สะพานพระราม 6 เมื่อมองจากหน้าต่างห้องเรียน จะมองเห็นรถไฟวิ่งขึ้นลงวันละหลายรอบ วิ่งผ่านครั้งใดการสอนก็จะหยุดชะงักไปชั่วคราว
หลังจากนั้นนักเรียนในห้องก็จะหันมานับขบวนรถไฟว่ามีกี่ตู้ คู่หรือคี่ จะส่งเสียงหวูดกี่ครั้งกัน
มันเป็นเกมที่มีเล่นเฉพาะโรงเรียนของเราเท่านั้น
แต่เรื่องราวระหว่างผมกับสะพานแห่งนี้ ทางรถไฟ และแม่น้ำเจ้าพระยาที่ทอดตัวยาวอยู่เบื้องล่างนั้นก็ไม่ใช่ว่ามีแต่ความทรงจำที่งดงามเท่านั้น
มีอดีตที่อยากลืมเกิดขึ้นเช่นกัน
เหมือนอย่างครั้งหนึ่ง ในตอนเช้าที่มีหมอกในตอนเช้าๆโรยตัวกันอยู่เหนือสะพาน แม้จะมองมาจากห้องเรียนแต่มันก็ช่างสวยงามเหลือเกิน แต่เสียดายที่มันเป็นวันที่เกิดเรื่องเศร้าเกิดขึ้น
ในตอนสายของวันเดียวกัน ทุกคนในโรงเรียนได้รับข่าวว่า นักเรียนสาวรุ่นพี่คนสวยที่เป็นที่หมายปองของใครหลายคนในโรงเรียน ฆ่าตัวตายด้วยการให้รถไฟทับ หลังจากทะเลาะกับพี่ชาย แต่บ้างก็ว่าผิดหวังในความรัก
บางคนก็บอกเข้าใจผิดกันไปใหญ่ คนบ้าที่ไหนจะยอมให้รถไฟทับตายกันง่ายๆ เธอคนนั้นคงเดินพลาดจนเกิดอุบัติเหตุเสียมากกว่า
ผมและเพื่อนในห้องหลายคนได้แต่นั่งนิ่งอยู่ในห้อง ไม่มีใครกล้าไปดูศพ เพราะมันคงไม่น่าดูนักหรอก
ที่สำคัญ ผมและเพื่อนเป็นแค่เด็กนักเรียนมัธยม ไม่มีใครชอบเห็นความเศร้า ความผิดหวัง ไม่อยากมีความทุกข์นักหรอก
แต่หลังเหตุการณ์นั้นไม่กี่วัน ผมและเพื่อนบางคนเดินขึ้นไปบนสะพานในยามหัวค่ำ มองออกไปในแม่น้ำเบื้องล่าง มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากแสงตะเกียงวอมแวมจากเรือนไม้ที่ปลูกอยู่ริมแม่น้ำ กลิ่นดอกไม้ลอยมาปะทะจมูก แล้วผมกับเพื่อนก็ยกขวดเหล้าที่เตรียมกันมาขึ้นดื่มกันคนละอึก โดยไม่ได้พูดอะไรกัน
รู้แต่ว่ามันคลายความเศร้าลงไปได้นิดหนึ่ง


ผมยังพักอาศัยอยู่ที่ละแวกจรัญสนิทวงศ์เหมือนเดิม ยังนั่งรถขึ้นสะพานอยู่ตามปกติ
แต่สะพานที่นั่งรถข้ามอยู่ทุกวันคือสะพานพระราม 7 ซึ่งใหญ่โต มีเส้นให้รถวิ่ง 4 เลน แต่ก็ยังเป็นเส้นที่รถติดอยู่เหมือนเดิม
ส่วนสะพานพระราม 6 ปิดลงอย่างถาวร เปิดไว้เพื่อให้รถไฟวิ่งผ่านเท่านั้น
และผมก็ห่างเหิน “สะพาน” ของผมไปนานเหลือเกิน
แต่วันนี้ระหว่างที่ผมนั่งรถติดอยู่บนแท็กซี่บนสะพานพระราม 7 อะไรก็ไม่รู้ทำให้ผมจ่ายเงินกับโชฟอร์ แล้วก้าวลงจากรถกลางคัน เดินย้อนไปทางสะพานพระราม 6 เพื่อรำลึกถึงวันเก่าๆ
“สะพาน” ของผมทรุดโทรมไปตามเวลา รวมทั้งโรงเรียนเก่าของผมนั่นด้วย ท่าน้ำที่เคยเป็นศาลาให้ไปนั่งเอกเขนก กลายเป็นร้านอาหารริมน้ำใหญ่โตไปแล้ว ต้นก้ามปูที่เคยแผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้มหายไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยเสาปูนซีเมนต์ เลยไปอีกนิดสวนที่เคยโดดเรียนไปปีนต้นไม้เล่นก็สูญหายไปแล้วเช่นกัน
ผู้คนเดินสวนไปมาอย่างรีบเร่ง ไม่น่าแปลกใจนักหรอก เพราะเลยจากที่ตั้งโรงเรียนเก่าเป็นที่ตั้งของอู่รถประจำทางหลายสาย ชักช้ารถก็จะออกไปเสียก่อน เวลาของผู้คนวันนี้เป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น
ผมนั่งลงเงียบๆตรงท่าน้ำหลังโรงเรียนเก่า ลมพัดรวยรินมาจากแม่น้ำ เงยหน้าขึ้นไปมองเห็น “สะพาน” ของผมตั้งเด่นอยู่ที่เดิม เพียงแต่วันนี้มีแต่ความเงียบเหงาปกคลุมแทน
ผมอยากได้ยินเสียงรถไฟวิ่งกึงกังผ่านสะพานของผมอีกสักครั้ง


เป็นอีกวันที่ผมปล่อยเวลาให้อดีต
ผมย้อนกลับมาที่สะพานกรุงธนอีกครั้ง เพื่อจะออกไปรำลึกความหลังเก่า
ผมก้าวเดินขึ้นสะพานในขณะที่แดดยามบ่ายอ่อนแรงลงไป มีเด็ก ผู้ใหญ่ สาละวนอยู่กับการหย่อนเบ็ดลงแม่น้ำ ในขณะที่รถบนสองฝั่งของสะพานแน่นขนัด และคงจะติดยาวมากกว่านี้เมื่อโรงเรียนละแวกนี้ปล่อยเด็กกลับบ้าน
ในแม่น้ำ มีเรือลำใหญ่ จอดเรียงรายทั้งสองฟากฝั่ง ร้านอาหาร โรงแรม ผุดสะพรั่งขึ้นเต็มไปด้วย และทำให้สะพานที่ผมคุ้นเคยเปลี่ยนไปไม่เหมือนแต่ก่อน
แต่มันไม่ทำให้ผมเศร้าได้อีกต่อไป
เพราะผมบอกกับตัวเองว่านี่คือวัฎจักรของชีวิต ไม่มีอะไรจะคงอยู่ได้ตลอดไป มีรุ่งเรืองก็ต้องมีเสื่อมโทรม
ว่าไปแล้วมันก็เป็นแค่สะพานที่มีความทรงจำของผมอยู่ในนั้น แต่ในวันหนึ่งก็ต้องมีคนรุ่นต่อไปมานั่งโหยหาอดีตเหมือนอย่างที่ผมกระทำอยู่เช่นกัน
กลิ่นแม่น้ำอันแสนจะคุ้นเคยลอยเข้ามากระทบจมูก มีลมอ่อนโชยมาแผ่วๆ ผมกำลังก้าวลงจากสะพาน และกำลังมุ่งไปสู่ที่หมายเบื้องหน้า
มันอาจจะมี “สะพาน” ที่รอผมอยู่เบื้องหน้าอีกมากมายนัก
ใครจะรู้ละ มันอาจเป็นสะพานที่สร้างความรื่นรมย์ เพลิดเพลิน ให้กับ “คอสะพาน” เยี่ยงกว่าในอดีตก็เป็นได้
ว่าแต่ว่าผมเล่าเรื่องสะพานของผมให้ฟังแล้ว
คุณละครับ มีเรื่องเล่าของสะพานของคุณให้ผมฟังบ้างหรือเปล่า
ผมอยากฟัง

นักรบจากดาวดวงอื่น (2)

บทที่ 2 :หลังแผ่นดินไหว
(1)
ในเช้าวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ อากาศสดชื่น แดดแจ่ม หวูไว่รีบออกจากบ้านแต่เช้า เพราะนัด เรียว-อากิ เพื่อนเกลอว่าจะไปเก็บสมุนไพรที่ชายป่าซึ่งอยู่ไกลหมู่บ้านออกไป
