๒๕.๑๑.๕๒

บทที่ 15-รักแท้

“หายใจออกยาวๆ”

“หายใจเข้าลึกๆ”

“หายใจออกแรงๆ”

“หายใจเข้ายาวๆ”


เสียงของหลวงพ่อดังแว่วอยู่ในหู วินหลับตาพริ้มสนิท พยายามปฎิบัติตามคำสอนนั้นอย่างช้าๆ แรกๆ ดูจะติดขัดอยู่บ้าง ทำได้ 3-4 ครั้งก็ลืมตาโพลงขึ้น
เพราะความรู้สึกอึดอัด ทนอยู่ไม่ได้


แต่พอเหลียวมองไปทั่วห้องกว้าง ที่เปิดโล่ง มีสายลมผะแผ่วพัดผ่านเข้ามา และเห็นผู้คนราว 20 คน ในชุดเสื้อขาว กางเกงขาว ทั้งชายและหญิง นั่งหลับตา
สงบนิ่งอยู่ ชายหนุ่มก็พริ้มตาลงอีกครั้ง


อดทนทำตามได้ช่วงพักใหญ่ รู้สึกว่าสามารถหายใจเข้า-หายใจออก ตามคำแนะนำของหลวงพ่อได้ดีขึ้น มีสมาธิมากขึ้นกว่าเดิม


“พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า ธรรมชาติของจิตดั้งเดิมนั้น ประภัสสร บริสุทธิ์ ผ่องใสโดยธรรมชาติ แต่จิตของมนุษย์เรามีความทุกข์ เศร้าหมอง เพราะปล่อยให้
กิเลสครอบงำจิต พยายามหาวิธีแสวงหาความสุข หลบหนีทุกข์ จนไม่รู้วิธีสร้างความสุขจากภายใน โดยลืมนึกถึงคำที่ว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว เมื่อใจดี
คิดดี ก็จะมีความสุข”


วินถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่งเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น


“ทุกคนในโลกนี้ล้วนแล้วมีทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ทุกข์เพราะไม่เคยค้นหาตัวเอง ไม่เคยเข้าใจตนเอง การเจริญอานาปานสติที่พวกโยมกระทำอยู่นี้ก็เพื่อให้ทุกคนมี
สติ รู้เท่าทัน ไม่ปล่อยให้จิตหลงไปตามกิเลส มองเห็นอารมณ์ภายใน รักษาจิตใจของตัวเอง”


ชายหนุ่มลืมตาขึ้น และมองเห็นหลวงพ่อกำลังมองมาด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ


“ปัญหาทุกอย่างล้วนแล้วแต่แก้ได้ทั้งนั้น แต่ที่มนุษย์เรามัวแต่ทุกข์อยู่กับมัน ก็เพราะปล่อยให้อารมณ์ยึดมั่นถือมั่นมากจนเกินไป เมื่อทุกคนมีสติ เข้าใจถึง
ธรรมชาติของตัวเอง ไม่มีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางความเห็นแก่ตัว สุขภาพใจก็จะดีขึ้น ทุกข์ก็จะคลายลง”


ฟังเช่นนี้แล้ว วินก็หลับตาลง กำหนดลมหายใจเข้า-ออกของตัวเองอย่างมีสมาธิมากกว่าเดิม





เสียงน้ำไหลพัดแว่วมา ในขณะที่ชายหนุ่มเดินอย่างเนิบช้าผ่านสุมทุมพุ่มไม้ สูดกลิ่นหอมระรวยของต้นไม้ ใบหญ้า ก่อนจะมาหยุดนิ่งอยู่ตรงบึงน้ำกว้าง รู้สึก
เหมือนความสงบแผ่ซ่านอยู่ในหัวอก


วินทรุดร่างลงบนหินใหญ่ก้อนหนึ่งใกล้บึงน้ำกว้าง เมฆบนฟ้าสวยกระจ่างกว่าทุกวัน แล้วจู่ๆ จิตกระหวัดนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อหลังร่วมทำอานาปานสติ
กับผู้ปฎิธรรมคนอื่นๆ ขึ้นมา


“โยมเป็นคนจิตใจงาม อ่อนโยน กตัญญูรู้คุณ เป็นคุณสมบัติที่หลวงพ่อภูมิใจอยู่เสมอ แต่โยมก็เป็นเหมือนปุถุชนทั่วไป ที่ไม่ค่อยดูแลจิตใจของตัวเอง ปล่อย
ให้จิตใจคิดถึงแต่เรื่องของคนอื่น การดูคนอื่นไม่ผิดหรอก แต่เราควรดูคนอื่นเพื่อพัฒนาตัวเอง เพื่อมาปรับปรุงแก้ไขตัวเองมากกว่า ขอให้โยมสนใจ เอาใจใส่ตัว
เองเพิ่มขึ้น ทุกข์ทั้งหลายก็จะคลายไปเอง”


ชายหนุ่มจำได้ว่า บอกกับหลวงพ่อว่าจะพยายามทำให้ดีกว่าเดิม


“โยมไม่ผิดที่มีความรัก แต่จะต้องรักอย่างมีเมตตา คือมีความปรารถนาให้เขามีความสุข รักษาใจ รักษาความรู้สึกที่ดีเอาไว้ ไม่มีความรักซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิด
ความทุกข์ และยังต้องรู้จักรักและอภัยตัวเองอีกด้วย”


ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีน้ำเย็นเทรดลงบนศรีษะอย่างเชื่องช้า ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก แต่ภายในกลับสว่างวาบขึ้นมา


“ถ้าโยมเข้าใจเนื้อแท้แห่งความรัก และรักอย่างมีธรรมะแล้ว โยมก็จะเข้าใจว่า หากมีความมั่นคงภายใน ความรักอย่างมีอิสระก็จะเกิดขึ้น พร้อมจะให้ความรัก
โดยไม่หวังผลตอบแทน คือ เขาจะรักเราหรือไม่ก็ไม่สนใจ แต่เราจะให้ นั่นก็พอแล้ว”


วินน้ำตาคลอเมื่อได้ยินคำสอนอันแทงทะลุถึงก้นบึ้งของหัวใจ


“ถึงเขาจะไม่รักก็ไม่เป็นไร ขอให้โยมรักเขา ปรารถนาดีต่อเขา คิดได้เช่นนี้ ความรักมันไม่ได้หายไปไหนหรอก และไม่ได้จืดจางลงไปอีกด้วย นี่ต่างหากคือความ
รักที่แท้ เข้าใจหรือไม่โยม”


เขาผงกศรีษะ ก้มมองพื้น พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว




สองหนุ่มสาวพบตัวเองกำลังเดินอยู่บนฟุตบาทกว้าง ในถนนสายยาวที่วางตัวขนานไปกับแม่น้ำใหญ่ ลมระรวยของแม่น้ำลอยมาปะทะหน้าอยู่เป็นระยะ
ชายหนุ่มมัดผมยาวเป็นระเบียบ เสื้อแขนยาวปล่อยชาย สีเทาทึมของเสื้อเข้ากับสีดำของกางเกงยีนส์ได้ดีทีเดียว แต่ที่ดูสะดุดตากว่าเพื่อนเห็นจะเป็นประคำ
ตรงลำคอ และกำไลเงินบนข้อมือ


อ้อ น่าจะรวมถึงนัยน์ตายิบหยีคู่นั้นด้วย


เกดเองก็ดูแปลกตากว่าทุกวัน ผมยาวสลวยดูเป็นประกาย ในขณะที่บนลำคอขาวผ่องมีสร้อยกางเขนเล็กๆ เพิ่มความผุดผาด เสื้อแขนสั้นสีน้ำเงิน กระโปรง
สั้นสีขาว และรองเท้าผ้าใบสีชมพูลายดอกไม้ ดูกลมกลืนอย่างน่าประหลาด


“คุณเชคงจะชอบแม่น้ำมาก” เกดเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตุเห็นชายหนุ่มเหลียวมองแม่น้ำกว้างนั่นอยู่เป็นระยะ


“ครับ ดูแล้วคิดถึงบ้าน”


“อ้าว แล้วกัน คิดถึงก็กลับไปสิคะ”


ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ยิ้มอ่อนก่อนตอบกลับไปว่า


“คงอีกสักพักแหละครับ มีธุระต้องทำอีกนิดหน่อย”


เกดเลิกคิ้วสูง แล้วพยักหน้าแสดงอาการรับรู้


ทั้งคู่เดินเคียงกันลัดเลาะผ่านซอยเล็กๆ 2-3 ซอย ข้ามถนนสองสามครั้ง ก่อนจะเห็นสะพานใหญ่ข้ามแม่น้ำตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า


“เห็นสะพานอีกแล้ว สะพานข้ามแม่น้ำซะด้วย จะทำให้คิดถึงบ้านอีกมั๊ยคะเนี่ย”


ชายหนุ่มนึกขันเสียงยั่วล้อของหญิงสาวไม่ได้


“ไม่หรอกครับ”


หญิงสาวฉุดมือชายหนุ่มให้ก้าวผ่านทางม้าลาย


“รีบเข้าเถิดคะ เดินอีกนิดเดียวก็ถึงวัดพระแก้วแล้ว”


“ได้ครับ แต่ไม่ต้องจูงมือหรอกนะครับ ผมเดินเองได้”


เกดหัวเราะแก้เขิน ปล่อยมือจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ก่อนจะค้อนใส่เป็นวงพองาม


ชายหนุ่มหายใจยาวเงียบๆ เสน่ห์ของผู้หญิงคนนี้คงอยู่ที่ความอ่อนโยน ผสมผสานกับอาการแง่งอนแต่พองามนี่กระมัง




เกดทำท่าเดินทิ้งระยะเขาไปได้หน่อยหนึ่ง แล้วก็หยุดนิ่งชะม้อยตามองมา แล้วยิ้มน้อยๆ พลางคิดว่า คุณเชดูท่าจะไม่ค่อยชอบอากาศร้อนเท่าใดนักกระมัง
หรือว่าเมื่อยเพราะพาเดินทัวร์มาตั้งแต่ต้นถนนพระอาทิตย์ แต่ละก้าวย่างจึงเชื่องช้ากว่าที่เคยเป็น


แต่วันนี้ ทำไมเขาถึงได้เงียบเชียบผิดปกติ เหมือนมีอะไรอยู่ในใจอย่างนั้นแหละ บรรยากาศบริเวณท่าพระจันทร์ คึกคัก จอแจ เหมือนที่เคยเป็นมา มีผู้คนเดิน
สวนไปสวนมาตลอดเวลา นึกแล้วก็แปลกที่เมื่อได้สวมบทเป็นไกด์จำเป็นเข้าจริงๆ แทนที่จะพาคุณเชไปที่ห้างสรรพสินค้าหรูหรา หรือร้านอาหารเก๋ไก๋ หรือที่มี
บรรยากาศโรแมนติก ทำไมถึงเลือกพาเดินฝ่าแดดร้อนมาละแวกนี้ก็ไม่รู้


เกดบอกกับตัวเองว่า คงไม่เป็นไรหรอกมั๊ง เพราะนับตั้งแต่เริ่มคบหากันมา “คุณเช” ไม่เหมือนผู้ชายหลายคนที่เคยพบเจอมา เป็นคนฉลาด กล้าคิด กล้าพูด
และดูจะไม่ค่อยสนใจสังคมอันฟุ้งเฟ้อ หรือเดินดูข้าวของราคาแพง ในใจกลางกรุงเทพฯเท่าใดนัก


คุณเชดูจะชอบชีวิตง่ายๆ เดินเลียบฟุตบาท มองแม่น้ำกว้าง และตื่นตาตื่นใจไปกับวิถีของชาวบ้าน อย่างที่ปรากฎต่อสายตาอยู่ในขณะนี้มากกว่า


หญิงสาวยืนนิ่งรอเขาอยู่ตรงหน้าร้านขายยาจีนโบราณตรงหัวมุม แล้วเอียงหน้าไปมองพลางล้อขึ้นว่า


“เป็นยังไงบ้างคะ พญาน้อยชมตลาด สนุกมั๊ย”


“สนุกมากครับ แต่ถ้ามาคนเดียวผมคงเบื่อแย่”


เกดรู้สึกตัวเองหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที เมื่อโดนชายหนุ่ม “รุก” แบบไม่ให้ตั้งตัวติด


“แหม พูดอะไรอย่างนั้น”


ชายหนุ่มได้แต่หัวเราะเบาๆ


หญิงสาวแก้อาการขัดเขินของตัวเองด้วยการยกมือชี้ไปยังลานกว้างเบื้องหน้าแล้วพูดขึ้นว่า


“เดินมาตั้งไกลแล้ว คงเหนื่อยบ้างละ คอแห้งบ้างมั๊ยคะเนี่ย ตรงท่าช้างโน่นมีร้านกาแฟอยู่ร้านนึง แวะไปดื่มอะไรกันก่อนนะคะ”


พูดแล้วเกดก็เดินดุ่มนำหน้าไป


ชายหนุ่มยิ้มในสีหน้า พลางก้าวเดินตามหลังเข้าไปในร้านกาแฟที่ว่านั่น โดยไม่ได้แสดงอาการหรือพูดอะไรที่จะทำให้หญิงสาวขวยอายอีก


ร้านกาแฟแห่งนั้นเป็นร้านเล็ก แต่ก็ตบแต่งได้น่ารัก เป็นร้านที่เปิดโล่งรับลมเย็นจากแม่น้ำ ตั้งอยู่ห่างจากท่าเรือข้ามฟากไม่ไกลนัก ผู้คนในร้านขณะนี้ มีเพียง
หญิง-ชายต่างชาติคู่หนึ่งนั่งคุยกันอยู่เงียบๆ อยู่ตรงมุมหนึ่ง


“นั่งสิคะ เดี๋ยวเกดไปสั่งเครื่องดื่มให้ เอาอะไรดีคะ กาแฟเย็นมั๊ย” หญิงสาวว่าพลางรุนหลังชายหนุ่มให้นั่งตรงโต๊ะเล็กติดกับริมแม่น้ำ


“ผมสั่งให้เองไม่ดีกว่าหรือครับ” ชายหนุ่มทักท้วงขึ้น


เกดส่ายหน้า


“ไม่ต้องหรอกคะ นั่งพักเถอะค่ะ คุณเชเป็นแขกของเกดนะคะ อย่าลืมสิ”


ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ มองตามร่างหญิงสาวที่เดินลิ่วไปสั่งเครื่องดื่ม แล้วก็ต้องบอกกับตัวเองว่า แปลกเหลือเกิน ทำไมถึงได้รู้สึกผูกพันกับเธอเสียมากมาย
พยายามหาเหตุผลว่าทำไมจึงได้ชอบทุกอิริยาบถของหญิงสาว ชอบฟังเสียงที่เธอพูด ชอบเรื่องเล่าที่สรรหามาคุยมากมาย ไหนจะรอยยิ้ม เสียงหัวเราะนั่นอีก
ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติไปหมด


อยากรู้เหมือนกันว่า เธอจะมีความรู้สึกเหมือนกับเขาบ้างมั๊ยหนอ อยากรู้จริงๆ





“วิน เขาเป็นคนยังไง”


“คะ…”


หญิงสาวพูดได้แค่นั้นจริงๆ เมื่ออยู่ดีๆ ก็เจอกับคำถามที่ไม่คาดคิดมาก่อน และไม่รู้จะเริ่มต้นตอบอย่างไรดี


“ก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เป็นผู้ชายที่หน้าตาไม่เลว แต่ก็ไม่มีแฟนกับคนอื่นเขา ยายมุกชอบค่อนขอดว่าเป็นผู้ชายซื่อบื้อ แล้วก็ขี้อายนิดๆ ซึ่งก็เกินไปหน่อย วินมีข้อ
ดีหลายอย่าง เพื่อนคนอื่นๆ พ่อ แล้วน้าเยาว์ ก็พูดคล้ายๆ ที่เกดพูดนี่แหละคะ คือวินเป็นผู้ชายใจดี เสมอต้นเสมอปลาย สำหรับเกดแล้ว วินเป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้
มากที่สุด เป็นเพื่อนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเสมอ”


“ถ้าอย่างนั้น ทำไมเกดกับวิน ถึงได้เอ้อ…ไม่เป็นแฟนกัน”


เกดเอามือปิดปากหัวเราะ


“ไม่รู้สิ ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนกับคนรัก มันไม่เหมือนกันหรอกนะคะคุณเชก็”


“แล้วอีกอย่าง…” หญิงสาวทอดเสียงยาว


“อะไรครับ”


“เกดเชื่อคำกล่าวที่ว่า ความรักเหมือนผีเสื้อ”


“ไม่เคยได้ยินเลยครับ” ชายหนุ่มว่า


“ก็ผีเสื้อนะ เวลาเราวิ่งตามมันก็จะยิ่งบินหนีห่าง แต่ถ้าปล่อยให้มีโบยบินอย่างอิสระ มันก็จะวิ่งเข้ามาหาเราเองนั่นแหละ”


เกด แปลกใจตัวเองที่พูดออกไปเช่นนั้น แต่นั่นก็เป็นความรู้สึกที่แท้จริงที่ต้องการบอก แต่ทำไมต้องบอกผู้ชายคนตรงหน้านี่ด้วยเล่า หญิงสาวไม่รู้หรอก
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไป เอามือคลึงถ้วยกาแฟไปมา แล้วทอดสายตามองออกไปยังแม่น้ำสีเขียวเบื้องหน้า


“คราวนี้เกดเป็นฝ่ายถามบ้างนะคะ…”


“ฮะ…อะไรนะ”


หญิงสาวยิ้มเมื่อเห็นอาการงุนงงของ “คุณเช”


“ว่าไงคะ…ได้มั๊ย”


ชายหนุ่มพยักหน้า สบตากับหญิงสาวตรงๆ


“เกด อยากรู้ว่า คุณเช เดินทางมาจากดัลวาด้วยจุดประสงค์อะไรคะ คงจะไม่ใช่เป็นเพราะว่าตามหาผู้หญิงคนเดียว นั่นมันเทพนิยายเชียวนะคะ”


“คุณเช” ถอนหายใจยาว


“มันอาจจะเป็นเรื่องตลกสำหรับคุณ แต่ผมขอบอกว่า เดินทางมาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียว คือ อยากมาดูว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง มีความสุขดีอยู่หรือ
เปล่า”


เกดแทบสำลักน้ำดื่มเมื่อได้ยินคำตอบ ดวงตาเบิกโพลง มือไม้สั่นขึ้นมาอีกครั้ง


“คุณเช…”


“ผมรักที่จะย้อนกลับไปในฤดูร้อนปีนั้นเหลือเกิน ปีที่เราพบกันครั้งแรกที่โบสถ์นั่นไงครับ”


ความปั่นป่วนบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้น หญิงสาวเสหน้าลงมองพ้นโต๊ะ แต่ยังมีแก่ใจถามต่อว่า


“มันไม่ดูแปลกไปหน่อยหรือคะ เจอกันตอนนั้นแล้วก็…”


ชายหนุ่มหัวเราะ


“นี่เป็นคำถามที่ยากมาก เพราะผมเองก็ไม่เคยคิดถึงคำตอบมาก่อน ผมทำตามความปรารถนาจากข้างใน รู้แต่ว่าถ้าผมไม่ได้กลับมาที่นี่อีก ไม่ได้เจอเด็ก


