๒๓.๑๒.๕๒

บทที่ 20-ดาวดวงนั้น

ตาแก่ คงไม่เป็นไรแล้ว เข้าห้องไปนอนพักแล้ว แม่แก่ว่า ไปส่งหนูมุกที่บ้านเถอะ เกรงใจพ่อแม่เค้า รบกวนเอาลูกสาวเขามานอนที่นี่หลายคืนแล้ว ไปเถอะ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ

นั่นเป็นคำพูดเมื่อเกือบชั่วโมงที่ผ่านมา หลังจากวิน พาพ่อแก่ออกจากโรงพยาบาลและกลับมาพักที่บ้าน ซึ่งมีแม่แก่และมุกดารออยู่ก่อนแล้ว

หลังทานอาหารเย็นเสร็จ วินคว้าจักรยาน “ฟักทอง” ของตัวเองออกมาจากหลังบ้าน ให้มุกดาซ้อนท้าย ปั่นรถจักรยานมาจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำ เป็นช่วงที่พระอาทิตย์ลับขอบโลกไปแล้ว ทั้งคู่แทบจะไม่ได้พูดอะไรกัน แต่ในความเงียบนั้น ชายหนุ่มรู้ว่าหญิงสาวที่นั่งซ้อนท้ายคงมีอะไรขัดข้องใจที่อยากถามมากมาย

วินตัดสินใจผ่อนแรงปั่นจักรยานลงช้าๆ ก่อนจะมานิ่งสนิทเมื่อวิ่งมาถึงกลางสะพานแล้วพูดขึ้นว่า

“มาเถอะมุก มาดูแม่น้ำยามค่ำ สวยนะจะบอกให้”

และในขณะนี้ทั้งสองคนมายืนเคียงกันอยู่บนทางเดินแคบเล็กของตัวสะพาน เหม่อมองไปยังแม่น้ำเบื้องล่างนั่น เมื่อความมืดเข้าปกคลุม ทำให้มองไม่เห็นอะไรนอกจากแสงตะเกียงวอมแวมจากเรือนไม้ที่ปลูกอยู่ริมน้ำ ลมพัดรวยรินนำพากลิ่นรื่นรวยของดอกไม้บางชนิดมาปะทะจมูก ใกล้กับที่ชายหนุ่มและหญิงสาวยืนอยู่นั้น มีเด็ก ผู้ใหญ่ รวมทั้งวัยรุ่น สาละวนอยู่กับการหย่อนเบ็ดลงแม่น้ำ

“กลิ่นดอกไม้อะไรนะ พี่วิน กลิ่นจางๆ แต่หอมติดจมูกเหลือเกิน”

“ไม่รู้เหมือนกันมุก”

หญิงสาวเหลียวหน้ามองด้านข้างของชายหนุ่ม

“อะไรกัน เป็นพ่อค้าขายต้นไม้ ไม่ใช่เหรอยะ”

วินส่ายหน้าหัวเราะขึ้นเบาๆ

“พี่ไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้นหรอก ไม่เชี่ยวชาญเท่ากับพ่อแก่ แม่แก่ด้วยนะ และต้นไม้บางชนิดพี่ก็ไม่รู้จัก บางต้นเคยพยายามจะปลูกแต่ปลูกครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่รอด”

“จริงอ๊ะ”

“ฮื่อ”

“ต้นอะไรกัน ที่พี่ว่านะ”

“บุหงาส่าหรี”

ฟังคำตอบแล้ว หญิงสาวก็ขมวดคิ้ว เพราะยอมรับว่าไม่รู้จักบุหงาส่าหรี ที่ว่ามานี่เหมือนกัน

“บุหงาส่าหรี เป็นไม้ยืนต้นทรงพุ่ม ช่อดอกสีขาวยาวเรียว รูปทรงสวยงาม กลิ่นหอมแรงจัด เวลามันออกดอกนะ สวยจนพูดไม่ถูก เพราะมันจะห้อยลงตามซอกใบและปลายกิ่ง แต่ละช่อจะมีดอกเล็กดอกน้อยสีขาวเต็มไปหมด แล้วเวลามันบาน จะทยอยบานจากโคนช่อไปยังปลายช่อ บานทีนึงเป็นอาทิตย์ กลิ่นหอมแรงฟุ้งเข้าจมูกดีเหลือเกิน”

น้ำเสียงของชายหนุ่มยามพูดถึงบุหงาส่าหรี ช่างสดใส มีชีวิตชีวา มากกว่าทุกครั้ง จนดูราวกับว่ากำลังพูดถึงใครบางคนที่อยู่ในใจอย่างนั้นแหละ

แล้วมุกดาก็สะดุ้งขึ้นมา หรือว่า พี่วิน กำลังต้องการบอกอะไรกันแน่

วินเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้า

“ดูดาวบนท้องฟ้านั่นสิ เห็นมั้ย ถึงจะสวยงามเพียงไร เราก็คงได้แต่เฝ้าดูอยู่บนพื้นโลก อยากจะเก็บเอาไว้ดูคนเดียว แต่มันก็คงไม่ได้หรอก”

“ก็พยายามเข้าสิ โบราณว่า ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่นนะจ้ะ”

ชายหนุ่มหัวเราะกับคำกล่าวนั้น

“เชยจัง มุก”

วิน ถอนหายใจยาวแล้วจึงหันมาสบตากับมุกดาตรงๆ

“ดาวมีนับแสนนับล้านดวงก็จริง แต่ดาวที่พี่ชอบจ้องมองก็มีแค่ดาวดวงเดิมนั่นแหละ เฝ้ามองมาทั้งชีวิต แต่วันหนึ่งก็ได้คำตอบว่า ความจริงแล้วมันไม่ใช่ดวงดาวของพี่หรอก ไม่ใช่เลย”

ผู้รับฟังได้แต่นิ่งอึ้ง เสียงอันสั่นเครือ และอารมณ์อันอ่อนไหวที่ปรากฎตรงหน้า ให้คำตอบกับทุกอย่างแล้ว

นี่ไม่ใช่เพียงแค่บุหงาส่าหรี หรือดวงดาวบนฟากฟ้านั่นหรอก ใช่มั้ย

ใบหน้าของชายหนุ่มสงบนิ่ง ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แต่มุกดาสัมผัสได้ถึงความเศร้าภายในนั้น

แต่หญิงสาวก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนเคียงข้างอยู่ตรงนี้


กลุ่มชายฉกรรจ์ร่วม 10 คนในชุดสูทสีดำเดินกึ่งวิ่งทันทีที่ก้าวเดินออกจากลิฟต์ ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องๆหนึ่ง ซึ่งขณะนี้มีชายร่างท้วมยืนก้มหน้างุดๆ อยู่หน้าประตู แต่บางครั้งก็แอบเหลืองมองกลุ่มชายฉกรรจ์เบื้องหน้าแล้วอมยิ้มให้กับตัวเอง

แล้วชายรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเหลี่ยม มีเครายาวอยู่ใต้ริมฝีปาก ก็ก้าวเข้ามาหาชายร่างท้วม

“เจ้าคงเป็นมูตา คนสนิทของเจ้าชายสินะ”

ชายร่างท้วมพยักหน้า แต่ยังไม่เงยหน้าขึ้นสบตากับคนถาม

“ก่อนเจ้าชายจะเสด็จจากห้องพักไป ทรงตรัสว่าอย่างไรบ้าง”

“รับสั่งว่ารำคาญพวกนักข่าวไทยที่ขอประทานสัมภาษณ์ไม่เว้นวัน แล้วก็ยังบอกด้วยว่า อยากไปไหนคนเดียว เบื่อคนตามติดทุกฝีก้าว” มูตาตอบ

ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่คงเป็นหัวหน้าของกลุ่มชายฉกรรจ์ถอนหายใจแรง

“ข้าและคนพวกนี้ ก็เข้าใจถึงความรู้สึกของเจ้าชายดี แต่พระองค์ทรงเป็นรัชทายาทแห่งดัลวา จะปล่อยให้พระองค์ไปไหนมาไหนตามชอบใจได้อย่างไรเล่า ความปลอดภัยของเจ้าชายโดร์เชคือสิ่งสำคัญที่สุด”

มูตาพยักหน้ารับ

“ข้าเข้าใจ แต่ตอนที่เจ้าชายเสด็จออกจากห้องไป ก็มีแต่พวกท่านตั้งหลายคนตามอารักขาด้วยไม่ใช่หรือ แล้วทำไม…”

ชายรูปร่างสูงใหญ่มีสีหน้าเครียดขึ้น หันไปมองชายฉกรรจ์ที่ติดตามมาแว่บหนึ่ง

“ความจริงก็เป็นเช่นนั้น แต่หลังจากกลับจากงานเลี้ยงที่สถานทูตจัดขึ้น เจ้าชายทรงตรัสว่า ทรงรู้สึกปวดศรีษะ อยากได้ยามาทาน คนของเราคนหนึ่งจึงแยกไปขอยาแก้ปวดหัวกับทางเจ้าหน้าที่ของโรงแรม”

“แล้วจากนั้นเจ้าชายก็ตรัสว่า ต้องการทรงเข้าห้องน้ำ ข้าก็เลยติดตามไปเฝ้าอยู่ทางนั้น” ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำอีกคนพูดขึ้น

ชายรูปร่างสูงใหญ่ ที่มีเครายาว ยกมือขึ้นห้ามไม่ให้ชายคนดังกล่าวอธิบายต่อ

“แต่ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เจ้าชายก็ยังไม่ทรงออกมา และเมื่อคนของเราเข้าไปดูในห้องน้ำก็พบว่า…”

“เจ้าชายหายตัวไปแล้ว อย่างนั้นสิ…” มูตาชิงตอบ

“ใช่ เพราะอย่างนั้นข้าถึงต้องมาถามเจ้าอย่างไรเล่า มูตา”

คนสนิทของรัชทายาทแห่งดัลวาส่ายศรีษะไปมา

“ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า ตลอดเวลาข้าก็อยู่กับพวกเจ้าตลอด ไม่ได้ขยับตัวไปไหนเลย”

ชายรูปร่างสูงใหญ่เพ่งมองมูตาอยู่เป็นนาน”

“ถ้าอย่างนั้น คงจะมีคนอื่นที่ช่วยให้แผนการณ์นี้ลุล่วงไปกระมัง ใช่มั้ย”

มูตาถอนหายใจ หัวเราะเบาๆ

“เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าถามใครเล่า”

“เจ้าไม่นึกห่วงความปลอดภัยของเจ้าชายหรือไง…”

มูตาผงกศีรษะเบาๆ

“ก็ห่วงอยู่บ้าง แต่ที่นี่ไม่มีใครคิดร้ายกับเจ้าชายหรอก และพระองค์ก็คุ้นเคยกับที่นี่ดี ทรงหนีไปอย่างนี้เพราะมีบางสิ่งที่เจ้าชายต้องการกระทำให้ลุล่วงไป”

“อย่างนั้นหรือ”

“ข้าขอบใจท่าน และคนของท่านที่ดูแลและห่วงใยความปลอดภัยของเจ้าชาย แต่เชื่อเถอะเจ้าชายจะไม่เป็นไร”

มูตา สบสายตากับชายรูปร่างสูงใหญ่

“ขอเวลาให้เจ้าชายโดร์เชสักเล็กน้อยเถิด เพราะอีกไม่กี่วันก็ต้องทรงเดินทางกลับดัลวาแล้ว หลังจากนั้นพวกเจ้าก็ไม่ต้องเหนื่อยอีกต่อไป”

ชายรูปร่างสูงใหญ่ยืนนิ่ง ไม่ตอบรับและปฎิเสธ


“ขอบใจเจ้าอีกครั้ง นีม่า”

“เพคะ หม่อมฉันยินดี” หญิงสาวตอบขณะที่มองออกไปนอกตัวรถ ยามค่ำของถนนสายนี้มีแสงไฟพร่างพราวราวกับมีงานเลี้ยงใหญ่ แต่ความจริงแล้วนี่เป็นเรื่องปกติของถนนสายนี้ ที่เป็นศูนย์รวมของแหล่งธุรกิจในยามกลางวัน และกลายเป็นศูนย์รวมความบันเทิงหลากหลายรูปแบบในยามค่ำคืน

เจ้าชายโดร์เชทอดพระเนตรหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้าม ในรถเก๋งคันยาวสีดำ พลางคิดว่าถ้าไม่ได้น้องสาวของมูตาคนนี้ อะไรที่เป็นอยู่ก็คงไม่ง่ายดายปานนี้

ดูเอาเถอะ ท่ามกลางการอารักขาของเจ้าหน้าที่ที่ทางสถานทูตจัดมานับสิบ ไหนยังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ซุ่มอยู่รอบบริเวณอีก แต่นีม่า คนนี้ก็ยังหาทางจนสามารถพาหลุดมาขึ้นรถเก๋งคันยาว ซึ่งพุ่งทะยานฝ่าความมืดอยู่ในขณะนี้

“ข้าจะมีโอกาสพบ เอ้อ…”

นีม่า ยิ้มจนนัยน์ตายิบหยี

“นีม่า เองก็ตอบไม่ได้ร้อยเปอร์เซนต์ และแผนการณ์ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่มาจากความคิดของหม่อมฉันคนเดียวอีกด้วย”

“อย่างนั้นหรือ”

หญิงสาวยิ้มให้รัชทายาทแห่งดัลวา ก่อนผงกศีรษะลง

“ส่วนเรื่องนั้น หม่อมฉันขอทูลว่า โอกาสนะพอมี แต่ก็คงขึ้นอยู่กับพรหมลิขิตด้วยกระมังเพคะ”

เจ้าชายโดร์เชหันพระพักตร์ออกไปนอกตัวรถ ไม่ได้ตรัสอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว

“ทรงปล่อยใจให้ว่าง เตรียมตัวให้พร้อม อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดเพคะ…”



ทุกคนในบ้านออกจะประหลาดใจอยู่ครามครัน เมื่อเห็นเกดเดินลงมาจากชั้นบนของตัวบ้านในชุดกระโปรงยาวสีขาวลายดอกไม้ อวดแขนและไหล่อันขาวผ่อง ตรงลำคอผุดผาดด้วยสร้อยกางเขน ใบหน้าที่ซีดเซียวมาหลายวันก่อนหน้านี้ ดูสดใสด้วยแป้งรองพื้น ริมฝีปากแดงสดใส และขนตายาวเป็นแพ

“เกิดอะไรขึ้นพี่เกด มุกละงง เรียกให้ลงมาทานข้าว แต่ไหงแต่งชุดนี้มาละ” มุกดาร้องถามขึ้น ระหว่างที่จัดเตรียมจานช้อนวางไว้บนโต๊ะอาหาร ขณะนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว อากาศเริ่มสลัว และควรจะเป็นเวลาของมื้อเย็น และการพักผ่อนก่อนจะเข้านอนไม่ใช่หรือ

เกดส่ายศีรษะ ยิ้มน้อยๆ ให้กับทุกคนในครอบครัวที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร

“ขอโทษทีจ้ะ ทุกคน วันนี้เพิ่งนึกได้ว่าเป็นวันอีสเตอร์ เกดขออนุญาติไปโบสถ์นะจ้ะพ่อ น้าเยาว์ โทษทีนะมุก”

พูดแล้วหญิงสาวก็หัวเราะออกมาเบาๆ อารมณ์แช่มชื่นที่ปรากฎในน้ำเสียงและวงหน้าอีกครั้ง

ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไร ก็มีเสียงรถยนต์มาจอดอยู่ตรงหน้าบ้าน สักครู่ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฎอยู่ตรงหน้าบ้าน

มุกดา เร็วกว่าใครวิ่งพรวดเดียวก็ถึงประตูบ้าน แต่เมื่อเปิดประตูออก หญิงสาวก็พูดอะไรไม่ออก

“พี่วิน…นี่”

ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงสแล็กสีเทาทึม รองเท้าหนังใหม่เอี่ยม ผมตัดสั้นเป็นระเบียบกว่าทุกวัน เป็นภาพอันแปลกตาเสียเหลือเกิน

และที่สำคัญ รถที่จอดรออยู่หน้าบ้านไม่ใช่จักรยาน “ฟักทอง” เหมือนทุกครั้งเสียด้วย แต่เป็นรถปิ๊กอัพสีเหลืองอ่อนกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่ง

วินเหลียวหลังไปมอง

“เป็นไงรถใหม่ของพี่ ซื้อต่อเพื่อนเขานะ”

มุกดาคิ้วขมวด ริมฝีปากเม้มสนิท เปล่า-ไม่ได้แค้นเคือง แง่งอน อะไรเลย เพียงแต่ว่า มีความรู้สึกว่ามีอะไรที่พิกลอยู่มากกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

“พี่วิน จะพาพี่เกดไปไหน”

ชายหนุ่มเพียงแต่ยิ้ม มองผ่านหลังหญิงสาวเข้าไปในตัวบ้าน

“ก็พาไปส่งที่โบสถ์ เกดโทรมาบอกว่าวันนี้เป็นอีสเตอร์ คงอยากไปเฉลิมฉลองเทศกาลพิเศษนั่นแหละ อย่าห่วงเลย มุกเข้าบ้านไปเถอะ ทานข้าวแล้วก็รีบนอนซะ”

น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนชวนให้อารมณ์แช่มชื่น แต่คำถามในหัวใจของมุกดาก็ยังไม่คลายลงไป


รถปิ๊กอัพสีเหลืองพุ่งออกไปจากหน้าบ้านแล้ว

มุกดากอดเอวแม่ยืนอยู่ชั้นบนของตัวบ้าน มองผ่านม่านหน้าต่างที่พลิ้วไหวตามแรงลม

“แม่ว่าวันนี้แปลกๆ นะ ทั้งสองคนนั่นเลย”

หญิงสาวผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย

“แม่ไม่เคยเห็นวินแต่งตัวเรียบร้อยอย่างนี้มาก่อนเลย เคยเห็นแต่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ แล้วนี่ไปหารถปิ๊กอัพที่ไหนมาขับก็ไม่รู้”

มุกดาเงียบ เอาศีรษะพิงเข้ากับไหล่ของมารดา ก่อนที่จะสะดุ้งขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงผู้บังเกิดเกล้าพูดขึ้น

“แล้วดูสีของรถนั่นสิมุก แม่ว่ามันสีเหลืองแปลกๆ เหมือนสีของฟักทองพิกล”

หญิงสาวหลับตาลง

หนูนา รถฟักทอง ซินเดอเรลล่า และเจ้าชายอย่างนั้นหรือ

นี่มัน…

มุกดากอดเอวมารดาให้แน่นขึ้น เม้มริมฝีปาก พยายามกลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้ในหัวอก แต่ถึงอย่างนั้นน้ำใสก็ยังรื้นกบดวงตาจนได้

“ติดต่อนีม่าให้พี่หน่อย มีธุระบางอย่างจะคุยด้วย” เสียงของชายหนุ่มเมื่อวันก่อนดังแว่วเข้ามา

โธ่เอ๋ย ตาจรกาบ้าบอ อย่างนี้หรอกหรือ


ความจริงแล้ว อีสเตอร์ นี่เขาต้องเริ่มพิธีกันแต่เช้าไม่ใช่หรือ…”

“ฮื่อ แต่ปีนี้มัวแต่ยุ่งๆ ก็เลยลืม ถ้าวินไม่เตือนก็คงลืมไปแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอก ไปดูโบสถ์ตบแต่งไฟตอนกลางคืนก็พอ”

วิน มองหน้าคนพูดแล้วก็มองไปข้างหน้า ถือพวงมาลัยอย่างระมัดระวัง ถึงชายหนุ่มจะขับรถเป็นนานแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสขับบ่อยนัก และโดยเฉพาะในโอกาสพิเศษอย่างนี้ด้วยนะสิ

“เกดคงชอบนะวันอีสเตอร์”

“ก็ชอบ นึกถึงวันอีสเตอร์ แล้วก็คิดถึงแม่ คิดถึงสมัยเด็ก ที่แม่พามาที่โบสถ์ตั้งแต่เช้า พอร่วมกันสวดมนต์ ร้องเพลง อธิษฐานแล้ว จากนั้นก็จะมีการเล่นเกมกัน เขาเรียกประเพณีซ่อนไข่ จะซ่อนไว้ทั่วบริเวณโบสถ์นั่นแหละ”

“ทำไมถึงต้องเป็นไข่ละ”

“ก็เพราะวันอีสเตอร์ คือวันแห่งการฟื้นคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูคริสต์ ส่วนไข่ ก็ถือเป็นสัญญลักษณ์ของการเกิดใหม่ ของชีวิตใหม่นะสิ”

วินผงกศีรษะรับรู้แล้วพูดขึ้นว่า

“ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นเทศกาลแห่งความสุขสินะ”

เกดพยักหน้า

“นอกจากไข่แล้ว ยังมีผีเสื้อที่สื่อถึงความมีชีวิตใหม่ และกระต่าย ที่หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ด้วยอีกต่างหาก”

รถเลี้ยวเข้าซอยเล็กแคบแห่งนั้น ก่อนจะหักเลี้ยวตามถนนเส้นเล็กๆ ที่นำสู่ลานกว้างของตัวโบสถ์ วินผ่อนความเร็วของรถเมื่อถึงหน้าโบสถ์ ก่อนจะจอดสนิทลงในไม่ช้า มีรถจอดอยู่ก่อนแล้วราว 7-8 คันบนลานกว้างแห่งนั้น

“ถึงแล้ว ลงเถอะเกด”

ชายหนุ่มบอกก่อนบิดกุญแจ ดับเครื่องยนต์ลง เปิดประตูรถอย่างเชื่องช้า สูดลมหายใจลึกครั้งหนึ่ง จากระยะไกลมองเห็นโบสถ์สีขาวตบแต่งด้วยไฟหลากสี ดูสวยงามแปลกตากว่าทุกวัน ทางด้านหน้าของทางเข้าในขณะนี้ มีประตูโค้งที่ประดับดอกด้วยลิลี่สีขาวกระจ่าง ถูกตบแต่งเอาไว้ อันเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองในวันอีสเตอร์นั่นเอง

วินก้าวเดินออกจากบริเวณลานจอดรถ จนเข้าใกล้ทางเข้าประตูของโบสถ์ ซึ่งในขณะนี้มีกลุ่มคนเดินออกมาเรื่อยๆ แล้วจึงชะงักเท้าไปทางหญิงสาวที่เดินมาคู่กัน

“มีความสุขในวันอีสเตอร์นะเกด ขอให้สมหวังในทุกสิ่งทุกอย่าง ทำใจคอให้หนักแน่น แล้วให้โอกาสกับตัวเองมากๆ”

หญิงสาวหันมามองสบตาเพื่อน

“วินไม่เข้าไปด้วยหรอกหรือ”

ชายหนุ่มส่ายศีรษะไปมา

“ไม่ละ เกดเข้าไปเถิด หนูนา กับรถฟักทองจะมารอรับซินเดอเรลล่าตอนเที่ยงคืนนะ”

เกดเลิกคิ้วขึ้นสูง ขบยิ้มกับคำหยอกนั้น แล้วก้าวผ่านประตูโค้งที่หอมกรุ่นด้วยดอกลิลี่ เข้าสู่ทางด้านในของตัวโบสถ์

วินยืนนิ่งและนาน เฝ้ามองร่างของหญิงสาวก้าวเดินจากไปอย่างช้าๆ สูดลมหายใจอีกครั้งแล้วยิ้มให้กับตัวเอง

“โชคดีนะ” ชายหนุ่มพึมพำด้วยเสียงอันเบาจนดูเหมือนว่าจะมีตัวเองเท่านั้นที่ได้ยิน


เมื่อหญิงสาวก้าวเข้าไปในโบสถ์ ดูเหมือนผู้คนที่เข้ามาร่วมงานในวันอีสเตอร์จะทะยอยออกไปจนเกือบหมดแล้ว แต่เพียงได้แค่เห็นแสงระเรื่อของดวงไฟในโบสถ์สว่างไสวไปรอบ ก็ทำให้ความรู้สึกอัดอั้น ทุกข์ที่อยู่ในหัวอกคลายลงไปได้อย่างมาก