แน่ละ-เด็กหนุ่มตั้งใจแล้วว่า หลังจากเก็บสมุนไพรเสร็จ จะหาโอกาสไปนอนเล่นในลำธาร แล้วก็ปีนต้นไม้ขึ้นไปแหกปากตะโกนให้ลั่นทุ่ง ป่าหญ้า ลำธารในฤดูใบไม้ผลิช่างสดใส มีชีวิตชีวาเหลือเกิน
เพราะอะไรที่ชอบชีวิตเช่นนี้-เด็กหนุ่มตอบตัวเองไม่ถูกนักหรอก รู้แต่ว่าเขาชอบความงดงาม แจ่มใส ที่แต่งแต้มจากธรรมชาติรอบตัว รักที่จะเห็นพระอาทิตย์ดวงกลมโตโผล่พ้นขอบฟ้าพอๆกับที่เฝ้ามองตะวันดวงเดียวกันนี้ลับหายไปจากมุมหนุ่งของโลกในยามโพล้เพล้
ดูเหมือนว่า เขารักที่จะเติบโตและงอกงามอยู่กับโลกที่มีแม่ธรรมชาติเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง
ถ้าเป็นไปได้ วันนี้เด็กหนุ่มตั้งใจว่า จะหาโอกาสมุดลอดเข้าไปในกอดอกไม้หลากสี เฝ้ามองผีเสื้อ แมลง บินวนเวียนไปมาอย่างเพลิดเพลิน
ส่วนเรื่องกลิ่นตัวของเขานะเหรอมันเป็นเรื่องเล็กน้อยหรอกน่า
เจ้าเพื่อนสองคนนั้นคงบ่นอุบกลิ่นอันเหม็นเขียวจากตัวเขาเหมือนเคยนั่นแหละ แต่ก็ช่างเถอะ-ได้ลงแช่น้ำในลำธารด้วยกันก็คงหมดเรื่องแล้ว
แค่นึกถึง เด็กหนุ่มก็หลับตา สูดลมหายใจเต็มปอด รู้สึกถึงความอิ่มเอิบที่แผ่ซ่านออกมา และมีรอยยิ้มน้อยๆปรากฎขึ้นที่มุมปาก
เมื่อพ้นมาจากบ้าน หวูไว่เดินผ่านบ้านเรือนหลายหลัง ตาเฒ่าหูที่ตื่นเช้าเป็นกิจวัตร กำลังกวาดลาดบ้านของตัวเองอยู่เงียบๆ ตาเฒ่าเพียงแต่เงยหน้าขึ้นนิดหนึ่งเมื่อเขาเดินผ่าน เลยไปหน่อย อาหลิง ลูกสาวคนสวยของป้าเหนียง แม่ค้าที่ตลาดเพิ่งเดินกลับมาจากการนำเสื้อผ้าไปซัก อาหลิงพยักเพยิดกับเด็กหนุ่มเป็นการท้าทาย
“ไปไหนแต่เช้า…หวูไว่”
“ไปเก็บสมุนไพรที่ชายป่านะ…”
“อ้อ…ขยันจริงเชียว” พูดเสร็จหญิงสาวก็หัวเราะคิกคัก เพราะรู้ดีว่า การเก็บสมุนไพรเป็นแค่ข้ออ้างของเด็กหนุ่มเท่านั้น ใครก็รู้ว่า หวูไว่ ชอบไปเกลือกกลิ้งอยู่ชายป่า ราวกับเป็นบ้านที่สองของตัวเองนั่นเลยทีเดียว
หวูไว่นะคุ้นเคยกับอาหลิงมาตั้งแต่เด็ก ลูกสาวของป้าเหนียงคนนี้เป็นหญิงสาวที่น่ารัก อัธยาศัยดี หน้าตาแจ่มใส อารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ จะว่าเป็นสาวสวยประจำหมู่บ้านของเซียงอู่ก็คงไม่ผิดนัก
แต่อย่างว่านั่นแหละ ในสายตาของอาหลิงแล้ว หวูไว่เป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น
“ที่สำคัญข้าคิดว่าเจ้าเหมาะเป็นเพื่อนที่พูดคุยด้วยได้ แต่คงไม่ใช่สามีที่ดีเท่าไหร่นักหรอก” อาหลิง บอกกับเด็กหนุ่มไว้เช่นนี้มานอนแล้ว
หวูไว่เห็นชอบด้วย เพราะเขาคิดว่าตัวเองไม่ใช่ชายในฝันของเพื่อนสาวคนนี้แน่ และเรื่องการมีคนรัก มีครอบครัว ไม่เคยอยู่ในความคิดของเขาเลยในตอนนี้
ที่สำคัญ อากิ และ เรียว ก็ฟัดกันตายอยู่แล้วเพื่อแย่งกันขอความรักจากอาหลิงคนนี้
หวูไว่ ทักทายอาหลิงแล้ว ก็สาวเท้าเดินต่อไป ทิ้งหมู่บ้าน ผู้คนที่รู้จักและคุ้นเคยไว้เบื้องหลัง แล้วมุ่งหน้าสู่ชายป่าอย่างเร่งรีบ เพราะไม่อยากให้เพื่อนสองคนนั่นบ่นอุบเหมือนเคย
“เจ้านี่นะ…ทำอะไรก็ชักช้า เดินก็ช้า คิดอะไรก็ช้า ทำอะไรเหมือนดูเล่นไปหมด เจ้าเด็กเฉื่อย”
นั่นแหละ สิ่งที่เรียว และ อากิ บ่นอยู่เสมอ แต่หวูไว่ไม่โกรธเพื่อนหรอก เพราะที่ว่าก็มีส่วนถูกอยู่เหมือนกัน
แต่มันจะรีบเร่งกับการใช้ชีวิตไปทำไมกันนะไม่เข้าใจ หวูไว่บอกกับตัวเอง
(2)
“เฮ้อ…สบายจัง”
อากิ พูดเสียงดัง ในขณะที่สองตาหลับพริ้มท่ามกลางสายลมอ่อนๆที่พัดพากลิ่นหอมจากดอกไม้ป่าไกล้ลำธารเข้ามากระทบจมูก
ขณะนี้ หวูไว่ อากิ และ เรียว นอนอยู่บนพื้นหญ้าอันอ่อนนุ่มบนเนินเล็กๆ ทั้งหมดถอดเสื้อวางไว้ข้างตัว ในขณะที่กางเกงเปียกชื้นเพราะเพิ่งผ่านพ้นการแช่ตัวไว้ในลำธารนานกว่าครึ่งค่อนวัน
อากิหลับตา ใช้มือสองข้างตบเบาๆที่พุงของตัวเองไปมา ขณะที่เรียวลืมตาร้องเพลงฮึมฮัมอยู่คนเดียว
ส่วนหวูไว่นอนเอียงข้าง ชันศอกไว้กับต้นหญ้า มองดอกไม้เล็กๆที่งอกขึ้นมาอยู่ไกล้ๆตัวอย่างสนอกสนใจ
“นี่…หวูไว่” อยู่ดีๆ เจ้าอ้วน-อากิ ก็ลุกขึ้นมา และก้าวพรวดมายืนค้ำต่อหน้าหวูไว่
“ข้าพูดจริงๆนะ พวกเราไปสมัครเป็นทหารกันเถอะ”
“ไม่…ข้าไม่ชอบ ไม่สนใจ” หวูไว่ตอบ โดยที่ยังจ้องมองไปที่ดอกไม้เล็กๆอย่างไม่วางตา
“ดีๆ…ข้าเอาด้วย” เรียวว่าและหยุดร้องเพลงที่ตัวเองฟังเข้าใจอยู่คนเดียว แล้วลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจ แล้วจึงเดินมานั่งยองๆอยู่ข้างๆ
“ข้าก็อยากเป็นนะ อยากเป็นทหาร เป็นนักรบ มันคงโก้พิลึกเนอะ”
คราวนี้ อากิ ลงนั่งยองๆเหมือนกัน หันไปใช้มือขวาแตะบ่าอันเปล่าเปลือยของเรียวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ใช่-พวกเราไปสมัครเป็นทหารของกองกำลังเมฆขาวกัน”
“กองกำลังเมฆขาวเหรอ…”หวูไว่สงสัย ก่อนจะหงายร่างบนพื้นหญ้า มือทั้งสองข้างสอดไว้ที่ท้ายทอย
“เจ้าโง่…”
“ทึ่มด้วย…”
หวูไว่ ผลุดลุกขึ้น หันไปมองเรียวที อากิที อย่างงุนงงสงสัย
“ข้าไม่รู้จักนี่…อธิบายหน่อย”
“ว้า-เจ้าเนี่ย ทำไมมันถึงได้ล้าหลังและเชยอะไรอย่างนี้นะ” อากิว่าน้ำเสียงเซ็งๆ
“กองกำลังเมฆขาวก็คือกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด กล้าหาญที่สุด พวกเขาเป็นกองกำลังรบที่สมน้ำสมเนื้อกับกองทัพอัศวินดำมากที่สุด” เรียวอธิบายในขณะที่หยิบเสื้อขึ้นมาสวม และจัดผมอันยุ่งเหยิงให้เข้าที่
