๒๙.๑๐.๕๒

บทที่ 9-อดีตที่หวนคืน

คอนโดมิเนียมริมน้ำแห่งนั้นดูหรูหราเหลือเกิน ลำพังแค่ห้องรับแขก ที่สามารถมองผ่านกระจกแผ่นใหญ่ไปเห็นวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำกว้างเบื้องล่างนั้น วินก็พอเดาเอาว่าราคาของคอนโดมิเนียมแห่งนี้คงแพงระยับ จนคนอย่างเขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะฝันที่จะได้ครอบครองมัน

ชายหนุ่มไม่ได้ตระเตรียมตัวเองในการเดินทางมาพบ “เจ้านาย” ของนีม่าเท่าใดนัก เขายังคงสวมเสื้อยืด กางเกงยีนส์ แล้วรองเท้าผ้าใบสีซีดมอ เหมือนที่เคยเป็นมา

ตอนที่เดินทางมาถึงในครั้งแรกนั้น นีม่าเป็นคนมาเปิดประตูต้อนรับ หญิงสาวอยู่ในชุดเรียบง่าย เป็นชุดกระโปรงยาวสีฟ้าสดใส ให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง ใบหน้าผุดผาด แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอันเป็นกันเอง

ในห้องรับแขก นีม่า แนะนำให้ชายหนุ่มรู้จักกับ มูตา พี่ชายของเธอ มูตา เป็นชายหนุ่มวัยต้นสามสิบ ร่างท้วม ดวงตาหลุกหลิกไปมา ท่าทางระแวดระวังผู้มาเยือนอยู่พอสมควร แต่ก็ดูไม่เป็นพิษภัยเท่าใดนัก พูดคุยกันสองสามคำก็พอจะจับได้ว่าเป็นคนร่าเริง อารมณ์ดีอยู่พอสมควร

แต่คนที่นีม่าแนะนำและทำให้วินรู้สึกแปลกใจอย่างมากก็คือ “เจ้านาย” ของเธอนั่นเอง

“เจ้านาย” ของนีม่า ก้าวออกมาจากห้องพักหลังจากวินนั่งลงที่ชุดรับแขกได้ไม่นานนัก

ชายหนุ่มผู้ที่เป็น “เจ้านาย” ของนีม่าและพี่ชาย เป็นชายหนุ่มที่คะเนอายุแล้วน่าจะอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกับวิน รูปร่างสูงสง่า ผมยาวที่ถูกรวบไว้อย่างเป็นระเบียบ ผิวสีนวลกระจ่างตา เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นผ้าไหมเนื้อดีที่ปล่อยชายเสื้อออกมานอกกางเกง ตรงลำคอดูแปลกตาด้วยประคำอย่างที่วินเคยเห็นลามะในดินแดนหิมาลัยชอบสวมใส่เอาไว้ด้วย

เขาไม่ได้เป็นอย่างวินนึกฝันไว้เลยแม้แต่น้อย “เจ้านาย” ของนีม่าดูท่าทีปลอดโปร่ง เป็นกันเอง ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลา และรอยยิ้มอันแสนเปิดเผยนั่น ทำให้วินคลายความรู้สึกกดดันลงไปมาก

แต่กระนั้นก็เถอะ ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกว่า “เจ้านาย” คนนี้ดูไม่ธรรมดา มีบางสิ่งบางอย่างที่ให้ความรู้สึกถึงความน่าเกรงขาม มีรัศมีของชายสูงศักดิ์มากกว่าจะเป็น “เจ้านาย” คนหนึ่ง

ยิ่งเวลายิ้มด้วยแล้ว ทำให้ใบหน้าอันคมคายนั้นเปี่ยมเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก

“ขอโทษที ความจริงเราควรได้เจอกันนานแล้ว”

นั่นเป็นประโยคแรกที่ “เจ้านาย” เอ่ยปากทักทายวิน หลังจากยื่นมือให้จับทักทาย และยิ่งทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกขึ้นมา เพราะเป็นการทักทายเป็นภาษาไทยด้วยเสียงกังวาน แจ่มชัด

และอาจจะด้วยดวงตาที่เบิกโพลงของวินนั่นเอง ทำให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามหัวเราะเสียงดังอยู่ในลำคอ

“ผมเคยเรียนหนังสืออยู่ที่นี่หลายปีครับ พูดไทยได้สบาย ผมเรียนที่โรงเรียนนานาชาติ ตรงซอยมิตรคาม ติดกับโบสถ์นั่นเอง”

วินพยักหน้ารับรู้

“บางทีเราอาจจะเคยเห็นกันบ้าง ผมรู้สึกอย่างนั้น อ้อลืมไป เรียกผมว่าเชนะครับ”

“เช…” วินพึมพำ

“เจ้านาย” ยิ้มรับก่อนจะหันไปทางสองพี่น้องที่ยืนค้อมหลังอยู่ไปไม่ไกลนัก แล้วพูดด้วยภาษาแปลกๆ ที่เดาเอาว่าจะเป็นภาษาที่มีชาวดัลวาเท่านั้นที่รับรู้ได้

ชั่วครู่ นีม่า ก็เดินเข้ามาหาวินแล้วพูดเสียงค่อยๆ

“นีม่ากับพี่ชายต้องออกไปทำธุระชั่วครู่ ขอตัวก่อนนะคะ”

วิน จะทำอะไรได้เล่านอกจากพยักหน้ารับอย่างเดียว



“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือหลายวันที่ผ่านมา”

“ไม่เป็นไรครับ แต่ดูเหมือนว่าผมยังไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก”

“เจ้านาย” ที่ชื่อเช ยิ้มอย่างพอใจ

“ความจริงก็คือ ตอนที่นีม่าบอกว่าเจอคุณ ที่เคยเรียนอยู่ที่นั่น อารามดีใจผมก็เลยไม่ได้บอกรูปพรรณสัณฐานให้ชัดเจนกว่านั้น”

วินหยิบแก้วน้ำดื่มที่เบื้องหน้าขึ้นจิบ แล้วรอให้ “เจ้านาย” พูดประโยคต่อไป

“เมื่อตะกี้ ผมนั่งคุยกับนีม่า เธอพูดถึงรูปของพี่สาวของเพื่อนคนหนึ่ง ทำให้ผมนึกอะไรได้บางอย่าง”

“งั้นหรือครับ…”

“เด็กผู้หญิงคนนั้น สายตาสั้น”

“สายตาสั้นอย่างนั้นหรือครับ” วินทวนคำ แล้วสะดุ้งขึ้นมาครั้งหนึ่ง

“ใช่แล้วครับ เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ เจอกันครั้งแรกเธอใส่แว่นตา ผมก็ดันลืมนึกไปเสียนี่ ถ้าบอกแค่นี้น่าจะช่วยได้เยอะ ใช่มั๊ยครับ”

ใจของวินสั่นระรัวขึ้นมา ถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “เจ้านาย” แล้วถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่ปกติ

“คุณพบกับเด็กผู้หญิงคนนั้นครั้งแรกที่ไหนครับ”

“ที่โบสถ์ฝรั่งที่ติดกับโรงเรียนของผมนั่นแหละครับ”

วิน แทบจะกระโดดผลุงขึ้นจากโซฟาหรูที่นั่งอยู่

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมนึกออกบ้างแล้ว เด็กผู้หญิงบุคคลิกอย่างที่ว่า แล้วสวมแว่นตา เท่าที่นึกได้ก็น่าจะมีอยู่ 2 คน”

ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ร้องเสียงสั่นออกมา

“จริงหรือ…”

วินพยักหน้า เสียงอ่อนระโหย

“คนหนึ่งนะ ชื่ออมิตดา ซึ่งเท่าที่ทราบตอนนี้เธอไปเรียนและทำงานที่สหรัฐ ไม่ได้กลับมานานแล้ว”

“เจ้านาย” มีสีหน้าสลดขึ้นวูบหนึ่ง

“ส่วนอีกคนนึงนะ…” วินพูดเสียงสั่น

แล้วภาพวงหน้าของเด็กสาวสวมแว่นตา พร้อมรอยยิ้มอันเริงร่าปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

เส้นผมบังภูเขา จริงๆ ด้วยนั่นแหละ วินบอกกับตัวเอง



เกดละสายตาจากตึกเรียนสูงเบื้องหน้า แล้วเหลียวมองไปยังโบสถ์เก่าแก่ที่อยู่เยื้องกันไป แล้วก็ย้ายสายตากลับไปที่โรงเรียนนั่นอีก ผมยาวถึงไหล่ของหญิงสาวระเคลียแก้ม จนต้องใช้มือปัดอยู่หลายครั้ง

แล้วหญิงสาวก็ยกนาฬิกาบนข้อมือซ้ายขึ้นมา พลางบ่นอู้อี้ในลำคออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินไปที่โบสถ์ ซึ่งในขณะนี้ประตูใหญ่เปิดกว้าง มีเจ้าหน้าที่ความสะอาดอยู่ 2-3 คนกำลังสาละวนอยู่กับการเช็ดถู ปัดกวาด อยู่ทางลานหน้าของโบสถ์ โดยคนหนึ่งกำลังทำความสะอาดรูปปั้นนักบุญที่ตั้งเยื้องอยู่ไม่ไกล