ผู้หญิงคนนั้น ผมคงทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต”


“ตายละ ถึงขนาดนั้นเชียวหรือคะ”


“คุณเช” สบตาหญิงสาว แล้วเห็นแววซุกซนในดวงตาคู่นั้น


“ถามเรื่องอื่นบ้างเถิดครับ อะไรก็ได้”


“งั้นก็…” เกดยื่นหน้าเข้ามา


“เรื่องของดัลวา โดยเฉพาะพระราชวังดาร์ลัม เล่าให้ฟังทีสิคะ เกดอ่านจากหนังสือแล้วคิดว่าคงจะสวยงามมาก คุณเช อยู่ที่นั่นคงต้องรู้รายละเอียดของ
พระราชวังบ้าง แล้วเคยเข้าไปในนั้นหรือเปล่าค่ะ เรื่องนี้คงตอบได้มั๊งคะ”


ชายหนุ่มก้มหน้านิ่ง บางทีช่วงเวลานี้อาจเหมาะสมที่สุดที่จะบอกกล่าวเรื่องราวทั้งหมดแล้วกระมัง


“ผมคงต้องขอเริ่มต้นที่ท่านลามะ”


“ท่านลามะ อย่างนั้นหรือ”


ชายหนุ่มพยักหน้า “ริมโปเช โลซัง คือผู้นำจิตวิญญานของดัลวาครับ”


แล้วภาพของคุรุเฒ่าผู้เปี่ยมด้วยความกรุณาก็ปรากฎขึ้นภายในภวังค์ของชายหนุ่มอีกครั้




เหลื่อมเขาอันสลับซับซ้อนที่มีหิมะปกคลุมขาวโพลนมองเห็นอยู่ไกลลิบ ท้องฟ้ากระจ่างใส


ริมโปชัง โลซัง ลามะเฒ่ายืนสงบนิ่งอยู่บนลานกว้างในอารามเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนผาสูง เสียงลมหวีดหวิวพัดเสื้อคลุมสีเหลืองปลิวไปมา เช่นเดียวกับธงหลากสี
ที่ผูกอยู่ตามมุมเสาที่โบกสะบัดชายเสียงดังผึงๆ


เบื้องหลังของคุรุชราคือ ร่างสูงสง่าของกษัตริย์เดเช็นที่เอามือพระหัตถ์ไขว้ไว้ทางด้านหลัง


“มายืนอยู่ตรงนี้กับท่านลามะทีไร ข้ารับรู้ได้ถึงความสงบ เยือกเย็น” ผู้ปกครองสูงสุดของดัลวาตรัสขึ้น ในขณะที่พระเนตรจ้องไปยังเทือกเขาเบื้องไกล“พระองค์คงไม่ได้เสด็จมาเพื่อสิ่งนี้หรอกกระมัง”


กษัตริย์เดเช็นทรงพระสรวลเบาๆ


“ท่านลามะรู้ใจข้านัก”


ลามะเฒ่าหันหน้ามา ค้อมศรีษะลงเล็กน้อยก่อนกล่าว


“ฝ่าบาทคงเป็นกังวลเรื่องรัชทายาทกระมัง”


“โดร์เช ไปอยู่ที่นั่นนานพอสมควรแล้ว แล้วกับผู้หญิงคนไทยนั่น…”


ริมโปเช โลซัง เป็นฝ่ายหัวเราะขึ้นมาบ้าง


“โปรดวางพระทัยเถิด องค์รัชทายาทจะไม่เป็นไร บางทีอาจจะได้พบหญิงไทยคนนั้นแล้วก็เป็นได้”


ผู้ปกครองสูงสุดของดัลวาได้แต่ถอนพระทัย


“ถึงอย่างนั้นก็เถิด แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป”


“ไม่ว่าจะอย่างไรการเดินทางไปหนนี้ของรัชทายาทจะไม่สูญเปล่า”


“ท่านลามะ หมายความว่าอย่างไร”


ริมโปเชเฒ่าส่ายหน้าไปมา


“ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นคู่แท้ขององค์รัชทายาทหรือไม่ เราไม่อาจทราบได้ มีแต่ตัวองค์รัชทายาทเท่านั้นที่จะรับรู้ได้ด้วยตัวเอง อย่างที่ข้าพระองค์เคยกราบทูล


หลายครั้ง ปล่อยให้เจ้าชายค้นพบคำตอบของชีวิตด้วยตัวเองเถิดพะยะค่ะ”


ลามะเฒ่ายิ้มบางๆ เมื่อเห็นอาการร้อนพระทัยของเหนือหัวแห่งดัลวา จะเป็นกษัตริย์หรือคนธรรมดาก็เหมือนกัน ห่วงใย อนาทรร้อนใจกับทุกข์สุขของลูกอย่าง
ไม่มีวันจบสิ้น


“คู่แท้คือสิ่งที่วิเศษสุดสำหรับมนุษย์ทุกคนที่ยังเต็มไปกิเลส มีแต่คู่แท้เท่านั้นที่จะเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของกันและกัน ให้ความสุขอันดื่มด่ำ มีจิตใจอัน
ชื่นบาน แต่เนื้อแท้แล้ว มันยังมีความสัมพันธ์ด้านอื่นที่เกี่ยวข้องกันอีกมาก ถึงได้พบกันแล้วก็ยังต้องใช้เวลาเรียนรู้กันอีกมาก”


ฟังเช่นนี้แล้วกษัตริย์เดเช็นก็ได้แต่สงบนิ่งฟังด้วยอาการเยือกเย็นกว่าเดิม


“ความสัมพันธ์ที่จะต้องมีทั้งความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ความห่วงใย การร่วมทุกข์ร่วมสุข เป็นกระบวนการที่ยาก ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นในเวลาชั่วข้ามคืน ถ้า
ผู้หญิงคนนั้นเป็นคู่แท้ของรัชทายาท ทั้งคู่จะรวมพลังเพื่อพัฒนาและขัดเกลาตัวเองร่วมกัน จนพบความหมายที่แท้แห่งรักได้ในที่สุด”


“ความรักมีพลังถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เหนือหัวแห่งดัลวาตรัสด้วยน้ำเสียงแผ่ว


“พลังแห่งรักแท้จะผลักดันให้มนุษย์เราผ่านพ้นการเวียนว่ายตายเกิดอีกหลายภพหลายชาติ ให้เหลือเพียงชาตินี้ชาติเดียว นั่นละคู่แท้”


ฟังคำกล่าวของลามะแล้ว ความขัดข้องในพระทัยของกษัตริย์เดเช็นคลายลงอย่างมาก


ภาวนาให้เจ้าชายโดร์เชได้คำตอบที่ตัวเองต้องการโดยเร็วเถิด

๒๓.๑๑.๕๒

บทที่ 14-คำของหลวงพ่อ

เสียงรถไฟแล่นไปในความมืด วินกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตู้นอน ในขบวนรถไฟเส้นที่วิ่งสู่ทางตอนใต้ของประเทศ ตู้ที่ชายหนุ่มเดินทางมาด้วยนั้น คับคั่งด้วยผู้โดยสารต่างชาติ ซึ่งขณะนี้บางส่วนยังจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่ที่ตู้เสบียงที่อยู่ถัดไปไม่กี่ตู้


ท้องฟ้ามืดมิด มองไม่เห็นอะไร นอกจากดวงดาวน้อยใหญ่ที่กระพริบพราว แต่ก็ไม่ได้ทำให้วินรู้สึกเศร้าสร้อย กลับสัมผัสได้ความสงบภายในจิตใจของตัวเอง เพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน


ชายหนุ่มยื่นมือไปเปิดสวิตช์โคมไฟเล็กๆ ตรงศรีษะ แล้วจึงล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบซองจดหมายที่ยับยู่ยี่ ออกมาคลี่ออกอ่าน มือที่ถือกระดาษสั่นเล็กน้อยพอรู้สึกได้ ก็ไม่แปลกนักหรอก-เพราะเจ้าของจดหมายไม่ค่อยจะเขียนอะไรอย่างนี้มาก่อน




วิน-วินนี่ ฮาโหล เทสต์


อืมม์ ไม่ถนัดหรอก ไม่ถนัดเลย ที่ต้องเขียนจดหมายอย่างนี้ ก็แหม-เกด ไม่ใช่คนละเอียดอ่อนเหมือนวินนี่ นึกถึงคำพูดของน้าเยาว์เมื่อก่อน แกวิจารณ์ว่า วิน นี่ถ้าเปรียบเป็นดอกไม้ ก็น่าจะเป็นดอกมะลิ ไม้มงคลของบ้านเรา เพราะอะไรนะหรือจ้ะ น้าเยาว์บอกว่า เพราะ ความหมายของมะลิ ก็คือ ดอกไม้ที่ให้ความรู้สึกถึงความปรารถนาดี เป็นที่รักและคิดถึงของคนทั่วไป ยังแสดงถึงความบริสุทธิ์ กตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ


โอ้โห-ฟังน้าเยาว์เล่าครั้งแรก เกดหัวเราะยกใหญ่ แต่พอนานไปชักเริ่มเห็นด้วยแฮะ


แต่อย่าเพิ่งดีใจไปละ ถึงอย่างไรเกด ก็มีความเห็นว่า วิน น่าจะเป็นต้นโมกมากกว่า โมกที่เป็นคำเสียงกับคำว่าโมกข์ ที่มีความหมายว่า ความหลุดพ้น หรือ ผู้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง


อย่าเพิ่งหัวเราะสิ-ตั้งแต่คบเป็นเพื่อนกันมา สิ่งที่วิน ทำให้เกดรับรู้ก็คือ ความสุข สงบ เหมือนคนหลุดพ้นจากความทุกข์ เป็นคนที่สร้างความอบอุ่นใจให้กับคนรอบข้างได้เสมอ เหมือนดอกโมก ที่ออกดอกตลอดปี บานขาวสะพรั่งไปทั้งต้น ทั้งยังส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจตลอดวันอีก


จะมีก็ช่วงหลังนี่แหละ ที่เกดมองว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับวินหรือเปล่า อาการนิ่งเงียบ ดวงตาหมอง ไม่ใช่วินคนที่เกดรู้จักเลยนี่ มีอะไรก็บอกมาสิ ลืมไปแล้วหรือว่าเราเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนรักที่เปิดอกคุยได้ทุกเรื่องเสียด้วย


กลับลงไปใต้หนนี้วินก็อย่าไปนานนัก เกดมีเรื่องอยากคุยด้วยหลายเรื่อง อยากปรึกษาด้วย แต่บอกตามตรงว่าเห็นอาการซึมๆ ของเพื่อนแล้วกลัวใจ กลัวจะทำให้วินทุกข์หนักเข้าไปอีกนี่สิ เฮ้อ บุษบาหนอบุษบา


เอ หรือว่า วินห่วงเรื่องของเกดกับคุณเชนั่น อย่าห่วงไปเลยนะจ้ะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด บอกตามตรงก็ได้ คุณเชให้ความรู้สึกแปลกๆ กับเกดจริงๆ แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่เคยคิดถึงเรื่องย้ายไปอยู่ดัลวาอะไรนั่นเลย ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอกจ้ะ


แต่อาการเต้นตึกตัก มือไม้สั่นก็มีบ้างหรอกน่า ก็แหม-เกดเป็นผู้หญิงธรรมดา กระต๊อกกระต๋อย มีโอกาสเจอกับผู้ชายสมบูรณ์แบบอย่างนั้นมาสนใจก็น่าจะดีใจบ้างไม่ใช่หรือ


ชีวิตมนุษย์เราก็แปลกนะ มีผู้คนมากมายที่เราพบ คบหา พบเห็นโดยทั่วไป แต่จะมีใครสักกี่คนที่จะก่อให้เกิดความรู้สึกวาบหวิว หรือมีความคุ้นเคย ราวกับสนิทสนมกันมายาวนาน ไม่รู้ว่าเขาเรียกพรหมลิขิตหรือเปล่านะจ้ะ


เกดเคยบอกวินเสมอใช่มั๊ยว่า เกดเคยมีความฝันถึงโซลเมตของตัวเองมายาวนาน แต่สำหรับเกดแล้ว นิยามของความรักก็คือรัก ไม่จำเป็นต้องพยายามรัก


หัวใจจะบอกเราเองนั้นแหละ ใช่มั๊ย


เฮ้อ เฮ้อ เกดบอกเล่าความรู้สึกตัวเองไม่ถูกหรอก พูดได้แต่กับเพื่อนเท่านั้นแหละ


จริงอย่างที่ยายมุกว่า เรื่องราวทั้งหมดเป็นเหมือนเทพนิยายที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง แต่มันก็แสนจะจริง ทั้งสุข และทรมาน ไปพร้อมๆ กัน


รีบกลับขึ้นมาเร็วๆ นะจ้ะ อยากคุยด้วยจริงๆ


คิดถึงเสมอ


เกด-เพื่อนสาวเจ้าปัญหา




ฝนตกปรอยๆ ลงมา ตอนที่ชายหนุ่มก้าวลงจากรถไฟ และนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ตรงไปยังวัดป่าแห่งนั้น
บรรยากาศของวัดป่าเงียบสงบ เสียงนกร้อง เสียงหวีดหวิวของลมแรง ไปจนถึงเสียงกรูเกรียวของใบไม้ที่ปลิดใบจากขั้ว ปลิวเกลื่อนไปทั่วบริเวณ


โลกภายนอกเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง แต่สำหรับที่นี่ โลกเดินช้าเหมือนหยุดนิ่ง ชายหนุ่มชอบอากาศในยามเช้าเช่นนี้เสมอ จมูกสูดกลิ่นอ่อนๆ ของใบไม้แห้ง หูแว่วเสียงส่ายกิ่งใบของต้นไม้ จากนั้นก็ยืนนิ่ง หลับตา แล้วถอนหายใจยาวอยู่เป็นนาน จากนั้นวินจึงขยับเป้บนหลังให้กระชับขึ้น แล้วก้าวเดินไปตามถนนสายเล็กๆ พร้อมกับเหลียวมองไปรอบบริเวณวัดป่าด้วยความสุขที่หลั่งถ้นอยู่ในหัวอก


ทุกสิ่งรอบตัวเขาเวลานี้คือ ความเงียบสงบเย็นจนยากที่จะบรรยาย ความว้าเหว่ ซึมเศร้าในช่วงหลายวันที่ผ่านมาดูคลายลงไปอย่างมาก วินเดินลัดเลาะตามถนนเล็กๆ ไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่หน้ากุฎิไม้หลังนั้น ซึ่งมีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ และยกพื้นสูงจากพื้นดินไม่มากนัก ใกล้กันนั้นมีกุฎิในลักษณะคล้ายกันเรียงรายอยู่ราว 3-4 หลัง รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่อันเขียวชะอุ่ม ให้ความรู้สึกร่มรื่น เสียงนกร้องจิ๊บจิ๊บดังแว่วมา


ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก เมื่อเห็นร่างของพระรูปหนึ่งยืนอยู่ตรงระเบียง นาทีนั้นดูเหมือนแสงจากพระอาทิตย์ยามเช้าจะสาดแสงมาสว่างวาบทางเบื้องหลังของพระรูปนั้น


วิน ก้าวเดินผ่านบันได 3 ขั้นของกุฎิ แล้วก้มร่างลงกราบพระรูปนั้นด้วยอาการเคารพ


“มาแล้วหรือโยม” เสียงอันเปี่ยมเมตตาดังมาจากพระรูปนั้นที่กำลังค้อมลงมองร่างที่ทรุดอยู่บนพื้นด้วยดวงตาอันแสดงความปรานี


“ครับ หลวงพ่อ” วิน ตอบพลางเงยหน้าขึ้น


พระรูปนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำสนิทจนเกือบดำ ดวงตาสุกใส ริมฝีปากบาง ว่าไปแล้วมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายคลึงกับชายหนุ่มที่นั่งพนมมืออยู่บนพื้นกุฎิเสียเหลือเกิน


หลวงพ่อสูดลมหายใจยาว แล้วยิ้ม


“โยมสบายดีหรือเปล่า”


เสียงพูดทำให้วินสะดุ้งขึ้นครั้งหนึ่ง พยักหน้ารับ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาหลวงพ่อ ก่อนจะหลบตาก้มมองพื้น เมื่อรู้สึกว่ามีก้อนอะไรไม่รู้มาจุกอยู่ที่ลำคอ แล้วน้ำตารื้นก็ซึมขึ้นที่ดวงตาทั้งคู่ จนชายหนุ่มต้องใช้ปลายนิ้วปาดขึ้นที่หางตา พลางนึกบ่นกับตัวเองที่ปล่อยให้ความอ่อนแอแสดงตัวในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมเสียเลย


“โยม…” เสียงหลวงพ่อดังขึ้นอีก


“ครับ หลวงพ่อ”


“โยมไม่เป็นไรนะ”


ชายหนุ่มจะทำอะไรได้ นอกจากส่ายหน้าปฎิเสธ


“โยม อยู่ต่อหน้าพระอย่าโกหกสิ มันบาป”


ได้ยินคำกล่าวของหลวงพ่อเช่นนั้น วินกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก พูดอะไรไม่ออก


“โยม กำลังมีทุกข์ใช่มั๊ยลูก”


วินมองหน้าหลวงพ่อ ก่อนสารภาพเสียงแผ่ว


“ครับ หลวงพ่อ…”



สายลมเย็นพัดมาผะแผ่ว ในขณะที่ชายหนุ่มนั่งพิงร่างกับต้นไทรใหญ่ สายตาทั้งคู่จับจ้องอยู่ที่หลวงพ่อที่วางเท้าเปล่าอยู่บนพื้นหญ้า เหมือนมีความสงบนิ่งรายล้อมอยู่


นาทีนั้น วินรับรู้ได้ถึงความสงบเย็น ละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งดูเหมือนจะเปล่งมาจากผู้บังเกิดเกล้าซึ่งอุทิศตัวให้กับรสพระธรรมแล้วในขณะนี้


วินไม่ได้อธิบายความทุกข์ที่เกาะกุมจิตใจให้หลวงพ่อรับทราบ และหลวงพ่อก็ไม่ได้ไต่ถามอะไรอีก แต่หลังจากฉันท์และปฎิบัติกิจแห่งสงฆ์อย่างเคร่งครัดแล้ว ก็ชักชวนเขาให้เดินมาที่ชายป่าทางด้านหลังของวัดแห่งนี้ และนั่งนิ่งอยู่นานกว่า 15 นาทีแล้ว


“ไปเถอะโยม เดินไปทางนั้นเถิด”