“อ้อ…”หวูไว่พึมพำ
“แล้วอะไรคืออัศวินดำหว่า…”เด็กหนุ่มถามต่อ
“เฮ้อ…”คราวนี้เพื่อนทั้งสองคนร้องออกมาพร้อมกันราวกับนัดไว้ แล้วจึงหงายหลังผลึ่งด้วยอาการเซ็งชีวิต ระอากับความซื่อบื้อของหวูไว่เสียเหลือเกิน
“ไม่รู้จักหรือไงนะ กองทัพอัศวินดำก็คือ กองทัพที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในแผ่นดิน ว่ากันว่าพวกมันเป็นนักรบที่ไม่มีวิญญาน ไร้หัวใจ ฆ่าฟันผู้คนตั้งมากมาย ปล้น แย่งชิงทรัพย์ โอ๊ย สารพัดแหละ”
“พูดง่ายๆ มันก็โจรปล้นแผ่นดินดีๆนั่นแหละ” อากิ เสริมคำเรียว
หวูไว่คันปากอยากจะถามต่อ แต่ในขณะนั้นเอง เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนเสียงอะไรดังจากพื้นหญ้ารอบตัว และรับรู้ได้ถึงอาการสั่นไหวไปทั่วบริเวณ รู้สึกเหมือนผืนแผ่นดินเกิดอาการโก่งตัวขึ้นอย่างรุนแรง
ทั้งสามคมมองหน้าเลิ่กลั่กกันไปมา หวูไว่รีบคว้าเสื้อมาสวม หยิบต้นสมุนไพรที่เก็บมาเอาไว้ในอกเสื้อ
“ผะ…ผะ…แผ่นดินไหว” อากิพูดเสียงสั่น
“ชะ…ใช่ แผ่นดินไหวนะซิ” เรียวตะโกน
ไม่ต้องพูดอะไรกันอีกแล้ว เด็กหนุ่มจากเซียงอู่ผลุดลุกขึ้นพร้อมกัน และวิ่งแจ้นลงจากเนินหญ้าด้วยความเร็วสุดชีวิต
ทั้งหมดวิ่งอย่างสุดฝีเท้ามุ่งตรงไปยังป่าใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า แม้มันจะเป็นผืนป่าที่อยู่ตรงข้ามกับที่ตั้งของหมู่บ้านเซีบงอู่ก็เหอะ แต่ใครจะสนละ
เพราะแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวมันไล่ตามหลังพวกเขามาติดๆอย่างนี้
ตัวใครตัวมันแล้วกัน
(3)
ทั้งสามวิ่งตะบึงท่ามกลางเสียงเลื่อนลั่นของแผ่นดินใต้ล่าง และแรงสะเทือนที่ดังไปทั่วทั้งป่า
นานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่กว่าจะรู้ตัวอีกที ทั้งสามคนก็พบว่าตัวเองได้วิ่งตะบึงออกจากหมู่บ้านเซียงอู่มาไกล จนไม่ได้รับรู้แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวอีกต่อไป
แต่ปัญหาก็คือ…
“ที่นั่นมันที่ไหนกันเนี่ย” หวูไว่พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ ในขณะที่เรียว และ อากิ หลังงองุ้มเอามือกุมเข่าสองข้างด้วยอาการหมดแรงไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ในตอนนี้ นอกจากเอาร่างพิงกับต้นไม้ใหญ่ และเหลียวมองสภาพรอบด้านอย่างสังเกตสังกา
บริเวณที่ทั้งสามคนยืนอยู่มีต้นไม้ดกครึ้มยืนเรียงเป็นแถวตรง มีสีสันอันแปลกตาทั้งเขียว เหลือง ส้ม ขนานไปกับต้นไม้มีถนนทอดยาวสายหนึ่งวางตัวเคียงคู่กันไปเป็นถนนสายยาวที่มองไม่เห็นถึงปลายถนน ในขณะที่อีกฟากหนึ่งของถนนเป็นทุ่งหญ้าที่มีต้นหญ้าสูงใหญ่ไหวไปมาตามแรงลมอยู่ตลอดเวลา
“นี่… เจ้าว่าถนนสายนี้มันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหนนะ…” อากิ พูดลอยๆ ออกมาในขณะที่เหม่อมองถนนสายยาวราวกับต้องการรู้ว่าจุดสิ้นสุดของถนนมันอยู่ตรงไหนกันแน่
“มันเหมือนเส้นทางเข้าสู่เมืองนะ หรือว่าไง” หวูไว่พึมพำขึ้นมา
“เมืองเหรอ…” คราวนี้เป็นเพื่อนทั้งสองคนที่พูดออกมาพร้อมกัน และมองตากันอยู่ไปมาและหัวเราะเสียงเบาๆ พร้อมกันราวกับนัดไว้
หวูไว่ มองหน้าเพื่อนเกลอสองคนอยู่ชั่วครู่ แล้วเกิดอาการสะดุ้งสุดตัวขึ้นมาทันทีทันใด
“ไม่นะ… ไม่มีทาง” หวูไว่ พูดพร้อมกับลส่ายหน้าช้าๆ ไม่ใส่ใจกับดวงตาออดอ้อนของเพื่อนทั้งสองคนแม้แต่น้อย
“น่า… หวูไว่” อากิ อ้อนวอน
“ใช่… ข้าว่าเราเดินอีกไม่นานก็จะต้องได้เห็นเมืองแล้ว เมืองที่จะไม่เหมือนเซียงอู่ของเราที่จะมีอาหารแปลกๆ ผู้คนใหม่ๆ รอพวกเราอยู่ไง”
”แล้วก็ผู้หญิง…ที่สวยๆ ด้วย” เรียวพูดด้วยน้ำเสียงละเมอ
เป็นอีกครั้งที่หวูไว่ต้องเกาหัวแกรกๆ และถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ข้าว่าเราควรกลับหมู่บ้านได้แล้ว เจ้าไม่เป็นห่วงคนที่บ้านหรือไงนะ และลุงก็รอพืชสมุนไพรของข้าเอาไปปรุงยาด้วย”
“น่า…นะ”
“ใช่ คนที่หมู่บ้านเรานะชินกับแผ่นดินไหวจะตาย และข้าว่าบางทีนะ แผ่นดินไหวอาจไม่เกิดที่เซียงอู่เสียด้วยซ้ำไป”
หวูไว่ มองหน้าเรียวที อากิที และหันรีหันขวางอยู่ชั่วขณะ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งสุดขีด
“ก็ได้ เจ้าเพื่อนบ้า แต่ฟังนะถ้าถนนนี้ไม่ได้เป็นเส้นทางเข้าเมือง และถ้าเราเดินจนหมดแรงแล้วไม่เจออะไร ต้องรีบกลับนะ…”
“แน่อยู่แล้วแหละ”
“อืมม์…ใช่ เราก็แค่ลองเดินไปดูไม่เห็นจะเสียหายไรเลย”
”เนอะ…” เรียวพยักเพยิดกับอากิ
เป็นอีกครั้งที่หวูไว่ต้องใจอ่อนยอมตามความต้องการของเพื่อนทั้งสอง
ถ้านับตั้งแต่เกิดและอาศัยอยู่ในเซียงอู่ด้วยกัน นี่เป็นการโอนอ่อนผ่อนตามเรียว และอากินับพันครั้งได้แล้วมั้ง
โอ๊ย! กลุ้มใจจริงๆ เลย หวูไว่บ่นกับตัวเองในขณะที่ก้าวเท้าเดินไปตามถนนที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาท่ามกลางการกระโดดโลดเต้นของเพื่อนทั้งสองคน
(4)
“โอ๊ย…”
เจ้าอ้วน-อากิ ร้องขึ้นมาแล้วก็หยุดเดินเสียดื้อๆ
เรียวก็หยุดเดินเหมือนกัน ถึงไม่ได้พูดอะไรแต่สีหน้าอันเหยเก แสดงอาการว่าไม่ได้ดีไปกว่าเท่าใดนักเลย