“พี่คะ พอดีหนูมารอเพื่อน แต่ยังมาไม่ถึงเลย ขอเข้าไปรอข้างในได้มั๊ยคะ”

หญิงสูงวัยที่กำลังเอาผ้าชุบน้ำเช็ดที่ขอบประตูใหญ่เหลียวมามอง พลางยิ้มให้ก่อนพยักหน้ารับรู้

เกดยักไหล่ หัวเราะอย่างเขินอาย ก่อนจะก้าวเข้าไปข้างในตัวโบสถ์ ซึ่งในขณะนี้กำลังสว่างเรืองด้วยแสงจากดวงไฟเล็กๆ ที่ถูกประดับไว้ตามกำแพง ม้านั่งยาวสีน้ำตาลเรียงเป็นทิวแถวให้ความรู้สึกเงียบสงบ ส่วนพื้นเวทีทางด้านหน้ายังคงขรึมขลังเหมือนเคย

หญิงสาวเร่งฝีเท้าหวังจะไปนั่งรออยู่บนม้านั่งยาวแถวหน้า ก่อนที่จะต้องร้องอุทานออกมา เมื่อมองไปเห็นเงาตะคุ่มของร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งปรากฎอยู่ตรงที่เธอนั่งประจำ

และเพราะเสียงร้องนั่นเอง เงาตะคุ่มนั้นจึงเคลื่อนไหว แสงไฟจากกำแพงส่องให้เห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน

ใบหน้านั้นเรียวยาว ดวงตาสุกใส เป็นประกายเจิดจ้า รอยยิ้มๆ น้อยบนริมฝีปากทำให้เกดคลายใจลงได้หน่อยหนึ่ง ที่แปลกตาก็คือผมที่ยาวปะบ่าจนมองดูคล้ายนักดนตรีร็อกเสียเหลือเกิน

“ขอโทษค่ะ นึกว่าไม่มีคนอยู่”

เงียบ ชายหนุ่มเจ้าของร่างตะคุ่มนั้นยืนนิ่ง ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

“คุณคะ…” เกดทักทายออกไปอีกครั้ง เมื่อมองเห็นว่าชายหนุ่มแปลกหน้าเอาแต่ยืนจ้องมองเธออยู่อย่างไม่กะพริบตา

“ครับ ว่าไงครับ” เสียงจากปากอันได้รูปนั้นแปลกแปร่งออกไป

เกดหัวเราะออกมาเบาๆ

“ขอโทษทีคะ มานั่งรอเพื่อนอยู่ ไม่นึกว่าเอ้อ…จะมีคนอื่นอยู่ในนี้”

พูดออกไปแล้ว หญิงสาวก็ทำท่าจะเดินเลี้ยวออกไปนั่งบนม้านั่งยาวที่ตั้งอยู่เยื้องออกไป

“นั่งแถวเดียวกันก็ได้ครับ เป็นเพื่อนกัน”

หญิงสาวพยักหน้ารับ แล้วทรุดร่างลงบนม้านั่งยาวแถวเดียวกันกับที่ชายหนุ่มนั่งอยู่ก่อนแล้ว พลางเงยหน้ามองไปยังรูปปั้นพระแม่มารีเบื้องหน้านั่น แล้วหลับตาลงช้าๆ

“สบายดีนะครับ…”

เกดรีบลืมตาขึ้นและเหลียวมองไปตามเสียงเรียก ก็พบกับวงหน้าของชายหนุ่มจ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มนั้นช่างเปิดเผย ในขณะที่ดวงตายิบหยีราวจะยิ้มได้อย่างนั่นแหละ

“สบายดีคะ…”

ตอบทักทายกลับไปแล้ว หญิงสาวก็ต้องร้องอุทานขึ้นมา

“เอ๊ะ…เรารู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าคะเนี่ย”

ชายแปลกหน้าหัวเราะเสียงกังวาน ก่อนพยักหน้า

“คงงั้นมั๊งครับ มันนานมากแล้วละ”

“หรือคะ” เกดพูดอย่างนึกสงสัย นึกประหลาดใจตัวเองอยู่เหมือนกัน เคยเจอหนุ่มหล่อคนนี้มาก่อนอย่างนั้นหรือ

“เราเจอกันที่ไหนลองบอกมาสิคะ เผื่อจะจำได้”

ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะถอนใจออกมา

“ว่าไงคะ ที่ไหน” เกดถามย้ำอีก

“ก็ที่นี่แหละครับ เมื่อหลายปีก่อน”

“แต่ตอนนั้นคุณใส่แว่นสายตานี่ครับ ใช่มั๊ย”

“หา…” เกดร้องออกมาอย่างลืมตัว พลางมองหน้าชายหนุ่มแล้วหลับตาลงอย่างพยายามใช้ความคิด

“ตอนนั้นก็ประมาณเดือนนี้เหมือนกันแหละครับ แต่มีฝนตกหนักแล้วผมก็วิ่งเข้ามา…”

ฟังถึงประโยคนี้ เกดก็ลืมตาขึ้นโดยเร็ว พลางพูดด้วยเสียงอันดังราวกับบังคับน้ำเสียงของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป

“เด็กผู้ชายคนนั้น…”

ชายแปลกหน้าหัวเราะเสียงดัง ก่อนพยักหน้ารับ แล้วจึงสบตาหญิงสาวโดยไม่หลบ

“ผมเอง”



เป็นเวลาเกือบ 3 ทุ่มแล้วที่ทั้งสองพี่น้องกินข้าวมื้อค่ำเสร็จ และขณะนี้นีม่าก้าวเดินออกไปทางระเบียง มองขึ้นไปบนฟากฟ้า เห็นแต่แสงจันทร์นวลที่ส่องแสงกลบรัศมีดาวเสียเกือบหมด แม่น้ำเบื้องล่างดูสวยแปลกตา โดยเฉพาะเมื่อสะท้อนกับแสงจันทร์เป็นประกายไหวระริก

“ดึกแล้ว คืนนี้เจ้าค้างที่นี่เถอะ พรุ่งนี้ไม่มีเรียนไม่ใช่หรือ” เสียงหนึ่งดังขึ้นทางแผ่นหลัง

“ฮื่อ คงงั้นละพี่มูตา” หญิงสาวตอบโดยไม่มองกลับไป

แล้วเสียงถอนหายใจหนักหน่วงก็ดังขึ้น

“หนักใจอะไรอีกละ พี่”

มูตา ก้าวมายืนเคียงข้างกับน้องสาวแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้าในคืนเดือนมืด

“นางจะใช่เด็กสาวคนที่ว่านั้นหรือ นีม่า”

“คงงั้นมั๊ง”

“ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนั้น อาจจะเป็นอีกคนก็ได้”

นีม่า ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

“พอได้ฟังพี่วินพูด แล้วเอามารวมเข้ากับสิ่งที่องค์ชายตรัสไว้ก่อนหน้านี้ คงไม่ผิดแน่”

“อย่างนั้นหรือ เพราะอะไรบอกข้าสิ”

หญิงสาวเป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง

“พี่เกด เป็นเด็กผู้หญิงคนนั้นแน่ นอกจากจะมีบุคคลิกที่เหมือนกันทุกอย่างแล้ว ยังเป็นลูกกำพร้าแม่ เหมือนที่องค์ชายเคยตรัสไว้ด้วย จะผิดไปได้อย่างไรเล่า เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ”

พี่ชายร้องอืมม์อย่างเห็นด้วย ก่อนจะพูดลอยๆ ในความมืด

“ถ้างั้น เจ้าชายก็ได้พบซินเดอเรลล่าแล้ว เทพนิยายเรื่องนี้ก็คงจบแล้วสิ”

“แฮปปี้ เอนดิ้ง เสียด้วย” หญิงสาวว่า

“แต่ว่านีม่า” มูตา ทักท้วงก่อนจะหันมาสบสายตากับน้องสาว

“อย่าลืมว่า เจ้าชายมีฐานะอะไร แล้วผู้หญิงคนนั้น เอ้อ…พี่สาวของเพื่อนเจ้านะ”

“จริงสิ”

มูตากล่าวต่อไปอย่างหนักใจ

“แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ไม่รู้ว่าคิดอย่างไรกับเจ้าชายอีกด้วย ใช่มั๊ยเล่า”

นีม่าพยักหน้า ใช่แล้วเทพนิยายเรื่องนี้คงไม่จบลงง่ายๆ นักหรอก ยุ่งเหยิงพอตัวทีเดียวละ

แล้วอีกอย่าง…

ความคิดพานีม่าย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในตอนเย็น ที่เธอกับพี่ชายกลับมาที่คอนโดมีเนียมแห่งนี้ แล้วพบแค่วิน ยืนเหม่อมองผ่านกระจกไปยังแม่น้ำกว้างนั่น