ชายหนุ่มพยักหน้ารับ แล้วเดินตามหลังหลวงพ่อโดยไม่ได้พูดอะไร เส้นทางเดินเป็นถนนสายแคบเล็กที่มุ่งตรงสู่เรือนธรรมบนเนินเขาสูง ซึ่งสองข้างทางรายล้อมด้วยพรรณไม้นานาชนิด ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาและช่วยบังแดดคือต้นประดู่ กิ่งแก่ของต้นตั้งขึ้นไปเป็นยอดพุ่มกลมดูคล้ายร่ม ช่อดอกประดู่ป่ากำลังแตกดอกออกช่อเป็นสีเหลืองตามซอกใบและกิ่ง เดินผ่านร่มไม้ของดอกประดู่ได้ไม่ไกลนัก วินยังเห็นพุ่มของต้นวาสนาปลูกเรียงรายอยู่ ดอกออกเป็นช่อจากซอกใบ เป็นดอกเล็กๆ สีเหลืองอ่อน


วินสูดกลิ่นหอมรวยรินของดอกไม้ป่า พลางคิดไปว่าวัดป่าในยามค่ำคืนคงให้ความรู้สึกสงบยิ่งกว่านี้ ดอกราตรี ดอกลั่นทม คงส่งกลิ่นหอมชื่นใจ ไหนยังจะเสียงร้องของเรไร นกกลางคืน อีกเล่า


ลัดเลาะตามเส้นทางมาได้พักใหญ่ หลวงพ่อก็พาชายหนุ่มมาหยุดยืนอยู่ที่ลานหินกว้าง มองเห็นทิวทัศน์ของวัดป่าได้อย่างแจ่มชัด ที่มองเห็นลิบๆ คือบึงน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตา


วินทรุดร่างลงพับเพียบใกล้กับหลวงพ่อบนลานหินแห่งนั้น แล้วสายตาเหม่อมองไปยังบึงน้ำที่อยู่ไกลออกไป
“รู้สึกจิตใจสงบบ้างหรือยังเล่าโยม”


“ครับ…” วินตอบรับ


“อยู่ในกรุงเทพฯ บางทีจิตก็วุ่นเกินไป ได้มาอยู่ท่ามกลางแม่ธรรมชาติอย่างนี้ จะเป็นเครื่องปรุงให้จิตยุ่งเหือดหายไป พอใจสงบ กายก็จะสงบ”


วินพยักหน้ารับรู้


“หลวงพ่อครับ ผมแค่…” ชายหนุ่มพูดได้แค่นั้นก็ตะกุกตะกักพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป


หลวงพ่อหลับตาลง แล้วจึงกล่าวต่อ


“พระพุทธเจ้า เคยตรัสแก่ภิกษุสาวก ถึงเรื่องความรักไว้ว่า มนุษย์ทุกคนล้วนแต่ต้องการความสมหวังในชีวิตรัก แต่ความรักไม่เคยให้ความสมหวังแก่ใครถึงครึ่งหนึ่งแห่งความต้องการ”


ชายหนุ่มถอนหายใจยาว หลวงพ่อคาดเดาอะไรได้แม่นเหลือเกิน


“จำไว้นะโยม ในทางพุทธศาสนา ความรักที่มีแต่สุข ไม่มีทุกข์เจือปน เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”


“แล้วผมควรจะทำอย่างไรครับหลวงพ่อ”


โยมทุกข์เพราะคิดผิด”


“คิดผิดอย่างนั้นหรือครับ”


หลวงพ่อยิ้ม แล้วลืมตาขึ้น


“การหวังดับทุกข์จากความรักเป็นไปไม่ได้ เพราะความรักคือความไม่เที่ยง มีความแปรปรวน เปลี่ยนแปลงตามเหตุแห่งปัจจัย ไม่มีอะไรคงที่ เป็นที่พึ่งที่แท้จริงได้”


“หลวงพ่อครับ ผมยังไม่เข้าใจดีนัก” วินพูดด้วยเสียงอ่อนล้า


“โยม ต้องเรียนรู้ที่จะไม่เป็นทุกข์เพราะความรัก นั่นคือรักอย่างมีเมตตา ไม่มีเงื่อนไข ไม่เรียกร้อง ถ้าโยมศึกษาเนื้อแท้ของมันจะพบว่า ความรักที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ จะนำมาซึ่งจิตใจอันเบิกบานเท่านั้น โยมต้องมีสติที่จะควบคุมความคิดของตัวเองให้ได้”


“มีสติอย่างนั้นหรือครับ”


หลวงพ่อหันหน้ามามองชายหนุ่ม แล้วยิ้มละไมอยู่ในสีหน้า


“โยมต้องกล้าที่จะดูตัวเอง แล้วพิจารณาความเหงา ว้าเหว่ ความผิดหวังที่เกิดขึ้น กล้าดูความทุกข์ของตัวเอง พอทำได้อย่างนั้นแล้ว ความคาดหวังในตัวของคนอื่นก็จะน้อยลงไป มันเป็นแค่อารมณ์ ที่เกิดและดับสลับเช่นนี้เรื่อยไป”


“เหมือนต้นไม้ในป่านั่นสิครับ เกิด เติบโต แล้วก็สลายไป” วินพูด


หลวงพ่อหัวเราะขึ้นเบาๆ


“โยมเริ่มเข้าใจแล้วสินะ แต่เอาเถอะค่อยๆ เรียนรู้ไป แต่จำคำของหลวงพ่อเอาไว้ ความรักไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่โยมต้องรู้จักรักอย่างมีเมตตา”


“ครับ หลวงพ่อ” ชายหนุ่มรับคำ




เกือบ 5 ทุ่มแล้วแต่เกดยังไม่นอน แต่ความจริงก็คือนอนไม่หลับมากกว่า


รู้สึกแปลกๆ กับตัวเองอยู่เหมือนกัน ที่ห้วงสมองในเวลานี้เฝ้าคิดถึงผู้ชาย 2 คน


คนหนึ่งแน่ละ เป็นเพื่อนกันมายาวนาน รู้อกรู้อกใจ เอื้อเฟื้อมีน้ำใจกันมาอย่างยาวนาน แต่ระยะหลังก็เริ่มมีอะไรที่พิกล ผิดแผกไปจากเดิมอยู่มาก


แต่เอาเถอะ-เขียนจดหมายไปหาแล้ว และปล่อยให้ไปอยู่วัดป่า ทำจิตให้ปลอดโปร่งสักพักอะไรก็คงดีขึ้นกระมัง


แล้วอีกคนเล่า-พูดไม่ถูกเหมือนกัน รู้แต่ว่าเป็นผู้ชายที่นำความรู้สึกแปลกใหม่ให้เกิดขึ้น ทำให้หัวใจเต้นตึกตักยามเจอหน้ากัน


คล้ายๆ กับว่า เป็นผู้ชายที่เริ่มมีใจให้บ้างนั่นแหละ


แต่จะให้ถึงคิดไปไกลถึงขั้นย้ายไปอยู่ในดัลวาด้วยอย่างนั้นหรือ เร็วไปหน่อยมั๊ง


ว่าแต่ว่าอย่างที่วินแนะนำไว้ก็ถูก เรียนรู้เรื่องของคุณเชและดัลวาไว้ก็คงไม่เสียหาย ไม่ใช่หรือ


รู้จัก พูดคุยกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ “คุณเช” ทำงานอะไร มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร เกดยังไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย ไม่กล้าถามเหมือนกัน รอให้เจ้าตัวเปิดปากบอกเองน่าจะดีกว่า


คิดได้แค่นี้แล้ว หญิงสาวก็ก้มหน้าลงอ่านหนังสือตรงหน้า ซึ่งเป็นเรื่องราวของดัลวาต่อไป



ดัลวา เป็นนครโบราณอันเก่าแก่ มีเอกลักษณ์ทางภูมิศาสตร์ของตัวเอง มีทั้งช่วงเวลาที่หนาวยะเยือก และช่วงร้อนระอุราวอยู่บนกะทะร้อน



ภูเขาสูงชันเป็นเนื้อที่ส่วนใหญ่ของอาณาจักรแห่งนี้ ส่วนประกอบเหล่านี้หล่อหลอมให้ ดัลวา มีทิวทัศน์สวยงาม มีทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา และมีทะเลสาบงดงามหลายแห่ง


ดัลวา เป็นดินแดนที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกใฝ่ฝันที่จะได้ไปเยี่ยมเยือน แต่การเดินทางไปถึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เนื่องจากบางห้วงเวลาจะมีมรสุมและพายุหิมะโหมกระหน่ำจนไม่สามารถสัญจรไปมาได้ เนื่องจากการเดินทางเข้าสู่ดัลวา จะต้องสัญจรผ่านเทือกเขาสูง ซึ่งบางวันจะมีหิมะปกคลุมจนขาวโพลน บางห้วงเวลาก็มีอากาศร้อนจัด อูณหภูมิสูงถึง 40 องศา ซึ่งซึ่งถือว่าเหลือจะทนทานสำหรับผู้มาเยือนจากอีกซีกโลกหนึ่ง


ช่วงที่ท้องฟ้าเปิด อากาศแจ่มใส สามารถเห็นทัศนียภาพอันงดงาม ไม่ว่าจะเป็นสีขาวโพลนของภูเขา สีเงินอันเวิ้งว้างของทะเลสาบ หรือต้นไม้อันเขียวชอุ่มที่เรียงรายโอบล้อมเมืองไว้ มีเพียงแค่ 4 เดือนใน 1 ปีเท่านั้น


ถึงสภาพอากาศจะแปรวปรวนอย่างสุดขั้ว มีเอกลักษณ์ทางภูมิศาสตร์ที่เหลือเชื่อ แต่กิตติศัพท์ความงดงามของดินแดนแห่งนี้ ก็ยังเป็นเสน่ห์ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกอยากมาสัมผัสด้วยตาตัวเองอยู่ดี


แต่สิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นที่สุดของดัลวายังคงเป็น “พระราชวังดาร์ลัม”


ดาร์ลัม ไม่เพียงเป็นสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น แต่ยังทรงเป็นที่ประทับของกษัตริย์เดเช็น แห่งราชวังเซโม ประมุขแห่งดัลวา


เป็นผู้นำประเทศที่นำพาดาร์ลัม ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งนี้ยังคงสามารถรักษาเอกลักษณ์

วัฒนธรรม และเสน่ห์ในแบบฉบับของตัวเองไว้ได้อย่างกลมกลืน


ชื่อเดเช็น ของพระองค์มีความหมายความว่า เมตตา ซึ่งสอดคล้องกับวิธีการปกครองดัลวาเป็นอย่างยิ่ง


กษัตริย์เดเช็น สามารถสอดประสานให้ดัลวา เป็นอาณาจักรบริสุทธิ์ ในดินแดนแห่งเทือกเขา ทะเลทราย ทะเลสาบ ได้อย่างเป็นไร เป็นคำตอบที่ทำให้ชนชาวโลกให้ความสนใจใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง…





ฝนโปรยละอองมาบางเบา ในขณะที่รัชทายาทแห่งดัลวาบรรทมอยู่ อากาศเย็นสบาย แต่เจ้าชายโดร์เชทรงมีพระเนตรเบิกโพลง ด้วยพระทัยอันไม่สงบนัก


พระองค์ทรงถวิลหาหญิงสาวที่อยู่ในใจมาเนิ่นนานนัก แต่ไม่เพียงแค่นั้นยังทรงนึกผู้ชายคนนั้น คนที่เป็นเพื่อนกับหญิงสาว และนำพาพระองค์ไปพบกับ “ดวงดาว” ที่พระองค์ฝันถึง


ชายหนุ่มคนนั้นชื่อวิน รัชทายาทยังทรงจำได้


เป็นชายหนุ่มรูปร่างสันทัด ผิวคล้ำ ท่าทางอ่อนโยน มีจิตใจดี ดูเป็นมิตรกับทุกคน


เจ้าชายโดร์เช ยังทรงจำได้ถึงสายตาของชายหนุ่มผู้นั้นที่เบิกโพลงขึ้นมา เมื่อพระองค์ทรงตรัสว่าหญิงสาวที่ตามหาอยู่นั้น เคยสวมแว่นสายตา นับถือคริสต์ และเป็นลูกกำพร้าแม่


ตอนนั้น ด้วยความดีพระทัย พระองค์ไม่ทรงนึกอะไร นอกเสียจากกว่า การตามหา “ดวงดาว” มานับสิบปีสิ้นสุดลงแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของชายหนุ่มคนที่ว่านั่นเอง


“หญิงสาว ที่คุณตามหาอยู่นั่น ไม่ใช่คนอื่นไกลเลยครับ เป็นเพื่อนสนิทของผมเอง เธอชื่อเกด”


เป็นคำตอบที่ชายหนุ่มที่ชื่อวินบอกกับพระองค์ ณ เวลานั้น


เพียงทราบแค่นั้น เจ้าชายโดร์เช ยังทรงจำถึงความรู้สึกของพระองค์เองได้ เพราะทรงแย้มพระเนตร ดวงตาเบิกโพลง แล้วทรงลืมพระองค์ด้วยการเอาพระหัตถ์จับที่ไหล่ของชายหนุ่มคนนั้น


“จริงหรือครับ คุณไม่ได้หลอกผม ใช่มั้ย”


ชายหนุ่มคนนั้น ผงกศีรษะรับ นั่งนิ่งอยู่เป็นนาน ก่อนจะเงยหน้าตอบ


“อย่าเป็นห่วงเลยครับ ถ้าเป็นเกดจริง คุณจะได้พบกับเธอแน่ เดี๋ยวผมจะจัดการให้ บางทีอาจนัดเจอกันที่โบสถ์ฝรั่ง ที่ติดกับโรงเรียนที่คุณเรียนอยู่ไงครับ สะดวกมั้ย”


นั่นละเจ้าชายโดร์เชจึงได้ทรงพบหญิงสาวที่พระองค์เฝ้ารอพบเจอ


และในขณะนี้ เวลานี้ ความสัมพันธ์ของพระองค์กับหญิงสาวพัฒนาไปอย่างมาก มากเสียจนว่าทรงลืมความเป็นเจ้าชายของตัวเองไปชั่วขณะหนึ่ง รู้สึกเป็นชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งที่เกิดอาการตกหลุมรัก เกิดความผูกพันกับหญิงสาวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน


แล้วหลังจากได้มีโอกาสพูดคุยกับนีม่า เมื่อวันก่อน เจ้าชายโดร์เชก็ทรงหวนนึกถึงชายหนุ่มคนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง


“ถ้านี่เป็นความรักที่จริงแท้ของพระองค์ และทุกอย่างจบลงด้วยดี อย่าทรงลืมพี่วินนะเพคะ กระหม่อมขอทูลว่า ถ้าพระองค์เป็นเจ้าชาย แล้วพี่เกดเป็นซินเดอเรลล่า พี่วินก็คงเป็น เอ้อ-หนูนาที่นางฟ้าเสกให้เป็นคนขับรถฟักทอง จนเจ้าชายได้เจอกับซินเดอเรลล่า อย่างในนิทานไงเพคะ”


ฟังนีม่า พูดตอนนั้น รัชทายาทหนุ่มเพียงแต่ทรงพระสรวลอย่างนึกขัน แต่ตอนนี้ พระองค์ทรงถามตัวเองว่า ชายหนุ่มคนนั้นกับหญิงสาว เป็นเพียงเพื่อนสนิทจริงหรือ


มีความสัมพันธ์ทางใจที่ลึกซึ้งมากกว่านั้นหรือไม่นะ


เพราะเกดเองก็มักจะกล่าวถึง “เพื่อนสนิท” ของตัวเองให้พระองค์ฟังอยู่บ่อยๆ


ทรงคิดมาถึงตอนนี้ ก็รู้สึกว่าพระองค์จะมีพระทัยว้าวุ่นเกินไปแล้ว


เจ้าชายบอกตัวเองว่า ทรงอิจฉาชายหนุ่มแสนจะธรรมดาคนนั้น-อย่างนั้นหรือ


หรือจะเป็นอย่างที่นีม่าว่าจริงๆ ความรักทำให้คนตาบอด


ตาบอดเพราะความรัก หลงใหล เสียจนไม่นึกถึงความรู้สึกของผู้คนรอบข้างเอาเสียเลย


ต้องการยึดมั่น ถือมั่น กับความสุขของตัวเองเท่านั้น


นี่อาจจะเป็น “ด้านมืด” ของความรักกระมัง

๑๗.๑๑.๕๒

บทที่ 13-นกปีกหัก

เกดมองภาพที่ชายหนุ่มกำลังใช้ผ้าผืนบางสีขาวพันไปบนขาอันกระจิดริดของนกตัวนั้น แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมา นี่ก็อีกคน ช่างอ่อนโยน ละเอียดอ่อน ผิด
วิสัยของผู้ชายทั่วไปเสียเหลือเกิน


แล้วก็ช่างแสนดี มีน้ำใจ เป็นที่พึ่งพิงได้เสมอ เป็นเพื่อนที่คงจะหาได้ยากแล้วในชีวิตนี้


หญิงสาวมองไปรอบร้านต้นไม้แห่งนี้ กลิ่นหอมระรวยของดอกไม้บางชนิดลอยมาเข้าจมูก ผสมผสานไปกับกลิ่นดินที่อวลคละเคล้ากันไป ดอกไม้ฤดูร้อนบาง
ชนิดออกดอกชูช่อ ทำให้ร้านเล็กๆ แห่งนี้มีสีสันสวยงามกว่าที่เคย ว่าไปแล้วนี่คืออาณาจักรเล็กๆ ของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้านั่นเอง


นานเหลือเกินแล้ว ที่วินเป็นอย่างนี้ มีความสุขอย่างง่ายๆ กับต้นไม้ เล่นดนตรี แล้วก็ทำงานอีกเล็กๆ น้อยๆ ที่ให้อิสระ ได้ใช้ความคิดของตัวเองในการสร้าง
สรรค์ผลงานอย่างเต็มที่


แต่แปลกจัง วันนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่ดูจะผิดแผกออกไป เสียงถอนหายใจ อาการนิ่งเงียบ รอยยิ้มอันฝืดฝืนนั่นอีกเล่า


“นกนั่นเป็นอะไรไปจ้ะ ถึงได้มานั่งประคบประหงม ไม่เป็นอันทำงานอย่างนี้” เกดถามขึ้น


ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตา มีประกายบางอย่างปรากฎขึ้นวาบหนึ่ง ก่อนจะจางหายไปในเวลาอันรวดเร็ว


“มาเปิดร้านตอนเช้า ก็เห็นมันนอนอยู่บนพื้นตัวเดียว ตอนแรกนึกว่าหมดแรง บินต่อไปไม่ไหว พอเราอุ้มมันขึ้นมาวางบนโต๊ะ ถึงได้เห็นว่ามันบาดเจ็บ ขาเจ็บ
หรือปีกหักอะไรสักอย่างนี่แหละ”


เสียง “ปีกหัก” ของชายหนุ่มฟังดูอ่อนล้า ซึมเศร้าอย่างไรพิกล


“น่าสงสาร” หญิงสาวพูดได้แค่นั้น


เพิ่งจะ 4 โมงเย็นเท่านั้นเอง ตอนเกดผ่านประตูร้านเข้ามา ก็เห็นวินนั่งอยู่บนโต๊ะประคบประหงมนกปีกหักตัวนั้นอยู่เป็นนาน วันนี้ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อยืดสี
แดงลายการ์ตูน ผมสั้นที่เคยเป็นระเบียบดูยุ่งเหยิงกว่าที่เคย