มีก็แต่หวูไว่เท่านั้นที่ดูจะอารมณ์ดีกว่าเพื่อน เอามือจิ้มไปที่หน้าของเพื่อนทั้งสองคนอย่างนึกสนุก
“ว่าไงละ…จะไปต่อมั๊ย”
เรียวยกมือขึ้นโบกเหมือนจะบอกว่า อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลย ส่วนอากินั้นเล่าก็ได้แต่ร้องอูยๆ ไปมา และพากันทิ้งร่างกองกับพื้นหญ้าริมถนนอย่างหมดสภาพ
แดดยามบ่ายแก่ๆ เริ่มร้อนขึ้นทุกขณะ ลมไม่ไหวติง ในขณะที่ถนนที่ทอดยาวเบื่องหน้ายังมองไม่เห็นว่าสุดขอบถนนสายนี้อยู่ใกล้หรือไกลแค่ไหน หวูไว่ที่เริ่มจะหมดแรงแล้วเหมือนกันมองไปรอบตัวอย่างลังเล
ว่าไปแล้ว เขาและเพื่อนทั้งสองคนก็เดินมาตามถนนสายนี้นานนับชั่วโมงแล้ว แต่ดูเหมือนถนนจะทอดยาวออกไปอีกไม่รู้จบ ไม่มีเมือง ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีผู้คนผ่านไปมาอย่างที่ต้องการแม้แต่น้อย
ไม่รู้ว่าจะก้าวเดินต่อไป หรือถอยหลังกลับบ้านดี
จังหวะนั้นเอง มีเสียงดังกึงกังดังแว่วขึ้นมาบนถนนที่หวูไว่ยืนพักเอาแรงอยู่ ไม่ช้าภาพหนึ่งก็ปรากฎต่อหน้า ม้าตัวหนึ่งกำลังกระโจนทะยานตรงเข้ามาได้มีร่างคนผู้หนึ่งโน้มตัวอยู่เหนือคอเรียกให้ถูกก็ต้องบอกว่ามันกำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วเหมือนเหาะได้เสียมากกว่า
เหวอ-หวูไว่ร้องด้วยอาการตกใจ
ที่ตกใจก็เพราะว่าเจ้าม้านั่นกำลังพุ่งตรงมายังที่เขายืนอยู่นะซิ และขาทั้งสองของเขาก็ยืนแข็งอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ขยับตัวหลบแต่อย่างใด
จะหลบได้อย่างไรเล่า เดินมาจนหมดแรงอย่างนี้นะ
หวูไว่ หลับตาปี๋เหมือนไม่อยากรับรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาในอีกไม่กี่อึดใจข้าหน้านี้
หูสองข้างได้ยินแต่เสียงร้อง “หวูไว่ ระวัง” ของเจ้าเพื่อนเกลอสองคนนั่นดังแว่วเข้ามา
จบสิ้นกันแล้วเรา…เด็กหนุ่มพูดกับตัวเองอยู่ในใจ
“…”
“หยุด… หยุดเดี๋ยวนี้”
มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาพร้อมกับฝุ่นและดินฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ หวูไว่ลืมตาขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
ม้าสีเขียวร่างทะมึนกำลังฝีเท้า หักตัวเลี้ยวอย่างกระทันหัน ตัวสั่นเทิ้มเหมือนตกใจกับมนุษย์เบื้องหน้าที่ยืนเด๋ออ๋าขวางอยู่บนถนน แล้วขืนตัวออกมาเพียงเศษเสี้ยวนาทีก่อนจะพุ่งเข้าชนร่างของเด็กหนุ่ม
เฮ้ย…
หวูไว่ร้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่น ก่อนจะหันไปเห็นร่างบนม้ากำลังรั้งบังเหียนจนสุดกำลังจนดูเหมือนว่าร่างนั้นเอียงกระเท่เร่ และกำลังจะร่วงตกจากหลังม้าลงมากระแทกกับพื้นถนนแล้วในขณะนี้
ดูเอาเถอะไม่รู้ว่า หวูไว่เอาแรงมาจากไหน รีบทะยานเข้าหาก่อนที่ร่างบนม้านั้นจะหล่นลงบนพื้นถนน
แอ้ก…
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่เทมาที่แขนทั้งสองข้าง แน่ละเขามาทันก่อนที่ร่างนั้นจะถึงพื้นแต่น้ำหนักที่โถมเข้ามาจากร่างนั้นก็ทับเสียจนหวูไว่กลิ้งไปกับพื้น และเกิดอาการจุกจนร้องอะไรไม่ออก
โดยมีร่างของเจ้าของม้าทับอยู่บนร่างของเขา
“อูย…เจ็บจังเลย” เด็กหนุ่มร้องอยู่ในใจ
แต่ก่อนที่สติจะดับวูบลงไป กลิ่นหอมจางๆ ลอยเข้ามากระทบจมูก เป็นกลิ่นหอมประหลาดที่หวูไว่ไม่เคยได้กลิ่นเยี่ยงนี้มาก่อนเลย
“…”

นักรบจากดาวดวงอื่น (1)

(1)
ข้าขอเตือน
หายนะ ความวิบัติกำลังจะมาเยือนเจ้าในไม่ช้านี้
และมันไม่มีทางหลีกเลี่ยง…
นายพลซื่อชางสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อเสียงกังวานสุดท้ายดังขึ้น เหงื่อชุ่มเต็มแผ่นหลัง หัวใจของท่านนายพลเต้นไม่เป็นจังหวะ ขนลุกเกรียวทั้งแขนและขา
“มันคืออะไรกัน…”
นายพลผู้ยิ่งใหญ่เฝ้าบอกกับตัวเองว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นศึกสงครามน้อย-ใหญ่ เพียงไร ก็ไม่เคยสร้างความตื่นกลัวอย่างไร้สาเหตุเช่นนี้มาก่อนเลย
เป็นความกลัวที่เกิดขึ้นอย่างไรเหตุผล ร่างสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจบังคับได้
บอกไปจะมีใครเชื่อ เพราะความกลัวที่ว่ามันเกิดขึ้นในความฝันเท่านั้น
หลายเดือนที่ผ่านมา นายพลซื่อชางตกอยู่ในห้วงความรู้สึกที่ประหลาด เมื่อเขาฝันเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
เป็นเด็กหนุ่มหน้าซีดขาว คิ้วดกดำ หน้าผากกว้าง
แต่สิ่งแปลกประหลาดในตัวของเด็กหนุ่มก็คือดวงตาสีฟ้าสุกสกาว และผมยาวสลวยที่มีสีทอง
เป็นสีทองอันเปล่งปลั่งเหมือนทองคำ
เด็กหนุ่มสวมชุดสีเทาทั้งเสื้อและกางเกง และนำพาท่านนายพลเดินทางไปในดินแดนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นดินแดนที่งดงามราวกับอาณาจักรในฝัน
เด็กหนุ่มเดินนำนายพลซื่อชางไปถึงปราสาทแห่งหนึ่ง ที่วิจิตรสวยงามราวสวรรค์ชั้นฟ้า และมีชายชราร่างผอมสูง มีหนวดเคราสีดอกเลาผู้หนึ่งยืนอยู่อย่างเดียวดาย
เป็นชายชราที่แนะนำตัวเองว่า เป็นผู้เฒ่าแห่งอาณาจักรแห่งนี้ ที่สามารถหยั่งรู้อนาคตได้
“ความหายนะกำลังจะมาเยือนท่าน…นายพลซื่อชาง”
นั่นแหละ-คำทำนายของผู้เฒ่าที่กล่าวกับผู้ยิ่งใหญ่แห่งกองทัพอัศวินดำ
แต่จะเป็นได้ละหรือ?