“ได้เรื่องแล้วละ…” ชายหนุ่มหันมาบอก

“งั้นเหรอคะ “นีม่าร้องออกมา

“ฮื่อ…เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ เชียว” วินพูดติดตลก แต่เสียงหัวเราะที่ตามออกมาทำไมถึงได้ฝืดฝืนเช่นนั้นเล่า ดวงตาคู่นั้นก็แดงก่ำ ไม่เริงรื่นเหมือนที่เคยเห็นมา

เด็กผู้หญิงคนนั้นก็เกดไง ไม่เชื่อใช่มั๊ยละ” ชายหนุ่มว่าต่อ

นีม่า เลิกคิ้วขึ้นสูง อ้าปากกว้าง รู้สึกช็อกกับข่าวที่ได้รับ ทำไมถึงออกมาเป็นอย่างนี้ได้

หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มรุ่นพี่เบื้องหน้า ไหล่ที่ตก ริมฝีปากเม้มสนิท ดวงตาที่หม่นหมอง แล้วให้รู้สึกสงสารจับใจ

โธ่เอ๋ย พ่อจรกา นี่อิเหนาเขาจะมาชิงตัวบุษบาไปแล้ว จะทำอย่างไรเล่า



พระจันทร์ยามดึกลอยโค้งขึ้นอยู่เหนือศรีษะ สาดแสงสีนวลกระจ่างไปทั่ว คืนนี้ท้องฟ้าไม่มีดาวพร่างพรายเหมือนอย่างทุกวัน ลมพัดเย็นนำพากลิ่นดอกโมกฟุ้งมาเข้าจมูก

วินขับรถจักรยานวนเวียนไปมาอยู่บนลานซีเมนต์หน้าบ้านนานแล้ว บางครั้งก็นั่งนิ่งอยู่บนอาน แล้วเงยหน้าขึ้นมองฟากฟ้าเบื้องบนอันมืดมืด ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง แล้วก็ก้มหน้างุดๆ ปั่นจักรยานเวียนวนไปมา

เหตุการณ์นี้ไม่พ้นสายตาของตายายคู่นั้นที่ยืนมองอยู่บนระเบียงบ้าน ฝ่ายผู้เฒ่าหลังจากยืนมองอยู่นานก็ค่อยๆหย่อนตัวลงกับบันได ส่วนยายเฒ่าเอามือท้าวสะเอวแล้วมองลอดแว่นตามาทางหลานชายคนเดียว

“หลานมันเป็นอะไร ตาเฒ่า”

“จะไปรู้เรอะ เราก็นั่งดูมันพร้อมกันอยู่นี่”

“อ้าว พูดอย่างนี้หาเรื่องหรือไง” แม่แก่แหวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

แต่ดูเหมือนพ่อแก่จะไม่ใส่ใจด้วยเท่าใดนัก

“ถ้าหากให้เดา หลานมันก็คงมีเรื่องไม่สบายใจบางอย่าง”

“ก็แน่อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดก็รู้หรอกน่า ถ้าสบายดีจะมาปั่นจักรยานเหมือนขี่รถอยู่ในวงเวียนอย่างนี้ละหรือ”

พ่อแก่หัวเราะหึหึขึ้นมาเมื่อโดนสวนคืนเอามั่ง แล้วเอ่ยถามขึ้น

“แล้วเอาไงดี เราสองคนจะนั่งเฝ้าหลานอยู่อย่างนี้ หรือว่าเราจะเข้าไปถามมันดู เอาให้แน่ชัดไปเลย”

“อย่าเลย…” แม่แก่ปราม ราวกับรู้ใจหลานชายเป็นอย่างดี พลางส่ายหน้าไปมา

“ถ้าหลานอยากขอความช่วยเหลือ มันก็คงบอกเราเองนั่นแหละ อย่าไปเซ้าซี๊นักเลย บางทีมันก็มีปัญหาเรื่องหนุ่มสาวเขานั่นแหละ”

“ปัญหาหนุ่มสาวเหรอ ไม่ละมั๊ง” พ่อแก่ท้วงขึ้น

“ใครจะไปรู้…”

“ไม่เห็นมันจะมีแฟนที่ไหนไม่ใช่เหรอ ยายแก่”

หญิงชราถอนหายใจอีกแล้ว แต่ไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้น

คอตก เงียบ แววตาเศร้าๆ อย่างนี้ ตาเฒ่าเอ๋ย มันจะเป็นเรื่องอื่นไปได้อย่างไรเล่า

๒๕.๑๐.๕๒

บทที่ 8-ความลับในใจ

เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ที่มุกดา และ นีม่า เฝ้ามองชายหนุ่มรูปร่างสันทัดผู้นั้นสาละวนอยู่กับการใช้กรรไกรตบแต่งต้นไม้เล็กๆ ในกระถาง ภายใต้เรือนไม้สีเขียวชะอุ่ม ที่มีไม้เลื้อยโอบคลุมอยู่โดยรอบ และทั่วบริเวณเรียงรายไปด้วยต้นไม้หลากพันธุ์ มีทั้งไม้ดอกอย่างต้นปีบ สุพรรณิการ์ พุดซ้อน โมก ไปจนถึงไม้เลื้อย ทั้ง อัญชัน พวงแสด บานบุรี


“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ดูแลนะ วันนี้เอาเสียหน่อย” ชายหนุ่มพูดโดยยังไม่เงยหน้าจากต้นไม้เล็กๆ ในกระถางเบื้องหน้า


นีม่า ส่ายสายตาไปทั่วร้านขายต้นไม้ พลางสูดกลิ่นหอมของมะลิซ้อนที่แตกกิ่งสล้างไปถึงหลังคา แล้วเหลียวมองแผ่นหลังของชายหนุ่มด้วยแววตาอันแช่มชื่น


“ขายต้นไม้ น่าจะเป็นงานที่มีความสุขนะคะ”


วิน ผินหน้ามายิ้มให้ ก่อนพยักหน้ารับ


“ก็เพลินดีหรอกครับ แต่ที่ร้านนี่เราก็ทำกันเล็กๆ ไม่ได้ทำเป็นธุรกิจใหญ่โตอะไร”



“แล้วเมื่อไหร่จะรวย…จะอยู่อย่างนี้ไปจนตายเลยหรือไง” เสียงแข็งของมุกดาดังขึ้น พลางค้อนใส่ชายหนุ่ม
วิน ยักไหล่ครั้งหนึ่ง ก่อนจะหยัดกายขึ้นจากกอดอกไม้ในกระถาง แล้วเดินไปทรุดร่างลงนั่งบนโต๊ะเล็กๆ ที่มีสองสาวนั่งอยู่ก่อนแล้ว


“ชอบพูดอย่างนี้อีกแล้ว ยายมุก จะอยากรวยไปถึงไหนกัน ถามหน่อย ทำงานพอเลี้ยงตัวเองได้ มีความสุขกับสิ่งที่ทำยังไม่พออีกหรือไง” ชายหนุ่มพูดพลางสบตากับหญิงสาวรุ่นน้อง


มุกดา เบะปาก แล้วหันไปแตะแขนเพื่อนสาว


“นีม่าล่ะ อยากรวยมั้ย”


นีม่ายิ้มน้อยๆ ไม่ตอบคำ มองหน้าเพื่อนสาวทีหนึ่ง แล้วก็หันไปมองชายหนุ่มเบื้องหน้า



“สองคนนี่ เคยคุยกันดีๆ บ้างมั้ยเนี่ย เจอกันทีไรพูดขัดคอกันอยู่เรื่อย”


“เชอะ…” มุกดาร้องขึ้น


“พี่ไม่ใช่คนชอบหาเรื่องก่อนนะ ดูเอาเองเถิดครับ”


หญิงสาวจากดินแดนอันไกล้โพ้น กลั้นยิ้ม มองสองหนุ่มสาวร่วมโต๊ะด้วยอารมณ์ชื่นบาน


“ก็ทำตัวอย่างนี้ ใช้ชีวิตอย่างนี้ไปเรื่อยๆ รอชาติหน้าเถอะผู้หญิงที่สนใจเขาถึงจะใจอ่อน ตาบ๊องเอ๊ย” มุกดายังไม่ยอมลดราวาศอก


วิน หัวเราะเสียงดัง


“ว่าแต่ว่า ตกลงให้พี่ไปพบเจ้านายของนีม่าวันไหนดี” ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่อง ราวกับว่าไม่ยากต่อล้อต่อเถียงของสาวรุ่นน้องอีกต่อไป


“แล้วแต่ทางพี่สะดวกเถอะค่ะ”


ชายหนุ่มพยักหน้ารับ



“งั้นก็สักกลางอาทิตย์หน้าแล้วกัน ตอนนี้พี่มีงานค้างอยู่นิดหน่อย แล้วพรุ่งนี้ต้องพาพ่อแก่ไปหาหมอด้วย”
“พ่อแก่…งั้นหรือ” นีม่าถามขึ้น


“อ้าว ลืมบอกไป พ่อแก่ก็เป็นคุณตาของพี่เองนั่นแหละ”