แต่ท่ามกลางความเงียบสงบของโบสถ์ และแสงระเรื่อที่สาดจ้าไปทั่วบริเวณ หญิงสาวจึงได้สังเกตเห็นร่างสูงของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงด้านในสุดของตัวโบสถ์ ร่างนั้นอยู่ในชุดสูทสีเทา ผมยาวถูกมัดไว้อย่างเป็นระเบียบ มือคู่งามไขว้อยู่ทางด้านหลัง ไหล่ที่กว้าง เรือนราวที่เพรียวอย่างได้สัดส่วน ทำไมถึงได้คุ้นตานัก

แล้วร่างนั้นก็หันหน้ามาสบตากับเกด ทั้งคู่มองสบตากันโดยไม่ขยับเขยื้อน

“คุณ…”

หญิงสาวพูดออกมาได้แค่นั้น ในขณะที่ยกมือลูบแก้ม รู้สึกเกิดอาการวิงเวียน แทบจะทรงตัวไม่อยู่

แล้วหญิงสาวก็ตัดสินใจหันหลังกลับ

“เกด อย่าเพิ่งไป…”

เสียงนุ่มกังวานนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย

“ขอโอกาสให้ผมอธิบายเถอะ”

หญิงสาวชะงักนิดหนึ่ง รู้สึกเหมือนมีอะไรฉุดรั้งอยู่ที่เท้าทั้งสองข้างจนไม่อาจก้าวเดินต่อไปได้

“ฝ่าบาทเพคะ…”เกดพูดออกไปด้วยน้ำเสียงสั่น ไม่กล้าหันไปมองสบตาร่างสูงสง่าทางเบื้องหลังนั้นเลย

ร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้จนชิด

“อย่าทำอย่างนี้ เรียกผมเหมือนที่เคยเรียกเถอะ ขอเวลาให้ผมสักนิด ผมพร้อมจะอธิบายทุกอย่าง หลังจากนั้นแล้วเกดจะตัดสินใจอย่างไรผมจะไม่ห้าม จะยอมรับทุกอย่าง”

ด้วยน้ำเสียงอันแสดงความปวดร้าว ทำให้หญิงสาวเบือนหน้าไปมอง “คุณเช” ครั้งหนึ่งแล้วสะบัดหน้าหนี

“เกดไม่รู้จะพูดยังไงดี มันงง และสับสนไปหมด”

หญิงสาวพูดออกไปแล้วก็ทรุดร่างลงบนม้านั่งยาวอย่างอ่อนแรง

๑๘.๑๒.๕๒

บทที่ 19-หัวใจว่างเปล่า

“มุกจ๋า…”

“ว่าไง”

“ นีม่า ขอโทษ”

“ขอโทษ ทำไมจ้ะ เราเพื่อนกันนะ”

“นีม่าไม่ตั้งใจจะปิดบังหรอก เพียงแต่ว่า…”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า อย่าคิดมากสิ”

สองสาวกำลังนั่งเคียงกันอยู่บนม้านั่งยาว ในสวนเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ ที่อยู่ทางด้านหลังตึกของผู้ป่วย เป็นสถานที่สำหรับญาติผู้ป่วย รวมไป

ถึงผู้ป่วยบางส่วนได้มาสัมผัสอากาศสดชื่น และกลิ่นระรวยของพรรณไม้ ดูเหมือนสีเขียวสดของต้นไม้จะช่วยสร้างความชุ่มชื้น และคลายอาการทุกข์เศร้าได้อย่างน่าประหลาด

นีม่า หันไปมองเพื่อนที่นั่งอยู่เคียงข้าง เสี้ยวหน้าของมุกดาที่เห็นดูสวยงาม ใบหน้าเรียวยาวนั้นดูสงบเย็นกว่าทุกครั้ง คิ้วเข้ม ริมฝีปากอวบอิ่มได้รูป แล้วไหนยังจะดวงตาที่มีชีวิตชีวานั่นอีก ภายใต้บุคคลิกอันแสนจะร่าเริง เข้มแข็ง ดูเหมือนจะแฝงความอ่อนโยน ความว้าเหว่เอาไว้อย่างลึกๆ

ยิ่งมองขอบตาช้ำนั่นด้วยแล้ว หญิงสาวจากดัลวายิ่งแน่ใจ เพื่อนสาวคนนี้ที่ไม่คบหาเพื่อนชายคนใดในมหาวิทยาลัยเป็นแฟนเลย ก็เพราะหัวใจได้ผูกพันกับใครบางคนเสียแล้วนี่เอง

ถึงจะปากแข็งอย่างไรแต่อาการมันฟ้องเสียเหลือเกินนี่ เพื่อนฉัน

“พูดไปแล้ว มุกน่าจะคิดได้นะ เพราะคุณเช เอ๊ย เจ้าชายโดร์เชนะ ดูสง่างาม น่าเกรงขามออกอย่างนั้น” มุกดา พูดขึ้นลอยๆ

“เจ้าชายเองก็ไม่ทรงต้องการปิดบังอะไร แต่ด้วยเหตุผลของความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว และที่สำคัญไม่ทรงแน่ใจว่าพี่เกด…”

“จะรับได้หรือไม่ อย่างนั้นหรือ”

นีม่า ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากหน้าพยักหน้ารับ

“มุกพอจะรู้ใจพี่เกดดี คนอย่างพี่เกด เห็นเรียบร้อย อ่อนหวานอย่างนั้นเถอะ บทจะแข็งก็แข็งขึ้นมาชนิดกลัวใจ พี่สาวของมุกไม่มีอะไรขัดข้องที่จะสานสัมพันธ์กับเจ้าชายของนีม่าหรอก มีสิ่งเดียวที่อาจจะเป็นอุปสรรค”

“ความแตกต่างทางชนชั้นอย่างนั้นหรือ…”

“ก็อาจจะใช่จ้ะ พี่เกดรักศักดิ์ศรีของตัวเอง หลังจากเรียนจบแล้วเข้าทำงานหาเงินได้ พี่เกดก็ยืนหยัดด้วยตัวเองมาตลอด หาเงินเลี้ยงตัวเองแล้วก็ครอบครัว และถ้าพี่เกดจะรักใครก็ย่อมหมายความว่า พร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับเขา แต่คงไม่อยากจะมีชีวิตที่ต้องพึ่งพาผู้ชายไปตลอด ยิ่งเป็นรักที่ต่างชนชั้นอย่าง นี้ด้วยแล้ว”

มุกดาหลับตาลงครั้งหนึ่ง

“พี่เกดรักพ่อ รักน้าเยาว์ แล้วก็เอ็นดูมุกมากๆ ถึงจะเป็นลูกคนละแม่ก็เถอะ ยังนึกภาพไม่ออกว่า พี่เกดจะยอมไปอยู่ที่ดัลวา แล้วทิ้งคนอื่นอยู่ที่นี่หรือ ยังไงกันดี”


นีม่า ต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

“เจ้าชายโดร์เชก็ทรงทราบ จึงไม่ต้องการเปิดเผยฐานะ เพราะต้องการให้พี่เกดรับรู้ถึงความจริงใจยังไงเล่า”

“นั่นสิ โอ๊ย แค่คิดก็ปวดหัวแทนแล้ว มุกไม่เอาละ เลิกคิดๆ”

นีม่า หัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็น “มุก” คนเดิมที่แสนร่าเริง และมีชีวิตชีวากลับมาแล้ว

“เราจะช่วยพวกเขายังไงดี”

มุกดาส่ายหน้าไปมา

“อย่าว่าแต่พวกเราเลย มุกเดาเอาว่า ตัวพี่เกดเองก็คงไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน”

“เจ้าชายโดร์เชก็ทรงห่วง ห่วงอย่างมากด้วย”

ในนาทีนี้ เวลานี้ หญิงสาวทั้ง 2 คนแน่ใจแล้วว่า รัชทายาททรงห่วงใย เพราะความรักนั่นเอง



พระอาทิตย์กำลังใกล้จะลาลับขอบฟ้าแล้ว เมื่อทั้งสองก้าวเข้ามาในห้องเรียนแล้วมานั่งเคียงข้างกันอยู่ตรงโต๊ะริมหน้าต่าง ห้องเรียนกว้าง โล่ง เรียงรายไปด้วยโต๊ะไม้ กระดานดำแผ่นใหญ่เต็มไปด้วยตัวเลข และตัวหนังสือจากชอล์กสีขาว โต๊ะที่นั่งครูทางด้านหน้ามีสมุดเรียนกองสุมอยู่อย่างไร้ระเบียบ ใกล้ๆ กันนั้นมีดอกไม้แห้งเหี่ยวในแจกันสีเทาหม่นวางอยู่อย่างหงอยเหงา

เกดนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ผมปลิวไสวไปมาตามแรงลม มองออกไปเห็นขบวนรถไฟส่งเสียงหวูดอยู่บนสะพานเหล็กเส้นที่ทอดยาวเหนือแม่น้ำใหญ่

“เมื่อหลายปีก่อน เกดนั่งอยู่ตรงนี้ และเพื่อนๆ ก็รายล้อมอยู่รอบห้อง จะเรียนหนังสือ เล่นกีฬา แอบกินขนมในห้องเรียน สุมหัวคุย มีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะเป็นความสุขที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังเต็มตื้นอยู่ในหัวอก”

“ใครบอก เสียงดุของครูก็มี อย่าลืมสิ” ชายหนุ่มทักท้วง

“ไม่ลืมหรอกน่า แต่เกดรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่สุขมากกว่าเศร้าอยู่ดีนั่นแหละ คิดแล้วก็น่าใจหาย ช่วงเวลาแห่งความสุขทำไมถึงได้ผ่านไปเร็วนักนะ อย่างที่เคยบอกไง ถ้าเลือกได้เกดอยากย้อนกลับไปอยู่ตอนที่เรียนหนังสืออยู่ที่นี่ สนุกไปวันๆ ไม่ต้องดิ้นรน ตะเกียกตะกายอย่างทุกวันนี้ รู้สึกว่าชีวิตทุกวันนี้ทำไปแล้วมีแต่เหน็ดเหนื่อย เจอแต่เรื่องทุกข์ใจ จริงๆ นะ”

เกดพูดพลางเอามือลูบโต๊ะนักเรียนที่อยู่ตรงหน้าอย่างแผ่วเบา แล้วหลับตาราวกับต้องการให้เวลาเก่าเก็บผุดพรายขึ้นมา

“นี่เป็นโต๊ะเรียนตัวเก่าที่เราเคยเรียนหรือเปล่านะ อยากรู้จัง”

“ไม่หรอก ดูจากรูปทรง เนื้อไม้ก็รู้ มันไม่ใช่โต๊ะของเราอีกต่อไปแล้ว เวลามันผ่านไปนานมากแล้วเกด ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป ”

น้ำเสียงอันเครือเศร้าของเพื่อนชายคนสนิท ทำให้หญิงสาวต้องลืมตาขึ้นมอง นึกแปลกใจอยู่ครามครัน มีอะไรอยู่ในใจของเพื่อนคนนี้กันหนอ

นี่วินกำลังจะบอกว่า วันคืนเหล่านั้นผ่านไปแล้ว จะไม่มีวันหวนกลับคืนมาอีกอย่างนั้นหรือ หญิงสาวคิดอยู่ในใจ

“ชวนเกดมาเยี่ยมโรงเรียนเก่า แล้วยังขออนุญาติครูเวรขึ้นมาดูที่ห้องเรียนนี่อีก มีอะไรหรือเปล่า ถามหน่อย”

“ไม่รู้สิ จู่ๆ ก็นึกถึงความหลังขึ้นมาเสียอย่างนั้นแหละ”

วินตอบ แล้วลุกขึ้นแล้วเดินไปทางหน้าห้องเรียน แล้วนั่งลงตรงขอบหน้าต่างๆ มองออกไปที่ม่านฟ้าทางด้านนอก ลมพัดหน้าต่างบานเก่าแก่เสียงดังออดแอดมันเป็นเสียงของความเงียบเหงาที่แสนจะคุ้นเคยนัก

แล้วชายหนุ่มก็พูดขึ้นโดยไม่หันมา

“เรื่องที่เกดเล่ามา เรื่องที่คุณชายกลายเป็นเจ้าชายโดร์เช เราไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร แล้วก็ยังนึกไม่ออกว่าจะมีทางออกในเรื่องนี้อย่างไร แต่ที่บอกได้อย่างหนึ่งก็คือ เกดต้องถามใจตัวเองให้ได้เสียก่อน เป็นลำดับแรก ความทุกข์ทรมานในจิตใจของตัวเองเป็นเพราะอะไรกันแน่”

หญิงสาวนิ่งเงียบ มองไปยังแผ่นหลังของวินที่นั่งนิ่งเหมือนรูปปั้นอยู่ตรงขอบหน้าต่างนั่น

“ดูสิ ห้องนี้ มันเป็นสถานที่ของพวกเรามานานหลายปีก็จริง แต่มันมีอะไรที่คงที่บ้างเล่า เราเรียนที่นี่แล้วก็จบออกไป แล้วก็ยังมานั่งโหยหาถึงคืนวันเก่าๆ กันอยู่

ต่อไปเด็กรุ่นน้อง รุ่นลูก รุ่นหลาน ก็ต้องเข้ามาเรียนที่นี่ จากไป แล้วก็อาจอยากหาเวลามาคะนึงถึงวันแห่งความสุขเหมือนพวกเราเหมือนกัน ใช่มั๊ยเกด”

ชายหนุ่มลุกขึ้นแล้วเดินไปที่กระดานดำเบื้องหน้า เอามือลูบแผ่นกระดานแล้วพูดโดยไม่หันหน้ากลับมา

“วันที่เป็นอดีตย่อมสวยงามเสมอ แต่เราไม่สามารถมีชีวิตติดอยู่กับอดีตได้ตลอดไป ไม่ว่าจะมีอะไรรออยู่ข้างหน้า เกดก็ต้องก้าวข้ามไปให้ได้”

เกดมองแผ่นหลังของเพื่อนชายอยู่เงียบๆ แค่คำพูดไม่กี่ประโยค ท่ามกลางอดีตที่แสนคุ้นเคย หัวใจที่เบาโหวง สิ้นเรี่ยวแรงเมื่อตอนเช้าคลายไปได้อย่างไรก็ไม่รู้

ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะจัดการกับปัญหาหัวใจของตัวเองได้อย่างไรด้วยซ้ำ

วินจ๋า ทำไมฉันถึงไม่รักเธอเหมือนหญิงสาวรักชายหนุ่มนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงไม่ทรมานอย่างนี้

เกดบอกกับตัวเองในใจ แล้วน้ำตาก็พรูมาอาบแก้ม



ท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ในขณะที่ทั้งสองคนเดินออกจากโรงเรียนเก่าไปตามถนนสายเล็กๆ โดยมีมอเตอร์ไซค์ 2-3 คันวิ่งโฉบเฉี่ยวไปมา ลมเย็นๆ พัดมาจน

หญิงสาวต้องเอามือกอดอกเพื่อเพิ่มความอบอุ่น

“อากาศเริ่มเย็นแล้วนะเนี่ย ดูคล้ายฝนจะตกด้วย”

ชายหนุ่มเงยหน้ามองฟ้า พลางเอามือซุกที่กระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง

“ฤดูร้อนปีนี้แปลกนะ ฝนตกอยู่เรื่อย ว่ามั้ยเกด”

“ฮื่อ คงงั้น”

ตอบคำแล้ว หญิงสาวก็เหลียวไปมองถนนทางด้านหลังที่กลืนไปกับความมืด และมีไฟวอมแวมบนรั้วบ้านหลายแห่งส่องออกมา ตึกแถวเก่าคร่ำคร่าที่ขายของชำจิปาถะมาตั้งแต่เช้าก็ดึงประตูเหล็กปิดงับเอาไว้

แล้วความอ้างว้าง ความหงอยเหงาก็จู่โจมเข้ามา

เกดเอามือป้ายน้ำตา ที่อยู่ดีๆ ก็ไหลซึมนองแก้ม นึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน

บุษบาเอ๋ยบุษบา กลายเป็นสาวเจ้าน้ำตาไปเมื่อไหร่กันนี่

“เป็นอะไรไปหรือเปล่า เกด” วินหันหน้ามาถาม

หญิงสาวเอามือขยี้ตา แล้วพยายามฝืนยิ้ม

“เปล่าน่า เดินไปเถอะ”

ชายหนุ่มพยักหน้า เดินนำต่อไป จนลัดเลาะออกจากซอยแคบแห่งนั้น แล้วมาหยุดยืนรออยู่ที่สี่แยกที่ขณะนี้มีรถราวิ่งไปมาอย่างพลุกพล่านบนถนน

วินหันไปมองเพื่อนสาวอย่างห่วงใย

“นี่ก็ค่ำแล้ว เดี๋ยวเราไปส่งที่บ้าน แต่ขอแวะไปที่โรงพยาบาลก่อน”

หญิงสาวส่ายหน้า

“ไม่ต้องดีกว่าวิน วันนี้เกดขอกลับบ้านเองเถอะ ไม่มีอะไรแล้วละ เกดสบายใจขึ้นมาก”

ชายหนุ่มมองหน้าเพื่อนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจพูด

“ค่อยๆ คิดไปนะ เราอยากให้เกด ลองถอดความเป็นเจ้าชายโดร์เชออก แล้วถามตัวเองว่า รู้สึกยังไงกับผู้ชายคนนั้น เปิดโอกาสให้หัวใจตัวเองได้พูด อย่าปิดบังความรู้สึกของตัวเองต่อไปอีกเลย” วินพูดไปแล้วก็รับรู้ในทันทีว่าเสียงตัวเองนั้นช่างสั่น ภายในใจก็สั่นไหวตามไปด้วย

เกดพยักหน้ารับรู้ โบกมือให้วินแล้วเดินมุ่งตรงไปทางขวามือ ในขณะที่ชายหนุ่มโบกมือตอบแล้วยืนมองจนร่างนั้นกลืนหายไปกับความมืด แล้วจึงก้าวเดินตามลำพังข้ามทางม้าลายมุ่งตรงสู่ที่ตั้งของโรงพยาบาลที่อยู่ห่างไม่ไกล

ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว แต่ความรู้สึกภายในของชายหนุ่มดูจะมืดมนเสียยิ่งกว่า


“แม่จ๋าตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล วันนี้มุกขอนอนเป็นเพื่อนคุณยายต่ออีกวันนะ ไม่ต้องเป็นห่วง พรุ่งนี้คุณตาก็กลับบ้านได้แล้ว ฝากดูแลพี่เกดด้วยนะจ้ะ คือแบบว่า พี่เขามีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย ไว้พรุ่งนี้มุกกลับไปแล้วจะเป็นไม้สองรับมือต่อเอง รักแม่ คิดถึงพ่อจ้า ปู๊นปู๊น”

มุกดาวางสายแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือขนาดกระทัดรัดไว้ในกระเป๋ากระโปรง ก้าวเท้าผ่านประตูทางเข้าโรงพยาบาล ตัดเข้าสู่ตึกทางด้านหน้า ซึ่งเป็นอาคารตรวจโรคซึ่งถ้าเป็นช่วงเช้าจะเต็มไปด้วยผู้คนที่เจ็บป่วยมานั่งเข้าคิวรอเข้ารับการตรวจกันอย่างเนืองแน่น แต่ในยามค่ำเช่นนี้มีแต่ความว่างเปล่าบนม้านั่งยาวที่วางเรียงเป็นทิวแถว

แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูกนัก เมื่อหญิงสาวเดินเข้าไปใกล้บริเวณดังกล่าวพบเงาตะคุ่มของร่างหนึ่งนั่งอยู่ เอาศีรษะพิงเข้ากับพนักเก้าอี้ ในมือขวาถือขวดน้ำดื่มมือซ้ายที่ว่างเปล่าวางไว้ข้างตัวราวกับสิ้นเรี่ยวแรง แล้วมุกดาก็สะดุ้งขึ้นนิดหนึ่งเมื่อเห็นร่างนั้นได้อย่างเต็มตา

หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้ แต่ร่างนั้นยังไม่ขยับ ดูเหมือนว่าจะเหน็ดเหนื่อยจนหลับไปไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ

มุกดาทรุดนั่งลงบนม้านั่งยาวแถวเดียวกัน แล้วมองใบหน้าด้านข้างนั้น ชายหนุ่มหลับตาพริ้ม คิ้วขมวด ทำให้หญิงสาวนึกถึงภาพเก่าเก็บที่ผ่านมานานแสนนาน

ภาพที่ชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มแย้ม หัวเราะ บางทีทำสีหน้าเด๋อด๋า หรือไม่ก็ก้มหน้าจัดเรียงต้นไม้อย่างมีความสุขเสียเต็มประดา บางทีก็เป็นภาพชายหนุ่มเล่นกีตาร์โปร่งอยู่ในร้านต้นไม้อย่างเพลิดเพลิน

แต่ภาพที่ปรากฎต่อหน้าในขณะนี้ก็คือ ชายผู้ไร้สุข อมทุกข์ไว้ภายใน ไม่ใช่พี่วิน-ตาบ๊องคนเดิมที่มุกดารู้จักแม้แต่น้อย

แล้วชายหนุ่มก็สะดุ้งตื่นขึ้น ก่อนจะเหลียวมาพบหญิงสาวจ้องมองมา

“อ้าว มุก…”

วินยิ้มให้ มุกยิ้มตอบ ก่อนจะรู้สึกตัว เลยค้อนใส่ชายหนุ่มวงหนึ่ง

“หายไปซะนานเชียว นึกว่าไปไหน”

“พี่ขอโทษ พอดีเจอกับเกด…”

หญิงสาวพยักหน้ารับรู้

“พี่เกดคงรู้เรื่องนั้นแล้วสิท่า”

“ฮื่อ…”

มุกดาถอนหายใจยาว ก่อนพูดเสียงขุ่น

“แล้วมาทำอะไรตรงนี้ยะคุณ มาแอบงีบหลับงั้นเหรอ ในห้องก็มีที่นอน”

“ลืมตัวไปนะ รู้สึกมึนๆ แล้วก็เหนื่อย ก็มานั่งพักเล่นๆ เผลอหลับไปได้อย่างไรก็ไม่รู้

มุกดาเหลือบตามองเพื่อนรุ่นพี่ แล้วเห็นหลังที่ค้อมลง ดวงตาที่หมอง ยิ่งฟังน้ำเสียงด้วยแล้วรับรู้ได้ว่าคนพูดคงรู้สึกเหนื่อยจริงๆ คงจะเหนื่อยทั้งกายและใจสินะ

“สงสารเกด…”วินพูดขึ้น

หญิงสาวทำหน้ายุ่ง คิ้วขมวดขึ้นมา

“พี่วิน มุกว่าก่อนจะคิดสงสารคนอื่น สงสารตัวเองก่อนเถอะ พ่อคนใจบุญ”

ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นเบาๆ พูดอะไรไม่ออก

“มุกละไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจจริงๆ”

“อะไรอีกเล่า มุก”

“เชอะ…”

วิน ไม่ได้ถือสาอาการแง่งอนนั้น มุกดาคนนี้ดูจะแทงทะลุกลางใจของเขาได้ดีเกินกว่าที่คาดคิด

“พี่อยากคุยกับนีม่า…”

“อะไรนะ คุยกับนีม่าหรือ มีอะไรละ”

“ฮื่อ มีนิดหน่อย”

ทั้งสองสบตากันแว่บหนึ่ง แล้วมุกดาก็รับรู้ทันทีว่า ชายหนุ่มต้องการทำอะไรบางอย่างแน่

บางทีอาจเกี่ยวกับเจ้าชายโดร์เช อะไรนั่นกระมัง




เจ้าชายโดร์เชวางพระหัตถ์อยู่บนกระจกแผ่นใส ที่มองทะลุออกไปเห็นทิวทัศน์กรุงเทพฯได้อย่างแจ่มชัด เห็นตึกสูงมากมาย หลายรูปทรง หลายขนาด ตั้งตระหง่านราวกับจะแข่งขัน ประชันอวดความยิ่งใหญ่