บางคืน ในความฝันนั้น ท่านนายพลจะเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นนั่งสมาธิ หลับตาลง มือวางไว้บนตักสองข้าง ไม่ช้าสิ่งประหลาดก็บังเกิดขึ้น
มีแสงสีขาวแผ่รัศมีมาจากเด็กหนุ่มผมสีทองผู้นั้น
แสงนั้นค่อยๆแผ่กระจายวนเวียนอยู่รอบตัวของท่านนายพล
ไม่ช้าแสงสีขาวนั้นก็โอบล้อมอยู่รอบตัว ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
นายพลซื่อชางรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก มีแรงกดดันมหาศาลโถมทับลงมา รู้สึกราวกับว่าลมหายใจจะขาดห้วงไป ณ วินาที นั้น
ช่วยด้วย…
ท่านนายพลตะโกนออกไปและรู้สึกแปลกใจกับเสียงร้องของตัวเอง นายพลผู้ยิ่งใหญ่เยี่ยงเขากำลังร้องขอความช่วยเหลือ มันเป็นไปได้อย่างไร
พอฝันถึงตรงนี้ทีไร นายพลซื่อชางก็จะสะดุ้งตื่นขึ้นมา พร้อมกับเหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นที่ขมับสองข้าง ริมฝีปากสั่นระริก หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ
หลังผ่านความฝันครั้งแรก นายพลซื่อชางคิดว่าเป็นเพียงความฝันลมๆแล้งๆ หาความจริงไม่ได้เลย
แต่เกือบทุกครั้งเมื่อนอนหลับ นายพลต้องฝันเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ สลับกับการปรากฎตัวของผู้เฒ่าแห่งอาณาจักรแห่งความฝันอยู่เป็นครั้งคราว
และทุกครั้งจะจบลงด้วยคำทำนายที่ว่า นายพลซื่อชางไม่มีทางหลีกเลี่ยงชะตากรรมในครั้งนี้ได้
เด็กหนุ่มกลายเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนนายพลผู้ยิ่งใหญ่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนนายพลซื่อชางไม่มีความสุข จิตใจอ่อนแอลงไปจากเดิมเป็นอันมาก
ท่านนายพลตกอยู่ในห้วงความรู้สึกที่จับต้นชนปลายไม่ถูก มันเป็นแค่ความฝัน หรือว่า เป็นความจริงกันแน่
ถ้ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน มันก็น่าจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเหมือนความฝันทั่วไป ไม่ใช่หรือ
มีทางเดียวเท่านั้น…
“ต้องตามหาเด็กชายผู้มีผมสีทองและดวงตาสีฟ้าให้เจอ…”นายพลซื่อชางบอกกับตัวเอง
(2)
“หวูไว่…เป็นเจ้าแน่ๆ”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนทำจมูกฟุดฟิดไปมาและพูดขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนพื้นหญ้า มีต้นไม้ใหญ่บดบังแสงแดดตอนบ่ายๆไม่ให้ร้อนจนเกินไปนัก ขณะนี้ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิ่งโต คิ้วขมวด แสดงถึงอารมณ์อันฉุนเฉียว
ข้างเด็กหนุ่มร่างอ้วน มีหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันยืนอยู่ เป็นเด็กหนุ่มร่างผอมสูง ใบหน้าเรียวยาว จมูกยาวแหลม และขณะนี้กำลังเอามือท้าวสะเอวอย่างไม่สบอารมณ์ และดวงตาเพ่งมองไปในทิศเดียวกับหนุ่มร่างท้วม
ถ้ามองตามไปก็จะเห็นร่างหนึ่งนอนราบไปกับผืนหญ้า ร่างนั้นนอนนิ่ง ไม่ไหวติง มีเพียงเสียงหายใจเข้าออกที่บ่งบอกว่าร่างนั้นยังมีชีวิตอยู่ และที่น่าแปลกก็คือ ผีเสื้อแสนสวยกำลังบินตอมใบหน้า ราวกับตอมดอกไม่อยู่ก็ไม่ปาน
“เจ้าตัวแสบรับสารภาพมาซ่ะดีๆ…” เด็กหนุ่มร่างผอมพูดกับร่างที่ไม่ไหวติงด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“หือม์…”เสียงอู้อี้จากร่างนั้นดังขึ้นเบาๆ
“เจ้าบ้าเอ๊ย…ไม่รู้เลยหรือไงว่ากลิ่นตัวเจ้านะมันแย่มาก มันเหม็นเขียว” คราวนี้เด็กหนุ่มร่างท้วมพูดเสริมพร้อมกับเอามือปิดจมูกโดยเร็ว
ร่างนั้นขยับตัวขึ้นอย่างช้าๆ ผีเสื้อบนจมูกบินว่อนหนีไปแล้ว แต่มีนกน้อยๆตัวหนึ่งโฉบเข้ามาเกาะอยู่ที่ไหล่ด้านขวา ผมยาวของร่างนั้นดูยุ่งเหยิง แก้มขวามีคราบจากดินเกาะติด หากแต่ถ้าได้ล้างคราบจากใบหน้านั้นแล้ว ดวงหน้ารียาวรูปไข่ก็ดูมีเสน่ห์ไม่เบา
เด็กหนุ่มหยัดร่างของตัวเองขึ้น เคลื่อนไหวตัวเองอย่างช้าๆ ก่อนจะหันมามองเพื่อนทั้งสองคนอย่างเต็มตา พร้อมกันนั้นมีรอยยิ้มน้อยๆปรากฎขึ้นที่ริมฝีปาก รูปร่างของเด็กหนุ่มไม่สูงนัก แข้งขาดูเก้งก้าง บอบบาง
“ทำไมละเรียว อากิด้วย เจ้าไม่ชอบกลิ่นตัวของข้าหรือไง” เด็กหนุ่มชื่อหวูไว่ตอบเสียงซื่อ และยกแขนสองทาบเข้ากับจมูก เหมือนอยากพิสูจน์กลิ่นกายภายในตัว
“ข้าไม่เห็นจะเหม็นเลย…หอมละซิไม่ว่า” เด็กหนุ่มพูดและอ้าแขนวิ่งร่าเข้ามาหาเพื่อนทั้งสองคนอย่างนึกสนุก
“โอ๊ย…ไม่เอา ไอ้เพื่อนบ้า” เรียว และ อากิ ตะโกนเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน และพากันถอยกรูด ก่อนจะไปยืนหลบหลังต้นไม้ใหญ่อย่างนึกระแวง
“แล้วดูเจ้าซิ รองเท้าก็ไม่ใส่ด้วย แหวะ” อากิ เด็กหนุ่มร่างอ้วนยื่นหน้าตะโกนออกมาจากหลังต้นไม้
“แฮ่…เพลินไปหน่อยนะ” หวูไว่ว่า พร้อมกับสอดสายตามองหารองเท้าของตัวเอง ซึ่งดูเหมือนจะถอดวางไว้ตรงพุ่มไม้ไกล้ๆ
“พวกเจ้าสองคนนี่ก็แปลก ข้าไม่ได้ไปนอนคลุกของเหม็นมา มันแค่เป็นกลิ่นของต้นไม้ ใบหญ้า แล้วก็กลิ่นเกสรดอกไม้เท่านั้นเอง”
การเที่ยวเดินตะลอนตามท้องทุ่งไกล้หมู่บ้าน เป็นสิ่งที่หวูไว่โปรดปรานมากเป็นพิเศษ เขามีความสุขเสมอยามได้เห็นความเขียวชะอุ่มของต้นไม้ ได้แช่ร่างอยู่ในลำธาร มองฝูงนกน้อยๆบินไปมาอยู่บนท้องฟ้า