ชายหนุ่มตอบไปแล้วก็หันมาพูดกับมุกดาเหมือนนึกได้


“วันก่อน พ่อแก่ยังพูดถึงมุกอยู่เลยนะ”


หญิงสาวยิ้มแป้น


“ดีจัง มุกคิดถึงคุณตา เพราะคุณตาใจดี ไม่กวนประสาทเหมือนคนบางคน” มุกดาไม่วายแขวะ


“แล้วกัน มุกนี่” นีม่า พูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ นึกขำกับอาการแง่งอนของเพื่อนสาว ซึ่งดูเหมือนว่าจะกำเริบทุกครั้งที่ปะทะคารมกับชายหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้


“คิดว่า ถ้าได้เจอกับเจ้านายของนีม่า ได้ข้อมูลเพิ่มเติม อาจจะพอคลำหาเจอเด็กสาวลึกลับคนนั้นก็ได้” ชายหนุ่มว่า


“ได้อย่างนั้นก็ดีสิคะ”


วิน เหลือบตามองมุกดาแล้วถามขึ้น


“เสร็จจากนี้แล้วกลับบ้านเลยหรือเปล่า พี่ฝากของไปให้เกดเค้าหน่อย”


มุกดามีสีหน้าเบื่อๆ ก่อนพยักหน้ารับ


“ตามเคย”


วินยิ้มอยู่ในสีหน้า ก่อนจะหยิบรูปใบหนึ่งยื่นให้ พลางบอก


“พอดีไปค้นหนังสือรุ่นเก่าๆ เจอรูปเกดสมัยตอนเรียนมัธยมปลายติดอยู่ด้วย เอาไปให้ทีนะ น้องมุกคนงาม”


“อย่ามาคนงอน คนงามนะ ไม่ชอบ” มุกบ่นก่อนจะเอื้อมมือไปรับรูปจากมือของชายหนุ่ม แล้วจึงยื่นรูปให้เพื่อนสาวดู


“นีม่านี่ไง รูปพี่เกดสมัยโน้น เป็นไงสวยมั๊ย”


นีม่า เหลือบตามองแว่บหนึ่ง หน้าตาของหญิงสาวในรูปกับปัจจุบันดูจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก เพียงแต่ผมตัดสั้นกว่าที่เคยเห็น ส่วนดวงตาและรอยยิ้มอันเริงรื่นให้ความรู้สึกเป็นกันเอง


“อืมม์ หน้าตาไม่ค่อยเปลี่ยนเลย แต่เอ๊ะ-พี่เกดสายตาสั้นด้วยหรือนี่ เพิ่งรู้”


“เกดเค้าสั้นไม่มากหรอก ตอนนี้เลิกใส่แล้ว หันมาใช้คอนแทคเลนส์” วินตอบแทน


“รู้ไปหมดเชียวนะ รู้ดีกว่าตัวพี่เกดเสียอีกมั๊งเนี่ย” มุกแขวะ


ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำ นอกจากยิ้มแห้งๆ เท่านั้น ดูเหมือนว่าเด็กสาวรุ่นน้องคนนี้ดูจะ “รู้ทัน” จนดักคอเขาได้ทุกทีไปสิน่า



เกดเฝ้ามองรูปเก่าเก็บที่เพิ่งได้รับมาซ้ำไปซ้ำมาอยู่เป็นนาน ก่อนจะชายตามองไปยังน้องสาวที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้นั้น แล้วอมยิ้มถามขึ้น


“ดูสิ หน้าตาพี่นี่ตลกดีจัง สมัยนั้นนะ ว่ามั๊ย”


มุกดา พูดโดยไม่เงยหน้าจากหนังสือ


“ที่ตลกยิ่งกว่าก็คือ ข้างหลังรูปนั่น พี่เกด”


“หือม์ อะไรนะ” พี่สาวอุทานขึ้น ก่อนพลิกรูปดูทางด้านหลัง ก่อนจะหัวเราะเสียงใส เมื่อมีคนมือดีใช้ดินสอวาดรูปหัวใจ พร้อมสลักข้อความว่า “คิดถึงเสมอ รักคนสวยนะจ้ะ” เอาไว้ด้วยอีกต่างหาก


“หัวใจใครน้าเนี่ย…นึกไม่ออกแฮะ”


“จะใครเสียอีกเล่า ไม่ใช่ของคุณพี่จรกานั่นหรอกหรือ”


เกดส่ายหน้า


“ไม่ใช่หรอก วินไม่เขียนข้อความแบบนี้หรอก พี่รู้”


มุกดาถอนหายใจพลางบ่น


“นั่นนะสิ ซื่อบื๊อออกอย่างนั้น”


“คนที่เขียนข้อความนี้ ก็คงเพื่อนๆ มือซนของวินนั่นแหละมากกว่า พี่ว่านะ”


เกดเหลือบตามองน้องสาว ที่ขณะนี้วางหนังสือเอาไว้ข้างตัว แล้วทอดสายตามองไปที่จอโทรทัศน์เบื้องหน้า คิ้วที่ขมวดลง และใบหน้าอันบูดบึ้ง แสดงถึงอารมณ์อันแปรปรวนที่ดูเหมือนจะติดตัวมานานหลายปีแล้ว


“ไม่ดีใจเหรอ…”


มุกดาหันหน้ามาทางพี่สาวแล้วถามขึ้น


“ทำไมมุกต้องดีใจด้วยเล่าพี่เกด”


เกดหัวเราะ


“ก็ในข้อที่ว่า รูปหัวใจนั่นไม่ใช่ของวินนะสิ”



“อ้าว แล้วกัน ไม่เกี่ยวกับมุกแม้แต่นิดเดียว คุณพี่”


คนเป็นพี่สาวเอามือยีหัวน้องสาวด้วยอาการเอ็นดู


“จะให้พี่พูดตามตรงหรือไงนะ”


เป็นครั้งแรกที่มุกดา สาวคนกล้าวางสีหน้าไม่ถูก แล้วถามด้วยน้ำเสียงไม่ปกติออกไปว่า


“พูดให้ดีนะจ้ะ คุณพี่”


เกดถอนหายใจอีกเฮือก


“เป็นพี่เป็นน้องมากี่ปีกันแล้ว พี่สาวคนนี้ไม่ได้ตาบอดนะจ้ะ เพียงแต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น”


“หยุด-หยุดเลยคุณพี่สาว ไปกันใหญ่แล้ว กินยาผิดขนานมาหรือไง”


หญิงสาวคนพี่เอาร่างอิงกับหมอนใบเล็กที่วางพิงอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น แล้วใช้สายตาสังเกตสังกาผู้เป็นน้องสาวอยู่นาน ก่อนถอนหายใจยาว


“เอาเถิด เป็นผู้ร้ายปากแข็งต่อไปเถอะ พี่ไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว งานค้างเยอะ” เกดว่าก่อนจะลุกจากที่นั่งแล้วก้าวเท้าออกไป แต่ไม่วายหันหลังมายิ้มอย่างเป็นปริศนาให้กับน้องสาว


มุกดา ทำทีเป็นสนใจกับรายการโทรทัศน์เบื้องหน้า แต่หลังจากเหลือบตามองพี่สาวเดินจากไปแล้ว ก็อดพึมพำกับตัวเองไม่ได้


“ว่าแต่คนอื่นเค้าตาบอด พี่เกดเค้าจะรู้บ้างมั๊ยเนี่ยว่า ตัวเองก็บอด แถมบอดสนิทอีกต่างหาก”


ถึงตอนนี้หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจยาว จิตกระหวัดไปถึงใบหน้าดำๆ แต่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มเห็นฟันขาว ที่อยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาอยู่ในความคิดเสียอย่างนั้นแหละ


ตาบ๊องเอ๊ย รู้ตัวบ้างมั๊ย คนอื่นเขากับคิดกับตัวเองยังไงมั่งนะ เฮ้อ



ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะทำงานในห้องนอนนานแล้ว คอมพิวเตอร์บนโต๊ะถูกเปิดทิ้งไว้ ส่วนอาร์ตเวิร์กสีสดใสของงานโบชัวร์ที่ออกแบบให้กับร้านกาแฟแห่งหนึ่งถูกวางไว้ใกล้ๆ


แต่ขณะนี้เจ้าของโต๊ะให้ความสนใจเสียงเปาะแปะของเม็ดฝนที่กระทบกับหลังคาบ้านมากกว่าอื่นใด


วิน เงยหน้าออกไปนอกหน้าต่าง แล้วก็อมยิ้มให้กับกิ่งไม้ใหญ่ที่ยื่นออกมา มองดูเหมือนแขนของยักษ์ตัวใหญ่ที่แกว่งไกวไปมาตามแรงลม บางครั้งก็ส่งเสียงกรูเกรียว เหมือนกับจะทักทายมนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่นั่งดูมันอยู่เป็นนานแล้ว


ชายหนุ่มไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนโรแมนติกอะไรนัก แต่ไม่รู้ว่าทำไม ทุกครั้งที่ฤดูร้อนมาถึง ได้เห็นดอกไม้ที่ชูช่ออยู่บนกระถาง ริมกำแพง หรือเต็มพรืดตามถนนใหญ่ ความสุขดูเหมือนจะหลั่งถ้นอยู่ภายใน