“แล้วจะยังไงต่อไป จะเลี้ยงมันเอาไว้ หรือพยาบาลมันแล้วก็จะปล่อยไป”


วินส่ายหน้า


“ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่เท่าที่เห็นปีกหักอย่างนี้มันคงบินไปไหนไม่ไหว จะให้พ่อแก่ แม่แก่ ช่วยเลี้ยงไว้ก่อน แข็งแรงค่อยปล่อยไป”


“อ้าว แล้วกัน ทำไมไม่เลี้ยงเอง ไปรบกวนคนแก่ทำไม” หญิงสาวถามด้วยเสียงดุ แต่แฝงรอยยิ้มอยู่ในสีหน้า


ชายหนุ่มมองหน้าเพื่อนสาวอยู่เนิ่นนาน แล้วก็ยิ้มออกมา แต่ก็ยังดูฝืดฝืน แห้งแล้งอยู่ดีนั่นแหละ


“ไม่ว่างนะสิ อีกวันสองวันจะลงไปหาหลวงพ่อที่ใต้ ไม่รู้ว่าจะอยู่กี่วัน”


“อ้าว แล้วกัน” หญิงสาวอุทาน


วินประคองนกบาดเจ็บเอาไว้บนผ้าสีขาวขุ่นที่ตั้งอยู่ทางด้านหนึ่งของโต๊ะ แล้วหันหน้ากลับมาถาม


“เกด มีอะไรหรือเปล่า ว่าไง…”


หญิงสาวพูดไม่ออก ความรู้สึกบางอย่างบอกว่ามีอะไรที่ผิดเพี้ยนไป ดูเหมือนว่าเพื่อนชายมีอะไรซุกซ่อนเอาไว้ และสิ่งที่แสดงออกทางสีหน้า ก็คือ อาการไร้สุข
เงียบเหงา ซึม จะเทียบอะไรดีนะ อ้อ-รู้แล้ว เหมือนต้นไม้เหี่ยวแห้งในกระถางตรงมุมหลังของร้านนั่นไง ดูเฉาเหมือนขาดน้ำหล่อเลี้ยง


“ก็ไม่ได้มีอะไรมาก วิน ไปไหนเสียบ้างก็ดีเหมือนกัน” เกดตอบเสียงแผ่ว เหลือบตามองเพื่อน


“เกด มีอะไรก็บอกสิ อย่ามัวอ้ำอึ้ง” ชายหนุ่มว่าเสียงดุๆ


หญิงสาวพูดอะไรไม่ออก วินก็เป็นอย่างนี้ละ ใจดี เอื้อเฟื้อ ห่วงใยความรู้สึกคนอื่น ส่วนตัวเองนั่นเล่า


เป็นผู้ชายที่แสนดี มีค่า แต่น่าแปลกนักที่…


“ความจริงก็ไม่มีอะไร เพียงแต่ช่วงนี้เกดไม่ค่อยมีเวลา ก็เลยไม่ค่อยได้เจอกัน เลยมีความคิดว่า อยากจะเจอหน้าเพื่อนเก่าๆ พร้อมหน้ากันเสียที ดีมั๊ย”


ชายหนุ่มก้มหน้างุดๆ พยักหน้า


“ก็ได้ เดี๋ยวให้เรากลับขึ้นมาก่อนแล้วกัน”


หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ แล้วก็เบิกตาโพลงขึ้นมา


“คุยกันเพลิน เพิ่งนึกได้ มีหญิงสาวฝากของมาให้วินด้วยนะ เสน่ห์แรงเหมือนกันน้า เพื่อนเรา”


วิน เงยหน้าขึ้น แต่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม


“ใครกัน ยายมุกละสิ”


หญิงสาวหัวเราะแห้งๆ


“แม่นจริงแฮะ”


แล้วเกดก็ยื่นของในมือให้ มันเป็นระฆังเล็กๆ ที่ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง น่ารัก ดูแปลกตาดี


“มุกเค้าบอกว่า เอาไว้แขวนบนกระดิ่งจักรยาน เจ้าฟักทองนะ”


วิน ยิ้มสดใสขึ้นมาเป็นครั้งแรกชายหนุ่มดูแจ่มใสขึ้นหน่อยหนึ่ง ก่อนจะเอามือล้วงลงไปในกระเป๋าผ้าสีขาวข้างตัว แล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งยื่นให้


“เอ้า เล่มนี้เราให้”


เกดเอื้อมมือรับ แล้วต้องอุทานขึ้นมา เพราะมันเป็นหนังสือท่องเที่ยวของสำนักพิมพ์ชื่อดังที่ขึ้นชื่อว่าผลิตงานหนังสือท่องเที่ยวที่มีคุณภาพทุกเล่ม


“ดัลวา สวรรค์หิมาลัย” หญิงสาวอุทานขึ้น


“ฮื่อ…” ชายหนุ่มรับคำเบาๆ


เกดสบตาเพื่อนชาย


“นี่หมายความว่าอะไร…”


วินถอนหายใจ


“แล้วกัน ดัลวา เป็นอย่างไร ภูมิประเทศ ลักษณะภูมิอากาศ ชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นั่น เกดไม่อยากรู้หรือไง อย่าลืมว่าคุณเชเป็นคนที่นั่น”


คราวนี้เกดได้แต่อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก


“สมมติว่า ถ้าวันหนึ่งเกดกับคุณเชต้อง…”


เพื่อนหนุ่มพูดทิ้งค้างไว้แค่นั้น แต่ก็ช่างตรงแผง ชี้เข้าที่กลางใจของเกดกันเลยทีเดียว


ต้องไปอยู่ดัลวา อย่างนั้นหรือ หญิงสาวไม่เคยวางแผนถึงเรื่องนี้มาก่อน


ไม่เคยคิดจนกระทั่งเพื่อนเตือนนี่แหละ…





“กำหนดกลับดัลวา อย่างนั้นหรือ”


ชายหนุ่มพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะสบสายตากับคู่สนทนา


รัชทายาทหนุ่มแห่งดัลวา นัดน้องสาวของคนสนิทมาทานอาหารในร้านอาหารเงียบๆ แห่งนี้ เป็นสวนอาหารริมน้ำที่ผู้คนไม่พลุกพล่านเกินไปนัก สามารถพูดคุย
ได้ทุกเรื่อง


แต่แค่คำถามแรกของนีม่าก็ทำให้เจ้าชายโดร์เชนิ่งอึ้ง


“ขออภัยเพคะ ถ้าหม่อมฉันจะทูลว่า ตั้งแต่เสด็จมาที่นี่ พระองค์ทรงเปลี่ยนไป”


รัชทายาทหนุ่มทรงเลิกพระขนงขึ้นสูง พลางแย้มพระโอษฐ์อย่างพอพระทัย หญิงสาวคนตรงหน้านี้ ช่างมีนิสัยเหมือนพระองค์นัก นั่นก็คือพูดจาตรงๆ ไม่อ้อม
ค้อม


“เปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือ…”


หญิงสาวถอนหายใจยาว


“ก็ทรงทำพระองค์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พระองค์ได้เจอผู้หญิงคนนั้นแล้ว ควรจะเริ่มคิดบ้างนะเพคะว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป หรือจะปล่อยให้คาราคาซัง
ต่อไปเช่นนี้ มีภาระที่รอให้พระองค์ต้องสะสางอีกมากนัก แล้วอีกอย่าง…”


นีม่า นิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะสบตากับคู่สนทนา


“หม่อมฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าจะปิดความลับเรื่องนี้ไว้ได้นานเท่าไหร่กัน นี่มุกเค้าก็เพิ่งโทรมาบอกว่าอยากเห็นพระฉายาลักษณ์ของเจ้าชายโดร์เช”


ชายหนุ่มนิ่งงันไป


จริงสิ นับตั้งแต่เจอหน้าหญิงอันเป็นที่รัก ทุกสิ่งรอบตัวดูราวจะหยุดนิ่ง การได้สบตากับเกด พูดคุยในหลายเรื่องอย่างเข้าอกเข้าใจ บอกเล่าความฝันของกัน
และกัน เรียนพูดภาษาไทยคำยากๆ ไปจนกระทั่งชักชวนเข้าไปดูหนังในโรง และมีโอกาสสัมผัสมือโดยไม่ตั้งใจหลายครั้ง ทำให้รัชทายาทแห่งดินแดนไกลโพ้น
บอกกับตัวเองว่า นี่คือผู้หญิงที่รอคอยมาทั้งชีวิต ไม่ผิดตัวแน่นอน


เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด


“ข้าต้องขอโทษ ที่เจ้าพูดมาถูก ข้าทำอะไรไม่ถูกต้องหลายอย่าง” เจ้าชายโดร์เชตรัสอย่างยอมรับผิด


ฟังเสียงขอโทษขอโพยนั่นแล้ว หัวใจของหญิงสาวก็ตกวูบลง


“ข้าผูกพันกับความหลังมากเกินไปหรือเปล่า นีม่า”


หญิงสาวส่ายหน้า


“อย่างที่เขาเคยพูดไงเพคะ ไม่สัมผัสด้วยตัวเองคงไม่มีทางรู้ได้ ถึงตอนนี้พระองค์คงเข้าพระทัยความรู้สึกของตัวเองแล้วสิเพคะ ว่านั่นใช่ความรักหรือไม่”


ชายหนุ่มพยักหน้ารับ


“ข้าไม่สงสัยความรู้สึกของตัวเองอีกต่อไปแล้ว แต่ถึงตอนนี้ข้ารู้สึกกลัวขึ้นมา กลัวว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปอย่างที่คิด เกดไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น จนถึงตอนนี้
ข้าก็ไม่แน่ใจว่าข้าหลงคิดไปอยู่ฝ่ายเดียวหรือไม่ แล้วเกดจะมีความรู้สึกอย่างไรเมื่อความจริงถูกเปิดเผย”


เสียงอันไม่ปกตินั่นบ่งบอกความรู้สึกเป็นอย่างดีอยู่แล้ว


นีม่าลอบถอนหายใจอีกแล้ว แล้วมองออกไปทางริมน้ำยามค่ำ ที่มีแสงกะพริบพรายของดาวประดับอยู่บนม่านฟ้าที่มืดมิด


“หม่อมฉัน ขอทูลตามตรง เทพนิยายระหว่างเจ้าชายกับซินเดอเรลล่าจบลงแล้วเพคะ ต่อไปนี้คือโลกแห่งความจริง พูดความจริงกับผู้หญิงที่พระองค์รัก แล้ว
รอผลที่จะมีตามมา”


“ซินเดอเรลล่า อย่างนั้นหรือ เข้าใจคิดนะ”


นีม่าทำจมูกย่น ยิ้มอยู่ในสีหน้า หยิบแก้วน้ำข้างตัวขึ้นจิบ


“อย่าทำเป็นหัวเราะไปเพคะ ความรักครั้งนี้อาจไม่ง่ายเหมือนในเทพนิยาย ทั้งความรู้สึกของผู้หญิงที่พระองค์รัก แล้วญาติพี่น้องของพี่เกดอีกละ จะรับความ
จริงเรื่องนี้ได้หรือไม่ แล้วการจากถิ่นเกิดไปอยู่ดัลวา ดินแดนที่ห่างไกลจากที่นี่เหลือเกิน ไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายๆ หรอกนะเพคะ”


ชายหนุ่มที่นั่งเบื้องหน้านั่งนิ่ง


“แล้วพระองค์อย่าลืมสิเพคะ ทางดัลวา จะมีปฎิกิริยาเรื่องนี้อย่างไรบ้าง พระบิดาของพระองค์อาจจะไม่เท่าใดนัก แต่พระญาติของพระองค์นี่สิจะเห็นชอบ
ด้วยทั้งหมดหรือ เห็นมั๊ยเพคะ ความรักหนนี้ไม่ใช่เรื่องของคนสองคนเลยเพคะ”


รัชทายาทหนุ่มแห่งดัลวาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตรัสด้วยเสียงอันแผ่วแต่เต็มไปด้วยความจริงจัง


“ขอบใจเจ้ามากนีม่า ข้าควรจะคิดถึงเรื่องนี้นานแล้ว เป็นความจริงที่ข้าลืมนึกไป ฟังเจ้าพูดแล้วข้ารู้สึกเหมือนตัวเองเห็นแก่ตัวจัง”


หญิงสาวส่ายหน้า


“อย่าพูดอย่างนั้นสิเพคะ บางครั้งความรักก็ทำให้คนตาบอด เคยได้ยินบ้างมั๊ยเพคะ”


เสียงหัวเราะดังออกมาจากคู่สนทนา


“นีม่า เจ้านี่เป็นที่ปรึกษาที่ดีกว่าพี่ชายของเจ้าเยอะเลย รู้ตัวหรือไม่”


หญิงสาวก้มหน้ายิ้ม เอาช้อนในมือเกลี่ยจานอาหารตรงหน้าไปมาแก้อาการขัดเขินของตัวเอง


“เรื่องบางเรื่อง ผู้หญิงก็ละเอียดอ่อนกว่าผู้ชายนะเพคะ อย่าลืม และหม่อมฉันเป็นพสกนิกรของพระองค์ ยินดีรับใช้ทุกเรื่องเพคะ”


“ทั้งๆ ที่ข้าอาจทำไม่ถูก ไม่นึกความรู้สึกของคนรอบข้างอย่างนั้นหรือ”


“เพคะ…”


รับคำแล้ว ใจของหญิงสาวก็ไพล่ไปนึกถึงใบหน้าดำคล้ำของผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายที่แสนจะละเอียดอ่อน มากไปด้วยความรู้สึก มีความเป็น “ศิลปิน” อยู่ในตัว
เสียเหลือเกิน


ขอโทษทีนะพ่อจรกา




มุกดากำลังหยิบส้มจากถาดผลไม้ตรงหน้าเข้าปาก ในขณะที่ตายายที่นั่งอยู่ตรงข้ามพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้ววินก็เข็นจักรยานผ่านเข้าประตูบ้านเข้ามาพอดี
หญิงสาวไม่ได้หันไปมอง แต่ขบยิ้มอย่างดีใจเมื่อได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งตรงกระดิ่งจักรยาน


“อ้าว มุก” ชายหนุ่มทักทายขึ้นเบาๆ เมื่อเห็นน้องสาวของเพื่อนมานั่งไขว้ขากินผลไม้อย่างสบายอกสบายใจ และมีพ่อแก่-แม่แก่ ยกถาดผลไม้เอามาประเคน
ให้ทานตรงโต๊ะไม้ใต้ถุนบ้าน


มุกดา เหลือบตามองชายหนุ่มแว่บหนึ่ง แล้วก็ยักไหล่ เลิกคิ้ว แล้วหันไปยิ้มให้กับสองตายาย


“ส้มหวานจัง มังคุดนี่ก็เหมือนกันคะคุณตา คุณยาย วันนี้มุกซัดซะพุงกาง”


วินเข็นรถจักรยานไปพิงไว้ตรงมุมหนึ่งของหลังบ้านด้วยอาการเงื่องหงอย แล้วจึงมองมาที่น้องสาวของเกด วันนี้มุกไม่ได้อยู่ในชุดนักศึกษาที่คุ้นตา แต่เป็นชุด
ลำลองที่ดูสบาย เสื้อแขนสั้นสีดำ กางเกงยีนส์สามส่วนสีขาวขุ่น และผมยาวรวบไว้อย่างเป็นระเบียบ


“มีธุระอะไรหรือเปล่า”


มุกดาส่ายหน้าไปมาให้กับคนถาม


“เปล่านี่…มาเยี่ยมคุณตา คุณยาย คิดถึง ไม่ได้มาหานานแล้ว”


ตามองหน้ายาย แล้วก็มองไปที่เด็กสาวรุ่นหลาน แล้วก็มองไปที่หลานชายแล้วก็หัวเราะหึหึขึ้นมา


“เก็บของหรือยังละ จะไปเช้ามืดพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือ” แม่แก่ถามหลานชาย ที่ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ กับหญิงสาว


“เรียบร้อยแล้วละ แม่แก่ ไม่ได้เอาอะไรไปมาก คิดว่าคงไม่กี่วันก็คงกลับ”


“อ้าว พี่วินจะไปไหน ไม่เห็นรู้เรื่อง” มุกดาหันมาทางชายหนุ่มรุ่นพี่แล้วถามขึ้น คิ้วคู่งามขมวดขึ้นเล็กน้อย


“ไปหาหลวงพ่อที่สุราษฎร์นะ อยากได้อะไรหรือเปล่ามุก”


เสียงที่พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกว่าทุกครั้ง ทำให้หญิงสาวหันมามองแล้วตอบด้วยเสียงแผ่ว


“ไม่หรอก แต่รีบไปรีบกลับละ คุณตา-คุณยาย อยู่กันแค่ 2 คนเองนะ”


“ไปเถอะ แม่แก่อยู่ได้ ตาแก่นี่ก็เหมือนกัน ถือโอกาสไปพักผ่อนด้วยก็ดีเหมือนกัน หน้าตาลูกช่วงนี้หมองคล้ำไปเยอะนะ รู้ตัวมั๊ยลูก”


ชายหนุ่มเสหน้ามองพื้นพลางพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ จนไม่ทันสังเกตเห็นดวงตาคู่หนึ่งที่มองจ้องมา


“ไว้มุกจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณตาคุณยายนะคะ ช่วงนี้ปิดเทอมแล้ว อยากทานน้ำพริกฝีมือคุณยาย”


ชายหนุ่มฟังเสียงเจื้อยแจ้วนั่นแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมองมาที่หญิงสาว


“ขอบใจมากมุก ขอบใจจริงๆ”


มุกดาฟังน้ำเสียงแล้วหัวใจก็ตกวูบลง น้ำเสียงนั้นทำไมถึงได้เศร้าสร้อยนัก แล้วดวงตาก็ฉายแววอ่อนโยนอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


“งั้นก็ต้องมีของตอบแทน”


“ตอบแทนอย่างนั้นหรือ”


มุกดาหัวเราะเสียงใส“ขับไอ้ฟักทองไปส่งมุกที่บ้านที”





วินเดินจูงจักรยานขึ้นสะพานอย่างช้าๆ เสียงรถวิ่งขวักไขว่ไปมาสลับกับเสียงแตรที่แผดออกมา ไม่ทำให้ชายหนุ่มรำคาญใจเท่าใดนัก เพราะสายตากำลัง
เหม่อมองแม่น้ำเบื้องล่างราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แสงแดดยามเย็นส่องกระทบแม่น้ำเป็นประกายงดงาม ในขณะที่เบื้องบนเมฆเป็นสีเทาทะมึน


“นั่งรถเมล์ผ่านสะพานนี้เกือบทุกวัน ไม่สังเกตนะเนี่ยว่าแม่น้ำตอนเย็นๆ จะสวยอย่างนี้”


มุกดาพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง ในขณะที่เอามือท้าวเข้ากับราวสะพาน


ชายหนุ่มเอาจักรยานพิงไว้กับขอบสะพาน แล้วก็ก้มร่างลงหยิบใบไม้บนทางเท้าที่ตอนแรกลอยคว้างอยู่กลางอากาศ แล้วก็ร่อนลงปลิวกระจายเต็มพื้นขึ้นมา
แล้วก็ค่อยๆ เป่าใบไม้ให้ปลิวคว้างผ่านอากาศลงสู่แม่น้ำเบื้องล่าง