แต่ถึงจะเป็นตึกใหญ่ที่ออกแบบได้งดงามเพียงไร แต่สำหรับรัชทายาทแห่งดัลวาแล้วรู้สึกว่า ตึกสูงเหล่านี้ช่างทื่อ แข็ง ไร้ชีวิต เทียบไม่ได้กับแม่น้ำกว้างที่มองมาจากห้องพักในคอนโดมิเนียมที่เคยประทับอยู่

ขณะนี้ เจ้าชายโดร์เช ย้ายมาประทับอยู่ที่ห้องชั้นบนสุดของโรงแรมมีชื่อกลางใจเมือง เป็นห้องสีขาว ที่หรูหรา ตบแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่สวยงาม ชุดรับแขกโต๊ะทานอาหาร หรือโต๊ะทำงาน ถูกจัดเข้าชุดได้อย่างกลมกลืน นี่ยังไม่รวมห้องนอนที่สวยงาม มีระดับอีกต่างหาก

เป็นห้องพักที่ถูกตระเตรียมไว้อย่างสมเกียรติรัชทายาทหนุ่มแห่งดัลวาอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่สำหรับเจ้าชายโดร์เชแล้ว ไม่มีความคุ้มชินกับห้องพักชั้นเลิศของโรงแรมระดับ 5 ดาวแห่งนี้แม้แต่น้อย

แม้จะเป็นพระโอรสองค์เดียวของกษัตริย์เดเช็นแห่งดัลวา แต่เจ้าชายก็ถูกสอนมาเป็นอย่างดี ให้ดำเนินชีวิตเรียบง่ายเหมือนสามัญชนทั่วไป แม้แต่ห้องบรรทมในราชวังดาร์ลัม ว่าไปแล้วก็ดูจะเป็นรองโรงแรมหรูแห่งนี้ด้วยซ้ำไป

กระทั่งเมื่อตอนมาเสด็จเข้าศึกษาที่ประเทศไทยยามเยาว์วัยเมื่อหลายปีก่อนนั้น ก็ดำเนินชีวิตเหมือนคนธรรมดาสามัญ ดูแลพระองค์ด้วยตัวเอง แม้แต่ที่ประทับก็เป็นห้องเล็กๆ ในหอพักของโรงเรียน ไม่เคยใช้อภิสิทธิ์พิเศษความเป็น “เจ้าชาย” แต่อย่างใด

ชีวิตที่ไม่เคยแปลกแยก ผิดแผกกับเพื่อนนักเรียนคนอื่นในโรงเรียน เป็นเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป ทำให้เมื่อยามพระเยาว์ เป็นช่วงที่เจ้าชายโดร์เช มีความสุขอย่างที่สุด นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผูกพันกับประเทศไทยราวกับบ้านที่สองของตัวเอง

แต่ในตอนนี้ ที่หน้าประตูของห้องพักที่ทรงประทับอยู่ มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่ต่ำกว่า 5 คน ผลัดกันยืนอารักขาอยู่ทางด้านนอกแทบจะ 24 ชั่วโมง

ไม่อนุญาติให้ใครผ่านเข้าออกได้

รัชทายาทหนุ่มก้มลงมองตัวเอง ซึ่งในขณะนี้กลับไปอยู่ในชุดพื้นเมืองของดัลวา เป็นเสื้อสีเทาเนื้อดีแขนยาวจนถึงข้อมือ และมีเสื้อคลุมสั้นสีแดงดั่งเลือดนกสวมทับไว้อีกชั้น ที่เอวรัดไว้ด้วยเข็มขัดผ้า สวมถุงเท้ายาวถึงเข่า แถมยังสะพายผ้าสีเหลืองคล้องไว้ที่ไหล่ ส่วนบนพระศอสวมลูกประคำสีดำไว้เช่นเดิม

ที่ต้องแต่งองค์อย่างนี้ก็เพราะ เพิ่งต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ ที่มาเข้าเฝ้ารัชทายาทหนุ่มแห่งดัลวาเมื่อตอนหัวค่ำ ซึ่งดูเหมือนจะมีไม่หยุดหย่อนนับตั้งแต่ข่าวการเสด็จมาประทับที่เมืองไทยเผยแพร่ออกไป

นี่ยังไม่นับรวมกับการที่จะต้องประทานสัมภาษณ์ให้กับหนังสือพิมพ์ นิตยสารชื่อดังอีกหลายฉบับวันแล้ววันเล่า

เป็นสิ่งที่เจ้าชายโดร์เช ไม่สบพระทัยเท่าใดนัก ทุกสิ่งไม่เป็นไปอย่างที่ทรงคาดคิดไว้เลย

องค์รัชทายาทเหลือบมองนาฬิกาแขวนเรือนงามบนผนังห้อง เป็นเวลา 4 ทุ่มกว่าแล้ว แต่พระองค์ไม่ต้องการทรงบรรทม เพราะหลับพระเนตรลงทีไร ภาพของเด็กสาวในชุดนักเรียน สวมแว่นตา และรอยยิ้มใสกระจ่างก็จะผุดพรายขึ้นมา แล้วจากนั้นก็จะตามมาด้วยดวงตาอันตัดพ้อ และเสียงพูดๆ อันสั่นเครือว่า “

พระองค์ ทรงหลอกหลวงหม่อมฉัน”

ฝันร้ายเยี่ยงนี้ตามหลอกหลอนมาหลายคืนแล้ว

เจ้าชายโดร์เช ทรงรับรู้ถึงความทรมานภายในพระทัย พลางนึกไปถึงผู้หญิงคนนั้น จะเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกอย่างไรกับความจริงที่ปรากฎออกมา คงโกรธแค้นขัดเคือง เป็นแน่

แต่การปิดบังเหล่านี้ ไม่ได้มีเจตนาเคลือบแฝงอะไรทั้งสิ้น

เจ้าชายคิดถึงเกด หญิงสาวที่สวย อ่อนหวาน ชาญฉลาด คิดถึงอย่างทรมาน นับตั้งแต่เคยพบหน้าครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน คิดถึงเหลือเกิน

ดูเอาเถอะ แค่ได้เรียกชื่อเธอในใจก็มีความสุขแล้ว

เจ้าชายโดร์โชหลับตาลงแล้วก็นึกถึงชีวิตของตัวเอง หลังจากจบการศึกษา พระองค์ก็ทรงทุ่มเทให้กับบ้านเมือง เพราะทรงต้องการการแบ่งเบาภาระจากพระบิดาที่ทรงงานหนักมาหลายปี ดัลวา เป็นประเทศเล็กๆ ประชาชนส่วนใหญ่ยังยากจน จึงมีภาระกิจที่ต้องทรงทำมากมาย

แน่ละ-การละทิ้งจากหน้าที่ของรัชทายาทแห่งดัลวา เพื่อมาตามหาผู้หญิงคนหนึ่งในดินแดนห่างไกลออกจะไม่เหมาะสมนัก แต่จะทำได้อย่างไรเล่า ความอ้างว้าง และอาลัยหาตั้งแต่ครั้งอดีตยังคงทรงรบกวนพระทัยมาตลอด

และเมื่อมีโอกาสพบหญิงสาวในฝันของพระองค์ ได้ทำความรู้จักนานนับเดือน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เจ้าชายโดร์เชทรงค้นพบแล้วว่า สิ่งที่ทำให้มีพลัง ที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าคือใครและอะไร

มีเพียงคนเดียวเท่านั้น คนเดียวเท่านั้นจริงๆ

เจ้าชายโดร์เช หลับพระเนตรลง พลางเอามือเกาะกุมที่ลูกประคำบนพระศอ พระทัยเต้นแรงระหว่างพร่ำภาวนา

ข้าไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ต้องการเพียงโอกาสที่จะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง

ต้องการเพียงแค่นั้นจริงๆ

เป็นความปรารถนาที่สมถะยิ่งของรัชทายาทหนุ่มแห่งดัลวา

๑๓.๑๒.๕๒

บทที่ 18-ความปวดร้าว

เกด ตื่นแต่เช้า โทรศัพท์ไปลางาน แล้วลงมาทานอาหารเช้าร่วมกับพ่อและแม่เลี้ยงด้วยอาการเหงาหงอย ยิ่งไม่มีมุกดา น้องสาวต่างมารดามานั่งร่วมวงด้วยแล้ว หญิงสาวยิ่งรู้สึกโหย แห้งแล้งอยู่ภายใน ทานข้าวต้มได้เพียงครึ่งถ้วยก็ต้องขอตัว ท่ามกลางความมึนงงของพ่อและน้าเยาว์ ที่เห็นหญิงสาวเงียบขรึมกว่าที่เคย

เกดออกมาเรียกแท็กซี่ที่ปากซอย เช้านี้เมฆบนท้องฟ้าเป็นสีเทา ยิ่งทำให้รู้สึกเศร้ามากยิ่งขึ้น สายตาเหม่อมองออกไปทางหน้าต่างรถ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกว่างเปล่า เบาโหวงในหัวอก

รถผ่านสี่แยก 3-4 แยกโดยรถไม่ติดมากนัก ก่อนที่รถจะมาชะลอตัวตรงสะพานข้ามแม่น้ำที่มีรถวิ่งเป็นแพยาวทั้งสองฝั่ง คนขับแท็กซี่ที่เป็นชายวัยราว 50
เศษพยายามชวนคุยฆ่าเวลา แต่หญิงสาวนิ่งเงียบ ริมฝีปากเม้มสนิท โกรธหรือ ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น พูดให้ถูกน่าจะเรียกว่าผิดหวังมากกว่า แต่ผิดหวังเรื่อง
อะไรเล่า นั่นสิ บอกไม่ถูกเหมือนกัน

ผิดหวังที่ “คุณเช” กลายเป็น “เจ้าชายโดร์เช” รัชทายาทแห่งดัลวา อย่างนั้นหรือ ก็ทำไมเล่าเป็น “เจ้าชายโดร์เช” แล้วเป็นอย่างไร ก็นึกฝันมาตลอดไม่ใช่หรือที่อยากจะได้เจอกับเจ้าชายในฝัน ยายโง่เอ๊ย

จะว่าผิดหวังที่โดนหลอกลวงก็ไม่เชิงนัก นึกย้อนเหตุการณ์ที่ผ่านมา มีหลายครั้งที่ “คุณเช” คล้ายๆ จะเผยความนัยอะไรหลายอย่าง โดยเฉพาะหนล่าสุดนี่ “

คุณเช” ก็บอกไม่ใช่หรือ สามารถพาเข้าไปในพระราชวังดาร์ลัม ได้นะ คนธรรมดาที่ไหนจะมีอำนาจทำได้อย่างนั้น ใช่มั๊ย

ถ้าจะโกรธ น้อยใจ ผิดหวัง ก็ควรผิดหวังที่ตัวเองโง่ เซ่อ ตาบอดเสียมากกว่าละมั๊ง เกดบอกกับตัวเอง

หญิงสาวไม่อยากนึกหาคำตอบอะไรอีกต่อไปแล้ว จากนี้ไปความสัมพันธ์กับคุณเชเล่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่เอ ที่ถูกควรจะเรียกว่าอย่างไรฝ่าบาท ใช่มั๊ยนะ

แล้วจะเรียกตัวเองว่าอย่างไร หม่อมฉันสินะ หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท

โธ่เอ๊ย

“คุณครับ…” เสียงโชเฟอร์แท็กซี่ร้องขึ้นเบาๆ ปลุกให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์ แลเห็นป้ายชื่อโรงพยาบาลตั้งเด่นหราอยู่เบื้องหน้า

“ถึงโรงพยาบาลแล้วครับ คุณ”

เกดพยักหน้ารับรู้

ในวินาทีแห่งความสับสน ยุ่งเหยิง มีความร้อนรุ่มในหัวอก หญิงสาวไม่นึกถึงใครอื่นเลย มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถยึดเป็นที่พึ่งได้

เหมือนที่เคยเป็นมานั่นแหละ


ตลอดบ่าย วิน วุ่นอยู่ในร้านต้นไม้เล็กๆ ของตัวเอง จัดเรียงกระถางต้นไม้ให้เป็นระเบียบ รดน้ำ ตบแต่งกิ่ง ทำความสะอาดทั่วบริเวณร้าน ระหว่างนั้นก็โทรหา
มุกดาที่นอนเป็นเพื่อนแม่แก่ ก่อนจะแจ้งถึงอาการป่วยของพ่อแก่ ที่คาดว่าไม่เกิน 2 วันก็น่าจะกลับไปพักที่บ้านได้เหมือนเดิมแล้ว

แน่ละ-ชายหนุ่มพยายามโทรติดต่อเกดด้วย แต่ก็น่าแปลกที่โทรศัพท์มือถือของเพื่อนสาวปิดอยู่ โทรไปที่บ้านน้าเยาว์ก็บอกว่า ออกไปจากบ้านแต่เช้าแล้ว

บอกแต่ว่า ลางาน เพราะวันนี้มีธุระบางอย่างต้องทำ

ชายหนุ่มรับทราบด้วยหัวใจที่เบาโหวง บางทีเกดอาจจะออกไปไหนกับ “คุณเช” ก็ได้มั๊ง คงไม่มีอะไรที่น่าห่วงอีกต่อไป

วินรู้สึกใจหาย ดูเหมือนทุกอย่างเริ่มจะชัดเจนยิ่งขึ้น แต่จะทำได้อย่างไรเล่า พรหมลิขิต โชคชะตา หรืออะไรที่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรที่เขาจะฉุดรั้ง ดึงดันได้อีกต่อไป

คงจะต้องปล่อยวาง ให้มันเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นเท่านั้น

เสร็จงานในร้านต้นไม้ จนแน่ใจว่าจะสามารถเปิดร้านขายได้ปกติในสุดสัปดาห์นี้แล้ว ชายหนุ่มก็เดินไปขึ้นรถเมล์ตรงป้ายจอดรถประจำทางที่อยู่ห่างจากร้านไปไม่ไกลนัก รอไม่ถึง 5 นาทีรถเมล์สายที่นำเขาสู่โรงพยาบาลก็เข้ามาเทียบ

คนในรถบางตา จึงมีเก้าอี้ว่างเพียงพอที่จะทำให้วินเลือกนั่งได้อย่างสบาย เขาเลือกนั่งริมหน้าต่าง และหันไปมองวิวทิวทัศน์นอกรถด้วยอาการเลื่อนลอย รู้สึก
เหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก รถเมล์เคลื่อนไปอย่างช้าๆ และแทบจะจอดรถรับผู้โดยสารเกือบทุกป้าย รถบนถนนหนาแน่นเหมือนทุกวัน ถึงระยะทางจากร้านถึง
โรงพยาบาลจะไม่ไกลกันนัก แต่ก็ใช้เวลาเดินทางอยู่นานโข

วินก้าวเดินผ่านตึกหน้าของโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยผู้ป่วยที่มารอรับบัตรตรวจ ดูเหมือนจะมีความทุกข์ยาก ความเจ็บป่วยของผู้คนในเมืองหลวงเกิดขึ้นมาไม่หยุดหย่อน มีทั้งทุกข์กาย ทุกข์ใจ ตัวของเขาเองเล่า ก็เหมือนคนพวกนั้นนั่นแหละ ไม่ได้ผิดอะไรแม้แต่นิดเดียว

ชายหนุ่มตรงไปยังตึกผู้ป่วยทางด้านหลัง ไม่ช้าก็เดินมาถึงห้องป่วยที่พ่อแก่นอนอยู่ ก่อนจะผลักประตูเข้าไปอย่างแผ่วเบา

ภาพแรกที่เห็นก็คือ พ่อแก่ ในชุดคนไข้ไม่ได้นอนอยู่บนเตียงอย่างที่คาด แต่ยืนอยู่ตรงด้านขวาของหัวเตียง มองออกไปทางหน้าต่างห้องซึ่งจะเห็นทิวทัศน์เป็น
ต้นไม้เขียวชะอุ่มละลานตาไปหมด

“พ่อแก่…”

“จุ๊จุ๊…” ชายชราเอ๊ดหลานชาย ก่อนทำหน้าบุ้ยใบ้ไปยังโซฟาที่อยู่เยื้องกับเตียงผู้ป่วย ซึ่งชายหนุ่มยึดเป็นที่นอนมาตั้งแต่เมื่อคืน

โซฟาไม่ได้ว่างเปล่าอย่างที่ตอนเขาออกไป แต่มีร่างคนผู้หนึ่งนอนเหยียดยาว ดวงตาพริ้มหลับ ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอ และมีผ้าห่มผืนบางกองอยู่ตรงปลายเท้า

วินชะงักอยู่กับที่ เมื่อเห็นร่างหญิงสาวบนโซฟา

“หนูเกด มาตั้งแต่เช้า หลังที่ลูกออกไปไม่นาน แล้วก็นอนอยู่ตรงนี้นานแล้ว นัดกันไว้หรือเปล่า” พ่อแก่พูดเหมือนถาม

เขาได้แต่ส่ายหน้า แล้วก้มลงไปหยิบผ้าห่มผืนบางมาคลุมร่างที่หลับสนิทเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้

“อ้าว วิน มาแล้วเหรอ…”

เสียงทักของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง

“เกด ทำไม…” วินพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก แล้วชายหนุ่มและหญิงสาวก็สบตากัน

เกดเอานิ้วขยี้ตาตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยัดร่างของตัวเองขึ้นจากเตียง

“กี่โมงแล้วเนี่ย หลับไปนานเชียว ชักหิวแล้วสิ”

หญิงสาวบ่น



“บะหมี่เกี๊ยวตรงหน้าโรงพยาบาลนี่ กินทีไรก็อร่อยทุกทีนะ”

“ฮื่อ คนแยะเหมือนเดิมด้วย”

“ชื่อร้านก็ไม่มี แต่ผู้คนแห่แหนกันมากินอย่างกะแจกฟรีแนะ ว่ามั๊ยวิน”

“กินมาตั้งแต่ยังเรียนประถม ไม่เบื่ออีกเหรอ”

เกดส่ายหน้า

ทั้งคู่พูดคุยระหว่างยืนรอไฟแดงข้ามถนนตรงสี่แยก ซึ่งถนนสองฝั่งมีรถติดยาวเป็นแพ มีกลุ่มนักศึกษาทั้งหญิงและชายยืนรอข้ามถนนอยู่ด้วยเช่นกัน

แล้วหญิงสาวก็เหลียวมองไปรอบตัว ถอนหายใจยาว

“ชีวิตของพวกเรานี่วนเวียนกันอยู่แถวนี้แหละนะ โรงเรียนเก่าก็อยู่ฝั่งโน้น โบสถ์ของเกด แล้วก็โรงพยาบาล สะพานข้ามแม่น้ำ บะหมี่ร้านเดิม แล้วก็โอ๊ย จิปาถะ”

วินมองตรงไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้นมา

“นึกยังไงเนี่ย มานั่งนึกถึงความหลัง แล้วนี่จะเดินไปไหนกัน แปลกๆ นะวันนิ้”

เกดไม่ได้ตอบ ก้าวเดินข้ามถนนเมื่อสัญญานไฟสว่างวาบขึ้นเป็นสีแดง ชายหนุ่มก้าวเดินตาม เดินข้ามถนนมาอีกฝั่งหนึ่งแล้ว หญิงสาวก็เดินนำทางเลี้ยวไปทางมุมขวาของถนน

“ว่าไงละ จะไปไหน เกด”

หญิงสาวยังไม่ตอบ เดินดุ่มไปข้างหน้าก่อนเดินลัดเลาะเข้าซอยเล็กๆ เลยป้ายรถเมล์ไป ชายหนุ่มเดินตามไปเรื่อยๆ ไม่ถามอะไรออกมาอีกแล้ว ก็ซอยนี้แสนจะคุ้นเคยนัก เพราะเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเก่าของพวกเขา และยังมีโบสถ์ที่เกดมาสวดมนต์ทุกสัปดาห์อีกด้วย

เดินด้วยกันมาครู่ใหญ่ ผ่านโรงเรียนเก่า โบสถ์ฝรั่งสีขาว แล้วเกดก็มาหยุดยืนอยู่หน้าป่าช้าฝรั่ง ที่ขณะนี้ประตูเปิดกว้างอยู่ ทางเข้าด้านหน้ามีพ่อค้าแม่ค้าเอาสินค้าทั้งของกิน ดอกไม้ มาตั้งวางเอาไว้

แล้ววินก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อเห็นหญิงสาวก้าวเดินผ่านประตูของป่าช้าเข้าไป

“จะมาที่นี่เหรอ เกด”

หญิงสาวเบือนหน้ามาอย่างช้าๆ ลมเบาๆ พัดมาทำให้ผมยาวสลวยพลิ้วไหวไปมา วินเพิ่งสังเกตเห็นว่า สีหน้านั้นเผือดขาว ริมฝีปากบางนั้นสั่นระริก และในขณะนี้มีน้ำตานองใบหน้านั้น

“มาเถอะ เกดคิดถึงแม่ คิดถึงเหลือเกิน”


นีม่าก้าวลงจากรถแท็กซี่ด้วยอาการรีบเร่ง แล้วจึงเดินกึ่งวิ่งมาจนถึงทางด้านหน้าคอนโดหรูหราแห่งนั้น ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อปราฎว่ามีชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีเข้มราว 4-5 คนเดินวนเวียนอยู่รายรอบชั้นล่าง ผู้คนที่เดินผ่านเข้าออกถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขอตรวจกระเป๋าอย่างละเอียดละออกว่าทุกวัน และเยื้องกับคอนโดหรูหรามีรถตำรวจจอดอยู่อีก 2 คัน

เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกตินัก

หลังจากหญิงสาวเดินเข้าสู่ตัวตึก ปล่อยให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจดูกระเป๋าโดยละเอียด ทุกย่างก้าวผ่านสายตาของชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นแล้ว จึงเห็นมูตา-พี่ชายคนเดียวยืนรอด้วยอาการกระสับกระส่ายอยู่ใกล้กับลิฟต์

“พี่มูตา เกิดอะไร เกิดอะไรกับเจ้าชายหรือเปล่า” นีม่าถามออกไป

มูตาไม่ได้พูดอะไร เข้ามาดึงมือน้องสาวตรงไปยังร้านกาแฟที่อยู่ใกล้กันนั้น ก่อนจะผลักเบาๆ ให้นีม่านั่งลง

“ใจเย็นๆ นีม่า เจ้าชายทรงปลอดภัยดี อย่าเป็นห่วงเลย”

กล่าวเสร็จแล้ว คนสนิทของเจ้าชายโดร์เชก็หันไปสั่งกาแฟจากบริกร แล้วสั่งชามะนาวให้น้องสาวที่กำลังจ้องมองมาอย่างคาดคั้น

มูตาถอนหายใจ เหลือบตามองน้องสาวชั่วครู่

“เมื่อเช้านี้เอง มีหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของที่นี่ฉบับหนึ่งรายงานว่า รัชทายาทหนุ่มแห่งดัลวา เสด็จมาประทับอยู่ที่ประเทศไทย เป็นการเดินทางมาอย่างไม่เปิด
เผย เชื่อว่าเป็นการพักผ่อนเป็นการส่วนพระองค์ ก่อนที่เจ้าชายโดร์เช จะเตรียมตัวขึ้นครองราชย์ต่อจากกษัติรย์เดเช็น ในอีกปี-สองปีข้างหน้า”

“ตายละ พี่มูตา”

ชายร่างท้วมพยักหน้าหงึกหงัก

“ในรายงานข่าวยังลงประวัติขององค์รัชทายาทอย่างละเอียดลออ รวมทั้งช่วงที่เสด็จมาศึกษาอยู่ที่นี่ในยามเยาว์วัยเมื่อหลายปีก่อนโน้น ยังฉายภาพพระฉายาลักษณ์ในหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ด้วยอีกต่างหาก นีม่าเอ๋ย เรื่องท่าจะไปกันใหญ่แล้ว”