ยิ่งหลังฝนในฤดูร้อนซาลงแล้ว ได้เห็นน้ำค้างเกาะพราวปนอยู่บนใบไม้ แล้วก็สูดกลิ่นระรวยของดอกอะไรก็ไม่รู้ที่ลอยฟุ้งเข้าจมูก ทำให้หัวใจหวิวด้วยความตื้นตัน อิ่มเอมใจที่ได้เห็นความสวยงามอย่างนี้


แน่ละ-บางครั้ง บรรยากาศที่รายล้อมอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก่อให้เกิดความเหงาอย่างสุดบรรยาย ว้าเหว่จนอยากหาใครสักคนพูดคุยด้วย รู้สึกได้ถึงความหม่นหมองในหัวใจ


มันคงเหมือนในหนังสือบางเรื่องที่เขาเคยอ่าน เป็นหนังสือที่อธิบายถึง “ลักษณ์” ของคนไว้ 9 ชนิด


และหนึ่งในนั้นคือลักษณ์ของคนโศกซึ้ง ซึ่งชอบจะหมกมุ่นอยู่ในอารมณ์ มักจะนำตัวเองเข้าสู่วังวนของอารมณ์ และความรู้สึกอยู่เสมอ


“มักจะมีความเพลิดเพลินแฝงอยู่ในอารมณ์ทุกข์” คือการสรุปลักษะเด่นของลักษณ์คนโศกซึ้งเอาไว้ ซึ่งทำให้ชายหนุ่มติดใจนักหนา เพราะมันเป็นเช่นว่านั้นจริงๆ ดูเหมือนเขารู้สึกได้ถึงอารมณ์ส่วนลึกของตัวเอง ราวกับมีประสาทสัมผัสไวกว่าคนอื่น แต่วิน ก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองคือลักษณ์ของ “คนโศกซึ้ง” จริงละหรือ


บางทีความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นก็อาจเพราะช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขาจมจ่อมตัวเองกับเรื่องราวครั้งอดีตเป็นส่วนใหญ่ ภาพเก่าเก็บ หนังสือรุ่นสมัยเรียนมัธยมปลาย การไปเยี่ยมเยือนโรงเรียนเก่า ให้ความรู้สึกโหยหาบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไป


แล้ววินก็หัวเราะให้กับตัวเอง เมื่อนึกถึงภาพเก่าเก็บของเพื่อนสาวคนสนิท ภาพนั้นช่วยดึงความทรงจำเก่าๆ กลับคืนมาอีกครั้ง


ภาพนั้น เพื่อนสมัยเรียนคนหนึ่งไปถ่ายมาจากไหนก็ไม่รู้ พอได้มาแล้วก็เอาดินสอไปเขียนรูปหัวใจ พร้อมถ้อยคำหวานแหวว มายื่นให้กับเขาเพื่อช่วยส่งต่อให้กับเกด


แต่ทำไมเขาถึงไม่ส่งมอบภาพนี้ให้กับเกดนะ เขาจำความรู้สึกตัวเองไม่ได้หรอก และตัวเพื่อนคนนั้นก็คงลืมๆ ไปแล้วกระมัง มานึกได้อีกทีก็เมื่อเห็นภาพนี้ซุกซ่อนอยู่ในหนังสือรุ่นเมื่อไม่กี่วันนี่เอง


ความคิดที่ผุดพรายขึ้นมา พาชายหนุ่มย้อนกลับไปที่วันวาน วันที่ยังนุ่งโรงเรียนขาสั้น ผมสั้นเกรียนติดหนังศรีษะ และได้ใช้ชีวิตร่วมกันอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหญ่


วินค่อยๆ ดึงลิ้นชักทางขวามือแล้วหยิบสมุดบันทึกเล่มหนาเล่มหนึ่งออกมา มันเป็นสมุดปกสีเลือดหมู สีเก่าซีด บันทึกเล่มนี้นอนอยู่ในลิ้นชักมาเป็นเวลานานแล้ว


นอกจากจะเป็นไดอารี่ที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คน สถานที่ แห่งความทรงจำไว้มากมายแล้ว บันทึกเล่มนี้ยังซุกซ่อนความรู้สึกที่ไม่อาจเปิดเผยกับใครไว้อีกด้วย


เป็นครั้งแรกในเวลายาวนานที่วินหยิบไดอารี่เล่มนี้ขึ้นมาอีกครั้ง


มือของชายหนุ่มสั่นเมื่อพลิกหน้าแรกของสมุดบันทึกขึ้น พร้อมกันนั้นวงหน้าของเด็กสาวสวมแว่นตา พร้อมรอยยิ้มอันเริงร่าปรากฏอยู่ตรงหน้า




โธ่เอ๋ย นอนไม่หลับอีกแล้วสิเรา คืนนี้ รู้สึกว้าวุ่นใจจนต้องลุกขึ้นมาเขียนบันทึก


รู้สึกสงสารเกดเป็นกำลัง


ความจริงแล้วอาการป่วยของแม่เกดก็เป็นที่รู้ดีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะปุบปับอย่างนี้


ขนาดเราเป็นคนนอกยังรู้สึกใจหาย แล้วตัวเกดเองเล่าจะเป็นถึงขนาดไหนกัน


เอาเถอะ ถึงคุณน้าจะหย่ากับคุณพ่อของเกดนานแล้ว แต่ความผูกพันระหว่างแม่ลูกคู่นี้ก็ยังอยู่ เราเองยังจำภาพที่คุณน้าพาเกดมาที่โบสถ์เกือบทุกอาทิตย์ได้ติดตา ทั้งคู่ดูมีความสุขเหลือเกิน ยามจูงมือกันเข้าไปฟังศีลที่โบสถ์นั่น


แต่ภาพนั้นไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้อีกแล้วสิ ใช่มั๊ย


แน่ละ คุณพ่อของเกด น้าเยาว์คงจะปลอบประโลมให้เกดคลายเศร้าได้ในไม่ช้า แต่ภายในลึกๆ ไม่มีอะไรจะมาอุดรอยโหว่ในหัวใจของเกดได้หรอก


ถึงเกดจะไม่มีน้ำตาให้เห็น แต่เรารู้ว่าเธอเศร้า เศร้ามากเหลือเกิน


ความรู้สึกของการเป็นลูกกำพร้า เหมือนโดนใครบางคนทิ้งเราไปอย่างไม่ใยดี ปล่อยให้เราเคว้งคว้าง เหมือนหลงทางอยู่ในความมืด มันทรมาน มีแต่ลูกกำพร้าเหมือนกันเท่านั้นที่จะเข้าใจความรู้สึกได้


เกดเล่า ผูกพันกับแม่มานานหลายปี แม้จะแยกบ้านกันอยู่ แต่อยู่ดีๆ ต้องมาจากกันไปอย่างนี้ มันยากจะทำใจจริงๆ


ไม่รู้จะปลอบใจเพื่อนอย่างไร ไม่รู้เลย


วินถอนหายใจครั้งหนึ่งเมื่ออ่านบันทึกมาถึงตรงนี้


จำได้ว่าเขียนบันทึกนี้หลังจากแม่ของเกดเสียชีวิตไปได้ไม่นานนัก เอามาอ่านอีกครั้งตอนนี้สำนวนดูจะเชยเหลือกำลัง


แต่เขาก็ยังจำความรู้สึกตอนที่เขียนบันทึกนี้ได้ดี


แน่ละ ความรู้สึกของการสูญเสียแม่ มันนำพาความทุกข์มาให้อย่างเหลือแสน เขาเองก็เช่นกัน แต่เมื่อมาเห็นเพื่อนต้องประสบเคราะห์กรรมในลักษณะเดียวกัน ชายหนุ่มรู้ว่าเกดต้องการใครสักคนที่จะปลอบโยน แบ่งเบาความทุกข์แม้สักเล็กน้อยก็ยังดี


พ่อของเขาบอกว่า ตั้งแต่เด็กแล้วที่เขาเป็นคนขี้สงสาร ใจอ่อนเสียเหลือเกิน โกรธใครไม่ค่อยเป็น พะวงแต่ว่าคนอื่นจะโกรธ จะเกลียด จนดูเหมือนว่าจะกลายเป็นลูกไล่ให้เพื่อนฝูงเสียเรื่อยไป


“ความจริงก็คือลูกเป็นคนที่หวังดี จริงใจกับทุกคน พูดให้ถูก นิสัยของลูกก็ถอดแบบมาจากแม่เขานั่นแหละ”
คงจะจริงอย่างที่พ่อว่า แม่จากไปตอนที่วินเริ่มเรียนตอนม.ต้นด้วยโรคหัวใจที่แม่เก็บงำไว้เป็นเวลานาน ภาพในความทรงจำของเขาที่มีต่อแม่ก็คือ ผู้หญิงที่แสนจะใจดี พูดน้อย เก็บความทุกข์เอาไว้กับตัว แจกจ่ายความสุขให้กับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา


และเท่าที่ทราบพ่อรักแม่ รักเหลือเกิน และความรักนั้นเผื่อแผ่มาถึงเขา ถึงฐานะทางบ้านจะไม่ร่ำรวยนัก แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงชีวิตอันแสนจะอบอุ่น รื่นรมย์


เสียดายสุขนั้นสั้นนัก


เพราะอย่างนั้น เมื่อแม่จากไปพ่อจึงเป็นคนที่โศกเศร้าเสียใจมากที่สุด หลังจากนั้นชีวิตของพ่อก็มีแต่การทำงานเพื่อเลี้ยงดูเขาให้เติบโต ไม่สนใจใครอีกเลย


แล้ววันหนึ่งพ่อก็ตัดสินใจกลับไปบวชที่บ้านเกิด หลังจากแม่เสียไปได้ 3 ปี


“จำไว้นะวิน พ่อไม่ได้ทิ้งลูก ไม่ได้หลบหนีอะไรทั้งสิ้น ลูกโตแล้วสามารถดูแลตัวเองได้ คุณตา คุณยาย รักลูกมาก และจะเลี้ยงให้ลูกโตขึ้นเป็นคนดี พ่ออยากไปบวช ไม่รู้ว่าจะนานสักเท่าไหร่ พ่อมีคำถามในชีวิตบางอย่างที่กำลังค้นหา บางทีธรรมะอาจจะให้คำตอบนั้นกับพ่อได้”



หลังจากนั้น พ่อก็บวชเป็นพระในวัดป่าแห่งหนึ่งในบ้านเกิด และไม่เคยสึกออกมาอีกเลย


แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มไม่เคยลืมช่วงเวลาที่มีความสุขร่วมกับพ่อและแม่เป็นเวลาหลายปีนั่นเลย และรับรู้ต่อมาว่า นิสัยช่างคิด มีจิตใจอันกว้างขวาง ทุกข์ร้อนแทนคนอื่นของเขานั้น เป็นส่วนผสมมาจากพ่อและแม่คนละครึ่งนั่นเอง


หลังจากนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของเขาก็คือพ่อแก่ แม่แก่ แล้วก็เพื่อนฝูงอีกกลุ่ม


และที่สนิทสนมกว่าใครเพื่อนก็คือบุษบา-เกด นั่นเอง


เขากับเกดเป็นเพื่อนกันมานาน เป็นมาตั้งแต่เรียนชั้นประถมนั่นแหละ พ่อและแม่ของทั้งสองฝ่ายก็รู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ความผูกพันเริ่มแน่นแฟ้นน่าจะเป็นตอนที่เข้าเรียนระดับม.ต้น ในโรงเรียนเดียวกัน ชั้นเดียวกัน ห้องเดียวกัน แถมยังนั่งติดกันอีกต่างหาก


ไปไหนต่อไหนด้วยกัน กลับบ้านพร้อมกัน จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคู่ปาท่องโก๋


ถึงขนาดล้อว่าเป็นแฟนกันก็มี


แปลกที่ยามโดนล้อ คนที่อายหน้าแดง อยากเอาหัวมุดลงดินกลับกลายเป็นเขาเองไปเสียได้


ส่วนเกดนะหรือ มีแต่เสียงหัวเราะเริงร่าแล้วก็ใช้มือเคาะศรีษะคนถามไปเสียทุกครั้ง


“ไอ้บ้า…” เกดจะพูดออกมาเช่นนั้น แล้วพยักเพยิดมาทางเขาแล้วพูดขึ้นว่า


“อย่าไปถือพวกนี้เลยนะ วินก็รู้นี่ว่าเกดมีแฟนแล้ว


นึกถึงความหลังในตอนนี้แล้ววินก็ถอนหายใจ ส่ายศรีษะไปมา นี่เป็นความลับของเขากับเพื่อนสาวสองคนเท่านั้น


“เกดเชื่อในเรื่องของโซลเมต ผู้ชายในฝันนะ เอาเป็นว่ารออีกสิบปี ถ้าเกดไม่เจอผู้ชายคนนั้น เกดจะยอมเป็นแฟนวินนะจ้ะ”


พูดจบแล้ว เกดก็จะหัวเราะเสียงดัง ดวงตาวิบวับเป็นประกายบางอย่าง


ไม่รับรู้เลยว่า เพื่อนคนนี้แอบภาวนาให้สิบปีนั้นผ่านไปโดยเร็วที่สุด


นึกถึงแล้ว วินก็อยากหัวเราะกับความบ้าบอของตัวเองเสียเหลือเกิน


แต่จะทำได้อย่างไรเล่า มันเป็นของมันเอง บังคับไม่ได้


ความรักมันห้ามกันได้เสียที่ไหน


๑๓.๑๐.๕๒

บทที่ 7-ถวิลหา

ฝนพรำมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ลมพัดแรงจนต้นไม้หน้าบ้านไหวเอนไปมา ใบไม้พร่างพรู ลอยคว้างอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ก่อนจะปลิวกระจายลงกับพื้น วิน มองลั่นทมที่ดอกหล่นเกลื่อนอยู่ตามพื้น แล้วก้มตัวเก็บดอกร่วงๆ มาดอกหนึ่ง สูดกลิ่นหอมจางๆ เหมือนที่เคยทำอยู่เป็นประจำ


“ดอกร่วงหมดเลย” วินเอ่ยขึ้น พลางสบตากับชายสูงวัยที่นั่งอยู่เบื้องหน้า ทั้งคู่นั่งอยู่บนโต๊ะไม้ที่รายล้อมด้วยต้นไม้เขียวชะอุ่ม ชั้นล่างของบ้านไม้สีฟ้ากลางสวน


ชายสูงวัย รูปร่างผอมเพรียว ผมสีดอกเลา ใส่เสื้อแขนสั้นลายดอกไม้ กางเกงแพรสีแดง กำลังยิ้มแย้มให้เด็กหนุ่ม พลางใช้มือชี้ไปที่กอเฟื่องฟ้าชุ่มน้ำที่อยู่ไม่ห่างไกลกันนัก



“นั่นก็เหมือนกันเห็นมั๊ยเล่า กลีบช้ำ ดอกร่วงยิ่งกว่าลั่นทมเสียอีก ธรรมดาก็ร่วงง่ายอยู่แล้วเจอฝนฤดูร้อนยิ่งไปใหญ่”


“พ่อแก่ น่าจะใส่เสื้อให้อบอุ่นกว่านี้นะ อากาศเย็นเดี๋ยวก็ไม่สบายอีก” เด็กหนุ่มเตือนด้วยความเป็นห่วง
ชายสูงวัยพยักหน้ารับรู้


“อย่าห่วงพ่อแก่ไปเลย พ่อนะชาวสวน แข็งแรงจะตายไป ไปบอกแม่แก่เขาเถอะ รายนั้นอากาศเปลี่ยนนิดเดียวก็ครั่นเนื้อครั่นตัวแล้ว”


พ่อแก่กล่าวตอบไปแล้ว ก็มองหน้าหลานชายที่กำลังก้มหน้าสาละวนกับการพลิกหนังสือเล่มโตไปมาอย่างสนอกสนใจ


“ทำอะไรนะลูก เห็นพลิกไปพลิกมาอยู่ตั้งนานแล้ว”


วิน เงยหน้าแล้วยิ้มเห็นฟันขาว


“ไม่มีอะไรหรอกพ่อแก่ หนังสือรุ่นของโรงเรียนเก่านะครับ”


“คิดถึงเพื่อนเก่าๆ หรือไง”


ชายหนุ่มส่ายหน้า


“เปล่าหรอกครับ เอามาทำงานนิดหน่อย”


“ทำงานเหรอ พ่อแก่ชักงง” ชายชราถามขึ้น พลางยื่นหน้ามองหนังสือเล่มโตเบื้องหน้าหลานชายอย่างสนใจใคร่รู้


วิน เอามือเกาศรีษะ แล้วยิ้มแห้งๆ


“ตามหาคนนะครับ ยายมุกไหว้วานให้ช่วย”


“อย่างนั้นหรือ…” พ่อแก่พึมพำ


“ยายมุก เพื่อนลูกนะหรือ…”


วิน ส่ายหน้าแล้วอธิบาย


“ไม่ใช่ครับ นั่นเกดครับ นี่ยายมุกคนน้อง”


พ่อแก่หัวเราะอย่างขัดเขิน


“อ้าวเหรอ พ่อแก่นี่แย่จริง ความจำชักเสื่อม ยายคนเล็กที่แก่นๆ พูดไม่หยุดนั่นใช่มั๊ยละ เดี๋ยวนี้ยังติดหนังสือการ์ตูนเหมือนเดิมหรือเปล่า”


“ไม่แล้วครับ มุกเขาเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ปีหน้าก็จะรับปริญญาแล้ว”


ชายชราพยักหน้ารับรู้


“เออ เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกินนะ เห็นเป็นเด็กแก่นกระโหลกอยู่ไม่กี่วัน เป็นสาวเสียแล้ว”


วิน เงยหน้าจากหนังสือรุ่น


“ครับ เร็วเหลือเกิน”