หรือบางทีก็นึกครึ้มแหกปากร้องเพลงออกมาอย่างสบายอารมณ์
ความจริงแล้ว เจ้าเพื่อนทั้งสองคนนันก็รู้ดี-รู้ดีมาตลอด เพราะหวูไว่ชอบทำอย่างนี้มาตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ จนตอนนี้อายุย่างเข้า 17 แล้ว ก็ยังชอบเดินป่า คลุกตัว เกลือกกลิ้ง อยู่ในทุ่งหญ้า ป่าเขาเหมือนเดิม
“นี่…หวูไว่”คราวนี้เป็นเจ้าโย่ง-เรียว ที่ยื่นหน้าออกมาจากหลังต้นไม้บ้าง
“เจ้าว่าเราสองคนแปลกนักเหรอ แต่ลองคิดให้ดีซิ ในโลกนี้จะมีใครแปลกไปกว่าเจ้าอีกละ…”
“ไม่มีหรอกมั๊ง” อากิ เสริม
“ข้าเหรอ” หวูไว่ เอานิ้วชี้หน้าตัวเอง
เรียวค่อยๆเดินออกมาจากหลังต้นไม้ ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนกล่าวออกมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
“นี่เพื่อน-ลองดูสีผมของเจ้าซิ มีเด็กคนไหนที่มีผมสีทองเหมือนเจ้าบ้าง”
“จริงด้วย” อากิ ว่าและพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นตาม และมายืนเกาะบ่าของเรียวยื่นหน้าทะเล้นมาที่หวูไว่
“แล้วลูกตาเจ้าด้วย ไม่เห็นเหรอไงว่ามันมีสีฟ้า ไม่ใช่สีดำเหมือนพวกเรานะเฟ้ย”
ปล่อยมุขจบแล้ว เด็กหนุ่มอ้วนกับผอมก็แหงนหน้าขึ้นฟ้า ส่งเสียงหัวร่อดังลั่นทุ่ง
หวูไว่จะทำอะไรได้อีกเล่า-นอกจากหัวเราะแห้งๆแล้วเอามือลูบผมสีทองของตัวเองไปมา
(3)
ค่ำวันนั้น หวูไว่กลับไปนอนคิดเรื่องผมสีทอง และดวงตาสีฟ้าของตัวเองอยู่คนเดียว เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่า ทำไมตัวเองถึงได้เกิดมามีรูปลักษณ์ที่ผิดแผกกับคนอื่นเช่นนี้
พูดตามจริง เขาก็ไม่ค่อยรู้จักเรื่องราวของตัวเองสักกี่มากน้อยนักหรอก
เท่าที่รู้ หมู่บ้านที่เขาอยู่ ชื่อหมู่บ้านเซียงอู่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆห่างไกลความเจริญ ผู้คนในหมู่บ้านรู้จักกันเป็นอย่างดี ดูแลกันเหมือนพี่น้อง ญาติมิตร ทุกคนใช้ชีวิตเรียบง่าย มีอาชีพทำการเกษตร ทำนา เป็นอาชีพหลัก แม้มีรายได้ไม่มากนักแต่ก็ไม่ถือว่าขาดแคลน อยู่กันได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพ
ชีวิตของผู้คนที่นี่ไม่เร่งรีบ แต่ก็มีชีวิตชีวา และยังมึความคึกครื้นเกือบทุกสัปดาห์ เพราะทุกคนในหมู่บ้านชอบเสียงเพลง รักการเต้นรำ
ไกล้กับหมู่บ้านมีทุ่งหญ้าผืนใหญ่ให้นอนเกลือกกลิ้งได้ทั้งวันทั้งคืน และยังมีแอ่งน้ำใส ที่หวูไว่ชอบไปนอนเอ้อระเหยอยู่บนเปลที่ผูกโยงไว้กับต้นไม้ใหญ่อันแสนจะร่มเย็นอยู่เสมอ
แล้วต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกเล่า-เด็กหนุ่มบอกกับตัวเอง
หมู่บ้านของเขา อยู่ห่างไกลจากสงครามที่รบพุ่งเพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่ง และดูเหมือนอาณาบริเวณไกล้เคียงกันก็ไม่มีสิ่งใดที่ควรค่าแก่การแย่งชิงแม้แต่น้อย
หวูไว่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กที่เงียบสงบ อยู่กับลุงและป้าที่โอบอ้อมอารี ใจดี ส่วนพ่อและแม่ของเขานั้นเป็นใคร เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มีก็แต่คำบอกกล่าวของลุงที่เล่าให้ฟังว่า เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านเซียงอู่ที่สูญหายไปเมื่อครั้งมีน้ำท่วมใหญ่ หลังจากหวูไว่คลอดได้ไม่นาน
“พ่อรักแม่ของเจ้ามาก และทั้งสองรักเจ้ามากที่สุด” นี่คือประโยคที่ลุงถ่ายทอดให้เขาฟังครั้งแล้วครั้งเล่า
“แล้วพ่อ หรือ แม่ ของข้าละ ที่มีผมสีทอง แล้วก็ลูกตาสีฟ้านั่นด้วย” หวูไว่ถามคำถามนี้อยู่บ่อยๆ
แต่คำตอบที่ได้รับก็อย่างเดิมๆนั่นแหละ
“อื๋อ…เจ้าจะสนใจไปทำไมนักเล่า” ลุงจะกล่าวประโยคนี้ด้วยเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอเสมอ
“ก็ข้าอยากรู้นี่…”หวูไว่บอก
ลุงจะเหลือบตามองเขาหน่อยหนึ่งก่อนจะให้คำตอบว่า
“โอ๊ย…มันนานแล้วนาหลานเอ๊ย”
“แล้วอีกอย่าง…ข้าไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องพ่อแม่เจ้านักหรอก สงสารป้าเขา” แล้วลุงก็จะพยักเพยิดไปทางป้าที่นั่งอยู่ไกล้ๆ
แล้วป้าก็จะทำตาแดงๆ เอามือปิดหน้าแล้วร้องฮือๆ
“โธ่หลาน…ป้าขอเถอะนะ ป้าขอ อย่าพูดอีกเลย”
หวูไว่จึงได้แต่เงียบกริบ ไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการทราบครั้งแล้วครั้งเล่า จนคร้านที่จะถามในที่สุด
(4)
ความจริงแล้ว หวูไว่ไม่ใช่คนขี้สงสัย ไม่ใช่คนขี้ใจน้อย ถ้าหากจะมีเรื่องที่ทำให้ต้องผิดหวัง หรือไม่สบอารมณ์ เด็กหนุ่มก็จะเพียงแต่จะบ่นว่าโธ่เอ๊ย-หลังจากนั้นก็จะเกาหัวแกรกๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
หวูไว่แทบจะไม่เคยโกรธใคร ถึงขั้นเกลียดชังยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ว่าไปแล้วเขาเป็นมิตรกับทุกคนนั่นแหละ แถมใจเย็น อารมณ์ดีอีกต่างหาก
จนบางครั้งต้องโดนคนในหมู่บ้านบ่นว่า เขานะช่างเป็นคนดีจนน่าเบื่อ และแสนจะจืดชืดเสียนี่กระไร
และเด็กหนุ่มก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยทุกประการ
หากให้มองย้อนกลับไป แล้วอธิบายความเป็นตัวเอง หวูไว่ก็คงบอกว่า ชีวิตของเขานั้นไม่มีอะไรน่าจดจำนัก เพราะมันราบเรียบ ขาดสีสัน เวลาส่วนมากของเขาก็คือการนั่งเงียบๆ อ่านหนังสือ ไม่ชอบคาดหวังสิ่งใด