หญิงสาวรู้สึกหัวใจตกวูบลง เอาหลังพิงเข้ากับพนักพิงเหมือนหมดแรงขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดไว้ก่อนเลย นีม่า หันไปมองรอบบริเวณร้าน และพบว่าบรรดาบริกรในร้านจับกลุ่มซุบซิบกันเป็นพัลวัน ในขณะที่แขกที่เข้ามาใช้บริการในร้านก็บางตากว่าทุกวัน

“ข่าวออกไปอย่างนี้ พี่ว่าคงอีกไม่นาน พวกหนังสือพิมพ์ ทีวี คงตามหาตัวเจ้าชายกันให้จ้าละหวั่น พวกนี้จมูกไวเสียด้วยสิ”

“แล้วพวกชายฉกรรจ์พวกนี้คือใครกันพี่มูตา” นีม่าถามขึ้น

“เป็นคนที่สถานทูตจัดหามานะสิ เพื่อมาอารักขาเจ้าชายโดยเฉพาะ แล้วยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าดูแลอยู่ภายนอกอีก คิดว่าเจ้าชายโดร์เช จะต้องย้ายออกจากที่นี่เพื่อย้ายไปอยู่ที่อื่นที่ปลอดภัยและสมพระเกียรติกว่านี้ วันสองวันนี่แหละ”

นีม่าเห็นสีหน้าอันเต็มไปด้วยอาการปริวิตกของพี่ชายแล้วก็ได้แต่เห็นใจ

“เจ้าชายตรัสกับข้าว่า ให้โทรเรียกเจ้า รีบขึ้นไปเข้าเฝ้าเถิด พระองค์ขังตัวเองอยู่ในห้องนานแล้ว ไม่ทรงเสวยอาหารที่ข้าจัดเตรียมไว้เลยตั้งแต่เช้า”

“ข้าเหรอ…” นีม่าอุทานขึ้น

พี่ชายผงกศีรษะ

“ถ้าเดาไม่ผิด ก็คงเป็นเรื่องของผู้หญิงคนนั้นกระมัง”

นีม่าสะดุ้งขึ้นมาทันที

“ตายจริง ลืมนึกไปเลยพี่…”


นีม่าเคาะประตูเป็นจังหวะ 3 ครั้ง ก่อนผลักเข้าไปในห้อง และพบว่ารัชทายาทหนุ่มแห่งดัลวายืนอยู่ตรงระเบียงทางด้านนอกของห้อง เอาแผ่นหลังผิงเข้ากับผนังด้านหนึ่ง สายตาทอดยาวมองไปที่แม่น้ำใหญ่ และแผ่นฟ้ากว้างเบื้องหน้านั้น

“ทรงทอดพระเนตรแม่น้ำนั่นอีกแล้วเพคะ ทรงประทับใจมากถึงขนาดไม่เสวยเลยหรือเพคะ” นีม่าถามด้วยน้ำเสียงยิ้มแย้ม

เจ้าชายโดร์เช หันพระพักตร์มา

“นีม่า ดีใจที่เจ้ามาได้ มาเถอะ มาชมแม่น้ำตรงนี้กัน”

“ทอดพระเนตรทุกวันไม่ทรงเบื่อบ้างหรือไง”

รัชทายาทหนุ่มส่ายพระพักตร์ไปมา

“ไม่เบื่อเลย แต่หลังจากวันนี้ไป ข้าอาจจะไม่ได้มายืนชมทิวทัศน์งดงามอย่างนี้อีกต่อไปแล้วก็เป็นได้ มูตาคงบอกเจ้าแล้ว”

หญิงสาวเอามือสองข้างกุมที่ราวระเบียงไว้ หลับตาลง พลางสูดหายใจยาว

“หม่อมฉันเห็นด้วยเพคะ ประเทศไทยมีทิวทัศน์ที่สวยงามมากมาย แม่น้ำเจ้าพระยานี่ก็คงเป็นหนึ่งในนั้นด้วย”

นีม่า หันหน้าไปทางเจ้าชายโดร์เชแล้วถามขึ้น

“น่าแปลกมั๊ยเพคะ การเดินทางของพระองค์เป็นความลับ แต่ทำไมข่าวถึงรั่วออกไปได้”

เจ้าชายหนุ่มมีพระพักตร์เครียด

“ข้าไม่แน่ใจนัก บางทีอาจจะเป็นความพลั้งเผลอของเจ้าหน้าที่สถานทูตบางคน เจ้าเรียนอยู่ที่นี่ก็คงรู้นะว่า นักข่าวที่นี่ตามกลิ่นเก่งจะตายไป ข้าไม่โทษใครหรอก”

“เพคะ หม่อมฉันเห็นด้วย ข่าวแพร่ทางหนังสือพิมพ์อย่างนี้ ไม่ช้าหรอกเพคะพวกกองทัพนักข่าวโทรทัศน์คงตามกันให้จ้าละหวั่น”
เจ้าชายยิ้ม ราวกับยอมจำนนกับคำพูดดังกล่าว

“ที่ข้าห่วงที่สุด ก็คือ…”

“พี่เกด ใช่มั๊ยเพคะ”

หญิงสาวเพ่งมองพระพักตร์ของเจ้าชายโดร์เช ซึ่งในขณะนี้ดูซีดเซียว พระเนตรหม่น ไม่สง่างามเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา

“ถ้าเป็นอย่างนั้น บางทีพี่เกดก็อาจจะ…”

“โกรธข้า เข้าใจว่าหลอกลวงอย่างนั้นใช่หรือไม่”

นีม่าได้แต่ผงกศีรษะ

“ข่าวแพร่ออกไปอย่างนี้ อย่าว่าแต่พี่เกดเลย เพื่อนของหม่อมฉันเอง มุกดา แล้วก็คนในครอบครัวก็คงตกใจไม่น้อยไปกว่ากันหรอก”

รัชทายาทหนุ่มเงียบไปอึดใจ พระเนตรดูหมองลงไปกว่าเดิม และไหล่ก็งองุ้มลง

“แต่อย่าทรงทุกข์ใจไปมากเลยเพคะ หม่อมฉันจะพยายามหาวิธี”

“ขอบใจเจ้ามากนีม่า”

“หม่อมฉันยินดีเพคะ แต่ขอทูลว่าพระองค์น่าจะทรงเสวยกระยาหารที่พี่มูลตาจัดไว้บ้าง สถานการณ์อย่างนี้ควรจะดูแลพระองค์ให้แข็งแรง มากกว่าทำร้ายตัวเองนะเพคะ”

“ข้ารู้นีม่า อย่าห่วงเลย”

เจ้าชายจ้องพระเนตรมายังหญิงสาวเบื้องหน้า

“นีม่าเจ้ารู้มั้ย นับแต่เดินทางมาอยู่ที่นี่จนถึงทุกวันนี้ ข้าพบว่าตัวเองไม่ใช่คนที่เข้มแข็งอะไรเลย ไม่มีมูตา ไม่มีเจ้า แล้วก็อีกหลายๆ คน ข้าก็คงทำอะไรไม่ถูก ไม่

มีทางที่จะ…”

“อย่าตรัสอย่างนั้นสิเพคะ หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ได้ทรงเรียนรู้ต่างหาก”

“เรียนรู้อย่างนั้นหรือ…”

นีม่ายิ้ม

“ก็เรียนรู้ว่า ถึงพระองค์จะเป็นรัชทายาทที่จะปกครองดัลวาในอนาคต แต่เนื้อแท้แล้วพระองค์ก็เป็นแค่ชายหนุ่มที่กำลังมีความรัก เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีรักโลภ โกรธ หลง มีจุดอ่อน ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ถึงเป็นเจ้าชายก็ยังเป็นมนุษย์นี่เพคะ”

เจ้าชายโดร์เช ทอดพระเนตรมองหญิงสาวตรงหน้าแล้วตรัสขึ้นว่า

“นีม่า เจ้านี่ช่างสมกับที่ชื่อมีความหมายว่าดวงอาทิตย์เสียจริงๆ ส่องแสงสว่างให้กับผู้คนผู้มืดบอดได้หนแล้วหนเล่าสิน่า วันใดที่เจ้ามีคนรัก อย่าลืมพามาให้ข้าดูตัวนะ ข้าเชื่อว่า ผู้ชายคนนั้นจะเป็นคนที่โชคดีมากๆ”

หญิงสาวพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว เสมองไปที่วิวทิวทัศน์เบื้องหน้าเพื่อลดอาการเก้อเขินของตัวเอง


แม้จะเพิ่งเคยเห็นหน้าเพียงครั้งเดียว แต่แม่แก่ก็จำหญิงสาวได้เป็นอย่างดี กิริยาที่นุ่มนวล แย้มยิ้มอยู่เป็นนิจ และดวงตาที่สุกใสเป็นประกาย เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวที่พบเจอเพียงครั้งเดียวก็จำได้ไม่ลืม และชื่อ “นีม่า” ก็แปลกดีเหลือเกิน

แม่แก่เดินทางมาโรงพยาบาลพร้อมกับมุกดา และพบว่านีม่า มานั่งอยู่ในห้องอยู่ก่อนแล้ว และดูเหมือนว่าจะสนทนากับชายชราที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงอย่างถูกคอ และหันมายิ้มให้เมื่อแม่แก่เดินทางมาถึง

“สวัสดีคะคุณยาย นีม่าเพิ่งมาถึงไม่นานนี่เอง คุยกับคุณตาสนุกจังเลย”

แม่แก่รับไหว้ แล้วรู้สึกว่านีม่ากำลังมองมาที่มุกดาด้วยสายตาอันวาววามประหลาด วันนี้มุก รวมผมยาวด้วยผ้าผูกผมสีขาว เสื้อคอกลมสีขาวกระจ่างตา และกระโปรงยาวสีน้ำเงิน ดูผุดผ่องกว่าทุกวัน แต่ที่ดูแปลกไปก็คือรอยช้ำใต้ขอบตานั่น

“เมื่อกี้มุกบ่นว่าหิวไม่ใช่หรือลูก ชวนเพื่อนไปสิ ตรงหน้าโรงพยาบาลมีของกินอร่อยหลายร้าน บะหมี่ปู อาหารเวียดนาม แล้วก็ข้าวต้มปลา มีชื่อทั้งนั้นแหละ ไปเถอะ ตาเฒ่านี่เดี๋ยวคุณยายดูเอง”

มุกดา ก้าวเข้าไปใกล้กับเตียงคนไข้แล้วพูดเสียงค่อยกับผู้ป่วยอยู่ 2-3 คำ ก่อนจูงมือเพื่อนสาวออกจากห้องไป แต่ยังได้ทันยินเสียงชายชราพูดขึ้นมา

“รีบไปเถอะลูก ไปกินบะหมี่ปูตรงข้างหน้านั่นแหละ เมื่อบ่ายเกดมาเยี่ยมคุณตา วินเขาก็พาไปกินร้านนั่นแหละ”

พอสองสาวออกไปแล้ว หญิงชราก็กราดเข้าไปที่เตียงคนไข้ แล้วถามขึ้น

“วินออกไปกับหนูเกดหรอกหรือ ไปไหนกัน”

“อ้าวแล้วกัน ยายแก่ จะไปรู้หลานมันหรือ นอนอยู่บนเตียงอย่างนี้นะ ถามหน่อย”

หญิงชราส่ายศรีษะไปมา คิ้วขมวดขึ้น

“ตาเฒ่า ขนาดนอนป่วยยังไม่วายกวนประสาทนะเนี่ย”

พ่อแก่ หัวเราะเสียงดัง

“ค่อยสบายขึ้นหน่อย ไม่ได้ยินเสียงบ่น เสียงด่า มาหลายวัน นอนไม่หลับ”

หญิงชรามองดูร่างของคนไข้บนเตียงนั่น แล้วนึกในใจ หัวเราะได้ พูดจาชวนทะเลาะได้อย่างนี้ อาการคงไม่น่าเป็นห่วงกระมัง

“ยายแก่”

“อะไรตาเฒ่า”

“หลานเรานะ ตกลงชอบคนไหนแน่นะ หนูเกด หรือว่าน้องสาวหนูเกด แล้วยังแม่หนูชื่อแปลกๆ คนนั้นอีก”

หญิงชราถอนหายใจยาว แล้วเดินไปที่หน้าต่างกระจกบานใส ที่ขณะนี้มองเห็นสาวรุ่นหลานสองคนเดินเคียงกันไป

“อย่าคิดมากไปเลยตาเฒ่าเอ๋ย สงสารเด็กมัน”

แม่แก่หลับตาลง แล้วภาพของเด็กสาวที่ส่งเสียงสะอื้น น้ำตานอง บนลานบ้านเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาก็ผุดวาบขึ้นมาอีกครั้ง

เด็กหนอเด็ก

๗.๑๒.๕๒

บทที่ 17-น้ำตา


ไม่บ่อยนักหรอกที่เจ้าชายโดร์เชจะฝัน



และเป็นความฝันที่แปลกประหลาดนัก


พระองค์ทรงฝันว่าประทับอยู่ในพระราชวังดาร์ลัม และทรงทอดพระเนตรสุมทุมพุ่มไม้ที่เรียงรายอยู่ตามสองของของถนนสายเล็กๆ อย่างเพลิดเพลิน


ถนนสายเล็กเส้นนั้นมุ่งตรงสู่ที่พระตำหนัก ที่ตั้งอยู่บนเนินสูง ซึ่งในขณะนี้ไม่มีทหารยาม หรือผู้คนพลุกพล่านเหมือนอย่างที่เป็นมา


ในฝัน เจ้าชายทรงก้าวพระบาทอย่างเนิบนาบ เชื่องช้า สูดกลิ่นหอมของดอกไม้ด้วยอารมณ์อันแช่มชื่น กว่าจะรู้อีกทีก็ผ่านกำแพงชั้นนอกของพระตำหนัก เข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นใน ซึ่งฝาผนังและเพดานโดยรอบเป็นลวดลายดอกไม้อันสวยงาม ซึ่งแสนจะทรงคุ้นเคย


ไม่ช้า เจ้าชายก็ทรงทะลุถึงสวนดอกไม้หลังพระตำหนัก ซึ่งขณะนี้มีทั้งป่าสน ดอกไม้ป่าทั้ง โรโดเด็นดรอน แมกโนเลีย ต้นพีช ต้นพลัม ขึ้นอยู่ดารดาษ


ครั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงได้ยินเสียงกระซิก สะอื้นของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังแผ่วมาในสายลม ครั้นทอดพระเนตรไปตามเสียงนั้น ก็พบร่างของเด็กผู้หญิงคนนั้นกำลังคุกเข่าอยู่บนลานกว้าง ที่ตั้งอยู่เคียงกับสวนดอกไม้



น่าแปลกนัก เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อยู่ในเสื้อผ้าที่แสดงความเป็นชาวดัลวา ชุดที่สวมใส่เป็นเสื้อนักเรียนขาวแขนยาว กระโปรงยาวสีน้ำเงิน


เจ้าชายย่างพระบาทเข้าไปใกล้เด็กสาวแปลกหน้านั้น แล้วทรงตกพระทัยเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นใบหน้านั้นได้อย่างแจ่มชัด


“ทำไมพระองค์ทำอย่างนี้ พระองค์ทรงหลอกหม่อมฉัน”


เสียงตัดพ้อนั้นแสนจะคุ้นเคยนัก ดวงตาใสภายใต้แว่นตากลมคู่นั้น แล้วก็ริมฝีปากบางที่สั่นระริก แล้วก็คราบน้ำตาเกาะติดบนแก้มนั้นด้วย ไหนยังผิวอันกระจ่างราวสีชมพูนั้นอีกเล่า


เจ้าชายรู้จักเด็กผู้หญิงคนนั้น


“ข้าไม่ตั้งใจ ข้าไม่ได้หลอกเจ้า เพียงแต่…”


เจ้าชายโดร์เช กล่าวตรัสกับเด็กสาวผู้นั้นด้วยพระสุรเสียงสั่นเครือ


แต่ดูเหมือนว่า เด็กสาวจะไม่รับฟัง พูดประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า


“พระองค์ทรงหลอกหม่อมฉัน”


เสียงต่อว่า ใบหน้าอันเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา และริมฝีปากอันสั่นระริก ทำให้รัชทายาทแห่งดัลวาทรุดพระกายลงใกล้กับเด็กสาวผู้นั้น พลางร้องออกไปว่า


“ยกโทษให้ข้าเถิด ยกโทษให้ข้า”


อาการไม่ใยดี ดวงตาอันตัดพ้อ ของเด็กสาว ทำให้เจ้าชายทรงรู้สึกร้าวพระทัย เจ็บปวดอย่างไม่อาจอธิบายได้


แล้วพระองค์ก็ตื่นขึ้นจากฝันอันประหลาดนั้น



ดึกแล้ว แต่หญิงสาวนอนไม่หลับ


เกดนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานในห้องนอน โคมไฟสีเหลืองนวลถูกเปิดทิ้งไว้ หนังสือกองโตวางไว้ตรงหน้า และขณะนี้สมองครุ่นคิดถึงชายหนุ่มผู้มีที่มาอันแสนจะลึกลับ


หญิงสาวต้องยอมรับกับตัวเองว่า “คุณเช” เป็นผู้ชายที่เธอเองให้ความสนใจ เป็นผู้ชายที่ไม่เหมือนใครเลย เพราะทำให้รู้สึกสนุกที่จะพูดคุยด้วย มีอารมณ์เบิกบานเสมอยามได้สนทนา บางครั้งอาจจะก่อให้เกิดความรู้สึกขัดเขินบ้างก็เพราะความที่เป็นคนที่พูดอะไรตรงเสียเหลือเกินของเขานั่นแหละ


แล้วบางทีก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกขัดเคือง แง่งอน อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเพื่อนชายคนใด


คิดดูเถอะ แค่นั่งมองสบตากันในบางครั้ง ความรู้สึกที่เหมือนขาดหายไปในชีวิตคล้ายกับจะถูกเติมเต็มขึ้นมาได้เสียอย่างนั้นแหละ


อะไรบางอย่างได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลย


ที่สำคัญ เหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนในโบสถ์ฝรั่งวันนั้น ทำให้ชายหนุ่มย้อนกลับมาที่นี่อีก มาสานสัมพันธ์ต่อ
น่าขำเหมือนกัน มันช่างเหมือนที่ยายมุกว่า เจ้าชายมาตามหาซินเดอเรลล่า


อย่างนั้นหรือ


แต่ที่ทำให้หญิงสาวหัวหมุนอยู่ในขณะนี้ก็คือความรู้สึกสงสัยความเป็นมาของ “คุณเช” นั่นเอง


จะเป็นจริงได้ละหรือ


“โดร์เช” กับ “คุณเช” ช่างคล้ายอะไรกันเช่นนั้น


มีสิ่งเดียวที่จะรู้ได้


เกดถอนหายใจ หลับตาลงชั่วขณะ หยิบหนังสือเล่มโตตรงหน้าขึ้นเปิด กวาดสายตามองรูปภาพในแต่ละหน้าอย่างช้าๆ ส่วนใหญ่เป็นภาพทิวทัศน์อันสวยงามของพระราชวังบนไหล่ผา ที่มีเทือกเขาสูงตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง หรือไม่ก็เป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนชะง่อนผา แล้วก็ภาพเป็นชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองที่ยิ้มแย้ม เบิกบานอยู่เป็นนิจ ผสมปนเปไปกับภาพอันเคร่งขรึมของลามะ ทั้งที่ยังหนุ่มและสูงอายุ


พลิกไปอยู่นาน จนเริ่มรู้สึกว่าพอจะมองเห็นภาพความเป็น “ดัลวา” ได้อย่างแจ่มชัด เกดทำท่าจะพับหนังสือเล่มใหญ่นั้นลง แต่ภาพที่ปรากฎทางด้านท้ายเล่มก็ทำให้หญิงสาวถูกสะกดนิ่ง


มันเป็นภาพของงานเลี้ยงฉลองอะไรสักอย่าง งานเลี้ยงจัดขึ้นในลานกว้างโดยมีพระราชวังสีขาวมองเห็นอยู่เบื้องไกล มีผู้คนมากมายมาร้องเพลง เต้นรำ มีธงสีสันแปลกตาโบกสะบัดไปมา ช่างเป็นงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยสีสัน มีชีวิตชีวา
และภาพหนึ่งนั้น คือภาพของชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่า มีผมยาวสยาย และรอยยิ้มอันเปิดเผย กำลังยืนปรบมืออยู่บนเวทีที่ถูกยกพื้นขึ้นสูง ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อคลุมครึ่งแขนยาวกรอมเข่า ที่เอวรัดด้วยเข็มขัดผ้าแพร



ใต้ภาพนั้นเขียนบรรยายไว้ว่า เจ้าชายโดร์เช มกุฎราชกุมารแห่งกษัตริย์เดเช็น ทรงร่วมงานเลี้ยงประจำปีของดัลวา


เกดรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น ตัวแข็งทื่อ เอามือปิดปากตัวเองอย่างลืมตัว แล้วอยู่ดีๆ ดวงตาทั้งคู่ก็พราวไปด้วยน้ำตา
หญิงสาวแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง รู้สึกช็อก ความปั่นป่วนบางอย่างเกิดขึ้น เหมือนมีอะไรกระตุกอยู่ทั่วร่าง ทำอะไรไม่ถูกอีกต่อไป


และคำเดียวที่พูดออกมาได้ ณ วินาทีนั้นก็คือ


“คุณเช”





ตอนที่วินมาถึงโรงพยาบาล เป็นเวลาเกือบย่ำค่ำแล้ว แต่ภาพแรกที่ผลักเข้าไปในห้องผู้ป่วยบนตึกด้านหลัง และปราก

ฎต่อสายตาก็คือ ชายชรากำลังนอนอยู่บนเตียง ลืมตามองเพดานอยู่อย่างไม่อนาทรร้อนใจ


“โธ่ พ่อแก่ นึกว่าหลับไปแล้ว ไม่สบายอยู่ น่าจะรีบนอนนะครับ”


ชายชราหันหน้ามา ยิ้มจนเห็นเหงือก แม้จะอายุมากแล้ว แต่ผมของพ่อแก่ก็ยังไม่ขาวโพลนไปทั้งหัว มีผมหงอกแทรกแซมอยู่บางส่วนเท่านั้น ริ้วรอยหยักลึกบนใบหน้า และคิ้วที่ขาวโพลน และเส้นเอ็นที่ขึ้นโปนเห็นถนัดบนแขนขาของผิวคล้ำเกรียม บ่งบอกว่าวันเวลาที่ผ่านมาของอดีตชาวสวนผู้เข้มแข็งผู้นี้คงยากลำบากมาไม่น้อย แต่เปลือกนอกที่ปรากฎต่อผู้คนที่รู้จักก็คือ ผู้เฒ่าอารมณ์ดี เบิกบาน คุยเก่งและรอบรู้ เป็นที่รักของคนที่ได้รู้จัก


“พ่อแก่ นอนไม่ค่อยหลับ นอนคนเดียวมันเหงาพิกล ลูกเอ๊ย”


ชายหนุ่มหัวเราะ นึกถึงตอนอยู่บ้าน นานแค่ไหนแล้วนะที่เห็นพ่อแก่กับแม่แก่ ชอบที่จะพูดขัดคอ โต้เถียง บ่นพึมพำใส่กันไม่หยุดหย่อน มีสาระบ้าง ไร้สาระบ้าง แต่ดูเอาเถอะ ห่างกันไม่กี่วันทำไมพ่อแก่ถึงได้ “เฉา” ไปถนัดใจอย่างนี้เล่า


ความรักมันเป็นอย่างนี้หรอกหรือ ใกล้มากก็รำคาญ ห่างหายก็อาลัยหา เขาถามตัวเอง


พ่อแก่ในชุดคนไข้นอนขยับตัวทำท่าจะผลุดลุกขึ้นนั่ง จนชายหนุ่มต้องก้าวเข้าไปประคอง


“จะทำอะไรนะพ่อแก่ เดี๋ยวสายน้ำเกลือหลุดหรอกครับ”


ชายชราหัวเราะด้วยเสียงอันดัง


“ก็รำคาญไอ้สายน้ำเกลือนี่ละ มาเถอะลูก มานั่งคุยกับพ่อแก่หน่อยเถอะ ลงไปเยี่ยมหลวงพ่อเป็นไงบ้าง”