หญิงสาวมองใบไม้ที่ลอยเนิบอยู่กลางอากาศ แล้วสายตาก็มองไปที่ชายหนุ่มรุ่นพี่


“จะลงใต้บอกพี่เกดหรือยัง”


“บอกแล้ว” วินตอบสั้นๆ


มุกดาทำแก้มพอง


“ช่วงนี้คุณเชกับพี่เกดนะ…”


“รู้แล้วละ” วินตอบ


หญิงสาวทำจมูกย่น คิ้วขมวด


“ยังไม่ทันพูดจบรู้ได้ยังไง”


ชายหนุ่มเหลือบสายตามองหญิงสาวรุ่นน้อง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา


มุกดาเอามือทาบเข้าที่แก้มทั้งสองข้างพลางส่ายหน้าไปมา



“เมื่อไหร่จะเลิกซื่อบื้อ ถามจริงเถอะๆ”


“อะไรนะ…” วินพูดโดยยังไม่ละสายตาจากแม่น้ำ


“ผู้ชายที่เงียบเหมือนเป็นใบ้ ไม่ยอมพูดหรือแสดงความรู้สึกอะไร ไม่ค่อยสมหวังในความรักหรอกรู้มั๊ย”


“ฮื่อ”


มุกดาแยกเขี้ยวแสดงอาการหงุดหงิด


“นี่จะปล่อยไปอย่างนี้หรือ ตาบ้า”


คราวนี้ชายหนุ่มหันมาสบตาหญิงสาวคู่สนทนาโดยตรง


“เป็นเด็กเป็นเล็ก จะไปรู้อะไร”


ฟังอย่างนี้ มุกดาทำสายตาดุ จมูกเริ่มแดง อาการ “วีน” กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้ “มุกไม่ใช่เด็กแล้วนะ จะจบมหาลัยอยู่แล้ว และตาก็ไม่ได้บอดด้วย”


วินเลิกคิ้วขึ้นสูง รอยยิ้มผุดพรายขึ้น


“งั้นเหรอ…”


หญิงสาวมองชายหนุ่มรุ่นพี่ด้วยอาการฮึดฮัด แต่ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรต่อไปดี “ไปเหอะ ถ้าจะฝนตกแน่ ดูท้องฟ้าสิมืดเชียว” วินเอ่ยปากชักชวน แต่หญิง
สาวยังยืนนิ่งอยู่ แสดงอาการแง่งอน และค้อนวงใหญ่ให้กับชายหนุ่ม


“มุก-เอาน่า อย่างอนไปเลย มาซ้อนท้ายไอ้ฟักทองเถอะ ค่ำแล้วเดี๋ยวน้าเยาว์เป็นห่วง”


“ไม่…เซ็ง”


วินหัวเราะเบาๆ ดูคล้ายจะคลายอาการเศร้าไปได้หน่อยหนึ่ง


“เอาเป็นว่าพี่ขอโทษแล้วกันนะ น้องมุกคนดี แล้วก็ขอบคุณด้วยที่เป็นห่วง”


แล้วชายหนุ่มก็นั่งคร่อมจักรยานของตัวเอง ก่อนจะเหลียวมาบอกกับมุกดาว่า


“ขึ้นมาซ้อนท้ายเถอะ เอาไว้กลับจากใต้ค่อยคุยกันเรื่องนี้”


“จริงนะ” มุกดาทำตาโต


“ฮื่อ…” วินรับคำ


แล้ว “ไอ้ฟักทอง” ก็ก้าวออกจากสะพานเหนือแม่น้ำอย่างเนิบช้า โดยมีร่างของชายหญิงคู่หนึ่งนั่งเคียงกันไป

๑๕.๑๑.๕๒

บทที่ 12-เจ้าชายสายฟ้า

ตอนที่เกดเดินตามชายหนุ่มร่างสูงเบื้องหน้าไปจนถึงบึงน้ำเบื้องหน้านั้น อากาศกำลังเย็นสบาย ได้ยินเสียงปลากระโดดผลุงกระทบผิวน้ำ เสียงของใบไม้ไหว
ตามแรงลม และแสงแดดที่ส่องกระทบต้นหูกวางที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมน้ำดูไม่ร้อนแรงเกินไปนัก เป็นสถานที่และช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับนั่งพัก พูดคุย หรือ
นอนอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ


หญิงสาวมองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่มัดผมยาวอย่างเป็นระเบียบดู แล้วอดยิ้มไม่ได้ “คุณเช” มีบุคคลิกไม่เหมือนผู้ชายส่วนใหญ่ที่เคยรู้จักมา เรือนร่างสูงโปร่ง
ไหล่อันผึ่งผาย และท่าเดินอันเนิบนาบแต่แฝงไปด้วยความสง่างาม ทำให้มีความรู้สึกเหมือนว่า “คุณเช” คนนี้น่าจะเกิดในชาติสกุลที่ดี มีฐานะอันมั่งคั่งพอ
สมควร


แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เกดเลือกออกมากับชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหล่าผู้นี้


เพราะอะไรนั่นหรือ บอกไม่ถูกนักหรอก แต่ที่รับรู้ได้ก็คือ ความปั่นป่วนบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อจ้องมองแผ่นหลังเบื้องหน้า แถมยังเกิดอาการหัวใจเต้นตึกตัก มือ
ไม้สั่นเข้าอีก


ดูเอาเถิด ความหวั่นไหวเกิดขึ้นทุกครั้งที่ได้เจอชายหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้ แปลกจัง


และดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เจอกัน จะคาดเดาความคิด ความกระทำของ “คุณเช” ผู้นี้ได้ยากลำบากเหลือเกิน


ดูอย่างสถานที่นัดครั้งนี้ปะไร แทนที่จะเป็นภัตตาคารหรูหรา หรือร้านกาแฟเก๋ไก๋ แต่กลับเป็นบึงน้ำอันเงียบสงบไปเสียได้


“ขอโทษนะครับ ไม่รู้ว่าจะพาไปไหนดี ผมจากประเทศไทยไปนานแล้ว ที่นี่ผมเคยมาตอนเด็กๆ แล้วรู้สึกชอบ” ชายหนุ่มว่า ในขณะที่นั่งเคียงกันบนม้านั่งยาวสี
ขาว


เกดยิ้มก่อนจะส่ายหน้าไปมา


“ไม่เป็นไรหรอกคะ นัดเจอกันที่เขาดินก็ดี เกดไม่ได้มาที่นี่หลายปีแล้ว ดูแปลกตากว่าที่เคยเห็นไปมาก”


“คุณเช” ยิ้มอย่างพอใจ


“รู้มั๊ยครับ สมัยตอนเรียนอยู่ที่นี่ ผมชอบหนีเรียนแล้วก็มาที่เขาดินนี่ แล้วมานั่งตรงที่เรานั่งกันอยู่นี่แหละครับ”


เกดหัวเราะตาโต


“อะไรกัน คุณเชเนี่ยนะหนีโรงเรียน ท่าทางไม่บอกเลยนะคะเนี่ย”


ชายหนุ่มพยักหน้า


“ตอนนั้น ผมเพิ่งเสียแม่ไปใหม่ๆ นะครับ”


เสียงสั่น และดวงตาที่ทอแววเศร้า ทำให้หญิงสาวสะท้านขึ้นในหัวอก


“คุณเช…”


ชายหนุ่มหันมาสบตาหญิงสาว มือวางแปะบนม้านั่งยาว อยู่ห่างร่างของหญิงเพียงแค่คืบเท่านั้น


“อย่าเรียกผมคุณเลยครับ เรียกผมว่าเช ได้มั๊ย”


“ได้สิคะ เช” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน


ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เหม่อมองแผ่นน้ำเบื้องหน้า


“วันนั้น ที่ผมเห็นคุณในโบสถ์ เห็นคุณร้องไห้เงียบๆ แล้วได้พูดคุยกัน ได้ฟังคุณเล่าเรื่องคุณแม่ ผมรู้สึกเหมือนนั่งคุยกับตัวเอง มัน…”


ยังไม่ทันที่จะพูดได้จบประโยค หญิงสาวก็ใช้มือของตัวเองแตะเบาๆ ที่มือของคู่สนทนา


“ไม่ต้องพูดหรอกคะ”


“คุณเช” นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่จะหันมากุมมือหญิงสาวไว้ด้วยกิริยานุ่มนวล


“ฤดูร้อนปีนั้นยังอยู่ในใจผมเสมอ และมันจะอยู่ไปตลอด”


หญิงสาวนั่งนิ่ง ไม่ได้ขัดขืนที่โดนชายหนุ่มกุมมือเอาไว้ มีความรู้สึกบางอย่างบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่ผู้ชายที่จงใจจะเอาเปรียบผู้หญิงแม้แต่น้อยมือที่กุมเอาไว้นั้นก่อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด


รักแรกพบ รุนแรงอย่างนี้เชียวหรือ…




เกดหลับตาลงครั้งหนึ่ง สูดลมหายใจยาว แล้วจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง สูดดมกลิ่นหอมของดอกอะไรก็ไม่รู้ที่ลอยฟุ้งเข้าจมูก ได้ยินเสียงส่ายกิ่งใบของต้นไม่ใหญ่
แว่วเข้าหู ความรู้สึกผ่อนคลายเกิดขึ้น สายตาจ้องมองทางด้านหลังของชายหนุ่มที่กำลังนั่งยองอยู่บนพื้นหญ้า ใช้มือกวักน้ำในบึง ผมดำที่มัดเป็นระเบียบอยู่
เมื่อต้นชั่วโมงที่ผ่านมาสยายออกระต้นคอ


หญิงสาวนั่งมองแผ่นหลังของชายหนุ่ม พยายามซึบซับภาพตรงหน้าเอาไว้ให้นานที่สุด


“คุณเช” หันหน้ามา กวักมือชักชวนให้ลงไปกวักน้ำในบึงนั่นดูบ้าง หญิงสาวเพียงแต่ส่ายหน้า พลางคิดว่าชายหนุ่มคนนี้ช่างแปลกนัก ชอบอยู่กับธรรมชาติ รัก
ต้นไม้ใบหญ้า ดูเหมือนจะละเมียดละไมผิดวิสัยของผู้ชายส่วนมาก


อ้อ แต่กลับคล้ายคลึงกับผู้ชายไทยคนหนึ่งแทบจะถอดแบบกันมา


แต่ดูเอาเถอะ คล้ายกันออกอย่างนั้น แต่ความรู้สึกต่อผู้ชายทั้งสองทำไมถึงได้แตกต่างกันนักเล่า


คนนึงนะ เป็นเพื่อนชายที่แสนดีเสียนี่กระไร ผูกพันกันมานานหลายปีเสียเหลือเกิน


ส่วนชายหนุ่มผมยาวคนนี้ ที่แสนจะอ่อนโยน นุ่มนวล แต่บางครั้งก็พูดตรง ไม่ปิดบังความรู้สึกของตัวเองแม้แต่น้อย ให้ความรู้สึกแปลกแปร่งบางอย่าง


แล้วหญิงสาวก็รู้สึกชะงัก เหมือนร่างที่อยู่ตรงหน้านี้กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มในชุดนักเรียน ผมเผ้าเปียกปอน แต่มีรอยยิ้มสดใส ให้ความรู้สึกอันคุ้นเคย


โธ่เอ๊ย เอาอีกแล้วบุษบา ทำไมถึงได้นึกถึงแต่ภาพวันนั้นนะ ฤดูร้อนปีนั้นมีอะไรที่น่าจดจำนักหรือ


หญิงสาวนั่งบ่นพึมกับตัวเอง พลางกระพริบตาปริบๆ รู้สึกเนื้อตัวร้อนผะผ่าวขึ้นมา






วินเอนหลังพิงเข้ากับพนักเก้าอี้ ลูบคลำกีตาร์ในมือ แต่ไม่มีแก่ใจจะเล่นกีตาร์ ร้องเพลง เหมือนอย่างที่เคยทำ พูดให้ถูกก็คือ ไม่มีอารมณ์ที่จะทำอะไร นอก
จากนั่งนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น


ท่ามกลางอารมณ์อันเงียบเหงาและอ้างว้าง วิน เงยหน้าผ่านหน้าต่างห้องของตัวเองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าซึ่งดารดาษไปด้วยดวงดาวน้อยใหญ่ แล้วทอดสาย
ตาลงมองกิ่ง ก้าน ใบของต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านโอบคลุมหน้าบ้านไว้ พยายามเงี่ยหูฟังเสียงใบไม้ที่ปลิดปลิวลงกระจายเต็มพื้น


ธรรมชาติอันแปรปรวนบอกอะไรมนุษย์เราอยู่หรือ ดอกไม้เบ่งบานแล้วก็ร่วงโรย ดาวพราวแสงแล้วก็ดับ คงเหมือนจิตใจของคนเรามีความสุขชั่วประเดี๋ยว
ประด๋าว ความทุกข์ก็จู่โจมเข้ามา มีอะไรแน่นอนบ้างเล่าในโลกนี้


ความรักก็เช่นกันไม่ใช่หรือ


วินบรรจงวางกีตาร์ไว้ข้างโต๊ะทำงาน เปิดลิ้นชัก มองเห็นสมุดบันทึกสีเก่าซีดวางอยู่ ใจหนึ่งก็อยากหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้ง แต่อีกใจก็บอกกับตัวเองว่า อย่าเลย เปิดบันทึกออกอ่านทีไรภาพวงหน้าของเด็กสาวสวมแว่นตา พร้อมรอยยิ้มอันเริงร่าก็จะลอยเวียนวนกลับมาเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ


ทุกอย่างเป็นอดีตไปแล้วไม่ใช่หรือ จะรื้อฟื้นเพื่อประโยชน์อะไรอีก


ตอนนี้เขาอายุอานามก็ 27 นับว่าไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยังใช้ชมชอบชีวิตเรียบเรื่อย ไม่อินังขับขอบกับสิ่งใดอยู่อย่างนี้ ดูเหมือนไม่มีความทะยานอยากที่จะร่ำรวย
มีการงานอันมั่นคงเหมือนคนอื่นเขาเอาเสียเลย


เพราะอะไรหรือ


วินตอบตัวเองว่า เพราะรักชีวิตเช่นนี้นะสิ ชีวิตที่อิสระ ไม่ผูกมัดกับสิ่งใด ไม่ปฎิเสธเรื่องเงินทอง แต่ก็ไม่ถึงกับทุรนทุรายอยากมีอยากได้เหมือนคนทั่วไปช่วงเวลาหลายปีที่ชายหนุ่มดำเนินชีวิตเช่นนี้ ทำให้พบคำตอบว่า มีความสุขหลายอย่างที่เงินหาซื้อไม่ได้เหมือนกัน


แต่หลายครั้งการใช้ชีวิตเช่นนี้ก็เงียบเหงาเกินไป ความโหยหาที่ต้องการใครสักคนเกิดขึ้นหลาย แต่มันก็เหมือนดอกไม้ในสวนที่เขาเพ่งมองอยู่นั่นแหละ คือ
บานแล้วก็ร่วงโรย ความรู้สึกพลุ่งพล่านเช่นนี้เกิดมาแล้วก็ดับไป เป็นเช่นนี้มานานนักหนา


วินรู้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ฉุดรั้งเขาไว้ เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเลือนหายไปไหนเลย


และเหตุการณ์ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขารู้แล้วว่าใคร หรืออะไรคือสิ่งที่ตัวเองผูกพันด้วย


ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มไม่แน่ใจตัวเองนัก จนกระทั่งการมาถึงของชายหนุ่มคนนั้น ความรู้สึกภายในที่ซุกซ่อนไว้ค่อยๆ แผ่ขยายออก จนชัดเจนที่สุดเมื่อเห็นแววตา
วิบวับ เป็นประกายของเพื่อนสาวเมื่อวันก่อน


ความรู้สึกถึงความสูญเสียก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ


วิน ไม่โทษใครเลย นี่เป็นความผิดของตัวเขาเองแท้ๆ


เขาเองก็คงเหมือนชายหนุ่ม-หญิงสาวทั่วไป ที่ยึดเอาคำว่ารักเป็นสรณะแห่งชีวิต เป็นรักที่เคยวาดหวังว่า จะสมหวัง ได้ครอบครอง ได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเอง
ต้องการ


แต่ความรักบางครั้งก็ใจร้าย เล่นตลก หลอกให้มนุษย์เราเชื่อใจ มั่นใจ แอบคิดไปต่างๆ นาๆ บางครั้งนำพาแต่ความทุกข์ ความเศร้า และความปรวดปร่ามาให้ อย่างที่เขากำลังประสบอยู่ในขณะนี้อย่างไรเล่า


วินหยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นขึ้นมาถือไว้ ใช้มือลูบคลำปกไปมา ไม่มีแรงที่จะเปิดบันทึกออกอ่าน


แล้วน้ำตาก็ไหลซึมออกมาอย่างไม่รู้ตัว…





ชายหนุ่มพาเกดลงจากรถเมล์ ข้ามถนน แล้วเดินเลาะตามฟุตบาท หญิงสาวเดินตามอย่างเงียบๆ บางครั้งก็ถึงกับกลั้นยิ้ม แอบหัวเราะกับตัวเอง เพราะอะไร
ก็ไม่รู้เหมือนกัน


“อ้าว แล้วกัน หัวเราะอะไรครับเนี่ย” ชายหนุ่มพูดหลังจากหันมาเห็นอาการของหญิงสาว


“ขำตอนที่ขึ้นรถเมล์นะสิคะ ดูคุณเก้กัง ตลกดี แถมยังให้เงินกระเป๋ารถเมล์เกินตั้งเยอะ เคยขึ้นรถเมล์บ้างมั๊ยคะเนี่ย”


ชายหนุ่มหัวเราะอย่างขัดเขิน


“เคยสิครับ 2-3 ครั้งได้มั๊ง”


“โธ่เอ๊ย…” เกดว่ายิ้มๆ พลางใช้มือรุนหลังชายหนุ่มให้เดินนำหน้าไป หญิงสาวบอกกับตัวเองว่า แปลกดีเหมือนกัน ทำไมถึงได้รู้สึกประทับใจอิริยาบถ แววตา
เสียงหัวเราะของผู้ชายคนนี้เสียเหลือเกิน เป็นคนที่ก่อให้เกิดความรู้สึกผูกพันราวกับคุ้นเคยมานานเสียอย่างนั้นแหละ


ความคิดของหญิงสาวสะดุดลงเมื่ออยู่ดีๆ ชายหนุ่มที่เดินนำหน้าอยู่ก็หยุดเสียดื้อๆ อย่างนั้น


“อ้าว แล้วกัน หยุดเดินทำไมละคะ”


ชายหนุ่มยิ้มให้


“จะรบกวนคนที่บ้านไปหรือเปล่า มาแบบไม่บอกกล่าวอย่างนี้นะ”


“ไม่หรอก อย่าคิดมากสิคะ ก็ไหนบอกว่าอยากเห็นว่าครอบครัวคนไทยแท้ๆ เขาใช้ชีวิตกันอยู่ยังไง ไม่ใช่หรือ” หญิงสาวให้กำลังใจ