พ่อแก่ถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง


“ลูกก็เหมือนกัน เผลอแผล็บเดียวนี่ใกล้จะมีเมียแล้วสิเนี่ย”


“ยัง-ยังหรอกครับ พ่อแก่” เด็กหนุ่มร้องเสียงหลง


ชายชราสูงวัยหัวเราะเสียงดังอย่างคนอารมณ์ดี


“อย่าอายไปเลย ชอบคนพี่หรือคนน้องละ”


วินนิ่งเงียบชั่วครู่แล้วส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ


“พ่อแก่ นึกได้แล้ว เกด-คนพี่ ที่สวยๆ เรียนหนังสือเก่งใช่มั๊ยเล่า”


“ครับ…”


“อืมม์…แต่ก็น่ารักทั้งพี่ทั้งน้องนั่นแหละ แถมรักกันดีเหมือนพี่น้องคลานตามกันมา”


วิน นั่งนิ่งฟังเรื่องเล่าของพ่อแก่อย่างเพลิดเพลิน


“แต่คนพี่นั่น เหมือนแม่เค้านะ ทั้งหน้าตา อะไรหลายๆ อย่าง”


“งั้นหรือครับ…”


พ่อแก่หลับตาชั่วครู่ ยิ้มละไมบนสีหน้า


“แม่เขานะ เห็นอ่อนแออย่างนั้นเถอะ แต่จริงๆแล้ว อ่อนนอกแข็งใน จิตใจเด็ดเดี่ยวนัก ลองว่าตัดสินใจอะไรแล้วไม่มีเปลี่ยนเด็ดขาด ไม่เชื่อก็ไปถามแม่แก่เขาเถอะ ขานั้นเขาพูดถูกคอกันดี”


ชายชราสูดลมหายใจยาวครั้งหนึ่ง


“เสียดายที่…”


แม้จะพูดออกมาไม่เต็มประโยค แต่วิน ก็พอจะรับรู้ความรู้สึกของพ่อแก่ได้เป็นอย่างดี


อ่อนนอกแข็งในอย่างนั้นหรือ เกดเป็นอย่างนั้นด้วยมั้ยนะ ชายหนุ่มถามตัวเองขึ้นมา




“พี่เกด”

เสียงแหลมเล็กของหญิงสาวผิวเกลี้ยงเกลา ผมยาวปะบ่า ในชุดเสื้อยืดสีขาวแขนกุด กางเกงขาสั้นสีน้ำตาล อวดเรือนขาวผ่องดังขึ้น ขณะนอนอยู่บนเตียงที่ตั้งอยู่กลางห้องสีขาวกระจ่างตา


เสียงนั้นทำให้ผู้ที่นั่งสาละวนอยู่กับกองหนังสือตรงหน้าบนโต๊ะทำงานซึ่งเยื้องอยู่ไม่ไกลนัก ต้องหันหน้าไปมอง


“ว่าไงเล่าจ้ะ คุณน้องสาว” เกดถามขึ้นพลางเหลือบหางตามอง แล้วยิ้มน้อยๆ


“มุกเลือกคนถูกหรือเปล่า”


พี่สาวมองสบตาน้องสาว แล้วอมยิ้มถาม


“เลือกใคร แฟนเหรอ?”


“โหย…พี่สาว”


มุกดาบ่น แล้วผลุดลุกขึ้นนั่งบนเตียง


“ก็…เรื่องที่ช่วยให้ตามหาเด็กผู้หญิงคนนั้น แบบว่า…”


คนเป็นพี่ยิ้มละไม


“อ๋อ เรื่องนั้นเอง”


มุกดา เหลือบตามองพี่สาว ที่นั่งเงียบไม่ยอมอธิบายต่อ


“รับปากนีม่ามาแล้วก็อยากให้ตามหาคนได้สำเร็จ แต่ไม่รู้ว่า…”


เกด สบตากับน้องสาว เหมือนรอคำพูดประโยคต่อไป


“เห็นเอื่อยเฉื่อยอย่างนั้น ก็กลัวเหมือนกันนะ ถ้ายังไงมองไม่เห็นโอกาสมุกจะได้บอกนีม่าเขาเสียตั้งแต่เนิ่น”


“อย่าเพิ่งเลยน่า วินเขาขยันขันแข็งกับงานนี้ดี แถมได้สนุกเหมือนกลับไปเจาะเวลาหาอดีต"


“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี”


“นี่ถ้า…” มุกพึมพำ ในขณะที่นั่งเอามือกุมที่หัวเข่า ก้มศรีษะลงแนบ ก่อนเงยหน้าขึ้น


“ถ้าอะไรจ้ะ…”


มุกดามีดวงตาเริงรื่น


“ถ้าไม่ได้พี่เกดช่วยขอร้องอีกแรง ตานั่นจะมีแก่ใจช่วยมุกมั๊ยเนี่ย อยากรู้จัง”


พี่สาวเลิกคิ้วสูง



“ทำไมคิดอย่างนั้นเล่า วินนะเขาเป็นคนมีน้ำใจ มุกก็รู้นี่ ”


“เชอะ ลองบุษบาออกแรงขอร้อง มีหรือจรกาตัวดำจะกล้าปฎิเสธ”


พี่สาวส่งเสียงร้องจุ๊ๆ แล้วเอามือชี้หน้าน้องสาว


“เรียกอย่างนั้นอีกแล้ว ไม่เอาน่าน้องพี่”


มุกดาแลบลิ้น


“น่า ล้อเล่น”


แล้วหญิงสาวก็ทิ้งร่างลงบนเตียงเสียงดังตึง


เกด พับหนังสือในมือลงวางกับโต๊ะ พลางส่ายหน้าอย่างระอา


“ชักเอาใหญ่แล้วนะเรา”


มุกดาไม่สนใจเสียงเอ๊ดของพี่สาวเท่าไหร่นัก นอนหลับตาอยู่บนเตียง แต่มือยังอยู่ไม่สุข ไต่ไปตามหัวเตียงจนปัดไปโดนซองพลาสติกหล่นจากหัวเตียงไปกระทบพื้นห้องเสียงดังตึงขึ้นมา


“ตายละ…แตกหรือเปล่านั่น” มุกร้องขึ้น ในขณะที่ผู้พี่สาวใช้สายตากราดไปมองสิ่งที่กลิ้งอยู่กับพื้นห้อง


“ซนจังเลยเราเนี่ย เก็บแว่นให้พี่หน่อย”


มุก กลิ้งร่างลงบนเตียงแล้วกระโจนเอามือคว้าซองแว่นตานั้นขึ้นมาแล้วถามขึ้น


“ไม่ค่อยเห็นพี่เกดใส่แว่นนานแล้ว”


เกดส่ายหน้าแทนคำตอบ


“ใช่-ไม่ได้ใช้นานแล้ว พี่ใช้คอนแทคเลนส์นะ ที่ยังเก็บแว่นเอาไว้ก็เพื่อใช้ตอนอ่านหนังสือก่อนนอนเท่านั้น”


“อ้อ มุกเคยเห็นพี่เกดใส่บ่อยๆ ก็สมัยตอนเรียนโน่น หลายปีมาแล้วนี่นะ”


“ใช่-จำแม่นนี่เรา” เกดตอบสั้นๆ แล้วก็หันไปสนใจกับกองหนังสือตรงหน้าต่อไปตามเดิม




แสงยามเย็นไม่ร้อนแรงนัก แดดโรยตัวอ่อนลง ในขณะที่หนุ่มสาวคู่นั้นพากันเดินเข้าไปสวนสาธารณะใหญ่ใจกลางเมืองหลวง มองไปทางไหนก็เห็นผู้คนพลุกพล่าน มีทั้งมาวิ่งออกกำลังกาย เดินเล่น หรือนั่งหามุมสงบอ่านหนังสือ


เจ้าชายโดร์เช กวาดพระเนตรไปทั่วบริเวณ มองไปที่บึงน้ำกว้างที่อยู่เบื้องหน้า ท่ามกลางสีเขียวขจีของต้นไม้ใหญ่น้อยรายล้อมอยู่โดยรอบ ใช้สายตาเฝ้าดูกิ่งอ่อนช้อยของต้นตะแบกกวัดไกวไปมา ก่อนจะหันมามองชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งกำลังเข็นรถคันเล็กๆ ที่มีทารกตัวน้อยๆ หลับอยู่ในนั้นเดินผ่านไป


“ที่นี่สวยมาก นีม่า”


“เพคะ บรรยากาศที่นี่ทำให้นีม่านึกถึงดัลวาอยู่เสมอ”


“เจ้าคงคิดถึงบ้านสินะ จากมาเรียนที่นี่หลายปีแล้ว”


“เพคะ แต่หม่อมฉันก็รู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้านเหมือนกัน”


เจ้าชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ พลางตรัสว่า


“เราไปนั่งที่ริมน้ำนั่นเถอะ เงียบสงบดี” หญิงสาวค้อมศรีษะลง ยิ้มน้อยๆ แล้วก้าวเดินตามชายหนุ่มไปอย่างช้าๆ ก่อนจะทรุดตัวลงบนม้านั่งยาวสีขาวที่ว่างอยู่