วินลากเก้าอี้มาไว้ข้างเตียงแล้วทรุดร่างลง


“ก็ดีครับ หลวงพ่อแข็งแรงดี ไม่มีอะไรต้องห่วง”


พ่อแก่ผงกศีรษะลงแสดงอาการรับรู้ ก่อนเหลือบตามองหลานชายแล้วพูดขึ้นว่า


“ไม่ได้ถามเรื่องหลวงพ่อ แต่ถามเรื่องลูกต่างหากเล่า”


ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นสูง เอานิ้วชี้ที่หน้าอกของตัวเอง


“ไม่เป็นไรนี่ครับ พ่อแก่สงสัยอะไรหรือ ผมก็เรื่อยๆ เหมือนเดิมนั่นแหละ อย่าห่วงไปเลย”


ชายชราหันร่างมาทางหลานชายคนเดียว


“เมื่อช่วงเย็น หนูเกดเขามาเยี่ยม”


“อ้อ เหรอครับ”


พ่อแก่ถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง


“มากับผู้ชายแปลกหน้า รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาดี สง่าเหมือนพวกพระเอกในละครทีวียังไงยังงั้น ใครกันนะลูก”


วินกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ก้มศีรษะลงมองพื้น ก่อนจะเงยหน้าฝืนยิ้ม


“คงเป็นคุณเชมั๊งครับ”


“คุณเช ที่วานให้ลูกช่วยตามหา…”


“ครับ…” ชายหนุ่มชิงตอบก่อน


พ่อแก่หลับตาลง เอามือวางแนบลำตัว แล้วพูดออกมาโดยไม่ลืมตา


“พรหมลิขิต บางทีมันก็ตลก ลูกเอ๊ย”


ชายหนุ่มนิ่ง ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตัวเองได้อย่างไรดี


“มีคนเขาว่า พรหมลิขิตชอบกลั่นแกล้งคน บางทีก็บันดาลให้เราบางคนไปรักคนที่ไม่สมควรรัก แต่กับคนที่ทุ่มเททั้งชีวิตและหัวใจรักให้ แต่กลับไม่เคยเห็น มันก็เฮ้อ…”


วินยิ้มน้อยๆ ส่ายศีรษะไปมา


“ไม่เป็นไรหรอกครับ พ่อแก่ อย่าคิดอะไรให้ฟุ้งซ่านไปเลยครับ รีบพักผ่อนเถอะครับ”


พ่อแก่เพียงลืมตาขึ้น ส่ายหน้าไปมา



“ผู้หญิงกับผู้ชายบางคู่ รักกัน ชอบกัน เพียงเจอกันไม่กี่ครั้ง มันแปลกประหลาดก็จริง แต่เมื่อพรหมลิขิตกำหนดเอาไว้เช่นนั้น เราจะทำอย่างไรได้”


ชายหนุ่มหลุบตาลงแล้วพยักหน้า


“พ่อแก่จะเตือนไว้ ถ้าคิดจะเสียสละ ก็ต้องกล้าที่จะแบกรับความเจ็บปวดนั้นไว้ด้วยความเต็มใจ รู้มั๊ยลูก”



“ครับ พ่อแก่ ลงไปหาหลวงพ่อที่วัด หลวงพ่อก็บอกคล้ายๆ กันอย่างนี้”


ชายชราหัวเราะเบาๆ


“ถ้าเป็นเนื้อคู่กันจริงยังไงก็เสียคงไม่แคล้วคลาดหรอก ดูอย่างพ่อแก่กับแม่แก่นั่นปะไร ทะเลาะกันทั้งวี่วัน ขัดคอกันตลอดเวลา ดูสิกี่ปีกันมาแล้วเนี่ย แต่ก็อยู่กันจนแก่เหนียงยานมาได้ถึงป่านนี้”


“โธ่ พ่อแก่ก็…” วินพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ


“ยายแก่นั่น ก็คงเหมือนกันนั่นแหละ คงนอนไม่หลับ เหงาปากอยู่เหมือนกัน เชื่อพ่อแก่สิ”


“ครับ ไม่หลับแน่ๆ” ชายหนุ่มตอบด้วยความมั่นใจ


ก็มียายมุก-เด็กสาวขี้สงสัย ชอบซักชอบถามไปนอนเป็นเพื่อนอย่างนั้น ถ้าหลับแต่หัวค่ำก็ผิดไปละ


“โหย อร่อยจัง ตังค์อยู่ครบด้วย แฮ่”


มุกพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง พลางใช้มือลูบท้องของตัวเองอยู่ไปมา หลังจากใช้ไม่จิ้มฟันจิ้มวุ้นกะทิ ชิ้นขนาดย่อมเข้าสู่ปาก แล้วเคี้ยวกรุบในปาก ในขณะที่ดวงตาทั้งคู่สดใสราวกับจะยิ้มได้


หญิงสาวอยู่ในชุดเสื้อแขนสั้นสีชมพู กางเกงขาสั้นสีน้ำตาล ลมเย็นและเสียงกรูเกรียวของต้นไม้ดังแว่วอยู่รอบบริเวณ ในขณะที่นั่งรับทานขนม ผลไม้ ที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กตรงชานเรือน ตรงข้ามมุกดาเป็นหญิงชรา ผมสีดอกเลา ร่างท้วม ที่นั่งแย้มยิ้ม เฝ้ามองเด็กสาวรุ่นหลานเพลิดเพลินกับการกินด้วยอารมณ์แช่มชื่น


มุกดาเหลือบมองหญิงชรา เลิกคิ้วขึ้นสูง แล้วฉีกยิ้มให้


“มาบ้านนี้ทีไร อิ่มพุงกางทุกที มุกชอบทานผลไม้ ขนมไทยๆ อย่างที่คุณยายซื้อมามากเลยคะ แต่เวลาอยู่บ้าน แล้วมานั่งกินอย่างนี้ แม่ชอบบ่นว่ากินจุ ยิ่งพี่เกดนี่ตั้งฉายาว่า มุกดา จอมตะกละไปเลย เชื่อพี่เขาเลย”


หญิงชราหัวเราะกับเสียงเจื้อยแจ้วนั่น พลางลอบมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ โครงหน้ารูปไข่ คิ้วเรียวยาว และดวงตาสุกใส บวกกับนิสัยช่างเจรจา ทำให้ดูรวมๆ แล้ว มุกดา คนนี้ดูน่ารัก มีลักษณะหลายอย่างที่แตกต่างไปจากพี่สาว


แน่ละ ไม่อ่อนหวาน เยือกเย็นเท่า แต่ก็ชดเชยด้วยความเริงร่า และดูจะมองโลกในแง่สดใสกว่าเสียด้วยซ้ำไป
“มองอะไรคะ คุณยาย มุกเขินนะคะ”


หญิงชราส่ายหน้าไปมา


“เปล่าหรอกลูก เห็นหน้ามุกแล้วนึกถึงเกดนะ”


มุกขมวดคิ้ว ทำแก้มป่อง ดวงตาทั้งคู่หลุกหลิกไปมา


“นี่ มุก…”


“ว่าไงคะ…”


“ลูกมีแฟนหรือยัง บอกคุณยายหน่อย”


คราวนี้ มุกดา ดวงตาเบิ่งโต ก่อนจะส่ายหน้าไปมา


“ยังหรอกคะ แหม-มุก นะ เป็นเด็กแก่นกระโหลก ปากก็จัด ชาตินี้คงหาแฟนยากหน่อยมั๊งคะคุณยาย มุกไม่เหมือนพี่เกด รายนั้นทั้งสวย ทั้งหวาน มีแต่หนุ่มรุมตอม”



“อืมม์ คุณยายได้ยินวินเค้าพูดเหมือนกัน”



“พูดยังไงเหรอคะ”


หญิงชราถอนหายใจ มองหน้าเด็กสาว


“ก็บอกว่ามีคนมาสนใจหนูเกด บอกแค่นั้นแหละ”


มุกดาทำจมูกย่น บ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ คิ้วเรียวงามขมวด แสดงถึงความหงุดหงิดใจ


“อย่าพูดถึงตานั่นเลยคะ เซ็งพิลึก เดี๋ยวมุกกินอะไรไม่ลง”


แม่แก่ยิ้มในสีหน้า เพ่งมองเด็กสาวอย่างละเอียดละอออีกครั้ง


“ทำไมละจ้ะ หลานชายแม่แก่ทำอะไรให้ขัดใจ”


มุกดา ยิ้มฝืนๆ ไม่ค่อยอยากเปิดเผยความในใจให้ใครได้รับรู้มากนัก แต่เมื่อเห็นแววตาอันเต็มไปด้วยคำถาม รอยยิ้มละไมที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู เด็กสาวก็พูดออกไปเหมือนลืมตัว


“ก็ไม่ได้ขัดใจมากนักหรอกคะคุณยาย แต่ว่าคุยกันทีไรมุกรู้สึกว่ารำคาญความเชื่องช้า เอื่อยเฉื่อย ดูเหมือนว่าพี่วินจะใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยเกินไป ไม่ค่อยอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อก้าวไปข้างหน้าเท่าใดนัก ก็เลยรู้สึกว่านี่ถ้ามีแฟน…”
ยังไม่ทันได้พูดจนจบประโยค หญิงชราก็แย้มยิ้ม แล้วเอามือแตะเข้าที่แขนเด็กสาวเบาๆ


“นี่หนูมุก อย่างนั้นเขาไม่เรียกว่ารำคาญหรอกนะจ้ะ คุณยายจะบอกว่านั่นมันความห่วงใยต่างหากละ อ้อ ดูจะมีอาการน้อยใจแฝงด้วยอยู่ด้วยนะนั่น”


มุกดาอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ใบหน้าแดงซ่าน รู้สึกเหมือนมีใครเอาน้ำเย็นราดรดศีรษะ หนาวเย็นจนกระตุกไปทั้งร่าง


“คุณยาย มุกแค่…”


“มานี่เถอะ” แม่แก่ว่า พลางลุกขึ้นจากที่นั่ง



“ไปเดินเล่นข้างล่างเถอะ แม่หนู”


มุกดา ลุกขึ้นแล้ว ก้าวเข้าพยุงร่างของหญิงชราที่กำลังก้าวลงจากบันไดบ้าน


ชั่วอึดใจแม่แก่ก็พาเด็กสาวมายืนอยู่บนลานบ้าน แล้วยกมือชี้ไปที่ต้นลั่นทมที่แตกดอกออกช่ออยู่ใกล้กับรั้วประตู สีขาวของดอกกระจ่างอยู่ในความมืดของราตรี


“เห็นนั่นมั๊ย ต้นลั่นทม ที่คนสมัยนี้เขาเรียกลีลาวดี ต้นนั่นวินเขาปลูกด้วยตัวเองกับมือเชียวนะ เขาปลูกมันทั้งๆ ที่ตอนนั้น ใครเขาก็ไม่ปลูกกันไว้ในบ้าน คนสมัยนั้นเขาพูดกันว่าลั่นทมจะนำเอาแต่ความเศร้ามาให้เหมือนชื่อของมัน จะปลูกกันสมัยนั้นก็มีตามวัด หรือป่าช้าฝรั่งเท่านั้น แต่ที่จริงลั่นทม ไม่ใช่มีความหมายว่าระทมหรอกนะลูก แต่หมายถึงการละแล้ว หมดสิ้นแล้วซึ่งความโศกเศร้าต่างหาก”


หญิงชราถอนหายใจ แล้วเอามือจูงเด็กสาวเข้าไปสูดกลิ่นหอมของดอกลั่นทม


“เห็นมั๊ยหนูมุก ดอกมันหอมฟุ้งเสียเหลือเกิน วินเขาปลูกต้นไม้ต้นนี้ หลังจากคุณแม่ของเขาเสียไม่นาน จะบอกว่าเป็นต้นไม้ที่เป็นตัวแทนความคิดถึงของเขาต่อคุณแม่ที่จากไปก็ได้นะ”



มุกดานิ่ง รู้สึกเหมือนหัวใจตกวูบลง หันสายตาเหลือบขึ้นมองชั้นบนของตัวบ้าน หน้าต่างของห้องที่เจ้าของไม่อยู่กำลังเปิดอ้าอยู่ แต่มองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด ลมแรงทำให้ม่านตรงหน้าต่างพลิ้วไหวไปมา


แม่แก่เดินนำต่อไปอีก คราวนี้วกเดินไปทางหลังบ้าน ผ่านโต๊ะไม้ใหญ่ ไปยืนนิ่งอยู่ตรงหลังบ้าน ที่มีกอของดอกเฟื่องฟ้าทั้ง สีแดง สีชมพู และสีขาว เบ่งบาน แต่บางดอกก็ร่วงโรย ปลิวกระจายอยู่เต็มพื้นไปหมด



มุกดาหลับตาลง ถอนใจเงียบๆ เดินตามหญิงชรามาด้วยอาการเงียบสงบ


แล้วแม่แก่ก็พูดขึ้น


“วิน เขาก็เหมือนต้นเฟื่องฟ้าพวกนี้ เป็นต้นไม้ธรรมดา ที่เห็นกันอยู่ดื่นดาษทั่วไป แต่หนูมุกสังเกตให้ดี แค่เอาปลูกลงดิน รดน้ำ ใส่ปุ๋ย ไม่ต้องดูแลอะไรนัก มันก็แตกดอก งดงาม ให้เราชุ่มชื่นได้เสมอ”


หญิงชราเอามือกุมเด็กสาวไว้แน่น


“แน่ละ เฟื่องฟ้าพวกนี้ โดนฝน ลมแรงเข้าหน่อย ดอกก็ร่วงพรูลงจากต้น ปลิวกระจายไปทั่วเลย เห็นมั๊ย แต่ไม่ช้ามันก็แตกดอก ออกช่อ มาใหม่อีก เหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เป็นต้นไม้ที่เกิดง่าย ตายยาก ไม่เคยเรียกร้องการดูแล หรือกระหายความรักจากเจ้าของอะไรเลย เข้าใจมั๊ยจ้ะ”


มุกดาใจสั่น ไม่อยากพูดอะไรต่อ เสียงที่พูดเจื้อยแจ้วเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาเงียบสนิท มีอารมณ์อันแห้งแล้งแฝงอยู่ในหัวอก รู้สึกถึงความเหงาหงอยบางอย่าง


“หนู อย่าขัดเคือง หรือรำคาญหลานชายของคุณยายไปหน่อยเลยนะ วินเค้าอาจจะไม่ใช่ผู้ชายที่ดีเด่อะไรนัก ออกจะน่าเบื่อเสียหน่อยๆ ด้วย แต่เป็นคนที่จริงใจกับทุกคน ไม่เรียกร้อง ไม่ไขว่คว้าอะไรที่มันเกินตัว”



แม่แก่หันมาสบตากับเด็กสาวตรงๆ แล้วเอามืออันเหี่ยวย่นลูบเข้าที่ศีรษะ


“วินเขากำลังทุกข์ และทุกข์อย่างแสนสาหัส”



หญิงชรายืนนิ่ง น้ำเสียงแผ่วเบา


“ชีวิตของหลานชายของยายคนนี้ ก็มีแค่บ้านหลังนี้ ตากับยาย หลวงพ่อที่วัดป่า แล้วก็คุณแม่ที่จากไปแล้ว พูดกันตามจริงแล้ววินแทบไม่มีใครอีกเลย พอแม่ตาย ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”


“แต่อย่างน้อยเขาก็คิดว่ายังมีใครที่ผูกพัน มีความห่วงใยให้กันอยู่บ้าง หนึ่งในนั้นหนูคงเดาออกนะ พี่สาวของหนูนั่นไง”


มุกก้มลงมองมือตัวเองที่อยู่ดีๆ ก็สั่นระริกขึ้นมา


“ใช่แล้วจ้ะ หนูเกด เพื่อนที่คบหากันแต่เด็ก ผูกพันกันยาวนาน แถมเป็นลูกกำพร้าเหมือนกันอีกต่างหาก คุณยายรู้ว่า หลานชายของยายคนนี้คิดยังไงกับพี่สาวของหนูมุกนะ รู้มาตลอดเลย”


มุกดาก้มศีรษะลง เหมือนจะไม่ให้น้ำในดวงตาที่ไหลซึมออกมาปรากฎต่อหญิงชราผู้แสนใจดี


“ถ้าอย่างนั้น ทำไมเขาถึงไม่บอกกับพี่เกดคะคุณยาย เพียงแต่บอกบางที…” หญิงสาวพูดโดยไม่เงยหน้า


หญิงชราจับมือมุกดาเอาไว้ แล้วพูดขึ้น


“คุณยายไม่รู้หรอก ไม่รู้เลยจริงๆ”


มุกดาเงยหน้าขึ้น น้ำตาคลอแล้วไหลหยาดลง


หญิงชราสะดุ้งขึ้นนิดนึง เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กสาวตรงหน้า พลางใช้หลังนิ้วป้ายเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม แล้วดึงร่างของมุกดาเข้ามากอด


อารมณ์ ความรู้สึกที่ซุกซ่อนอยู่ในใจมานาน แสดงตัวออกมาอย่างไม่อาจปิดบังไว้ได้อีกต่อไป


หญิงชราใช้มือลูบเบาๆ ที่หลังของหญิงสาวรุ่นหลาน


“โธ่เอ๊ย ลูก คุณยายขอโทษนะ คุณยายไม่รู้…”


มุกดากระซิบตอบเบาๆ เป็นเชิงรับรู้


“ไม่เป็นไรหรอกคะคุณยาย มุกไม่เป็นอะไรจริงๆ…”

๒.๑๒.๕๒

บทที่ 16-หลังความทุกข์

แดดทอประกายใสแล้ว ตอนที่ชายหนุ่มเก็บเสื้อผ้า ยาสีฟัน แปรง เครื่องใช้ส่วนตัวลงเป้สีเทาทึม เหลียวมองห้องพักในกุฎิหลังเล็กของวัดป่าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนคว้ากระเป๋าเป้กระชับเข้ากับแผ่นหลัง แล้วก้าวเดินลงมา


ฝูงนกบนต้นไม้ที่ตั้งอยู่รายรอบวัดป่าส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวทักทาย ท้องฟ้ามีเมฆขาวก้อนเล็ก ก้อนใหญ่ กระจายอยู่เป็นกระจุก แต่ก็ไม่มืดครึ้มเหมือนหลายวันที่ผ่านมา
แม้เขายังรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอันไม่ปกตินักของตัวเองเท่าใดนัก แต่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่วัดป่าแห่งนี้ความรู้สึกเบาโหวง ท้อ และเหนื่อย ที่อยู่ภายในก็ดูคลายลงไปอย่างมาก


แน่ละ ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน วินบอกกับตัวเองว่า ไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจคำสอนของหลวงพ่ออย่างลึกซึ้งชนิดแทงทะลุได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้เรื่องการมีสติ


สามารถเปิดใจรับความทุกข์ด้วยการไม่ถอย ไม่สู้ ไม่อยู่ ไม่หนี ได้ดีขึ้น


ชายหนุ่มเดินไปคิดไป ยิ่งทอดสายตามองพรรณไม้ที่ปลูกเรียงราย เห็นพุ่มใบ ดอก กิ่งก้านที่แผ่ขยายให้ความร่มเย็น ยิ่งได้คำตอบกับตัวเองว่า ต้นไม้ตั้งตระหง่าน ให้ร่มเงากับแผ่นดิน เติบโตงดงามได้ ล้วนแล้วแต่ต้องผ่านแดด ฝน ลมแรง และการสลัดใบครั้งแล้วครั้งเล่า


ความรู้สึกอันสงบเย็นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เมื่อเห็นร่างของหลวงพ่อมาปรากฎอยู่เบื้องหน้า รอยยิ้มบางๆ ดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความกรุณา ทำให้วินเดินเข้าไปหาเหมือนลืมตัว


หลวงพ่อยืนสงบนิ่งอยู่หน้ากุฎิ พลางพยักหน้ารับเมื่อวินก้มลงกราบ


“ถึงเวลาต้องกลับเสียทีสินะ โยม”


หลวงพ่อกล่าวเพียงสั้นๆ แล้วก็เดินนำหน้าไปตามถนนที่ทอดยาว โดยมีชายหนุ่มเดินค้อมหลังตามด้วยอาการสงบ


“มาอยู่เป็นอาทิตย์แล้ว ห่วงร้านต้นไม้ แล้วก็ห่วงพ่อแก่ แม่แก่ ด้วยครับ”


หลวงพ่อชะลอฝีเท้าลง ก่อนหันหน้ามาทางชายหนุ่ม


“ถ้าโยมมีเวลาก็มาอีกสิ มาอยู่ที่นี่ เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง อยู่กับความเงียบ มันจะช่วยดูแลและรักษาความเจ็บปวดของตัวเองได้ดี”


ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนถอนหายใจออกมายาวๆ


เดินมาได้ครู่ใหญ่ หลวงพ่อก็พาวินมายืนหยุดอยู่บนลานโล่ง บนเนินเขาขนาดไม่สูงนัก มีต้นไม้ใหญ่รายล้อมโดยรอบ มองออกไปเห็นแต่ความดกครึ้มของแมกไม้นานาพันธุ์แผ่ปกคลุม


“ความผ่อนคลาย อาการเบิกบาน ย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยการเจริญสติ แม้ว่าจะมีโอกาสฝึกปฎิบัติเพียงสัปดาห์เดียวแต่ก็นับว่าดีแล้ว และกลับไปนี่โยมก็สามารถฝึกฝนต่อด้วยตัวเองได้อีก จำคำหลวงพ่อไว้นะ”


ชายหนุ่มพยักหน้า


“ในชีวิตของมนุษย์เราไม่มีอะไรที่เราต้องโยนทิ้งไป อย่าพยายามเรียกร้อง หรือมองหาแต่ความสุข เพราะมันเป็นไปไม่ได้ หากไม่เคยรู้จักความเจ็บปวด ไม่เคยสัมผัสความทุกข์ โยมย่อมไม่มีวันรู้จักความสุขอันจริงแท้ได้หรอก”


“หลวงพ่อครับ…ผม”


ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อไป หลวงพ่อก็ชิงกล่าวต่อ


“โยมต้องเรียนรู้วิธีใช้ประโยชน์จากความทุกข์ เพราะความทุกข์จะช่วยบ่มเพาะความสุข เมื่อนั่นละจะทำให้โยมได้พบเนื้อแท้แห่งความรักที่แท้จริง”


ฟังประโยคนี้แล้ว วินก็ทรุดร่างลงกับพื้นแล้วก้มลงกราบหลวงพ่อด้วยอาการนบนอบอีกครั้ง


“ดูแลโยมพ่อแก่ โยมแม่แก่ให้ดี ใช้ชีวิตให้มีความสุข และมีคุณค่าต่อทุกคน ถ้าจะรักก็รักเถิด แต่ขอให้รักอย่างมีเมตตา ลูกเอ๋ย”


“ครับ หลวงพ่อ ผมจะไม่อ่อนแออีก” ชายหนุ่มรับคำ


หลวงพ่อยิ้มอยู่ในสีหน้าเอามือลูบหัวชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา


“ความรักนั้นเป็นอย่างหนึ่ง การมีคู่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ถึงโยมจะต้องอยู่คนเดียวก็อาจมีความรักได้เช่นกัน แต่ต้องเป็นรักที่ไม่พึ่งพิง เพราะไม่มีใครจะเป็นที่พึ่งให้แก่ใครได้แท้จริง บุคคลที่เป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราก็คือตัวเราเองเท่านั้นแหละ ทำตัวเหมือนพระอาทิตย์ที่ส่องแสงได้เพื่อตัวเองนั่นแหละดีที่สุด”


หลวงพ่อใช้แขนดึงร่างชายหนุ่มให้ลุกขึ้น


“สายแล้ว โยมรีบเดินทางเถิด จำคำหลวงพ่อไว้ ถึงที่สุดแล้วโยมต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง ถึงจะมีความรัก มีคู่ แต่ถึงที่สุดความรักนั่นก็ไม่จีรัง ยั่งยืน ต้องจากพราก แตกดับ กันไปในที่สุด อาตมาเคยผ่านชีวิตเช่นนั้นมาแล้ว โยมก็รู้นี่”