อัอ-ดูจะขาดความทะเยอทะยานไปเสียหน่อยๆด้วย
เจ้าไม่มีความฝันอะไรกับเขาบ้างหรือไงนะ-เป็นคำถามที่หวูไว่เจออยู่เสมอ
“ข้าก็พอจะมีบ้างหรอก” เด็กหนุ่มบอกแบบอ้อมแอ้ม
เพราะความฝันเล็กๆของเด็กหนุ่มก็คือการอยู่เฉย ไม่ต้องการทำอะไรเลย
“ข้าเชื่อเหมือนที่ลุงสอนนะ นั่นก็คือ วันนี้ เวลานี้สำคัญที่สุด ไม่ใช่อดีตที่ผ่านไปแล้ว และอนาคตที่ยังมาไม่ถึง”เด็กหนุ่มจะตอบอย่างนี้ไปเสียทุกครั้ง
แต่ช้าก่อน-หวูไว่ไม่ใช่จอมขี้เกียจประจำหมู่บ้านหรอกนะ ไม่ใช่เลย
แถมเป็นเด็กที่มีน้ำใจอย่างมาก
จะให้ช่วยทำอะไรละ-ซ่อมแซมบ้าน ช่วยดำนา ดูแลคนป่วย เขาทำได้ทั้งนั้นแหละ-แถมทำอย่างเต็มใจอีกด้วย
นอกเหนือจากนี้ละ
ปลูกต้นไม้ เลี้ยงหมู ทำอาหาร แล้วก็ร้องเพลง มันคือภาพของหวูไว่ซึ่งเป็นที่คุ้นเคยของคนในหมู่บ้านมาอย่างยาวนาน
แต่สำหรับเรียว และ อากิ เพื่อนรักทั้งสองคนกลับคิดต่างออกไป เพราะทั้งสองคนนั่นมองว่าอะไรทั้งหลายแหล่ที่เด็กหนุ่มทุ่มทำลงไป ไม่เห็นจะเกิดประโยชน์แก่ตัวเองสักเท่าใดนัก
พอได้ยินอย่างนั้น หวูไว่ก็จะยิ้ม ไม่ตอบรับและปฎิเสธ เพราะเขารู้ว่าตัวเองพอใจที่จะได้ทำอย่างนั้น
เรียว และ อากิ ทำนายทายทักว่า หวูไว่คงจะมีชีวิตเช่นนี้ไปจนตายนั่นแหละ
“แล้วต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกเล่า” เด็กหนุ่มบอก
อากิก็จะพูดว่า “นี่หวูไว่ จอมซื่อบื้อ เจ้าไม่คิดว่าชีวิตเยี่ยงนี้ออกจะขาดรสชาติไปหน่อยหรอกหรือ”
แล้วเรียวก็จะเป็นลูกคู่พูดตามออกมาว่า
“นี่…เจ้าเพื่อนบ้า พวกเราอายุ 17 กันแล้วนะ แต่ไม่เคยไปไหนนอกหมู่บ้านเลย ไม่รู้จักผู้หญิงหมู่บ้านอื่น ไม่เคยแม้แต่จะจับดาบฆ่าหมูป่าสักตัวเลย เราจะต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ไปจนตายเลยหรือไง”
สิ่งที่หวูไว่บอกกับเพื่อนก็คือเสียงหัวเราะเบาๆ
“จะหาความสุขไม่ได้จนกว่าจะหยุดหา”
สิ้นเสียงพูด เพื่อนทั้งสองคนก็จะพร้อมใจกันหัวเราะเสียงสนั่นหวั่นไหว
“อีกแล้ว เจ้าพูดอย่างนี้อีกแล้ว น่าเบื่อเสียจริงๆ และข้ารู้ว่าเจ้าลอกเลียนคำพูดของลุงเจ้ามาใช่มั๊ยเล่า” เรียวว่าเสียงขำๆ
หวูไว่ได้แต่พยักหน้า มันเป็นคำสอนของลุงจริงๆ เป็นคำสอนที่ดูจะมีความหมายแฝงเร้นบางอย่าง
แต่เด็กอายุ 17 ไม่รู้ว่ามันความหมายลึกซึ้งอะไรบ้าง เหมือนหลายสิ่งหลายอย่างที่ลุงและป้าพร่ำสอนเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“สักวันเจ้าจะเข้าใจเองนั่นแหละ หวูไว่เอ๊ย” ป้าบอก
(5)
สิ่งที่หวูไว่ชื่นชอบอีกอย่างก็คือ การเดินชมพระอาทิตย์ดวงโตลับขอบฟ้าในยามพลบค่ำร่วมกับลุง
เป็นช่วงเวลาที่ลุงจะพูดถึงคำสอนแปลกๆให้เขาฟัง ทั้งรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
อาทิเช่น
“อะไรคือกฎของดอกไม้ อธิบายให้ลุงฟังซิ หวูไว่”
“มันคือการกำเนิด เบ่งบาน แล้วก็เหี่ยวเฉา”
“แล้วความหมายของมันละ…”
เด็กหนุ่มเกาหัวแกรกๆ
“มันคือกฎแห่งชีวิตที่เกิดมาแล้วก็ดับไป”
ลุงจะหัวเราะอย่างพออกพอใจ
“ใช่แล้ว ชีวิตคือการเกิดและแตกดับ มันเป็นความเที่ยงแท้ในธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มนุษย์เราพยายามหลีกหนี ต่อต้าน แต่ความจริงก็คือ ไม่มีใครหลีกหนีความตายได้”
หวูไว่อึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะเหลือบตามองไปที่ดอกไม้สองข้างทาง บางดอกก็เล็ก บางดอกก็ใหญ่ บางดอกก็เบ่งบาน และบางดอกก็เหี่ยวเฉา โรยรา
“เราควรจะทำยังไงดี ไอ้ชีวิตเนี่ย” หวูไว่พูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง
ลุงจะยิ้มขันๆ
“เจ้าจะต้องเรียนรู้ที่จะมีสติ รู้จักปล่อยวาง ทำจิตให้เป็นอิสระ”
เป็นอีกครั้งที่หวูไว่มึนตึ๊บ ถึงพอจะรู้ความหมายที่ลุงพร่ำสอนอยู่บ้าง แต่เขาก็ต้องใช้เวลาขบคิดอยู่นานกว่าจะเข้าใจได้ และบางทีก็ไม่รู้ความหมายอะไรเหล่านั้นเลย
“ทำไมลุงถึงได้รู้อะไรเยอะแยะอย่างนี้เล่า” หวูไว่ถามดื้อๆขึ้นมา
“มันไม่ใช่สิ่งที่ลุงรู้มาตั้งแต่กำเนิดหรอก หลานเอ๊ย ลุงเรียนรู้เอาจากธรรมชาติรอบตัวนะ”
“แล้วก็เอ่อ…บางอย่างลุงก็รับรู้จากคนอื่นอีกทอดนึงนะ”
“ใครกันครับลุง-ใครกัน”
ลุงจะนิ่งไปชั่วขณะ เหมือนใคร่ครวญคำตอบที่จะบอกกับหลานชาย
“เจ้าไม่รู้จักหรอก แต่วันหนึ่งข้างหน้าถ้าโชคดีเจ้าน่าจะมีโอกาสได้พบกับท่าน”
ท่านเหรอ-หวูไว่ไม่ค่อยเห็นลุงเรียกใครว่าท่านบ่อยนัก ใครกันหนอที่ลุงให้ความเคารพนบนอบถึงปานนั้น
แต่ในไม่ช้า เมื่อลุงพาหวูไว่เดินขึ้นมาถึงชะง่อนผาเพื่อรอชมพระอาทิตย์ตก บทสนทนาก็มักจะจบลงดื้อๆ ช่วงเวลานั้นสองลุงหลานจะนั่งลงเงียบๆ เฝ้ามองตะวันตกดินด้วยหัวใจอันอิ่มเอิบ
เป็นความสุขที่หวูไว่ไม่อาจอธิบายความรู้สึกได้

ช้างกับกิ่งไม้

คุณเคยได้รับเมล์ข้อความประเภทนี้หรือเปล่าครับ
ระบบของคนรุ่นใหม่ ไม่ต้องถ่อสังขาร รอรถติดไปทำงาน ความเชื่อที่ว่าคนที่ทำงานรายได้ดีกว่าคุณเป็นคนเก่งกว่าคุณ ซึ่งนั่นหาใช่ความจริงไม่
คุณคือใคร? คนที่ประสบความสำเร็จ-คนที่ล้มเหลว-คนที่พยายามจะประสบความสำเร็จการโพสต์ในเว็บเป็นธุรกิจเงินแสนต่อเดือน?