“ที่บ้านเกดมีไม่กี่คน ก็มีพ่อ น้าเยาว์ แล้วก็ยายมุก”


“ยายมุก…ที่เป็นเพื่อนนีม่า ใช่มั๊ยครับ”


เกดพยักหน้ารับ


“ใช่แล้วคะ ยายมุกตัวดี นี่บ่นว่าอยากเห็นหน้าคุณเชเสียเหลือเกิน คงสมหวังครั้งนี้ละ”


“แหม ผมก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งนะครับ อยากเห็นไปทำไมครับเนี่ย”


เกดยิ้มอีกแล้ว ผู้ชายธรรมดาอย่างนั้นหรือ ไม่เชิงเสียทีเดียวนัก เสื้อโปโลแขนยาวสีน้ำเงิน กางเกงยีนส์สีดำ แล้วก็รองเท้าหนังสีน้ำตาล อาจจะดูธรรมดา แต่
เมื่อปรากฎอยู่ในรูปร่างสูง เนื้อตัวแน่นด้วยมัดกล้าม ผมยาวที่รวบไว้อย่างเป็นระเบียบ ดวงตาที่คมวาว และรอยยิ้มอันอ่อนโยนนั้น ก่อให้เกิดความรู้สึก
บางอย่าง


นี่ถ้าแต่งองค์ทรงเครื่องซะหน่อย ครอบมงกุฎบนศรีษะด้วย เหมือนเจ้าชายในเทพนิยาย ยังไงยังงั้น






บรรยากาศมื้อเย็นในค่ำคืนนี้ดูแปลกไปกว่าทุกวัน


ไม่ใช่เพราะมีชายหนุ่มแปลกหน้ามาร่วมวงด้วยเท่านั้น แต่กิริยาอันนุ่มนวลยามจับช้อน การตักอาหาร เคี้ยวอย่างละเอียด มีจังหวะที่พูดคุยกับทุกคนที่ร่วมโต๊ะ
อาหารได้อย่างเหมาะเจาะ กิริยา มารยาทอันเรียบร้อยของอาคันตุกะผู้มาเยือน ทำให้ทุกอย่างดูแปลกไปจากเดิมจริงๆ


อย่าว่าแต่ใครเลย มุกดา บุตรสาวคนเล็กของบ้านที่ธรรมดาส่งเสียวเจื้อยแจ้วอยู่ตลอดเวลา ก็ยังพูดน้อยกว่าทุกวัน ดวงตาเบิ่งโตที่มองชายหนุ่มแปลกหน้า
นั้นแสดงความสงสัย เต็มไปด้วยคำถามมากมาย


แต่คนที่เอ่ยถามมากที่สุดกับเป็นพ่อของเกดและมุกซึ่งเป็นเจ้าบ้านไปเสียนี่


“ดัลวา นี่คล้ายพวกธิเบต หรือเปล่าครับ เห็นอยู่แถบเขาหิมาลัยเหมือนกัน”


ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นมา


“ก็ไม่เชิงเสียทีเดียวหรอกครับ บางอย่างก็คล้ายกัน แต่บางอย่างก็ไม่ แต่ที่เหมือนกันแน่ๆก็คือ ชาวดัลวาเคร่งศาสนาเหมือนพวกธิเบต แล้วก็รักธรรมชาติ ชอบ
ชีวิตเรียบง่าย คล้ายๆ กัน”


พ่อของเกดเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยินคำตอบ ก่อนจะพยักหน้าแสดงอาการเข้าใจ


“ดัลวา นับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่นะครับ นิสัยบางอย่างก็คล้ายกับคนไทยมาก ปีนึงๆ มีนักเรียน นักศึกษามาเรียนที่เมืองไทยกันมาก”


“พี่เช ก็เคยเรียนที่นี่เหมือนกันใช่มั๊ยคะ” มุกพูดแทรกขึ้นมาพลางใช้ศอกกระแทกใส่พี่สาวแสดงนัยบางอย่าง


“ครับ…เมื่อหลายปีก่อน” ชายหนุ่มรับคำ



“ผมเรียนจบมัธยมปลายที่นี้แหละครับ แล้วก็ไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่สหรัฐ”


“หืมม์ อย่างนั้นหรือค่ะ” น้าเยาว์เป็นฝ่ายอุทานออกมาบ้าง


“ผมไปเรียนต่อทางด้านรัฐศาสตร์นะครับ เรียนจนจบปริญญาโทที่นั่น เพิ่งกลับไปบ้านเกิดเมื่อไม่นานนี้เอง”


เสียงซักถามนิ่งลงครู่หนึ่ง ว่าที่จริงทุกคนนิ่งอึ้งไปเพราะคำตอบที่ได้รับมากกว่า


เกดเองก็ตกใจน้อยเสียเมื่อไหร่เล่า เหลือบตามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม “คุณเช” คนนี้มีอะไรที่คาดไม่ถึงให้ได้รับรู้ตลอดเวลา ดูอย่างกิริยา มารยาท
ระหว่างนั่งรับทานอาหารเย็นมื้อนี้ปะไร ดูแล้วนิ่มนวล เพลินตา ราวกับถูกฝึกมาอย่างดี


ถ้าจะเลือกใช้คำให้เหมาะก็ต้องบอกว่า ทุกอิริยาบถเท่าที่เห็น “งาม” เสียจริงๆ


ดูเอาเถิด ขนาดพ่อของเกดที่เคร่งขรึม พูดน้อย แต่สนทนาพาทีกันไม่กี่ประโยคก็ดูจะถูกคอกันดี หัวเราะเอิกอ้ากกันเป็นระยะ ส่วนน้าเยาว์และมุก ก็ดูจะเพลิด
เพลินกับเรื่องเล่าของดัลวาอยู่ไม่น้อย เป็นชายหนุ่มที่มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างประหลาดล้ำ


“คุณเช” คนนี้เป็นใครกันนะ มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวนึกสะดุดใจขึ้นมา






“พี่เกด คุณเชนี่ดูแปลกเนอะ"



“เอาอีกแล้ว สนใจใคร่รู้มาอีกแล้ว”


เกดถอนหายใจ เงยหน้ามองหลอดไฟบนเพดาน ในขณะที่มุกดา ที่นอนเคียงกันอยู่บนเตียงเดียวกันเอาหนังสือเล่มหนึ่งวางไว้บนหน้าอก แล้วหลับตาลง
“จริงนี่ คุณเช ตัวจริงน่าทึ่งกว่าที่นีม่าเคยเล่าให้ฟังเยอะเลย ดูเหมือนกับว่า…”


มุกพูดค้างไว้เช่นนั้นแล้วก็หันร่างขึ้นเอาศอกเท้าเข้ากับหมอนสีขาวที่วางไว้ใกล้กับศรีษะ ใช้สายตาจ้องมาที่พี่สาว


“เหมือนเจ้าชายนะ พี่เกด”


“อย่างนั้นหรือ” หญิงสาวว่า แล้วผลุดลุกขึ้นนั่งบนเตียง ทำท่าจะพูดอะไรออกมา แต่กลับเปลี่ยนคำถามเมื่อเห็นหนังสือที่น้องสาวถือติดตัวมาหลายวันแล้ว


“อ่านอะไรอยู่นะ วิมานริมขอบฟ้า นิยายเหรอ”


มุกดาหัวเราะเบาๆ แล้วลุกขึ้น พลางนั่งขัดสมาธิ หยิบหนังสือในมือชูขึ้นมา


“เปล่าหรอก หนังสือสารคดีนะ เรื่องของดัลวา แล้วก็เทือกเขาหิมาลัย”


คนเป็นพี่สาวเลิกคิ้วขึ้นสูง แสดงอาการประหลาดใจ


“คุยกับนีม่า เรื่องดัลวามานานแล้ว ยิ่งพอเรื่องของคุณเชเกิดขึ้น ก็ทำให้มุกอยากรู้เรื่องของดัลวามากขึ้นไง เลยหามาอ่าน”


“แล้วไงจ้ะ”


มุกดายักไหล่ขึ้นครั้งหนึ่ง


“ก็เพลินดีนะสิพี่เกด เพิ่งรู้ว่าดัลวา มีลักษณะบางอย่างที่เหมือนนิยายฝรั่งเรื่อง lost horizon เขาเขียนไว้”


“หืมม์ ยังไงนะ”


“ดินแดนในความฝันไงละพี่เกด อย่างที่เขาเรียกว่าเชียงกรี ลา เป็นดินแดนเล็กๆ แถบเทือกเขาหิมาลัย นอกจากสวยงามแล้ว ผู้คนมีชีวิตอยู่ตามธรรมชาติ ไม่
อาศัยกฎหมาย แต่อาศัยคุณธรรมในการปกครองประเทศ และกษัติรย์เดเช็น ผู้ปกครองประเทศก็ทรงเป็นกษัตริย์นักประชาธิปไตย เป็นที่รักของชาวดัลวา
ทุกคน”


“แล้วยังไงอีก” เกดชักสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว


“พี่เกดรู้ไหม อาณาจักรดัลวา ล้อบรอบไปด้วยเทือกเขาสูงต่ำที่ปกคลุมด้วยหิมะ ระหว่างขุนเขาเหล่านั้น มีทะเลสาบแอ่งกว้างใหญ่ที่งดงามเกิดขึ้นมากมาย
บางแห่งเป็นสีเขียวมรกต คงน่าดูมาก”


เกดเอามือท้าวคาง มองน้องสาวพูดเสียงเจื้อยแจ้ว พยายามนึกภาพตามไปด้วย


“ชนพื้นเมืองของชาวดัลวาส่วนหนึ่งเป็นเหมือนพวกมองโกลในจีน คือผิวขาว ตาตี่ ส่วนอีกพวกเหมือนแขกคือ คิ้วดก หน้าเข้ม ผิวคล้ำ ท่าจะจริงแฮะ”


แล้วภาพของชายหนุ่มที่มีผิวอันเกลี้ยงเกลา แต่คิ้วกลับดก และใบหน้าเข้ม ก็ปรากฎในห้วงคำนึงของเกดอีกครั้ง


“ในหนังสือนี่บอกว่า ผู้คนชาวดัลวาเป็นคนอารมณ์ดี แจ่มใส ไม่โกรธใครง่ายๆ ใช้ชีวิตอย่างไม่รีบเร่ง ดูเหมือนว่าเป็นอาณาจักรเล็กๆ ที่ประชาชนมีความสุข
มากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง”


“น่าสนุกดีนี่นา หนังสือเล่มนี้ แล้วมีอะไรอยากเล่าให้ฟังอีกจ้ะ คุณน้อง” เกดถามต่ออย่างอารมณ์ดี


มุกพับหนังสือลงแล้วทาบเอาไว้บนอก ยักคิ้ว หลิ่วตากับพี่สาว


“ที่น่าสนใจที่สุดของหนังสือเล่มนี้ก็คือ เรื่องเล่าเกี่ยวกับรัชทายาทหนุ่มแห่งดัลวา พระองค์ทรงมีพระสิริโฉมอันงดงาม มีจริยวัตรอันเพียบพร้อม ที่สำคัญก็คือยัง
เป็นโสด”


คนเล่าหยุดความ พลางขบยิ้ม สบสายตาที่กำลังจ้องมองมา


“แล้วยังไงต่อ เล่าก็เล่าไม่จบ


มุกดาดวงตาวาว มีแววเริงรื่นบางอย่างปรากฎขึ้น


“พระองค์ทรงมีพระนามว่า โดร์เช”


“เจ้าชายโดร์เช งั้นหรือ”


“ฮื่อ ใช่แล้วพี่เกด โดร์เช ที่มีความหมายว่า สายฟ้า”


ผู้เป็นพี่สาว ยื่นมือออกมา แล้วพูดขึ้น


“ยืมอ่านหน่อยซิจ้ะ”


มุกพยักหน้า


“ได้สิ แต่ก่อนจะให้ มุกอยากถาม”


“ถามอะไร ยุ่งยากจริงเด็กคนนี้


“ถ้าคุณเชเกิดเป็นเจ้าชายโดร์เช ขึ้นมา พี่เกดจะทำยังไง”


หญิงสาวยิ้มอย่างนึกขบขันเสียเต็มประดา เอามือผลักไปที่ศรีษะของน้องสาวอย่างเอ็นดู


“เด็กบ๊อง เอาสมองส่วนไหนคิด เพ้อเจ้อ”


จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ถึง “คุณเช” จะมีบุคคลิกบางอย่างที่ดูเกรงขาม และมีเสน่ห์ลึกลับบางประการ แต่ก็คงไม่ได้เป็น “เจ้าชาย” อย่างที่น้องสาวคิดเป็นตุ
เป็นตะไปหรอก


“เอาหนังสือมาให้พี่ แล้วมุกก็ไปนอนได้แล้ว จะนอนฝันถึงเจ้าชายคนไหนก็เชิญเถิด ตามสบาย”


มุกดาจะทำอะไรได้เล่า ยื่นหนังสือในมือให้ พร้อมกับแลบลิ้นล้อเลียนพี่สาวของตัวเองไปเท่านั้น


“เดี๋ยว มุกจะให้นีม่า ช่วยหาพระฉายาลักษณ์ของเจ้าชายโดร์เชให้ ดูสิว่าจะสูสีกับคุณเชของพี่เกดหรือเปล่า ว่าแต่เช กับ โดร์เช มันคล้ายกันจังนะ มุกว่า”


พูดเสร็จแล้ว หญิงสาวก็ทำตาประหลับประเหลือก แล้วยิ้มให้กับความคิดของตัวเองอยู่เป็นนาน

๑๐.๑๑.๕๒

บทที่ 11-สองรัก

นับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าบ้าน อาบน้ำ ทานมื้อเย็น หญิงสาวรับรู้ได้ถึงอาการประดักประเดิดของตัวเอง เพราะดูเหมือนจะมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องดูอยู่ตลอดเวลา

จนกระทั่งพ่อและแม่เลี้ยงขึ้นไปพักบนห้องนอนแล้วนั่นละ เกดถึงได้ดึงตัวเจ้าของดวงตาคู่นั้นมานั่งไถ่ถามด้วยอาการขัดเขินเต็มที

“เป็นอะไรไปคุณน้องสาว นั่งมองพี่ตั้งแต่เข้ามาบ้านแล้ว สงสัยหรือว่าพี่มีอะไรผิดปกติไปจ้ะ”

มุกดาจ้องมองพี่สาวของตัวเองอยู่เป็นนาน แล้วนั่งนิ่งอยู่

“ว่าไงละ…” เกดถามน้ำเสียงไม่ปกตินัก

มุกดา หันไปหยิบรีโมตโทรทัศน์เพื่อปิดเสียงบนจอไม่ให้มารบกวนการพูดคุย แล้วทรุดตัวลงบนโต๊ะเล็กที่อยู่เยื้องกันไป ก่อนจะหันมาทางพี่สาวที่นั่งกระสับกระส่ายอยู่บนโซฟา

“เขามาส่งละสิ พี่เกด…ใช่มั๊ย”

ผู้เป็นพี่สาวเลิกคิ้วสูง ก่อนกลั้นหัวเราะกับคำถามอันคาดคั้น

“โธ่เอ๋ย นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็…”

แต่มุกดาดูจะไม่รับมุขเท่าใดนัก ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง

“แล้วไปไหนมากับคุณเชนั่น”

เกดอมยิ้มกับคำถาม แล้วส่ายหน้าไปมา แต่ดวงตาวิบไหว

“ไม่ได้ไปไหนนี่ ไปนั่งคุยกัน แล้วเขาก็มาส่งเมื่อกี้ ก็เท่านั้น”

น้องสาวย่นจมูก

“แล้วไง เขาจีบ งั้นสิ”

“ยายมุก” เกดร้องเสียงหลง แล้วอาการหัวใจเต้นตึกตั่ก ความรู้สึกที่ทำให้มือไม้สั่นก็กลับมาอีกครั้ง

เห็นอาการพี่สาวเช่นนั้นแล้ว มุกดาที่เก็บอาการเคร่งขรึมอยู่เป็นนานก็ปิดปากหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี

“แน่แล้วๆ พี่เรา”

พี่สาวเห็นดวงตาอันระยิบระยับ แล้วรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์นั้นแล้ว ก็รู้เลยว่าตัวเองหลงกลเข้าแล้วเต็มเปา

“ยายมุก เป็นน้องเป็นนุ่งคิดลักไก่หลอกถามพี่หรือนี่…”

มุกดาหัวร่องอหาย ก่อนจะจ้องมองพี่สาวด้วยดวงตาวาวโต

“หรือจะเป็นคุณเชคนนี้ โซลเมทของพี่เกดนะ”

“หา…” เกดพึมพำ ไม่รู้ว่าจะตอบน้องสาวอย่างไร ความรู้สึกที่มีต่อชายหนุ่มท่าทางแปลกๆ คนนี้เป็นอย่างไรหรือ บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกัน

รู้แต่ว่า วันนี้ที่เจอกัน หญิงสาวรู้สึกใจสั่น เหงื่อชุ่มมือ พูดจาผิดๆ ถูกๆ หนแล้วหนเล่าอยู่นั่นละ

“มุกยังไม่เคยเห็นหน้าคุณเชคนนี้เลย แต่คงหล่อน่าดูเชียว ใช่มั๊ย”

“ก็ดูดีนั่นแหละ…”

น้องสาวขบยิ้มเมื่อเห็นอาการ “หลุด” ของพี่สาวอีกครั้ง ดวงตาวิบวับประหลาดอย่างนั้น จะตีความหมายเป็นอย่างอื่นได้อย่างไรเล่า

“อยากเห็นจัง พามาแนะนำน้องนุ่งหน่อยสินะ”

“ฮื่อ…คงมีโอกาสเจอกันหรอกเร็วๆ นี้”

แล้วมุกดาก็กระโดดผลุงมานั่งบนโซฟาเกาะแขนผู้เป็นพี่สาว แล้วซบศรีษะเข้าที่ไหล่ ก่อนทำเสียงห้าวแบบผู้ชายล้อเลียน

“คุณครับ รับรักผมเถอะนะครับ”

เกดหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะหยิกแขนน้องสาวแก้อาการเก้อเขินของตัวเอง

“จริงๆ เลยนะเราเนี่ย”

“ว่าแต่ว่า…วันนี้นัดเจอกันได้อย่างไร ใครโทรหาใครก่อนละ หรือมีกระแสจิตตรงกัน” มุกดาถามด้วยน้ำเสียงใส

ผู้เป็นพี่สาวส่ายหน้า

“เปล่าหรอก…วินเขาโทรนัดให้นะ”

“หา…” มุกดาร้องได้แค่นั้นแล้วเอนหลังพิงกับโซฟา เหลือบตามองพี่สาวด้วยดวงตาคมวาวราวกับต้องการทะลุให้เห็นถึงความรู้สึกภายใน

“ตานั่นอีกแล้วเหรอ เฮ้อ”

“ทำไมจ้ะ …”