วิน ใช้นิ้วปาดน้ำใสตรงขนตา กลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้ พยักหน้ารับรู้ พลางสบตาผู้บังเกิดเกล้า ที่ขณะนี้คือสงฆ์ผู้ปล่อยวางแล้วทุกสิ่ง


พ่อครับ ขอบคุณครับ


ประโยคหลังชายหนุ่มบอกกับตัวเองในใจ



ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง เกดก็รับหน้าที่เป็นไกด์จำเป็นพาชายหนุ่มผู้มาจากแดนไกลเที่ยวชมวัดพระแก้ว ไปจนถึงวัดโพธิ์ และสถานที่ใกล้เคียงได้เกือบหมด และยังมีเวลานั่งเรือข้ามฟากไปวัดระฆังที่อยู่ตรงข้ามได้อีกด้วย


ระหว่างเดินทอดน่องเที่ยวชม ชายหนุ่มสอดส่ายตามองสิ่งก่อสร้างอันสวยงามอย่างตะลึงลาน ปากก็เอ่ยถามข้อสงสัยด้วยความสนใจใคร่รู้


แต่บางขณะ “คุณเช” ก็เล่าเรื่องของลามะ ริมโปเช โลซัง แห่งดัลวา ให้ฟังพอสังเขป เกดรับฟังอย่างสนอกสนใจ


ดูเหมือนว่า ริมโปเช โลซัง จะเป็น “สังฆราชา” ที่ชาวดัลวา ทุกคนให้การยอมรับนับถือ มีผู้คนให้การกราบไหว้มากมาย


หน้าที่สำคัญของลามะเฒ่าก็คือ ถ่ายทอดคำสอนของพระพุทธเจ้าให้แก่ศิษย์ หรือบุคคลที่สนใจ นอกจากนั้นยังมีหน้าที่เขียนคัมภีร์เพื่อประกาศศาสนาอีกด้วย
ฟังถึงตอนนี้แล้ว เกดรีบท้วงขึ้น


“คุณเชเล่าได้สนุก เห็นภาพชัดเจนดีมาก น่าสนใจดีคะ ท่าทางคุณเชจะเคยพบลามะคนที่ว่าบ่อยกระมังคะ แต่เรื่องพวกนี้ถ้าเล่าให้วินเขาคงสนใจมาก รายนั้นเป็นคนใกล้วัดใกล้วา ใกล้ศาสนา นี่ถ้าหาแฟนไม่ได้ เกดจะไม่แปลกใจเลยคะถ้าเพื่อนของเกดจะบวชเป็นพระ”


ชายหนุ่มได้แต่เลิกคิ้วขึ้นสูง ดูเหมือนชายหนุ่มที่ชื่อวินจะมีอะไรที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย


เกดขบยิ้ม พลางเดินนำชายหนุ่มพ้นจากท่าน้ำแล้วเดินเรื่อยมาถึงสโมสรราชนาวี แล้วเดินนำหน้า ลัดเลาะผ่านทหารยามเข้ามาทางด้านใน จึงเห็นร้านอาหารของสโมสรทหารเรือที่ตบแต่งไว้สวยงามปรากฎอยู่ตรงหน้า


“เข้าไปเถอะคะ วันนี้เกดเป็นเจ้ามือเอง”


หญิงสาวไม่รอฟังคำตอบ เดินนำผ่านห้องอาหารติดแอร์ที่มีผู้คนนั่งทานอาหารอยู่บางตา แล้วพาทะลุออกไปทางด้านนอกของร้าน ซึ่งยื่นออกไปติดกับแม่น้ำกว้าง ลมแรงของแม่น้ำพัดมาปะทะใบหน้า เกดหันหน้ามาพยักหน้า แล้วชี้ไปที่โต๊ะที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำซึ่งยังว่างอยู่


“ตรงนั้นเถอะคะ บรรยากาศดีๆ กินอาหารไปฟังเรื่องของดัลวาไป คงเพลินดี”



“ร้านนี้สวยดีนะครับ”


“ค่ะ ที่สำคัญก็คือ อาหารอร่อย ราคาไม่แพง”


เกดตอบไปแล้ว ก็หันไปสั่งอาหารจากบริกรของร้านอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหันกลับมาสนทนากับชายหนุ่มด้วยท่าทีกระตือลือร้นเหมือนเดิม


“ต่อเลยนะคะ ที่พูดค้างไว้ คือวิน เพื่อนของเกด เขาชอบเรื่องอะไรอย่างนี้ พวกวัดวา ศิลปวัฒนธรรม”


“แล้วอีกอย่าง…”


หญิงสาวยกแก้วน้ำขึ้นจิบ เสียงที่พูดเบาลงนิดนึง


“คุณพ่อของเพื่อนเกดนะ บวชเป็นพระ บวชมาหลายปีแล้วที่วัดป่าแถวบ้านเกิดนะคะ บวชมาตั้งแต่แม่ของวินเขาเสียได้ไม่นานนัก”


“งั้นหรือครับ ผมไม่ทราบมาก่อน” ชายหนุ่มพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง


“วิน เค้าก็เลยโตมากับคุณตากับคุณยาย เลยเรียกตากับยายว่าพ่อแก่ แม่แก่ ไปเสียเลย เวลาปิดเทอมก็ลงไปใต้อยู่กับหลวงพ่อประจำ เพิ่งมาห่างกันเมื่อตอนทำงานแล้วนี่แหละ นี่ตอนนี้ก็กลับไปเยี่ยมหลวงพ่ออีก ไม่กี่วันคงกลับขึ้นมาแล้ว เกดเลยบอกว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนใกล้วัดไงคะ”


ชายหนุ่มนั่งนิ่งมองหญิงสาวเล่าเรื่องของเพื่อนด้วยเสียงอันเจื้อยแจ้ว รู้สึกอยากรู้จักเพื่อนชายของเกดให้มากขึ้นกว่าเดิม


“แล้วกัน ตั้งใจจะมาฟังคุณเชเล่าเรื่องดัลวาแท้ๆ แต่ปรากฎว่ากลายเป็นเกดเล่าเรื่องของตัวเองไปเสียนี่”


“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพลินดีออก”


หญิงสาวส่ายหน้าไปมาแสดงอาการไม่เห็นด้วย แล้วหัวเราะขึ้นมาอย่างนึกขัน


ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นมาบ้าง


“พระราชวังดาร์ลัม ก็เหมือนกับที่เกดอ่านหนังสือนั่นละครับ เป็นพระราชวังสีขาว ตั้งอยู่บนไหล่ผา มีเทือกเขาสูงที่มีหิมะปกคลุมจนขาวโพลนเป็นฉากหลัง และเป็นที่ประทับของกษัตริย์เดเช็น แล้วก็…”


พูดได้แค่นี้ชายหนุ่มก็สบตากับหญิงสาว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันไม่ปกติในประโยคต่อมา


“แล้วยังเป็นที่ประทับของเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์เซโม รวมทั้งรัชทายาทด้วย”


“รัชทายาทหรือคะ อืมม์-น่าสนใจจัง เกดไม่เห็นในหนังสือพูดถึงเท่าไหร่ แล้วหน้าตาเป็นยังไงคะ คงหล่อระเบิดเลยละสิท่า อ้อ จำได้แล้วคะ ยายมุกเคยบอกไว้เหมือนกัน เจ้าชายโดร์เช ใช่มั๊ยคะ”


ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคงอย่างเยือกเย็น


“ครับ เจ้าชายโดร์เช”


เสียงพูดนั้นแผ่วเบา แหบแห้งเสียจนเจ้าของเสียงยังนึกแปลกใจ


“โดร์เช ชื่อแปลกจัง มีความหมายบ้างมั้ยคะ”


“โดร์เช แปลว่าสายฟ้าครับ”


“มีความหมายดีจังเลยคะ อย่างนีม่า เพื่อนของยายมุก ชื่อก็เพราะดีเหมือนกัน เกดว่านะ”


ชายหนุ่มผงกศีรษะลง


“นีม่า แปลว่า พระอาทิตย์ ซึ่งก็เหมาะกับเค้าดี นีม่า เป็นผู้หญิงที่ฉลาด มีความคิด เหมือนพระอาทิตย์ที่ส่องแสงให้กับโลกของเราไงครับ”



หญิงสาวยิ้ม


“ที่ดัลวาเขาเป็นอย่างนี้กันหมดเลยหรือคะ มีอะไรที่ลึกซึ้ง มีความหมายไปหมด แม้แต่การตั้งชื่อ”


ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวตรงหน้า แต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา


“ว่าไงคะ คุณเชเงียบไปเลย อยากฟังเรื่องดัลวาต่อนะคะ ฟังแล้วอยากไปเที่ยวมั่ง ยิ่งพระราชวังดาร์ลัมด้วยแล้ว อื้อฮือ คงจะสวยงามมาก”


“ก็ไปสิครับ ไปดัลวา ไปเที่ยวก็ได้ หรือจะไปอยู่เลยผมก็คงยินดีมาก”


เกด เอามือปิดปากหัวเราะ ดวงตาเป็นประกายใส ก่อนจะยักไหล่อย่างขัดเขิน


“แหม คงไม่มีปัญญาหรอกคะ เงินจ่ายค่าเครื่องบินยังไม่พอเลย ถ้าคุณเชออกให้ก่อนแล้วเกดผ่อนเดือนละ 500 ละก็พอได้ แต่กว่าจะหมดคงหลายปี”
แต่คราวนี้ชายหนุ่มไม่หัวเราะตามไปด้วย


“ยังไงก็ได้ครับ ขอให้เกดไปเถอะ ผมจะพาเข้าไปชมภายในพระราชวังด้วย”


คราวนี้เกดทำตาโต ยื่นหน้าเข้ามาชิด ก่อนกระซิบถามว่า


“จริงหรือคะ ไม่เอาหรอกคะ เกรงใจ ว่าแต่ว่าคุณเช สามารถพาใครเข้าไปชมในพระราชวังดาร์ลัมได้จริงหรือ ไม่ใช่สถานที่หวงห้ามสำหรับคนทั่วไปหรอกหรือ เกดเข้าใจถูกมั๊ยคะ”


ชายหนุ่มพยักหน้า เหลียวมองไปรอบร้านอาหารริมแม่น้ำ ที่ขณะนี้ผู้คนเริ่มหนาตา บริกรในร้านต้องทำงานเป็นพัลวัน ไม่มีใครสนใจใครกันนัก


เขาถอนหายใจยาว และรู้สึกนานเหลือเกินกว่าจะพูดประโยคที่เตรียมไว้ออกมาได้


“เข้าใจถูกแล้วครับ ดาร์ลัม เป็นสถานที่หวงห้าม แต่ผมสามารถพาเข้าไปชมได้ทุกซอกทุกมุม อย่ากลัวไปเลย”


“เพราะว่า…”


“เพราะอะไรคะ”



“ผมรู้จักคนที่นั่นครับ รู้จักคนที่พระราชวังดาร์ลัม”


หญิงสาวทำท่าจะหัวเราะออกมา แต่เห็นสีหน้าอันเคร่งขรึมของชายหนุ่มเบื้องหน้าแล้วทำให้หัวเราะไม่ออก ไม่แม้แต่ยิ้ม


รู้สึกเหมือนมีสิ่งไม่ปกติเกิดขึ้น


แล้วจู่ๆอะไรก็ไม่รู้ ดลใจให้เกด นึกถึงชื่อของชายหนุ่มขึ้นมา



“เดี๋ยว มุกจะให้นีม่า ช่วยหาพระฉายาลักษณ์ของเจ้าชายโดร์เชให้ ดูสิว่าจะสูสีกับคุณเชของพี่เกดหรือ

เปล่า ว่าแต่เช กับ โดร์เช มันคล้ายกันจังนะ มุกว่า”


เสียงของน้องสาวดังขึ้นในห้วงความคิดของเกด


“คุณเช” กับ “โดร์เช” อย่างนั้นหรือ


คิดได้แค่นี้ หญิงสาวก็สะดุ้ง รู้สึกเย็นวาบถึงสันหลัง ขนแขนตั้งลุกชันขึ้นมา แล้วก็รู้สึกอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว


เจ้าชายโดร์เช รัชทายาทแห่งดัลวา อย่างนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้






วินนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะด้วยอาการกระสับกระส่าย และพยายามเงี่ยหูฟังเสียง จนในที่สุดก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซด์แผดเสียงเข้ามาใกล้ ก่อนจะลุกขึ้นมองมอเตอร์ไซค์ที่จอดสงบนิ่งอยู่หน้าบ้าน ไม่ช้าก็เห็นหญิงสาวที่นั่งซ้อนท้ายมา ยิ้มทักทายให้


มุกดา ยังดูสดใสเหมือนทุกวัน เสื้อแขนสั้นสีเหลือง และกางเกงยีนส์สามส่วน และร่างเพรียวบาง ทำให้ชายหนุ่มนึกแปลกใจอยู่ครามครันว่า นับวันสองพี่น้องต่างแม่จะมีอะไรที่คล้ายกันอยู่มาก ผิดแต่ว่าในบางอารมณ์ หญิงสาวคนน้องชอบที่จะแสดงอาการปั้นปึ่ง จมูกเชิดรั้น คิ้วขมวด ใจร้อน ปากดี ยามเจอกันอยู่เสมอ
แต่ขณะนี้ รอยยิ้มอันเปิดเผย ดวงตาสุกใส ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด


“พี่วิน กลับมาหนนี้หน้าตาสดใสขึ้นเยอะเชียว”


ชายหนุ่มยิ้มกว้าง


“แต่ก็นั่นแหละ ตัวยังดำเหมือนจรกาไม่เปลี่ยนเลย”


วินหัวเราะอย่างนึกขำ แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ถึงจะโดนล้อเลียน เสียดสี กระแทกด้วยคำพูด กิริยา อยู่เป็นระยะ แต่ทำไมถึงได้รู้สึกถึงความผ่อนคลาย โล่ง ยามพูดคุยกับน้องสาวเพื่อนคนนี้ก็ไม่รู้


“ขอบใจนะ มุก” ชายหนุ่มว่า ในขณะที่เอื้อมมือไปหยิบถุงผ้าจากไหล่ของหญิงสาวแล้วถือพาเดินไปที่ม้านั่งใต้ถุนบ้าน


มุกดานั่งลงบนโต๊ะแล้วก็ถามขึ้น



“คุณยายละ…”


“แม่แก่อยู่บนบ้าน เตรียมเสื้อผ้าให้พี่ คงต้องไปนอนเป็นเพื่อนพ่อแก่ที่โรงพยาบาล 2-3 วันนั่นแหละ”


หญิงสาวพยักหน้ารับรู้


“คุณตาไม่เป็นอะไรมากใช่มั๊ย พี่เกด ฝากบอกว่าเสร็จธุระจะตามไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล”


วินผงกศีรษะ แล้วเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง


“พ่อแก่แค่ป่วยนิดหน่อยนะ เป็นหวัด แล้วก็มีไข้ตามประสาคนแก่ จริงๆ ตอนตรวจเสร็จร้องจะกลับบ้าน แต่พี่ปรึกษากับหมอแล้ว ให้นอนพักที่อยู่ที่โรงพยาบาล 2-3 วันจะดีกว่า กลัวเดี๋ยวมีโรคแทรกซ้อนละแย่เลย”


มุกดาเหลือบตามองชายหนุ่ม ดวงตาที่เคยกราดเกรี้ยว ค้อนประหลับประเหลือกด้วยอาการขัดใจหลายครั้งของหญิงสาวกลับอ่อนโยนลงอย่างน่าประหลาด


“โชคดีที่พี่กลับมาพอดี ไม่งั้นแค่คุณยายคนเดียวคงลำบากแย่”


“นั่นสิ พี่รู้สึกผิดเหมือนกัน ที่ทิ้งบ้าน ทิ้งงาน แล้วก็ปล่อยให้พ่อแก่ แม่แก่อยู่กันตามลำพัง”


น้ำเสียงอันเศร้า ทำให้หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปแตะที่แขนของชายหนุ่มรุ่นพี่เบาๆ


“อย่าลงโทษตัวเองอย่างนั้นสิ ทำตัวเองให้เข้มแข็งหน่อย วันนี้มุกขออนุญาติพ่อกับแม่มาแล้ว จะมานอนค้างเป็นเพื่อนคุณยาย ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ไปดูแลคุณตา แล้วก็ดูแลตัวเองให้ดีด้วย”


แม้ประโยคสุดท้ายดูคล้ายจะเอ๊ด คล้ายจะสั่งสอน แต่ชายหนุ่มกลับนึกขอบใจ


“รู้น่ามุกก็ ถึงอย่างไรก็ต้องขอบใจอยู่ดีนั่นแหละ นี่ถ้าเราสองคุยกันดีได้อย่างนี้ไปตลอดก็ดีนะ”


หญิงสาวคิ้วขมวดขึ้นมาทันทีทันใด


“มันก็ต้องดูเป็นเรื่องๆ ไป พี่ก็ทำตัวให้มันดีหน่อย อย่าอืดอาด เอื่อยเฉื่อย ให้มากเกินไปนัก พูดง่ายๆ ก็อย่าซื่อบื้อ ไม่ได้ความ ให้มุกต้องหงุดหงิดหน่อยเลย”


ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นเบาๆ ไม่นึกโกรธแม้แต่นิดเดียว บางทีเขาอาจเป็นอย่างที่มุกดาว่าก็ได้


“พี่ขอโทษเรื่องที่ผ่านมา…”


หญิงสาวสบตาชายหนุ่มรุ่นพี่ เสียงพูดนั่นแผ่วเบา แต่ให้ความรู้สึกถึงความจริงใจเสียเหลือเกิน


รู้ตัวก็ดีแล้วตาจรกาเอ๋ย


มุกดาพูดกับตัวเองโดยไม่หันไปมองหน้าชายหนุ่มรุ่นพี่ ทำทีเป็นสนใจกอเฟื่องฟ้าตรงหลังบ้าน แต่ภายในใจรู้สึกถึงความอบอุ่นในหัวใจ


ช่างประหลาดนัก

๒๕.๑๑.๕๒

บทที่ 15-รักแท้

“หายใจออกยาวๆ”

“หายใจเข้าลึกๆ”

“หายใจออกแรงๆ”

“หายใจเข้ายาวๆ”


เสียงของหลวงพ่อดังแว่วอยู่ในหู วินหลับตาพริ้มสนิท พยายามปฎิบัติตามคำสอนนั้นอย่างช้าๆ แรกๆ ดูจะติดขัดอยู่บ้าง ทำได้ 3-4 ครั้งก็ลืมตาโพลงขึ้น
เพราะความรู้สึกอึดอัด ทนอยู่ไม่ได้


แต่พอเหลียวมองไปทั่วห้องกว้าง ที่เปิดโล่ง มีสายลมผะแผ่วพัดผ่านเข้ามา และเห็นผู้คนราว 20 คน ในชุดเสื้อขาว กางเกงขาว ทั้งชายและหญิง นั่งหลับตา
สงบนิ่งอยู่ ชายหนุ่มก็พริ้มตาลงอีกครั้ง


อดทนทำตามได้ช่วงพักใหญ่ รู้สึกว่าสามารถหายใจเข้า-หายใจออก ตามคำแนะนำของหลวงพ่อได้ดีขึ้น มีสมาธิมากขึ้นกว่าเดิม


“พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า ธรรมชาติของจิตดั้งเดิมนั้น ประภัสสร บริสุทธิ์ ผ่องใสโดยธรรมชาติ แต่จิตของมนุษย์เรามีความทุกข์ เศร้าหมอง เพราะปล่อยให้
กิเลสครอบงำจิต พยายามหาวิธีแสวงหาความสุข หลบหนีทุกข์ จนไม่รู้วิธีสร้างความสุขจากภายใน โดยลืมนึกถึงคำที่ว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว เมื่อใจดี
คิดดี ก็จะมีความสุข”


วินถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่งเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น


“ทุกคนในโลกนี้ล้วนแล้วมีทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ทุกข์เพราะไม่เคยค้นหาตัวเอง ไม่เคยเข้าใจตนเอง การเจริญอานาปานสติที่พวกโยมกระทำอยู่นี้ก็เพื่อให้ทุกคนมี
สติ รู้เท่าทัน ไม่ปล่อยให้จิตหลงไปตามกิเลส มองเห็นอารมณ์ภายใน รักษาจิตใจของตัวเอง”


ชายหนุ่มลืมตาขึ้น และมองเห็นหลวงพ่อกำลังมองมาด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ


“ปัญหาทุกอย่างล้วนแล้วแต่แก้ได้ทั้งนั้น แต่ที่มนุษย์เรามัวแต่ทุกข์อยู่กับมัน ก็เพราะปล่อยให้อารมณ์ยึดมั่นถือมั่นมากจนเกินไป เมื่อทุกคนมีสติ เข้าใจถึง
ธรรมชาติของตัวเอง ไม่มีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางความเห็นแก่ตัว สุขภาพใจก็จะดีขึ้น ทุกข์ก็จะคลายลง”


ฟังเช่นนี้แล้ว วินก็หลับตาลง กำหนดลมหายใจเข้า-ออกของตัวเองอย่างมีสมาธิมากกว่าเดิม





เสียงน้ำไหลพัดแว่วมา ในขณะที่ชายหนุ่มเดินอย่างเนิบช้าผ่านสุมทุมพุ่มไม้ สูดกลิ่นหอมระรวยของต้นไม้ ใบหญ้า ก่อนจะมาหยุดนิ่งอยู่ตรงบึงน้ำกว้าง รู้สึก
เหมือนความสงบแผ่ซ่านอยู่ในหัวอก


วินทรุดร่างลงบนหินใหญ่ก้อนหนึ่งใกล้บึงน้ำกว้าง เมฆบนฟ้าสวยกระจ่างกว่าทุกวัน แล้วจู่ๆ จิตกระหวัดนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อหลังร่วมทำอานาปานสติ
กับผู้ปฎิธรรมคนอื่นๆ ขึ้นมา


“โยมเป็นคนจิตใจงาม อ่อนโยน กตัญญูรู้คุณ เป็นคุณสมบัติที่หลวงพ่อภูมิใจอยู่เสมอ แต่โยมก็เป็นเหมือนปุถุชนทั่วไป ที่ไม่ค่อยดูแลจิตใจของตัวเอง ปล่อย
ให้จิตใจคิดถึงแต่เรื่องของคนอื่น การดูคนอื่นไม่ผิดหรอก แต่เราควรดูคนอื่นเพื่อพัฒนาตัวเอง เพื่อมาปรับปรุงแก้ไขตัวเองมากกว่า ขอให้โยมสนใจ เอาใจใส่ตัว
เองเพิ่มขึ้น ทุกข์ทั้งหลายก็จะคลายไปเอง”


ชายหนุ่มจำได้ว่า บอกกับหลวงพ่อว่าจะพยายามทำให้ดีกว่าเดิม


“โยมไม่ผิดที่มีความรัก แต่จะต้องรักอย่างมีเมตตา คือมีความปรารถนาให้เขามีความสุข รักษาใจ รักษาความรู้สึกที่ดีเอาไว้ ไม่มีความรักซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิด
ความทุกข์ และยังต้องรู้จักรักและอภัยตัวเองอีกด้วย”


ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีน้ำเย็นเทรดลงบนศรีษะอย่างเชื่องช้า ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก แต่ภายในกลับสว่างวาบขึ้นมา


“ถ้าโยมเข้าใจเนื้อแท้แห่งความรัก และรักอย่างมีธรรมะแล้ว โยมก็จะเข้าใจว่า หากมีความมั่นคงภายใน ความรักอย่างมีอิสระก็จะเกิดขึ้น พร้อมจะให้ความรัก
โดยไม่หวังผลตอบแทน คือ เขาจะรักเราหรือไม่ก็ไม่สนใจ แต่เราจะให้ นั่นก็พอแล้ว”