คุณเคยคิดไหมว่าน่าจะมีวิธีทำเงินได้ดีกว่านี้ ในสมัยเรียนเคยมีอาจารย์ท่านใด สอนให้คุณรู้จักวิธีสร้างความร่ำรวยบ้าง พวกเราเรียนหนังสือมาชั่วชีวิต แต่ไม่มีวิชาใดเลย ที่สอนให้เราร่ำรวยมั่งคั่ง
ลองคลิกเข้าไปดูข้อความ ก็จะได้ความหมายคล้ายๆกัน เป็นการชักชวนให้ลงทะเบียน สมัครเป็นสมาชิก เข้าร่วมงาน ทั้งที่ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะได้รับผลตอบแทนอย่างที่เขียนโน้มน้าวเอาไว้เลย
เมล์ประภทนี้เป็นเมล์ขยะ-ที่ไม่ควรค่าแห่งความสนใจแม้แต่นิดเดียว
แต่เมื่อเร็วๆนี้ มีเมล์ขยะประเภทนี้ส่งเข้ามา จะด้วยเพราะผมมีเวลาว่างเหลือเฟืออะไรก็ตามแต่ แต่เมื่อลองคลิกเข้าไปดูเล่นๆ กลับได้ค้นพบข้อความที่เป็น “ของใหม่” ในเมล์ประเภทนี้ และต้องยอมรับว่าน่าสนใจไม่เลวเลยทีเดียว
มันเป็นเรื่องของ “ช้างกับกิ่งไม้”
“นานมาแล้ว ชาวอินเดียใช้วิธีการนำลูกช้างมาฝึกให้เชื่อง โดยล่ามโซ่ขนาดใหญ่ที่ขาของลูกช้างติดกับต้นไม้หรือซุงขนาดใหญ่ พละกำลังของลูกช้างเองไม่สามารถที่ทำให้ลูกช้างมีอิสระได้ ความพยายามหลายๆครั้งแล้วทำไม่สำเร็จนั้น ทำให้ลูกช้างจดจำว่า ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และหลังจากความพยายามอย่างเต็มที่ในระยะเวลาที่นานพอสมควรแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ลูกช้างจะยอมแพ้ไปเอง และเชื่อว่าไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจหนีไปไหนได้ ท้ายที่สุดเมื่อลูกช้างโตเต็มที่ มีน้ำหนักหลายตัน คนเลี้ยงก็อาจเพียงแต่ผูกช้างนั้นไว้กับกิ่งไม้ก็พอ มันจะไม่หนีไปไหน อันที่จริงมันไม่คิดที่จะหนีไปไหนเลยด้วยซ้ำ เราเองก็คงไม่ต่างอะไรกับช้าง เราเชื่อไปเองว่าเราไม่อาจหลุดพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ ความเชื่อนี้จะฝังหัวเรามากขึ้นๆ จนในที่สุดมันกลายเป็นความจริงในจิตใต้สำนึก แต่ถึงที่สุดเราเองต้องตัดสินใจและตระหนักให้ได้ว่า สิ่งที่ผูกติดเราไว้ ไม่ใช่ต้นไม้หรือหรือขอนไม้ที่ใหญ่โต มันเป็นเพียงกิ่งไม้เล็กๆ สิ่งสำคัญก็คือเราต้องเริ่มต้นที่จะกล้าหักกิ่งไม้นั้นทิ้ง แล้วมุ่งหน้าไปยังป่าสีเขียวอันอุดมสมบูรณ์”
ช้างกับกิ่งไม้ นำมาจากหนังสือ The Elephant & The Twig ของ Geoff Thomson เท่าที่ทราบมีฉบับแปลเป็นภาษาไทยวางขายมาหลายปีแล้ว ซึ่งไม่รู้ทำอีท่าไหน ถูกโยงมาเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจบนอินเตอร์เน็ตไปเสียได้ เป็นธุรกิจที่ดำเนินการจริง หรือหลอกลวงก็ไม่ทราบได้
แต่เอาเถอะ-”ช้างกับกิ่งไม้” ก็มีคุณค่าบางอย่างในเนื้อหาที่น่านำเอาไปคิดต่อ “ช้างกับกิ่งไม้” ไม่ได้เป็นปรัชญาที่ซับซ้อน ลึกซึ้งอะไรนัก “ความคิด” ในเนื้อหาที่สื่อออกมา หากแปลความหมายผิดเพี้ยนไปก็อาจกลายเป็นทางเลือกอันตรายเสียด้วยซ้ำ
แต่ถึงอย่างไรก็ยังพอมองเห็น “ความดีงาม” ที่สอดแทรกอยู่ในนั้น
บอกตามตรง บางแง่มุมใน “ช้างกับกิ่งไม้” พ้องพานกับความรู้สึก “การเริ่มต้น” ของการ “คิดการเล็ก” ในหลายแวดวงได้อย่างกลมกลืน
แน่นอน-การเริ่มต้นของการคิดการเล็กนั้น บางทีก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะรู้สึกว่าตัวเองคือช้างที่ถูกล่ามโซ่-มันไม่ได้เลวร้ายหรือหดหู่อะไรอย่างนั้น
แต่เสียงเรียกร้องให้คนหนึ่งก้าวออกเดิน เพราะต้องการแสวงหาความลึกลับในป่าสีเขียวอันอุดมสมบูรณ์เบื้องหน้า นั่นต่างหากที่น่าใคร่ครวญหาคำตอบ
มันเป็นเรื่องของ “หัวใจ” ล้วนๆไม่มีก้อนกรวดปน
มีนักเขียนหนุ่มบางคนเคยให้สัมภาษณ์ว่า สำหรับผมแล้ว การรักในสิ่งที่ทำและได้ทำในสิ่งที่รักควบคู่กันไป คือการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ ส่วนผลที่ตามมาหลังจากนั้นทั้งเลวและร้ายก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป “
แม้จะฟังดูเขื่องๆหน่อย แต่มันก็ใช่เลย
อย่างไรก็แล้วแต่ ขอให้มีความสุขกับการเกิดเป็น “ช้าง” ทุกคนครับ
ไม่ว่าคุณจะถูก ” ล่าม ” เอาไว้หรือไม่ก็ตาม