มุกดาเบ้ปาก ค้อนวงหนึ่งให้กับใครบางคน แล้วจึงเหลือบตามองพี่สาวที่หันไปหยิบนิตยสารที่วางไว้ใกล้ตัวขึ้นมาอ่าน

นี่จะถวายพานบุษบาให้อิเหนากันเลยหรือนี่ ตาจรกาซื่อบื้อเอ๊ย




เมื่อได้ยินเสียงกดกริ่งหน้าบ้าน วินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นี่ก็เกือบจะเย็นแล้ว ไม่น่าจะมีใครมาแวะเยี่ยมเยือนในช่วงเวลานี้นักหรอก

แต่เมื่อชายหนุ่มเปิดประตู ก็ให้รู้สึกแปลกใจ เมื่อเห็นหญิงสาวผมสั้น ในชุดนักศึกษา ยืนยิ้มแฉ่ง พร้อมยื่นถุงขนมในมือให้

“สวัสดีคะพี่ ซื้อขนมมาฝาก”

ชายหนุ่มรับถุงขนมมาถือด้วยอาการงุนงง แล้วเปิดประตูบ้านให้อาคันตุกะผู้มาเยือน

“เข้ามาสินีม่า ไปไงมาไงเนี่ย แล้วรู้จักบ้านพี่ได้ยังไง”

นีม่า ยิ้มอวดฟันขาว พลางนั่งลงบนชุดโต๊ะทางด้านล่างของตัวบ้าน ก่อนจะเหลียวมองรอบบ้านไม้สีฟ้าอย่างสนอกสนใจ

“บ้านพี่สวยจัง ต้นไม้ครึ้มเชียว น่าอยู่จังคะ”

วินพยักหน้ารับ

“มาคนเดียวหรือ แล้วมุกละ”

“วันนี้นีม่ามาคนเดียว ถามทางจากมุกเค้านะคะ ความจริงก็ไม่ยากนั่งรถเมล์มาลงปากซอย แล้วก็นั่งมอเตอร์ไซค์เข้ามาอีกนิดเดียว”

ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างรับรู้ ก่อนจะเดินตรงไปทางห้องครัว ชั่วครู่ก็ออกมาพร้อมแก้วน้ำในมือ

“ทานน้ำก่อนเถอะ…”

นีม่ายกมือไปรับแก้วน้ำในมือ ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะจ้องมองมาที่ชายหนุ่มด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“เป็นไงบ้างคะพี่…”

วินยักไหล่ แล้วหัวเราะเบาๆ

“พี่สบายดีก็เหมือนเดิม แต่วันนี้มีงานต้องส่งลูกค้าก็เลยไม่ได้ไปไหน เพิ่งเสร็จเมื่อตะกี้”

แขกผู้มาเยือนเอามือท้าวคาง จ้องมองเจ้าของบ้านด้วยแววตาประหลาด

“นีม่ามาขอบคุณนะคะ ขอบคุณแทนเจ้านาย สำหรับความช่วยเหลือทุกอย่าง”

“ไม่ต้องหรอกน่า พี่ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักเลย”

หญิงสาวส่ายหน้าไปมา

“ไม่จริงหรอกคะ ถ้าไม่ได้พี่ เรื่องก็คงไม่จบง่ายดายอย่างนี้”

“เพียงแต่ว่า…” หญิงสาวกล้ำกลืนคำพูด

“นีม่าไม่คิดว่าเรื่องจะลงเอยอย่างนี้เหมือนกัน ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นพี่เกด…”

สีหน้าของวินสลดลงวูบหนึ่ง แต่ก็เพียงแว่บเดียวเท่านั้น

“เหมือนหนังเกาหลีเลยเนอะ พระเอกกับนางเอกเคยเจอกันตอนเด็ก แล้วก็พลัดพรากกันไป เจอกันอีกทีก็ตอนเป็นหนุ่มสาวกันแล้ว แฮปปี้เอนดิ้งในที่สุด”

ชายหนุ่มพยายามพูดให้ตลก แต่คนฟังดูจะขำไม่ออกเมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวของคนพูด

“นีม่าก็ว่าอย่างนั้น แต่ก็ยังห่วงอยู่นิดนึง”

วินเลิกคิ้วสูง

“ห่วงอะไรละ…”

“ก็ห่วงว่าพี่เกดจะรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ แล้วคนรักของพี่เกดละ”

ชายหนุ่มโบกไม้โบกมือเป็นการใหญ่

“อย่าห่วงไปเลย เกดยังไม่มีคนรัก”

“จริงหรือคะ…” นีม่าถามอย่างคาดคั้น

“ฮื่อ…เป็นอย่างนั้น”

วินส่ายหน้า ดูเหมือนจะพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น

หญิงสาวพยายามมองหาความจริงจากดวงตาที่หลุบลงของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า แต่ก็มองไม่เห็นอะไรเท่าใดนัก

“นีม่าก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป คาดเดาอะไรไม่ได้ทั้งนั้น แต่ที่บอกพี่ได้ก็คือ เจ้านายของนีม่าเป็นคนดี จิตใจงาม”

“พี่มองเห็นหรอกน่า คุณเชอาจจะเป็นคนที่เกดรอคอยอยู่ก็ได้”

“จริงหรือคะ…”

“โซลเมท คู่แท้ยังไงเล่านีม่า”

หญิงสาวพยักหน้า พยายามสังเกตอากัปกิริยาของเจ้าของบ้านไปด้วยในตัว พยายามควานหาความลึกลับบางอย่างจากดวงตาคู่นั้น แต่ไม่พบอะไรเลย เหมือนมองสายน้ำอันสงบนิ่ง แต่ลึกลงไปนั่นเล่า

“ว่าแต่ว่า…” วินเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง

“ว่าอะไรคะ” นีม่าตอบ

“คุณเช ทำงานอะไรหรือนีม่า ท่าทางไม่เหมือนนักธุรกิจสักเท่าไหร่เลย แต่คงจะมีฐานะพอสมควร”

หญิงสาวสะดุ้งขึ้นมา ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงไม่ปกติเท่าใดนัก

“ก็มีคะ มีฐานะพอสมควร”

“แล้วถ้า…”

ยังไม่ทันที่นีม่าจะจนมุมกับคำถาม เสียงเปิดประตูบ้านก็ดังขึ้นมาเสียก่อน แล้วร่างของคนชราคู่หนึ่งก็ก้าวเข้ามาในบ้านอย่างช้าๆ

“พ่อแก่กับแม่แก่กลับมาแล้วละ ไม่รีบไปไหนใช่มั๊ยนีม่า กินข้าวด้วยกันเถอะ แม่แก่ทำกับข้าวอร่อยนะ”

หญิงสาวถอนหายใจยาว

กินก็ได้ไม่เป็นไรหรอก ขอแต่อย่าซักให้มากนักก็แล้วกัน นีม่าพึมพำกับตัวเองอย่างหนักใจ



หลังจากผ่านพ้นมือเย็นไปแล้ว ขับจักรยานไปส่งนีม่าที่ปากซอย รอจนขึ้นรถแท็กซี่เพื่อแน่ใจว่าปลอดภัยแล้ว วินก็ต้องมานั่งให้พ่อแก่-แม่แก่ ซักไซ้ไล่เรียง ถึงประวัติของสาวนักศึกษาที่มาเยี่ยมเยือนถึงบ้านอยู่เป็นนาน

“เพื่อนรุ่นน้องนะครับ เป็นเพื่อนสนิทยายมุกนะครับ ไม่มีอะไรหรอก”

ตากับยายของชายหนุ่มหัวเราะหัวใคร่กับคำตอบ

“เพื่อนก็ดี แฟนก็เหมาะ” พ่อแก่แซวหลานชาย

“เห็นหน้าแดงหน้าดำมาหลายวันแล้วนี่ ดูวันนี้สีหน้าดีขึ้นมานิดนึงแล้ว” แม่แก่แสดงความเห็นเพิ่ม

“พ่อแก่ แม่แก่ อย่าคิดอะไรให้เลยเถิดไปเลย นีม่าไม่ใช่แฟนผมหรอกครับ”

“นีม่าชื่อเพราะซะด้วย ว่ามั๊ยยาย…” พูดแล้วพ่อแก่ก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก

ชายหนุ่มจะทำอะไรได้เล่า ปล่อยเลยตามเลยแล้วกัน ถือว่าเป็นความสุขของคนแก่น่า

แต่คำถามในตอนท้ายของแม่แก่นี่สิ ทำให้วินถึงกับสะดุ้งขึ้นมา

“ถ้านักศึกษาคนนี้เป็นแฟนของหลานจริง แล้วหนูเกดละจ้ะทำยังไง”

คำตอบที่ชายหนุ่มมีให้ รวบรัดได้ใจความ แต่พอพูดออกไปแล้วไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมถึงน้ำเสียงถึงได้แห้งผาก อ่อนล้าเช่นนั้นไปได้

“ไม่ต้องห่วงเกดหรอกครับ เขาเจอแฟนเค้าแล้ว น่าจะคนนี้แหละครับ”

สิ้นคำพูดประโยคนี้ ภาพวงหน้าของเด็กสาวสวมแว่นตา พร้อมรอยยิ้มอันเริงร่าที่แสนจะคุ้นเคยก็ปรากฎในห้วงคำนึงของชายหนุ่มอีกครั้ง

แต่คราวนี้ภาพนั้นเลือนลางมากกว่าทุกคราว


“อะไรนะ เจ้าชาย” เสียงร้องที่แผดลั่นของชายร่างท้วมทำให้แขกที่มานั่งดื่มเครื่องดื่มในร้านกาแฟมองกันมาที่ผู้ชาย 2 คนที่มุมด้านในของร้านอย่างพร้อมเพรียง

“เบาๆ หน่อยสิ มูตา” เสียงของชายหนุ่มที่ผมยาวถูกรวบตึงเป็นหางม้ากระซิบขึ้นมา

“มันน่าตกใจหน่อยเสียเมื่อไหร่เล่า คำถามที่เจ้าชายบอกผู้หญิงคนนั้นนะ…” มูตาลดเสียงลง แต่ดวงตาที่เบิ่งโต และคิ้วขมวด แสดงให้เห็นถึงอารมณ์อันพลุ่งพล่าน

ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ

“ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรนี่นา ก็แค่คำถามเดียว”

“แต่ว่าเจอหน้ากันหนแรก ก็ถามว่าคุณผู้หญิงครับ คุณเชื่อในรักครั้งแรกหรือไม่นี่ไม่เกินเลยไปหน่อยหรือเจ้าชาย”

ชายหนุ่มจ้องหน้าคนสนิทด้วยดวงตาพราว ก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบโดยไม่ละสายตาไปจากมูตา

“ข้ารู้ดี มันอาจจะเป็นคำถามที่ตรงไปหน่อย แต่มูตา อย่าลืมว่าพวกเรามีเวลาน้อย ก็เลยต้อง…”

มูตาถอนหายใจยาวๆ

“สมกับชื่อโดร์เชจริงๆ ทำอะไรรวดเร็วเหมือนสายฟ้าแล่บ”

เจ้าชายโดร์เชทรงพระสรวลเบาๆ ก่อนจะทอดพระเนตรไปรอบร้านกาแฟซึ่งตั้งอยู่ชั้นล่างของคอนโดมีเนียมที่พัก

“ข้าชอบที่นี่มาก มูตา ดูสิผู้คนหัวเราะ ยิ้มแย้มให้แก่กัน แล้วผู้คนที่ข้าได้รู้จักต่างก็เป็นคนดี มีน้ำใจทั้งนั้น”

มูตายักไหล่

“ถึงที่นี่จะดีอย่างไร แต่เจ้าชายก็ต้องกลับไปที่ดัลวาอยู่ดีนั่นแหละ ฝ่าบาทอย่าลืมสิว่าพระองค์คือรัชทายาทของกษัตริย์เดเช็น”

เจ้าชายโดร์เชเป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง

“ข้ารู้ ขอบใจที่เตือนมูตา”

คนสนิทของรัชทายาทของดัลวามีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย

“ตอนนี้ พระองค์ก็ได้พบกับผู้หญิงที่เฝ้ารอมานาน แล้วจะทำอย่างไรเล่า จะเผยความจริงให้นางทราบเสียตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ”

เจ้าชายโดร์เชส่ายพระพักตร์

“อย่าเพิ่งเลย ข้ายังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรเหมือนกัน คงต้องอีกสักพักนั่นแหละ”

“เมื่อไหร่กัน” มูตารุกถาม

รัชทายาทหนุ่มสบพระเนตรกับคนสนิทท่ามกลางความวุ่นวายของผู้คนในร้านกาแฟหรูแห่งนั้น

มูตายักไหล่ครั้งหนึ่ง ใช้ช้อนคันเล็กตัดเค้กชิ้นตรงหน้าให้พอดี แล้วตักเข้าปาก ดวงตายิบหยี พลางยิ้มในสีหน้า

ใครจะเชื่อ รัชทายาทคนเดียวแห่งราชวงศ์เซโม ราชวงศ์ผู้ปกครองอาณาจักรดัลวามานับร้อยปี จะมีวันนี้เพราะผู้หญิงไทยธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น พิโธ่เอ๊ย



“นี่ นีม่า”

“ว่ายังไง มุก”

นีม่าละสายตาจากกองหนังสือตรงหน้า ที่วางอิเหละเขะขะอยู่บนม้านั่งยาวริมสระน้ำในมหาวิทยาลัย แล้วจ้องมองตาเพื่อนคนสวย

“ไปบ้านอีตานั่นเป็นยังไง…”

หญิงสาวจากดัลวา ก้มตาลงขบยิ้ม ก่อนจะตอบเพื่อนออกไป

“ก็ไม่เป็นไร บ้านสวย ต้นไม้เยอะ อาหารอร่อย”

มุกดา เอามือหยิกแขนเพื่อนด้วยอาการหมั่นไส้

“เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

“อ๋อ อยากรู้เรื่องคุณตากับคุณยายของพี่วินเหรอ ก็ไม่มีไรนี่ เป็นคนแก่ที่น่ารักทั้งคู่”

นีม่าเงยหน้าขึ้นและได้เห็นดวงตาขุ่น คิ้วที่ขมวด แสดงอาการว่าใกล้จะ “วีน” เต็มทีแล้ว

“แหม มุกดาจ๋า ล้อเล่นนิดหน่อยเอง ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินี่จะ นอกจาก…”

“นอกจากอะไร…” มุกรีบถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ก็พี่เค้าซึมๆ นิดนึง แต่ก็ไม่มีอะไรนี่นา เป็นแค่ผู้ชายปากแข็งคนนึงเท่านั้น มุกก้อ”

มุกดากลอกตาไปมา ก่อนพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย

“ก็บอกนีม่าแล้วไง พี่วินนะเป็นผู้ชายบ๊องๆ ซื่อบื้อ แล้วก็ใช่ด้วย ปากแข็ง ปากหนักออกจะตายไป”

“ผู้ชายปากแข็งนี่ นีม่าว่า เหมาะกับ ผู้หญิงปากแข็งเหมือนกันเป็นที่สุดเลย มุกว่ามั๊ย”

“อะไรนะ ไม่เห็นจะรู้เรื่อง”

นีม่าแอบหัวเราะหึหึอยู่ในใจ เมื่อเห็นอาการคอแข็ง สีหน้าเก้อเขินของเพื่อน

ความรักนี่ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ ด้วยแฮะ





๔.๑๑.๕๒

บทที่ 10-แรกนัด

ตอนที่เกดย่างเท้าเข้ามาในร้านต้นไม้ ก้มหัวลอดกอมะลิซ้อนตรงประตูแล้วมายืนค้อมหลังเฝ้ามองวินอยู่นั้น ชายหนุ่มรู้สึกตัวแล้ว แต่ยังทำเป็นสาละวนอยู่กับการจัดเรียงกระถางต้นไม้ราวกับยุ่งเสียเต็มประดา


“มาแล้วนะ” เสียงหวานใสดังอยู่บนแผ่นหลัง


“ชื่อเกดจ้ะ ชื่อจริงบุษบา บ้านอยู่ฝั่งขะโน้น”


ทักทายอย่างนี้แล้ว ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมขยับตัว ทำให้หญิงสาวผมยาวสลวย ในชุดเสื้อลายลูกไม้ กระโปรงบานยาวสีฟ้าอ่อน ห่อปาก แล้วทำตาโต ก่อนจะตัดพ้อออกมาว่า


“นี่คุณเพื่อนจ้ะ มาง้อถึงที่แล้ว อย่าเล่นตัวหน่อยน่า”


“เปล่างอนซะหน่อย” วินพูด


“งั้นก็หันหน้ามา” เกดว่า ก่อนหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ไม้ที่มีไว้สำหรับต้อนรับลูกค้า


ชายหนุ่มเหลียวหน้ามา แล้วเห็นดวงตาคมวาวคู่นั้นจ้องอยู่ก่อนแล้ว


“ขอโทษนะ” เด็กหนุ่มพูด ก่อนจะเสไปมองต้นปีบในกระถางที่วางเรียงเป็นแถวอยู่บนชั้นทางด้านหลังของหญิงสาว


“ไม่ยกโทษให้หรอก นัดแล้วไม่ไปตามนัด”


แม้หญิงสาวจะทำเสียงห้วน แต่แววตาเป็นประกาย รอยยิ้มอันแสดงถึงความแช่มชื่นนั้น ทำให้ชายหนุ่มต้องหลุบตาลงมองพื้น ราวกับต้องการซ่อนความรู้สึกบางอย่างไม่ให้เผยตัวออกมา


“เราจำเป็นจริงๆ แล้วเกดก็ได้เจอคุณเชแล้วใช่มั๊ย”


“เช…เหรอ” หญิงสาวทวนคำ ก่อนจะเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะถามออกไปว่า


“เด็กผู้ชายคนนั้น…เอ๊ย ผู้ชายคนนั้น นี่วินนัดให้เกดไปที่โบสถ์ เพื่อให้พบกับคุณเชที่ว่านี่หรอกหรือ อย่างไรกันแน่”


วิน ถอนใจครั้งหนึ่งก่อนตอบ


“จำเรื่องที่มุกวานให้เราช่วยเหลือเรื่องตามหาคนได้มั๊ย”


“ฮื่อ…”


“ก็คุณเช คนนี้นี่ไง”


เกดทำตาโต แล้วอุทานออกมา


“ตายละ เกดว่าจะถามอยู่เหมือนกัน ชักสงสัยอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว”


หญิงสาวนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อว่า


“วินจะบอกว่า ผู้หญิงคนที่คุณเชตามหาน่ะคือ…”


ชายจะทำอย่างไรได้เล่า สบตากับเพื่อนสาวอยู่เป็นนานก่อนจะพยักหน้ารับ


เกดผลุดลุกขึ้นจากเก้าอี้นั่งอย่างลืมตัว


“ไม่นะ…ไม่น่าเป็นไปได้”


วินทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ราวกับหมดแรงเสียดื้อๆ อย่างนั้นแหละ


“ก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน แต่ทุกอย่างมันบ่งบอกว่าเกดคือผู้หญิงคนที่คุณเชตามหาอยู่จริงๆ”


หญิงสาวจ้องเป๋งมาที่เพื่อน


“นี่จะหมายความว่าอะไรเล่า”


ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรดีเหมือนกัน


แต่วินยังจำได้ถึงสายตาอันเป็นประกายวิบวับของ “เจ้านาย” คนนั้น ทันทีที่เล่าเรื่องของเกดให้ฟัง เพียงแค่นั้นชายหนุ่มก็ได้คำตอบทุกอย่างแล้ว


ใช่แล้ว ไม่ผิดตัวแน่นอน


“เขาตามหาเกดเหรอ ” หญิงสาวรุกเร้าอีก


วินหันมาบอกกับเพื่อน


“เจ้าชายมาตามหาซินเดอเรลล่า มั๊ง”


เกดเงยหน้าขึ้นสบตากับวิน


“บ้าน่า”


แม้จะพูดคำว่าบ้า แต่ชายหนุ่มกลับสังเกตว่าดวงตาของหญิงสาวเบื้องหน้าดูแพรวพราว แก้มสองข้างแดงซ่านด้วยความเขินอาย


วินอยากจะบอกว่า นี่เป็นอากัปกิริยาที่เขาไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก


“อยากจะรู้ก็มีทางเดียว”


“ทางไหน…”


“อ้าว แล้วกัน เกดก็ลองถามเขาตรงๆ ดูสิ เผื่อจะได้คำตอบ”


หญิงสาวนิ่งงัน ไม่รู้ว่าเห็นด้วยหรือไม่กับคำแนะนำ


วิน กลับเป็นฝ่ายนิ่งบ้าง ดวงตาหมองลง ริมฝีปากเม้มสนิท ดูเหมือนไหล่จะคู้ลงหน่อยอีกด้วย แต่หญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้หลับตาลง ไม่มีทางมองเห็นอาการอันผิดปกติของเพื่อนชายได้เลย


“เอาเถิด เดี๋ยวจัดการให้”


เด็กหนุ่มตอบ แต่ดูเหมือนเสียงที่พูดจะแห้งแล้ง และฝืดฝนเสียเต็มประดา



งามจริงยิ่งเทพนิมิต ให้คิดเสียดายเป็นหนักหนา

เสโทไหลหลั่งทั้งกายา สะบัดปลายเกศาเนืองไป

กรกอดอนุชาก็ตกลง จะรู้สึกพระองค์ก็หาไม่

แต่เวียนจูบสียะตรายาใจ สำคัญพระทัยว่าเทวี

ความรักรุมจิตพิศวง จนลืมองค์ลืมอายนางโฉมศรี

ไม่เป็นอารมณ์สมประดี ภูมีหลงขับขึ้นฉับพลัน


“เป็นไง เพราะดีเนอะ”


นีม่า อดยิ้มไม่ได้ เมื่อได้ยินเพื่อนสาวอ่านบทกลอนจากหนังสือเล่มโตที่ยกขึ้นสูงอยู่ตรงหน้า


“อิเหนา ใช่มั๊ยเนี่ย”


“ฮื่อ” มุกดารับคำ ก่อนจะวางหนังสือพระราชนิพนธ์ “อิเหนา” ลงบนโต๊ะยาวในห้องสมุดอย่างแผ่วเบา

เหลียวมองไปรอบบริเวณที่มีผู้คนนั่งจับกลุ่มอ่านหนังสือกันอยู่บางตา แล้วจึงชมเชยเพื่อน


“นีม่า เก่งจัง รู้ด้วยว่าเอามาจากวรรณคดีเรื่องไหน”


หญิงสาวหัวเราะกับคำชมก่อนจะหยอดกลับไปบ้าง


“ทำไมจะไม่รู้ละจ้ะ หลายอาทิตย์มานี่เห็นมุกดาของฉันพูดแต่ชื่อของอิเหนา บุษบา”


“แล้วก็…จรกา”


ประโยคสุดท้ายนีม่าพยายามลากเสียงยาว แล้วยักคิ้วล้อเลียนเพื่อนอย่างเจตนา


มุกดา จับน้ำเสียงอันไม่ปกตินั้นได้ คิ้วคู่งามขมวดขึ้น พลางค้อนใส่เพื่อนวงหนึ่งอย่างมีจริต


“แล้วกัน ทำเซ็งซะเนี่ย”


แต่มุกดาก็ทำกิริยาแง่งอนไปอย่างนั้นแหละ ชั่วครู่ก็เอามือป้องปากกระซิบ แล้วยื่นหน้ามาใกล้เพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม


“ว่าแต่ว่า เจ้านายของพี่ชายนีม่านะหล่อพอๆ กับอิเหนาได้มั้ยละ แต่พี่เกดของมุกนะ บุษบาของแท้ร้อยเปอร์เซนต์”


หญิงสาวจากดัลวาส่ายหน้าไปมา


ไม่ใช่ไม่หล่อเหลา องอาจอย่างอิเหนานั่นหรอก แต่บุคคลิกต่างกันโดยสิ้นเชิงต่างหาก แล้วภาพของชายหนุ่มผู้เป็น “นาย” ก็ผุดวาบขึ้นมา ไม่ว่าจะใบหน้าเกลี้ยงเกลา คมคาย ริมฝีปากบาง จอนยาวใกล้ใบหู และผมยาวที่รวบตึงมัดเป็นหางม้าทางด้านหลัง


เป็น “เจ้าชาย” ในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้นแหละ


แต่คิดอีกที “เจ้าชาย” แห่งดัลวามีอะไรหลายอย่างที่เหมือนอิเหนาจริงๆ นั่นแหละ อย่างน้อยก็การตามหา “บุษบา” นี่ยังไง


คิดแล้วก็ทำให้นีม่าเผลอตัวยิ้มออกมา


“อ้าว แล้วกัน คิดถึงใครกันจ้ะ ยิ้มมีเลศนัยเสียจริงๆ” มุกดา ว่า ทำเอานีม่าต้องกระพริบตาถี่ แล้วพูดอย่างเขินอายว่า


“บ้าน่ามุก เปล่าคิดเสียหน่อย เอาเป็นว่าเจ้านายของนีม่า ไม่เชิงเหมือนอิเหนาหรอกนะ อย่างน้อยก็ยังโสดอยู่จ้ะ ไม่มีจินตหราแอบซ่อนไว้หรอก”


“อ๋อ”


“ว่าแต่ว่า นัดมาที่นี่ทำไม หรือว่าแค่มาอ่านอิเหนาให้ฟัง ต้องการอะไรเล่าจ้ะ”


มุกดายิ้มกว้างทันที


“ไม่ใช่อะไรหรอก แค่อยากรู้ว่าอิเหนาในหนังสือคลั่งไคล้บุษบาจะเป็นจะตายเสียขนาดนั้น แล้วอิเหนาของนีม่าละขนาดไหน”


นีม่าอึ้งไปพักใหญ่ ตอบเพื่อนไม่ถูกเหมือนกัน เพราะดูเหมือนมีแต่ตัวของคู่กรณีเท่านั้นที่จะตอบได้


“คงต้องดูกันไปซักพัก นีม่าก็ยังงงอยู่เหมือนกันแหละจ้ามุก”


มุกดาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย


“มันพิลึกตรงที่ว่าผู้หญิงคนที่นายของนีม่าตามหาดันมาเป็นพี่เกดไปเสียได้ อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น แล้วทีนี้พอตามเจอก็มีปัญหาอีก ว่าจะทำยังไงกันต่อไป จะเริ่มต้นจีบ หรือว่ารักจริงหวังแต่งกันไปเลย มันจะเหมือนเพลงมั้ยน้าที่เค้าว่า พรหมลิขิตบันดาลชักพานะ”


นีม่าถอนใจยาว อยากจะบอกเรื่องราวที่เก็บซ่อนไว้ให้เพื่อนสาวได้รับรู้เสียตั้งแต่ตอนนี้เลย แต่คิดอีกที-อย่าเพิ่งเถอะ แค่นี้ก็ยุ่งไม่รู้จะยุ่งอย่างไรแล้ว


“เฮ้อ…คิดแล้วก็” มุกดาถอนหายใจบ้าง


นีม่ากลั้นหัวเราะเมื่อเห็นอาการของเพื่อนสาว


“เป็นไรไปอีก มีเรื่องอะไรหนักใจอะไรอีกเล่า”


“ก็ตานั่น…”


“ตานั่นไหนเล่า”


“อ้าว แล้วกัน ก็ตานั่นเจ้าของรถฟักทองนั่นไง” มุกดาว่า


นีม่า หัวเราะเสียงดังจนคนในโต๊ะข้างๆ ต้องหันมามอง


“ฟักทองอะไรกันอีก”


“จรกานั่นไง นีม่าก้อ”


นีม่าร้องอ๋อแล้วจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ


“มุกน่าไปดูพี่เค้าหน่อยนะ หลังจากวันนั้นก็หายเงียบไปเลย รถฟักทองเฉาหมดเสียแล้วก็ไม่รู้”


แต่มุกดาส่ายหน้า เม้มริมฝีปากก่อนพูดเสียงค่อยๆ


“เอาไว้ก่อนเหอะ ยังไม่มีอารมณ์ เบื่อหน้าอีตานั่นด้วย ”


แม้จะพูดด้วยอาการแง่งอน แต่นีม่ารู้สึกว่ามีความรู้สึกบางอย่างแทรกซ้อนอยู่ในน้ำเสียงนั้น


และเสียงเรียก “ตานั่น” ก็อ่อนโยนอย่างน่าประหลาดทีเดียว






ท้องฟ้าเหนือหัวในขณะนี้กระจ่างไปด้วยแดด ลมรื่นรวยพัดพากลิ่นหอมของแม่น้ำเบื้องหน้าลอยวนมาเข้าจมูก


“ผมชอบแม่น้ำ”


ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีกรมท่า กางเกงยีนส์สีน้ำเงินสดใส และผมยาวที่ถูกปล่อยปลิวไสวไปตามลมพูดขึ้นมาเบาๆ ในขณะที่นั่งอยู่ตรงร้านอาหารน้ำ มองเห็นทิวทัศน์เป็นสะพานเหล็กข้ามแม่น้ำและสายตามองไปยังแม่น้ำกว้างเบื้องหน้าอย่างหลงใหล


เกดทำตากะพริบ แลดูชายหนุ่มที่นั่งเคียงด้วยสีหน้าแจ่มใส ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว


“ที่ประเทศของผม มีแม่น้ำเหมือนที่นี่เหมือนกัน แต่ไม่กว้างใหญ่เหมือนนักหรอก”


หญิงสาวพยักหน้า


ชายหนุ่มหันมามองหญิงสาวแล้วหัวเราะเบาๆ ดวงตายิบหยี แสดงถึงอารมณ์อันเบิกบาน


“จะไม่พูดอะไรเลยเหรอ”


คราวนี้เป็นเกดที่หัวเราะคิกขึ้นมาบ้าง


“พูดไม่ถูกนี่คะ คุณเช”


ชายหนุ่มร้องอืมม์อยู่ในลำคอ ก่อนจะเอามือล้วงลงไปในย่ามผ้าสีขาวข้างตัวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นดอกไม้สีขาวดอกหนึ่งในกล่องพลาสติกส่งให้หญิงสาว


“ดอกอะไรคะเนี่ย สวยจัง”


เกดพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ใช้สายตาจ้องมองดอกไม้ในมือด้วยอาการเริงรื่น ดอกไม้นั้นเป็นสีขาวกระจ่างราวปุยหิมะ มีกลิ่นหอมฟุ้งสดชื่น


“แมกโนเลียขาว ที่ประเทศของผมมีปลูกไว้เยอะมาก แทบจะเป็นดอกไม้ประจำชาติของเราเลยทีเดียว”


“งั้นหรือคะ…” เกดพึมพำโดยสายตายังคงจ้องอยู่ที่แมกโนเลียในมืออย่างสนอกสนใจ


“ความจริงแมกโนเลียมีหลายสีทั้งแดง ชมพู ม่วง แต่สวยที่สุด กลิ่นหอมที่สุดน่าจะเป็นแมกโนเลียขาว ผมคิดว่ามันเป็นต้นไม้มหัศจรรย์นะครับ ช่วงเวลาออกดอกของมันจะสลัดใบทิ้งทั้งต้นเหลือไว้แต่ดอกสีขาวบานสะพรั่ง”


“ขอบคุณนะคะ”


ประกายวิบวับปรากฎออกมาจากดวงตาทั้งคู่ของชายหนุ่ม


“ที่ดัลวา แมกโนเลีย จะออกดอกเบ่งบานช่วงฤดูใบไม้ผลิ ก็ตั้งแต่เดือนมีนาคมไปถึงเดือนมิถุนายน ที่นี่ก็มีเหมือนกันผมเคยเห็น”


“ดอกไม้ในฤดูร้อนสิคะเนี่ย” เกดว่ายิ้มๆ


“มันมีความหมายด้วยนะครับ อยากรู้มั๊ย”


หญิงสาวยิ้มอย่างขัดเขิน สบตาชายหนุ่มครั้งหนึ่งก่อนจะเสมองไปยังแม่น้ำเบื้องหน้า


“แมกโนเลียเป็นดอกไม้ประจำราศรีกรกฎ มันเป็นดอกไม้ที่เป็นตัวแทนของความมุ่งมั่น พยายาม”
เกดพยักหน้าอย่างเข้าใจ


“ผมดีใจที่ชอบ”


“เกดชอบค่ะ ชอบดอกไม้ แต่เรื่องต้นนี้ชื่ออะไร ต้นโน้นออกดอกเดือนไหน ไม่รู้กะเขาหรอก อยากรู้อะไรก็ถามวินเค้า”


“อ้อ คุณวิน”


“ค่ะ รายนั้นเกิดมาในดงดอกไม้ คุณตากับคุณยายเป็นชาวสวนแนะคะ อยู่กับต้นไม้ใบหญ้ามาตั้งแต่เด็ก โตขึ้นยังหากินกับต้นไม้อีก”


“ยังไงนะครับ หากินกับต้นไม้”


“คือเปิดร้านขายต้นไม้นะคะ ไม่ใช่อะไร”


“เป็นอย่างนั้นเอง”


“ดัลวา เป็นดินแดนแห่งพันธุ์ไม้งาม เห็นนีม่าเคยเล่าให้ฟังอย่างนั้น”


ชายหนุ่มใบหน้าเกลี้ยงเกลายิ้มอย่างขัดเขิน


“ครับ นอกจากแมกโนเลียแล้ว ดอกไม้ป่าหลายชนิดมีชื่อเสียงมาก ทั้งดอกฝิ่นสีฟ้า ศรีตรัง หรือซากุระ แล้วยังมีโรโดเดนดรอนป่าอีก รู้จักมั๊ยครับ”


หญิงสาวหัวเราะเสียงใส ก่อนจะส่ายหน้าไปมา


“ที่นี่เรียกกุหลาบพันปีไงครับ มีหลายสีทั้งชมพูอมม่วง เหลือง แต่สีแดงจะดูสดใสกว่าเพื่อน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ด้วย”


“ตายละ ผู้ชายแถวนี้เป็นไงกันเนี่ย มีความรู้เรื่องดอกไม้กันเหลือเกิน แต่เกดสิคะ ไม่เอาอ่าวเลย”


ชายหนุ่มมองหน้าอันเริงรื่นของหญิงสาวแล้วถามขึ้นอีกว่า


“คุณวินเป็นเพื่อนกับเกดมานานแล้วสินะครับ”


“ใช่ค่ะ…”


ชายหนุ่มถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง นิ่งไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น


“ผมเองก็ต้องขอบใจคุณวิน”


“อย่างนั้นหรือคะ…”เกดพูดอย่างงุนงง พลางก้มลงสูดกลิ่นหอมของดอกแมกโนเลียในมือ


“ที่ทำให้เราได้เจอกันอีกครั้ง”


ฟังถึงประโยคนี้ หญิงสาวนั่งนิ่งแทบจะลืมหายใจ มือไม้สั่น หัวใจเต้นตึกตักขึ้นมาทันที


ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงอันเยือกเย็นต่อไป ราวกับเป็นเรื่องธรรมดา


“เชื่อในรักแรกพบมั๊ยครับ”


เจอคำพูดตรงๆ เข้าอย่างนี้ หญิงสาวที่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไรมาแม้แต่น้อยจะทำอะไรได้ นอกจากนั่งนิ่ง ตัวแข็ง ไม่กล้าหันไปมองสบตาชายหนุ่มแม้แต่น้อย รู้สึกเกิดอาการร้อนวูบวาบ ได้แต่เหม่อมองไปที่แม่น้ำสีน้ำตาลที่ไหลเอื่อยอยู่เบื้องหน้า


“ว่าไงครับ…” ชายหนุ่มว่า ก่อนจะผินหน้ามองมายังใบหน้าด้านข้างของหญิงสาว


“คือว่า…” เกดเกิดอาการพูดติดขัดขึ้นมาทันที


“ไม่แน่ใจหรอกค่ะ แต่เกดเชื่อเรื่องโซลเมท”


คราวนี้เป็นชายหนุ่มที่หัวเราะออกมาบ้าง


“เรื่องคู่แท้ อย่างนั้นหรือครับ ที่ดัลวาก็มีความเชื่อเช่นนี้เหมือนกัน”


“งั้นหรือคะ…”


“ถึงเราจะมีวัฒนธรรม ประเพณีของตัวเอง แต่หนุ่มสาวชาวดัลวาก็เหมือนหนุ่มสาวในมุมอื่นของโลก ที่เชื่อในเรื่องของโชคชะตา เชื่อในเรื่องที่ถูกกำหนดมาแล้ว”


“คนไทยเรียกสิ่งนั้นว่าพรหมลิขิตคะ”


“อ้อ…จะจำไว้ครับ” ชายหนุ่มพูด ยิ้มอย่างเริงรื่น


เกดเสไปสบตากับชายหนุ่มแว่บหนึ่ง ก่อนจะรีบหลบตาด้วยความขัดเขิน


“เกดว่าเราไปกันดีกว่าคะ” หญิงสาวพูด พลางยันตัวลุกขึ้นจากร้านอาหารริมน้ำแห่งนั้น


“ครับ อย่างนั้นก็ได้” ชายหนุ่มตอบ พลางคว้ากระเป๋าผ้าข้างตัวเข้ามาคล้องที่ไหล่ แล้วลุกขึ้นตาม


“ผมไปส่งนะครับ”


เกดก้มหน้าลง ขบยิ้มอยู่ในใบหน้า สีหน้าแดงซ่าน


“เกรงใจนะคะ”


“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี”


หญิงสาวถอนหายใจออกมาโดยแรง เพิ่งสังเกตเห็นว่า ผู้ชายจากดัลวาคนนี้ทำไมถึงได้พูดตรง ไม่ซ่อนเร้นความรู้สึกของตัวเองแม้สักน้อยเลยนะ


นึกอย่างนี้แล้ว เกดก็ก้าวเดินออกจากท่าน้ำ แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงจะอ่อนระโหยเสียเหลือเกิน เพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน


แต่ที่แน่ๆ คำถามที่เตรียมมาถามคุณเชคนนี้คงไม่จำเป็นอะไรแล้วมั๊ง


เกดบอกกับตัวเองในขณะที่หัวใจยังเต้นโครมครามไม่หยุด