วินน้ำตาคลอเมื่อได้ยินคำสอนอันแทงทะลุถึงก้นบึ้งของหัวใจ


“ถึงเขาจะไม่รักก็ไม่เป็นไร ขอให้โยมรักเขา ปรารถนาดีต่อเขา คิดได้เช่นนี้ ความรักมันไม่ได้หายไปไหนหรอก และไม่ได้จืดจางลงไปอีกด้วย นี่ต่างหากคือความ
รักที่แท้ เข้าใจหรือไม่โยม”


เขาผงกศรีษะ ก้มมองพื้น พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว




สองหนุ่มสาวพบตัวเองกำลังเดินอยู่บนฟุตบาทกว้าง ในถนนสายยาวที่วางตัวขนานไปกับแม่น้ำใหญ่ ลมระรวยของแม่น้ำลอยมาปะทะหน้าอยู่เป็นระยะ
ชายหนุ่มมัดผมยาวเป็นระเบียบ เสื้อแขนยาวปล่อยชาย สีเทาทึมของเสื้อเข้ากับสีดำของกางเกงยีนส์ได้ดีทีเดียว แต่ที่ดูสะดุดตากว่าเพื่อนเห็นจะเป็นประคำ
ตรงลำคอ และกำไลเงินบนข้อมือ


อ้อ น่าจะรวมถึงนัยน์ตายิบหยีคู่นั้นด้วย


เกดเองก็ดูแปลกตากว่าทุกวัน ผมยาวสลวยดูเป็นประกาย ในขณะที่บนลำคอขาวผ่องมีสร้อยกางเขนเล็กๆ เพิ่มความผุดผาด เสื้อแขนสั้นสีน้ำเงิน กระโปรง
สั้นสีขาว และรองเท้าผ้าใบสีชมพูลายดอกไม้ ดูกลมกลืนอย่างน่าประหลาด


“คุณเชคงจะชอบแม่น้ำมาก” เกดเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตุเห็นชายหนุ่มเหลียวมองแม่น้ำกว้างนั่นอยู่เป็นระยะ


“ครับ ดูแล้วคิดถึงบ้าน”


“อ้าว แล้วกัน คิดถึงก็กลับไปสิคะ”


ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ยิ้มอ่อนก่อนตอบกลับไปว่า


“คงอีกสักพักแหละครับ มีธุระต้องทำอีกนิดหน่อย”


เกดเลิกคิ้วสูง แล้วพยักหน้าแสดงอาการรับรู้


ทั้งคู่เดินเคียงกันลัดเลาะผ่านซอยเล็กๆ 2-3 ซอย ข้ามถนนสองสามครั้ง ก่อนจะเห็นสะพานใหญ่ข้ามแม่น้ำตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า


“เห็นสะพานอีกแล้ว สะพานข้ามแม่น้ำซะด้วย จะทำให้คิดถึงบ้านอีกมั๊ยคะเนี่ย”


ชายหนุ่มนึกขันเสียงยั่วล้อของหญิงสาวไม่ได้


“ไม่หรอกครับ”


หญิงสาวฉุดมือชายหนุ่มให้ก้าวผ่านทางม้าลาย


“รีบเข้าเถิดคะ เดินอีกนิดเดียวก็ถึงวัดพระแก้วแล้ว”


“ได้ครับ แต่ไม่ต้องจูงมือหรอกนะครับ ผมเดินเองได้”


เกดหัวเราะแก้เขิน ปล่อยมือจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ก่อนจะค้อนใส่เป็นวงพองาม


ชายหนุ่มหายใจยาวเงียบๆ เสน่ห์ของผู้หญิงคนนี้คงอยู่ที่ความอ่อนโยน ผสมผสานกับอาการแง่งอนแต่พองามนี่กระมัง




เกดทำท่าเดินทิ้งระยะเขาไปได้หน่อยหนึ่ง แล้วก็หยุดนิ่งชะม้อยตามองมา แล้วยิ้มน้อยๆ พลางคิดว่า คุณเชดูท่าจะไม่ค่อยชอบอากาศร้อนเท่าใดนักกระมัง
หรือว่าเมื่อยเพราะพาเดินทัวร์มาตั้งแต่ต้นถนนพระอาทิตย์ แต่ละก้าวย่างจึงเชื่องช้ากว่าที่เคยเป็น


แต่วันนี้ ทำไมเขาถึงได้เงียบเชียบผิดปกติ เหมือนมีอะไรอยู่ในใจอย่างนั้นแหละ บรรยากาศบริเวณท่าพระจันทร์ คึกคัก จอแจ เหมือนที่เคยเป็นมา มีผู้คนเดิน
สวนไปสวนมาตลอดเวลา นึกแล้วก็แปลกที่เมื่อได้สวมบทเป็นไกด์จำเป็นเข้าจริงๆ แทนที่จะพาคุณเชไปที่ห้างสรรพสินค้าหรูหรา หรือร้านอาหารเก๋ไก๋ หรือที่มี
บรรยากาศโรแมนติก ทำไมถึงเลือกพาเดินฝ่าแดดร้อนมาละแวกนี้ก็ไม่รู้


เกดบอกกับตัวเองว่า คงไม่เป็นไรหรอกมั๊ง เพราะนับตั้งแต่เริ่มคบหากันมา “คุณเช” ไม่เหมือนผู้ชายหลายคนที่เคยพบเจอมา เป็นคนฉลาด กล้าคิด กล้าพูด
และดูจะไม่ค่อยสนใจสังคมอันฟุ้งเฟ้อ หรือเดินดูข้าวของราคาแพง ในใจกลางกรุงเทพฯเท่าใดนัก


คุณเชดูจะชอบชีวิตง่ายๆ เดินเลียบฟุตบาท มองแม่น้ำกว้าง และตื่นตาตื่นใจไปกับวิถีของชาวบ้าน อย่างที่ปรากฎต่อสายตาอยู่ในขณะนี้มากกว่า


หญิงสาวยืนนิ่งรอเขาอยู่ตรงหน้าร้านขายยาจีนโบราณตรงหัวมุม แล้วเอียงหน้าไปมองพลางล้อขึ้นว่า


“เป็นยังไงบ้างคะ พญาน้อยชมตลาด สนุกมั๊ย”


“สนุกมากครับ แต่ถ้ามาคนเดียวผมคงเบื่อแย่”


เกดรู้สึกตัวเองหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที เมื่อโดนชายหนุ่ม “รุก” แบบไม่ให้ตั้งตัวติด


“แหม พูดอะไรอย่างนั้น”


ชายหนุ่มได้แต่หัวเราะเบาๆ


หญิงสาวแก้อาการขัดเขินของตัวเองด้วยการยกมือชี้ไปยังลานกว้างเบื้องหน้าแล้วพูดขึ้นว่า


“เดินมาตั้งไกลแล้ว คงเหนื่อยบ้างละ คอแห้งบ้างมั๊ยคะเนี่ย ตรงท่าช้างโน่นมีร้านกาแฟอยู่ร้านนึง แวะไปดื่มอะไรกันก่อนนะคะ”


พูดแล้วเกดก็เดินดุ่มนำหน้าไป


ชายหนุ่มยิ้มในสีหน้า พลางก้าวเดินตามหลังเข้าไปในร้านกาแฟที่ว่านั่น โดยไม่ได้แสดงอาการหรือพูดอะไรที่จะทำให้หญิงสาวขวยอายอีก


ร้านกาแฟแห่งนั้นเป็นร้านเล็ก แต่ก็ตบแต่งได้น่ารัก เป็นร้านที่เปิดโล่งรับลมเย็นจากแม่น้ำ ตั้งอยู่ห่างจากท่าเรือข้ามฟากไม่ไกลนัก ผู้คนในร้านขณะนี้ มีเพียง
หญิง-ชายต่างชาติคู่หนึ่งนั่งคุยกันอยู่เงียบๆ อยู่ตรงมุมหนึ่ง


“นั่งสิคะ เดี๋ยวเกดไปสั่งเครื่องดื่มให้ เอาอะไรดีคะ กาแฟเย็นมั๊ย” หญิงสาวว่าพลางรุนหลังชายหนุ่มให้นั่งตรงโต๊ะเล็กติดกับริมแม่น้ำ


“ผมสั่งให้เองไม่ดีกว่าหรือครับ” ชายหนุ่มทักท้วงขึ้น


เกดส่ายหน้า


“ไม่ต้องหรอกคะ นั่งพักเถอะค่ะ คุณเชเป็นแขกของเกดนะคะ อย่าลืมสิ”


ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ มองตามร่างหญิงสาวที่เดินลิ่วไปสั่งเครื่องดื่ม แล้วก็ต้องบอกกับตัวเองว่า แปลกเหลือเกิน ทำไมถึงได้รู้สึกผูกพันกับเธอเสียมากมาย
พยายามหาเหตุผลว่าทำไมจึงได้ชอบทุกอิริยาบถของหญิงสาว ชอบฟังเสียงที่เธอพูด ชอบเรื่องเล่าที่สรรหามาคุยมากมาย ไหนจะรอยยิ้ม เสียงหัวเราะนั่นอีก
ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติไปหมด


อยากรู้เหมือนกันว่า เธอจะมีความรู้สึกเหมือนกับเขาบ้างมั๊ยหนอ อยากรู้จริงๆ





“วิน เขาเป็นคนยังไง”


“คะ…”


หญิงสาวพูดได้แค่นั้นจริงๆ เมื่ออยู่ดีๆ ก็เจอกับคำถามที่ไม่คาดคิดมาก่อน และไม่รู้จะเริ่มต้นตอบอย่างไรดี


“ก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เป็นผู้ชายที่หน้าตาไม่เลว แต่ก็ไม่มีแฟนกับคนอื่นเขา ยายมุกชอบค่อนขอดว่าเป็นผู้ชายซื่อบื้อ แล้วก็ขี้อายนิดๆ ซึ่งก็เกินไปหน่อย วินมีข้อ
ดีหลายอย่าง เพื่อนคนอื่นๆ พ่อ แล้วน้าเยาว์ ก็พูดคล้ายๆ ที่เกดพูดนี่แหละคะ คือวินเป็นผู้ชายใจดี เสมอต้นเสมอปลาย สำหรับเกดแล้ว วินเป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้
มากที่สุด เป็นเพื่อนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเสมอ”


“ถ้าอย่างนั้น ทำไมเกดกับวิน ถึงได้เอ้อ…ไม่เป็นแฟนกัน”


เกดเอามือปิดปากหัวเราะ


“ไม่รู้สิ ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนกับคนรัก มันไม่เหมือนกันหรอกนะคะคุณเชก็”


“แล้วอีกอย่าง…” หญิงสาวทอดเสียงยาว


“อะไรครับ”


“เกดเชื่อคำกล่าวที่ว่า ความรักเหมือนผีเสื้อ”


“ไม่เคยได้ยินเลยครับ” ชายหนุ่มว่า


“ก็ผีเสื้อนะ เวลาเราวิ่งตามมันก็จะยิ่งบินหนีห่าง แต่ถ้าปล่อยให้มีโบยบินอย่างอิสระ มันก็จะวิ่งเข้ามาหาเราเองนั่นแหละ”


เกด แปลกใจตัวเองที่พูดออกไปเช่นนั้น แต่นั่นก็เป็นความรู้สึกที่แท้จริงที่ต้องการบอก แต่ทำไมต้องบอกผู้ชายคนตรงหน้านี่ด้วยเล่า หญิงสาวไม่รู้หรอก
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไป เอามือคลึงถ้วยกาแฟไปมา แล้วทอดสายตามองออกไปยังแม่น้ำสีเขียวเบื้องหน้า


“คราวนี้เกดเป็นฝ่ายถามบ้างนะคะ…”


“ฮะ…อะไรนะ”


หญิงสาวยิ้มเมื่อเห็นอาการงุนงงของ “คุณเช”


“ว่าไงคะ…ได้มั๊ย”


ชายหนุ่มพยักหน้า สบตากับหญิงสาวตรงๆ


“เกด อยากรู้ว่า คุณเช เดินทางมาจากดัลวาด้วยจุดประสงค์อะไรคะ คงจะไม่ใช่เป็นเพราะว่าตามหาผู้หญิงคนเดียว นั่นมันเทพนิยายเชียวนะคะ”


“คุณเช” ถอนหายใจยาว


“มันอาจจะเป็นเรื่องตลกสำหรับคุณ แต่ผมขอบอกว่า เดินทางมาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียว คือ อยากมาดูว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง มีความสุขดีอยู่หรือ
เปล่า”


เกดแทบสำลักน้ำดื่มเมื่อได้ยินคำตอบ ดวงตาเบิกโพลง มือไม้สั่นขึ้นมาอีกครั้ง


“คุณเช…”


“ผมรักที่จะย้อนกลับไปในฤดูร้อนปีนั้นเหลือเกิน ปีที่เราพบกันครั้งแรกที่โบสถ์นั่นไงครับ”


ความปั่นป่วนบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้น หญิงสาวเสหน้าลงมองพ้นโต๊ะ แต่ยังมีแก่ใจถามต่อว่า


“มันไม่ดูแปลกไปหน่อยหรือคะ เจอกันตอนนั้นแล้วก็…”


ชายหนุ่มหัวเราะ


“นี่เป็นคำถามที่ยากมาก เพราะผมเองก็ไม่เคยคิดถึงคำตอบมาก่อน ผมทำตามความปรารถนาจากข้างใน รู้แต่ว่าถ้าผมไม่ได้กลับมาที่นี่อีก ไม่ได้เจอเด็ก


ผู้หญิงคนนั้น ผมคงทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต”


“ตายละ ถึงขนาดนั้นเชียวหรือคะ”


“คุณเช” สบตาหญิงสาว แล้วเห็นแววซุกซนในดวงตาคู่นั้น


“ถามเรื่องอื่นบ้างเถิดครับ อะไรก็ได้”


“งั้นก็…” เกดยื่นหน้าเข้ามา


“เรื่องของดัลวา โดยเฉพาะพระราชวังดาร์ลัม เล่าให้ฟังทีสิคะ เกดอ่านจากหนังสือแล้วคิดว่าคงจะสวยงามมาก คุณเช อยู่ที่นั่นคงต้องรู้รายละเอียดของ
พระราชวังบ้าง แล้วเคยเข้าไปในนั้นหรือเปล่าค่ะ เรื่องนี้คงตอบได้มั๊งคะ”


ชายหนุ่มก้มหน้านิ่ง บางทีช่วงเวลานี้อาจเหมาะสมที่สุดที่จะบอกกล่าวเรื่องราวทั้งหมดแล้วกระมัง


“ผมคงต้องขอเริ่มต้นที่ท่านลามะ”


“ท่านลามะ อย่างนั้นหรือ”


ชายหนุ่มพยักหน้า “ริมโปเช โลซัง คือผู้นำจิตวิญญานของดัลวาครับ”


แล้วภาพของคุรุเฒ่าผู้เปี่ยมด้วยความกรุณาก็ปรากฎขึ้นภายในภวังค์ของชายหนุ่มอีกครั้




เหลื่อมเขาอันสลับซับซ้อนที่มีหิมะปกคลุมขาวโพลนมองเห็นอยู่ไกลลิบ ท้องฟ้ากระจ่างใส


ริมโปชัง โลซัง ลามะเฒ่ายืนสงบนิ่งอยู่บนลานกว้างในอารามเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนผาสูง เสียงลมหวีดหวิวพัดเสื้อคลุมสีเหลืองปลิวไปมา เช่นเดียวกับธงหลากสี
ที่ผูกอยู่ตามมุมเสาที่โบกสะบัดชายเสียงดังผึงๆ


เบื้องหลังของคุรุชราคือ ร่างสูงสง่าของกษัตริย์เดเช็นที่เอามือพระหัตถ์ไขว้ไว้ทางด้านหลัง


“มายืนอยู่ตรงนี้กับท่านลามะทีไร ข้ารับรู้ได้ถึงความสงบ เยือกเย็น” ผู้ปกครองสูงสุดของดัลวาตรัสขึ้น ในขณะที่พระเนตรจ้องไปยังเทือกเขาเบื้องไกล“พระองค์คงไม่ได้เสด็จมาเพื่อสิ่งนี้หรอกกระมัง”


กษัตริย์เดเช็นทรงพระสรวลเบาๆ


“ท่านลามะรู้ใจข้านัก”


ลามะเฒ่าหันหน้ามา ค้อมศรีษะลงเล็กน้อยก่อนกล่าว


“ฝ่าบาทคงเป็นกังวลเรื่องรัชทายาทกระมัง”


“โดร์เช ไปอยู่ที่นั่นนานพอสมควรแล้ว แล้วกับผู้หญิงคนไทยนั่น…”


ริมโปเช โลซัง เป็นฝ่ายหัวเราะขึ้นมาบ้าง


“โปรดวางพระทัยเถิด องค์รัชทายาทจะไม่เป็นไร บางทีอาจจะได้พบหญิงไทยคนนั้นแล้วก็เป็นได้”


ผู้ปกครองสูงสุดของดัลวาได้แต่ถอนพระทัย


“ถึงอย่างนั้นก็เถิด แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป”


“ไม่ว่าจะอย่างไรการเดินทางไปหนนี้ของรัชทายาทจะไม่สูญเปล่า”


“ท่านลามะ หมายความว่าอย่างไร”


ริมโปเชเฒ่าส่ายหน้าไปมา


“ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นคู่แท้ขององค์รัชทายาทหรือไม่ เราไม่อาจทราบได้ มีแต่ตัวองค์รัชทายาทเท่านั้นที่จะรับรู้ได้ด้วยตัวเอง อย่างที่ข้าพระองค์เคยกราบทูล


หลายครั้ง ปล่อยให้เจ้าชายค้นพบคำตอบของชีวิตด้วยตัวเองเถิดพะยะค่ะ”


ลามะเฒ่ายิ้มบางๆ เมื่อเห็นอาการร้อนพระทัยของเหนือหัวแห่งดัลวา จะเป็นกษัตริย์หรือคนธรรมดาก็เหมือนกัน ห่วงใย อนาทรร้อนใจกับทุกข์สุขของลูกอย่าง
ไม่มีวันจบสิ้น


“คู่แท้คือสิ่งที่วิเศษสุดสำหรับมนุษย์ทุกคนที่ยังเต็มไปกิเลส มีแต่คู่แท้เท่านั้นที่จะเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของกันและกัน ให้ความสุขอันดื่มด่ำ มีจิตใจอัน
ชื่นบาน แต่เนื้อแท้แล้ว มันยังมีความสัมพันธ์ด้านอื่นที่เกี่ยวข้องกันอีกมาก ถึงได้พบกันแล้วก็ยังต้องใช้เวลาเรียนรู้กันอีกมาก”


ฟังเช่นนี้แล้วกษัตริย์เดเช็นก็ได้แต่สงบนิ่งฟังด้วยอาการเยือกเย็นกว่าเดิม


“ความสัมพันธ์ที่จะต้องมีทั้งความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ความห่วงใย การร่วมทุกข์ร่วมสุข เป็นกระบวนการที่ยาก ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นในเวลาชั่วข้ามคืน ถ้า
ผู้หญิงคนนั้นเป็นคู่แท้ของรัชทายาท ทั้งคู่จะรวมพลังเพื่อพัฒนาและขัดเกลาตัวเองร่วมกัน จนพบความหมายที่แท้แห่งรักได้ในที่สุด”


“ความรักมีพลังถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เหนือหัวแห่งดัลวาตรัสด้วยน้ำเสียงแผ่ว


“พลังแห่งรักแท้จะผลักดันให้มนุษย์เราผ่านพ้นการเวียนว่ายตายเกิดอีกหลายภพหลายชาติ ให้เหลือเพียงชาตินี้ชาติเดียว นั่นละคู่แท้”


ฟังคำกล่าวของลามะแล้ว ความขัดข้องในพระทัยของกษัตริย์เดเช็นคลายลงอย่างมาก


ภาวนาให้เจ้าชายโดร์เชได้คำตอบที่ตัวเองต้องการโดยเร็วเถิด

๒๓.๑๑.๕๒

บทที่ 14-คำของหลวงพ่อ

เสียงรถไฟแล่นไปในความมืด วินกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตู้นอน ในขบวนรถไฟเส้นที่วิ่งสู่ทางตอนใต้ของประเทศ ตู้ที่ชายหนุ่มเดินทางมาด้วยนั้น คับคั่งด้วยผู้โดยสารต่างชาติ ซึ่งขณะนี้บางส่วนยังจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่ที่ตู้เสบียงที่อยู่ถัดไปไม่กี่ตู้


ท้องฟ้ามืดมิด มองไม่เห็นอะไร นอกจากดวงดาวน้อยใหญ่ที่กระพริบพราว แต่ก็ไม่ได้ทำให้วินรู้สึกเศร้าสร้อย กลับสัมผัสได้ความสงบภายในจิตใจของตัวเอง เพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน


ชายหนุ่มยื่นมือไปเปิดสวิตช์โคมไฟเล็กๆ ตรงศรีษะ แล้วจึงล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบซองจดหมายที่ยับยู่ยี่ ออกมาคลี่ออกอ่าน มือที่ถือกระดาษสั่นเล็กน้อยพอรู้สึกได้ ก็ไม่แปลกนักหรอก-เพราะเจ้าของจดหมายไม่ค่อยจะเขียนอะไรอย่างนี้มาก่อน




วิน-วินนี่ ฮาโหล เทสต์


อืมม์ ไม่ถนัดหรอก ไม่ถนัดเลย ที่ต้องเขียนจดหมายอย่างนี้ ก็แหม-เกด ไม่ใช่คนละเอียดอ่อนเหมือนวินนี่ นึกถึงคำพูดของน้าเยาว์เมื่อก่อน แกวิจารณ์ว่า วิน นี่ถ้าเปรียบเป็นดอกไม้ ก็น่าจะเป็นดอกมะลิ ไม้มงคลของบ้านเรา เพราะอะไรนะหรือจ้ะ น้าเยาว์บอกว่า เพราะ ความหมายของมะลิ ก็คือ ดอกไม้ที่ให้ความรู้สึกถึงความปรารถนาดี เป็นที่รักและคิดถึงของคนทั่วไป ยังแสดงถึงความบริสุทธิ์ กตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ


โอ้โห-ฟังน้าเยาว์เล่าครั้งแรก เกดหัวเราะยกใหญ่ แต่พอนานไปชักเริ่มเห็นด้วยแฮะ


แต่อย่าเพิ่งดีใจไปละ ถึงอย่างไรเกด ก็มีความเห็นว่า วิน น่าจะเป็นต้นโมกมากกว่า โมกที่เป็นคำเสียงกับคำว่าโมกข์ ที่มีความหมายว่า ความหลุดพ้น หรือ ผู้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง


อย่าเพิ่งหัวเราะสิ-ตั้งแต่คบเป็นเพื่อนกันมา สิ่งที่วิน ทำให้เกดรับรู้ก็คือ ความสุข สงบ เหมือนคนหลุดพ้นจากความทุกข์ เป็นคนที่สร้างความอบอุ่นใจให้กับคนรอบข้างได้เสมอ เหมือนดอกโมก ที่ออกดอกตลอดปี บานขาวสะพรั่งไปทั้งต้น ทั้งยังส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจตลอดวันอีก


จะมีก็ช่วงหลังนี่แหละ ที่เกดมองว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับวินหรือเปล่า อาการนิ่งเงียบ ดวงตาหมอง ไม่ใช่วินคนที่เกดรู้จักเลยนี่ มีอะไรก็บอกมาสิ ลืมไปแล้วหรือว่าเราเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนรักที่เปิดอกคุยได้ทุกเรื่องเสียด้วย


กลับลงไปใต้หนนี้วินก็อย่าไปนานนัก เกดมีเรื่องอยากคุยด้วยหลายเรื่อง อยากปรึกษาด้วย แต่บอกตามตรงว่าเห็นอาการซึมๆ ของเพื่อนแล้วกลัวใจ กลัวจะทำให้วินทุกข์หนักเข้าไปอีกนี่สิ เฮ้อ บุษบาหนอบุษบา


เอ หรือว่า วินห่วงเรื่องของเกดกับคุณเชนั่น อย่าห่วงไปเลยนะจ้ะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด บอกตามตรงก็ได้ คุณเชให้ความรู้สึกแปลกๆ กับเกดจริงๆ แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่เคยคิดถึงเรื่องย้ายไปอยู่ดัลวาอะไรนั่นเลย ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอกจ้ะ


แต่อาการเต้นตึกตัก มือไม้สั่นก็มีบ้างหรอกน่า ก็แหม-เกดเป็นผู้หญิงธรรมดา กระต๊อกกระต๋อย มีโอกาสเจอกับผู้ชายสมบูรณ์แบบอย่างนั้นมาสนใจก็น่าจะดีใจบ้างไม่ใช่หรือ


ชีวิตมนุษย์เราก็แปลกนะ มีผู้คนมากมายที่เราพบ คบหา พบเห็นโดยทั่วไป แต่จะมีใครสักกี่คนที่จะก่อให้เกิดความรู้สึกวาบหวิว หรือมีความคุ้นเคย ราวกับสนิทสนมกันมายาวนาน ไม่รู้ว่าเขาเรียกพรหมลิขิตหรือเปล่านะจ้ะ


เกดเคยบอกวินเสมอใช่มั๊ยว่า เกดเคยมีความฝันถึงโซลเมตของตัวเองมายาวนาน แต่สำหรับเกดแล้ว นิยามของความรักก็คือรัก ไม่จำเป็นต้องพยายามรัก


หัวใจจะบอกเราเองนั้นแหละ ใช่มั๊ย


เฮ้อ เฮ้อ เกดบอกเล่าความรู้สึกตัวเองไม่ถูกหรอก พูดได้แต่กับเพื่อนเท่านั้นแหละ


จริงอย่างที่ยายมุกว่า เรื่องราวทั้งหมดเป็นเหมือนเทพนิยายที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง แต่มันก็แสนจะจริง ทั้งสุข และทรมาน ไปพร้อมๆ กัน


รีบกลับขึ้นมาเร็วๆ นะจ้ะ อยากคุยด้วยจริงๆ


คิดถึงเสมอ


เกด-เพื่อนสาวเจ้าปัญหา




ฝนตกปรอยๆ ลงมา ตอนที่ชายหนุ่มก้าวลงจากรถไฟ และนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ตรงไปยังวัดป่าแห่งนั้น
บรรยากาศของวัดป่าเงียบสงบ เสียงนกร้อง เสียงหวีดหวิวของลมแรง ไปจนถึงเสียงกรูเกรียวของใบไม้ที่ปลิดใบจากขั้ว ปลิวเกลื่อนไปทั่วบริเวณ


โลกภายนอกเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง แต่สำหรับที่นี่ โลกเดินช้าเหมือนหยุดนิ่ง ชายหนุ่มชอบอากาศในยามเช้าเช่นนี้เสมอ จมูกสูดกลิ่นอ่อนๆ ของใบไม้แห้ง หูแว่วเสียงส่ายกิ่งใบของต้นไม้ จากนั้นก็ยืนนิ่ง หลับตา แล้วถอนหายใจยาวอยู่เป็นนาน จากนั้นวินจึงขยับเป้บนหลังให้กระชับขึ้น แล้วก้าวเดินไปตามถนนสายเล็กๆ พร้อมกับเหลียวมองไปรอบบริเวณวัดป่าด้วยความสุขที่หลั่งถ้นอยู่ในหัวอก


ทุกสิ่งรอบตัวเขาเวลานี้คือ ความเงียบสงบเย็นจนยากที่จะบรรยาย ความว้าเหว่ ซึมเศร้าในช่วงหลายวันที่ผ่านมาดูคลายลงไปอย่างมาก วินเดินลัดเลาะตามถนนเล็กๆ ไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่หน้ากุฎิไม้หลังนั้น ซึ่งมีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ และยกพื้นสูงจากพื้นดินไม่มากนัก ใกล้กันนั้นมีกุฎิในลักษณะคล้ายกันเรียงรายอยู่ราว 3-4 หลัง รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่อันเขียวชะอุ่ม ให้ความรู้สึกร่มรื่น เสียงนกร้องจิ๊บจิ๊บดังแว่วมา


ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก เมื่อเห็นร่างของพระรูปหนึ่งยืนอยู่ตรงระเบียง นาทีนั้นดูเหมือนแสงจากพระอาทิตย์ยามเช้าจะสาดแสงมาสว่างวาบทางเบื้องหลังของพระรูปนั้น


วิน ก้าวเดินผ่านบันได 3 ขั้นของกุฎิ แล้วก้มร่างลงกราบพระรูปนั้นด้วยอาการเคารพ


“มาแล้วหรือโยม” เสียงอันเปี่ยมเมตตาดังมาจากพระรูปนั้นที่กำลังค้อมลงมองร่างที่ทรุดอยู่บนพื้นด้วยดวงตาอันแสดงความปรานี


“ครับ หลวงพ่อ” วิน ตอบพลางเงยหน้าขึ้น


พระรูปนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำสนิทจนเกือบดำ ดวงตาสุกใส ริมฝีปากบาง ว่าไปแล้วมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายคลึงกับชายหนุ่มที่นั่งพนมมืออยู่บนพื้นกุฎิเสียเหลือเกิน


หลวงพ่อสูดลมหายใจยาว แล้วยิ้ม


“โยมสบายดีหรือเปล่า”


เสียงพูดทำให้วินสะดุ้งขึ้นครั้งหนึ่ง พยักหน้ารับ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาหลวงพ่อ ก่อนจะหลบตาก้มมองพื้น เมื่อรู้สึกว่ามีก้อนอะไรไม่รู้มาจุกอยู่ที่ลำคอ แล้วน้ำตารื้นก็ซึมขึ้นที่ดวงตาทั้งคู่ จนชายหนุ่มต้องใช้ปลายนิ้วปาดขึ้นที่หางตา พลางนึกบ่นกับตัวเองที่ปล่อยให้ความอ่อนแอแสดงตัวในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมเสียเลย


“โยม…” เสียงหลวงพ่อดังขึ้นอีก


“ครับ หลวงพ่อ”


“โยมไม่เป็นไรนะ”


ชายหนุ่มจะทำอะไรได้ นอกจากส่ายหน้าปฎิเสธ


“โยม อยู่ต่อหน้าพระอย่าโกหกสิ มันบาป”


ได้ยินคำกล่าวของหลวงพ่อเช่นนั้น วินกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก พูดอะไรไม่ออก


“โยม กำลังมีทุกข์ใช่มั๊ยลูก”


วินมองหน้าหลวงพ่อ ก่อนสารภาพเสียงแผ่ว


“ครับ หลวงพ่อ…”



สายลมเย็นพัดมาผะแผ่ว ในขณะที่ชายหนุ่มนั่งพิงร่างกับต้นไทรใหญ่ สายตาทั้งคู่จับจ้องอยู่ที่หลวงพ่อที่วางเท้าเปล่าอยู่บนพื้นหญ้า เหมือนมีความสงบนิ่งรายล้อมอยู่


นาทีนั้น วินรับรู้ได้ถึงความสงบเย็น ละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งดูเหมือนจะเปล่งมาจากผู้บังเกิดเกล้าซึ่งอุทิศตัวให้กับรสพระธรรมแล้วในขณะนี้


วินไม่ได้อธิบายความทุกข์ที่เกาะกุมจิตใจให้หลวงพ่อรับทราบ และหลวงพ่อก็ไม่ได้ไต่ถามอะไรอีก แต่หลังจากฉันท์และปฎิบัติกิจแห่งสงฆ์อย่างเคร่งครัดแล้ว ก็ชักชวนเขาให้เดินมาที่ชายป่าทางด้านหลังของวัดแห่งนี้ และนั่งนิ่งอยู่นานกว่า 15 นาทีแล้ว


“ไปเถอะโยม เดินไปทางนั้นเถิด”


ชายหนุ่มพยักหน้ารับ แล้วเดินตามหลังหลวงพ่อโดยไม่ได้พูดอะไร เส้นทางเดินเป็นถนนสายแคบเล็กที่มุ่งตรงสู่เรือนธรรมบนเนินเขาสูง ซึ่งสองข้างทางรายล้อมด้วยพรรณไม้นานาชนิด ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาและช่วยบังแดดคือต้นประดู่ กิ่งแก่ของต้นตั้งขึ้นไปเป็นยอดพุ่มกลมดูคล้ายร่ม ช่อดอกประดู่ป่ากำลังแตกดอกออกช่อเป็นสีเหลืองตามซอกใบและกิ่ง เดินผ่านร่มไม้ของดอกประดู่ได้ไม่ไกลนัก วินยังเห็นพุ่มของต้นวาสนาปลูกเรียงรายอยู่ ดอกออกเป็นช่อจากซอกใบ เป็นดอกเล็กๆ สีเหลืองอ่อน


วินสูดกลิ่นหอมรวยรินของดอกไม้ป่า พลางคิดไปว่าวัดป่าในยามค่ำคืนคงให้ความรู้สึกสงบยิ่งกว่านี้ ดอกราตรี ดอกลั่นทม คงส่งกลิ่นหอมชื่นใจ ไหนยังจะเสียงร้องของเรไร นกกลางคืน อีกเล่า


ลัดเลาะตามเส้นทางมาได้พักใหญ่ หลวงพ่อก็พาชายหนุ่มมาหยุดยืนอยู่ที่ลานหินกว้าง มองเห็นทิวทัศน์ของวัดป่าได้อย่างแจ่มชัด ที่มองเห็นลิบๆ คือบึงน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตา


วินทรุดร่างลงพับเพียบใกล้กับหลวงพ่อบนลานหินแห่งนั้น แล้วสายตาเหม่อมองไปยังบึงน้ำที่อยู่ไกลออกไป
“รู้สึกจิตใจสงบบ้างหรือยังเล่าโยม”


“ครับ…” วินตอบรับ


“อยู่ในกรุงเทพฯ บางทีจิตก็วุ่นเกินไป ได้มาอยู่ท่ามกลางแม่ธรรมชาติอย่างนี้ จะเป็นเครื่องปรุงให้จิตยุ่งเหือดหายไป พอใจสงบ กายก็จะสงบ”


วินพยักหน้ารับรู้


“หลวงพ่อครับ ผมแค่…” ชายหนุ่มพูดได้แค่นั้นก็ตะกุกตะกักพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป


หลวงพ่อหลับตาลง แล้วจึงกล่าวต่อ


“พระพุทธเจ้า เคยตรัสแก่ภิกษุสาวก ถึงเรื่องความรักไว้ว่า มนุษย์ทุกคนล้วนแต่ต้องการความสมหวังในชีวิตรัก แต่ความรักไม่เคยให้ความสมหวังแก่ใครถึงครึ่งหนึ่งแห่งความต้องการ”


ชายหนุ่มถอนหายใจยาว หลวงพ่อคาดเดาอะไรได้แม่นเหลือเกิน


“จำไว้นะโยม ในทางพุทธศาสนา ความรักที่มีแต่สุข ไม่มีทุกข์เจือปน เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”


“แล้วผมควรจะทำอย่างไรครับหลวงพ่อ”


โยมทุกข์เพราะคิดผิด”


“คิดผิดอย่างนั้นหรือครับ”


หลวงพ่อยิ้ม แล้วลืมตาขึ้น


“การหวังดับทุกข์จากความรักเป็นไปไม่ได้ เพราะความรักคือความไม่เที่ยง มีความแปรปรวน เปลี่ยนแปลงตามเหตุแห่งปัจจัย ไม่มีอะไรคงที่ เป็นที่พึ่งที่แท้จริงได้”


“หลวงพ่อครับ ผมยังไม่เข้าใจดีนัก” วินพูดด้วยเสียงอ่อนล้า


“โยม ต้องเรียนรู้ที่จะไม่เป็นทุกข์เพราะความรัก นั่นคือรักอย่างมีเมตตา ไม่มีเงื่อนไข ไม่เรียกร้อง ถ้าโยมศึกษาเนื้อแท้ของมันจะพบว่า ความรักที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ จะนำมาซึ่งจิตใจอันเบิกบานเท่านั้น โยมต้องมีสติที่จะควบคุมความคิดของตัวเองให้ได้”


“มีสติอย่างนั้นหรือครับ”


หลวงพ่อหันหน้ามามองชายหนุ่ม แล้วยิ้มละไมอยู่ในสีหน้า


“โยมต้องกล้าที่จะดูตัวเอง แล้วพิจารณาความเหงา ว้าเหว่ ความผิดหวังที่เกิดขึ้น กล้าดูความทุกข์ของตัวเอง พอทำได้อย่างนั้นแล้ว ความคาดหวังในตัวของคนอื่นก็จะน้อยลงไป มันเป็นแค่อารมณ์ ที่เกิดและดับสลับเช่นนี้เรื่อยไป”


“เหมือนต้นไม้ในป่านั่นสิครับ เกิด เติบโต แล้วก็สลายไป” วินพูด


หลวงพ่อหัวเราะขึ้นเบาๆ


“โยมเริ่มเข้าใจแล้วสินะ แต่เอาเถอะค่อยๆ เรียนรู้ไป แต่จำคำของหลวงพ่อเอาไว้ ความรักไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่โยมต้องรู้จักรักอย่างมีเมตตา”


“ครับ หลวงพ่อ” ชายหนุ่มรับคำ




เกือบ 5 ทุ่มแล้วแต่เกดยังไม่นอน แต่ความจริงก็คือนอนไม่หลับมากกว่า


รู้สึกแปลกๆ กับตัวเองอยู่เหมือนกัน ที่ห้วงสมองในเวลานี้เฝ้าคิดถึงผู้ชาย 2 คน


คนหนึ่งแน่ละ เป็นเพื่อนกันมายาวนาน รู้อกรู้อกใจ เอื้อเฟื้อมีน้ำใจกันมาอย่างยาวนาน แต่ระยะหลังก็เริ่มมีอะไรที่พิกล ผิดแผกไปจากเดิมอยู่มาก


แต่เอาเถอะ-เขียนจดหมายไปหาแล้ว และปล่อยให้ไปอยู่วัดป่า ทำจิตให้ปลอดโปร่งสักพักอะไรก็คงดีขึ้นกระมัง


แล้วอีกคนเล่า-พูดไม่ถูกเหมือนกัน รู้แต่ว่าเป็นผู้ชายที่นำความรู้สึกแปลกใหม่ให้เกิดขึ้น ทำให้หัวใจเต้นตึกตักยามเจอหน้ากัน


คล้ายๆ กับว่า เป็นผู้ชายที่เริ่มมีใจให้บ้างนั่นแหละ


แต่จะให้ถึงคิดไปไกลถึงขั้นย้ายไปอยู่ในดัลวาด้วยอย่างนั้นหรือ เร็วไปหน่อยมั๊ง


ว่าแต่ว่าอย่างที่วินแนะนำไว้ก็ถูก เรียนรู้เรื่องของคุณเชและดัลวาไว้ก็คงไม่เสียหาย ไม่ใช่หรือ


รู้จัก พูดคุยกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ “คุณเช” ทำงานอะไร มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร เกดยังไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย ไม่กล้าถามเหมือนกัน รอให้เจ้าตัวเปิดปากบอกเองน่าจะดีกว่า


คิดได้แค่นี้แล้ว หญิงสาวก็ก้มหน้าลงอ่านหนังสือตรงหน้า ซึ่งเป็นเรื่องราวของดัลวาต่อไป



ดัลวา เป็นนครโบราณอันเก่าแก่ มีเอกลักษณ์ทางภูมิศาสตร์ของตัวเอง มีทั้งช่วงเวลาที่หนาวยะเยือก และช่วงร้อนระอุราวอยู่บนกะทะร้อน



ภูเขาสูงชันเป็นเนื้อที่ส่วนใหญ่ของอาณาจักรแห่งนี้ ส่วนประกอบเหล่านี้หล่อหลอมให้ ดัลวา มีทิวทัศน์สวยงาม มีทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา และมีทะเลสาบงดงามหลายแห่ง


ดัลวา เป็นดินแดนที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกใฝ่ฝันที่จะได้ไปเยี่ยมเยือน แต่การเดินทางไปถึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เนื่องจากบางห้วงเวลาจะมีมรสุมและพายุหิมะโหมกระหน่ำจนไม่สามารถสัญจรไปมาได้ เนื่องจากการเดินทางเข้าสู่ดัลวา จะต้องสัญจรผ่านเทือกเขาสูง ซึ่งบางวันจะมีหิมะปกคลุมจนขาวโพลน บางห้วงเวลาก็มีอากาศร้อนจัด อูณหภูมิสูงถึง 40 องศา ซึ่งซึ่งถือว่าเหลือจะทนทานสำหรับผู้มาเยือนจากอีกซีกโลกหนึ่ง


ช่วงที่ท้องฟ้าเปิด อากาศแจ่มใส สามารถเห็นทัศนียภาพอันงดงาม ไม่ว่าจะเป็นสีขาวโพลนของภูเขา สีเงินอันเวิ้งว้างของทะเลสาบ หรือต้นไม้อันเขียวชอุ่มที่เรียงรายโอบล้อมเมืองไว้ มีเพียงแค่ 4 เดือนใน 1 ปีเท่านั้น


ถึงสภาพอากาศจะแปรวปรวนอย่างสุดขั้ว มีเอกลักษณ์ทางภูมิศาสตร์ที่เหลือเชื่อ แต่กิตติศัพท์ความงดงามของดินแดนแห่งนี้ ก็ยังเป็นเสน่ห์ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกอยากมาสัมผัสด้วยตาตัวเองอยู่ดี


แต่สิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นที่สุดของดัลวายังคงเป็น “พระราชวังดาร์ลัม”


ดาร์ลัม ไม่เพียงเป็นสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น แต่ยังทรงเป็นที่ประทับของกษัตริย์เดเช็น แห่งราชวังเซโม ประมุขแห่งดัลวา


เป็นผู้นำประเทศที่นำพาดาร์ลัม ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งนี้ยังคงสามารถรักษาเอกลักษณ์

วัฒนธรรม และเสน่ห์ในแบบฉบับของตัวเองไว้ได้อย่างกลมกลืน


ชื่อเดเช็น ของพระองค์มีความหมายความว่า เมตตา ซึ่งสอดคล้องกับวิธีการปกครองดัลวาเป็นอย่างยิ่ง


กษัตริย์เดเช็น สามารถสอดประสานให้ดัลวา เป็นอาณาจักรบริสุทธิ์ ในดินแดนแห่งเทือกเขา ทะเลทราย ทะเลสาบ ได้อย่างเป็นไร เป็นคำตอบที่ทำให้ชนชาวโลกให้ความสนใจใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง…





ฝนโปรยละอองมาบางเบา ในขณะที่รัชทายาทแห่งดัลวาบรรทมอยู่ อากาศเย็นสบาย แต่เจ้าชายโดร์เชทรงมีพระเนตรเบิกโพลง ด้วยพระทัยอันไม่สงบนัก


พระองค์ทรงถวิลหาหญิงสาวที่อยู่ในใจมาเนิ่นนานนัก แต่ไม่เพียงแค่นั้นยังทรงนึกผู้ชายคนนั้น คนที่เป็นเพื่อนกับหญิงสาว และนำพาพระองค์ไปพบกับ “ดวงดาว” ที่พระองค์ฝันถึง


ชายหนุ่มคนนั้นชื่อวิน รัชทายาทยังทรงจำได้


เป็นชายหนุ่มรูปร่างสันทัด ผิวคล้ำ ท่าทางอ่อนโยน มีจิตใจดี ดูเป็นมิตรกับทุกคน


เจ้าชายโดร์เช ยังทรงจำได้ถึงสายตาของชายหนุ่มผู้นั้นที่เบิกโพลงขึ้นมา เมื่อพระองค์ทรงตรัสว่าหญิงสาวที่ตามหาอยู่นั้น เคยสวมแว่นสายตา นับถือคริสต์ และเป็นลูกกำพร้าแม่


ตอนนั้น ด้วยความดีพระทัย พระองค์ไม่ทรงนึกอะไร นอกเสียจากกว่า การตามหา “ดวงดาว” มานับสิบปีสิ้นสุดลงแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของชายหนุ่มคนที่ว่านั่นเอง


“หญิงสาว ที่คุณตามหาอยู่นั่น ไม่ใช่คนอื่นไกลเลยครับ เป็นเพื่อนสนิทของผมเอง เธอชื่อเกด”


เป็นคำตอบที่ชายหนุ่มที่ชื่อวินบอกกับพระองค์ ณ เวลานั้น


เพียงทราบแค่นั้น เจ้าชายโดร์เช ยังทรงจำถึงความรู้สึกของพระองค์เองได้ เพราะทรงแย้มพระเนตร ดวงตาเบิกโพลง แล้วทรงลืมพระองค์ด้วยการเอาพระหัตถ์จับที่ไหล่ของชายหนุ่มคนนั้น


“จริงหรือครับ คุณไม่ได้หลอกผม ใช่มั้ย”


ชายหนุ่มคนนั้น ผงกศีรษะรับ นั่งนิ่งอยู่เป็นนาน ก่อนจะเงยหน้าตอบ


“อย่าเป็นห่วงเลยครับ ถ้าเป็นเกดจริง คุณจะได้พบกับเธอแน่ เดี๋ยวผมจะจัดการให้ บางทีอาจนัดเจอกันที่โบสถ์ฝรั่ง ที่ติดกับโรงเรียนที่คุณเรียนอยู่ไงครับ สะดวกมั้ย”


นั่นละเจ้าชายโดร์เชจึงได้ทรงพบหญิงสาวที่พระองค์เฝ้ารอพบเจอ


และในขณะนี้ เวลานี้ ความสัมพันธ์ของพระองค์กับหญิงสาวพัฒนาไปอย่างมาก มากเสียจนว่าทรงลืมความเป็นเจ้าชายของตัวเองไปชั่วขณะหนึ่ง รู้สึกเป็นชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งที่เกิดอาการตกหลุมรัก เกิดความผูกพันกับหญิงสาวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน


แล้วหลังจากได้มีโอกาสพูดคุยกับนีม่า เมื่อวันก่อน เจ้าชายโดร์เชก็ทรงหวนนึกถึงชายหนุ่มคนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง


“ถ้านี่เป็นความรักที่จริงแท้ของพระองค์ และทุกอย่างจบลงด้วยดี อย่าทรงลืมพี่วินนะเพคะ กระหม่อมขอทูลว่า ถ้าพระองค์เป็นเจ้าชาย แล้วพี่เกดเป็นซินเดอเรลล่า พี่วินก็คงเป็น เอ้อ-หนูนาที่นางฟ้าเสกให้เป็นคนขับรถฟักทอง จนเจ้าชายได้เจอกับซินเดอเรลล่า อย่างในนิทานไงเพคะ”


ฟังนีม่า พูดตอนนั้น รัชทายาทหนุ่มเพียงแต่ทรงพระสรวลอย่างนึกขัน แต่ตอนนี้ พระองค์ทรงถามตัวเองว่า ชายหนุ่มคนนั้นกับหญิงสาว เป็นเพียงเพื่อนสนิทจริงหรือ


มีความสัมพันธ์ทางใจที่ลึกซึ้งมากกว่านั้นหรือไม่นะ


เพราะเกดเองก็มักจะกล่าวถึง “เพื่อนสนิท” ของตัวเองให้พระองค์ฟังอยู่บ่อยๆ


ทรงคิดมาถึงตอนนี้ ก็รู้สึกว่าพระองค์จะมีพระทัยว้าวุ่นเกินไปแล้ว


เจ้าชายบอกตัวเองว่า ทรงอิจฉาชายหนุ่มแสนจะธรรมดาคนนั้น-อย่างนั้นหรือ


หรือจะเป็นอย่างที่นีม่าว่าจริงๆ ความรักทำให้คนตาบอด


ตาบอดเพราะความรัก หลงใหล เสียจนไม่นึกถึงความรู้สึกของผู้คนรอบข้างเอาเสียเลย


ต้องการยึดมั่น ถือมั่น กับความสุขของตัวเองเท่านั้น


นี่อาจจะเป็น “ด้านมืด” ของความรักกระมัง