“นี่ นีม่า”


“ว่าไงเพคะ”


เจ้าชายโดร์เชหันพระพักตร์มา


“ไม่ต้องถือพิธีรีตองมากนักหรอก แล้วก็…”


นีม่าพยักหน้ารับคำ


“แล้วเจ้าก็พูดภาษาไทยกับข้าเถอะ อย่างน้อยจะได้ช่วยฟื้นภาษาไทยให้กับข้าด้วย เข้าใจหรือไม่”


หญิงสาวยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว


เจ้าชายโดร์เชผินพระพักตร์ไปยังบึงน้ำกว้างเบื้องหน้า ซึ่งในขณะนี้มีนกกระยางสีขาวบินโฉบไปมาอย่างเริงร่า กลางบึงน้ำมีคู่หนุ่มสาว 2-3 คู่พายเรือไปมาอย่างเพลิดเพลิน


“เจ้าคงอยากรู้สินะ”


“เพคะ…?” หญิงสาวร้องขึ้นอย่างงุนงง


“เหตุผลที่ข้าเดินทางมาที่นี่ แล้วก็ตามหาเด็กสาวคนนั้น” เจ้าชายโดร์เชตรัส


นีม่านั่งนิ่ง ไม่รู้จะตอบอย่างไรต่อไปดี


“ว่าอย่างไรเล่า”


หญิงสาวพยักหน้าอย่างอายๆ ก็ใครไม่อยากจะรู้เล่า รัชทายาทหนุ่มจากดินแดนอันไกลโพ้นเดินทางข้ามขอบฟ้ามาตามหาผู้หญิงคนหนึ่ง มันเหมือนเทพนิยายที่เคยอ่านตอนเด็กนี่นา


“เท่าที่ทราบจากพี่มูตา เจ้าชายพบเด็กผู้หญิงคนนั้นตอนมาเรียนหนังสือที่นี่เมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ครั้งเดียวไม่ใช่หรือ”


เจ้าชายโดร์เชส่ายพระพักตร์


“ไม่หรอก ไม่ใช่อย่างที่มูตาเข้าใจ ข้าไม่ได้พบเด็กสาวคนนั้นเพียงครั้งเดียวหรอก ยังมีตามมาอีกหลายครั้ง”


“อย่างนั้นหรือ…” นีม่าอุทานขึ้น


เจ้าชายหนุ่มใช้พระหัตถ์ลูบคำลูกประคำบนลำพระศอ แล้วหลับพระเนตรลง ราวกับต้องการให้ความหลังครั้งอดีตผุดพรายขึ้นมาอีกครั้ง



เสียงพูดภาษาอังกฤษของแม่ชีดังกังวานอยู่หน้ากระดานดำ ในขณะที่นักเรียนชายราว 30 คนในห้องนั่งสงบตั้งอกตั้งใจฟังเป็นอย่างดี แต่บางจังหวะก็มีเสียงกระซิบ เสียงหัวเราะแทรกซ้อนขึ้นมา


แดดอ่อนยามเช้าส่องแสงสีทองกระทบมาที่โต๊ะเรียนด้านที่อยู่ติดกับริมหน้าต่าง นักเรียนที่นั่งอยู่บางคนเอามืองับหน้าต่างเพื่อหลบแดดที่ลามเลียเข้ามา แต่มีอยู่โต๊ะหนึ่งที่ปล่อยให้แดดลอดหน้าต่างเข้ามาถึงหน้า ลำคอ แขน แต่ไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวไปไหน


เด็กหนุ่มบนโต๊ะตัวนั้น มีใบหน้าเรียวยาว ดวงตาแจ่มใส ทรงผมตัดสั้น แต่ก็ไม่สั้นจนเกินไปนัก ยามลมริมหน้าต่างพัดมา เส้นผมยาวที่ปิดปกคลุมหน้าผากปลิวไปมา และในขณะนี้เด็กหนุ่มแทบจะเป็นเพียงคนเดียวในห้องที่ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยให้เสียงพูดของแม่ชีผู้สอนในคาบเรียนนี้ดังแว่วอยู่ในหู


เด็กหนุ่มกำลังมองไปข้างล่าง บางครั้งก็แย้มยิ้มน้อยๆ แต่บางครั้งก็หลบวูบจากหน้าต่างหันไปฟังบทเรียนจากแม่ชีครั้งหนึ่ง แล้วก็หันกลับมองออกไปข้างล่างเหมือนเดิม


ถ้ามองตามสายตาของเด็กหนุ่มออกไป มองเห็นโบสถ์ฝรั่งสีขาวตั้งอยู่ไม่ไกล มีเพียงรั้วเหล็กของโรงเรียนกั้นขวางไว้เท่านั้น ลานกว้างหน้าโบสถ์ในขณะนี้ มีนักเรียนหญิงในชุดเสื้อแขนยาวผูกคอซองกลุ่มหนึ่ง ยืนถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน โดยมีต้นสนทะเลสูงใหญ่ 2 เป็นฉากหลัง



บางครั้งนักเรียนสาวกลุ่มนั้นก็กระโจนมาเกาะรั้วโรงเรียน ชี้ไม้ชี้มือไปยังต้นชงโค ราชพฤกษ์ และหางนกยูงฝรั่ง ที่กำลังแตกดอกออกช่อ สีสันสวยงามด้วยอาการเริงใจ


เด็กสาวกลุ่มนั้นหัวเราะคิกคักกันชั่วครู่ใหญ่ แล้วก็คนหนึ่งในกลุ่มนั้นก็ชี้มือชี้ไม้ไปยังเด็กหนุ่มที่เพ่งสายตามองลงมา แล้วพากันพูดคุยเสียงดังเจื้อยแจ้ว จนทำให้เด็กหนุ่มต้องละสายตาหนีด้วยอาการขัดเขิน


เพียงครู่หนึ่งเท่านั้น เด็กหนุ่มก็มองลงมาอีก ยิ้มน้อยๆ ให้กับเด็กสาวกลุ่มนั้น


แต่สังเกตให้ดี ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะยิ้มทักทายให้กับเด็กสาวคนเดียวในกลุ่ม ที่ขณะนี้แยกตัวมาเกาะรั้วกำแพง เงยหน้ามองต้นตาเบบูย่า ที่ปลูกอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก


เด็กสาวเงยหน้ามองดอกตาเบบูยาที่บานไสวล้อลมอยู่ แล้วจังหวะหนึ่งก็ชำเลืองมองขึ้นไปบนตึกเรียนที่มีเด็กหนุ่มจ้องมองลงมา


เด็กสาวผมสั้น ผิวขาวกระจ่างราวสีชมพู ค่อยๆ แย้มยิ้มออกมา แล้วโบกมือให้กับเด็กหนุ่มเหมือนคุ้นเคยกัน
ชั่วครู่เท่านั้น กลุ่มเพื่อนๆ ก็กรูกันเข้ามาหาเด็กสาว กระซิบกระซาบถาม สลับกับการเงยหน้ามองขึ้นไปบนตึกเรียน แล้วก็หัวเราะคิกคักออกมา


เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างเผลอตัว เสียงดังเสียจนแม่ชีที่กำลังหันหน้าเขียนชอล์กลงบนกระดานดำ ต้องหันหน้ามา สายตาดุมองลอดผ่านแว่นสายตา จนทำให้เด็กหนุ่มต้องนั่งตัวแข็ง


แต่ก็ยังแอบชำเลืองกลุ่มเด็กสาวทางเบื้องล่างที่กำลังเดินหัวเราะหัวใคร่ออกจากลานหน้าโบสถ์แห่งนั้นไป
เด็กหนุ่มอมยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย แล้วจึงก้มหน้าตาก้มตาเปิดหนังสือเรียนบนโต๊ะ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น




“แค่นั้นเองหรือ”


“ฮื่อ…”


“เจ้าชายไม่เคยคุยกับเด็กสาวคนนั้นเลย”


ชายหนุ่มเพ่งสายตามองบึงน้ำกว้าง แล้วจึงพยักหน้า


“แค่คุยในโบสถ์ครั้งเดียวเท่านั้น”


หญิงสาวที่นั่งอยู่บนม้านั่งยาวเคียงข้างกับชายหนุ่มถอนหายใจยาวออกมา


“โธ่เอ๊ย…”


เจ้าชายโดร์เช ทรงพระสรวลออกมา


“หลังจากนั้นข้าเห็นเด็กสาวคนนั้นเกือบทุกอาทิตย์ บางทีก็มากับเพื่อนกลุ่มเดิม หรือบางหนก็แยกตัวมาคนเดียว ขี่จักรยานมาวนเวียนอยู่ลานหน้าโบสถ์บ้าง มาเดินเล่นคนเดียวบ้าง ส่วนใหญ่เด็กสาวนั่นไม่เห็นข้าหรอก หรือถ้าเห็นอย่างมากก็แค่อมยิ้มแล้วชำเลืองมาเท่านั้น แล้วก็…”


พูดไม่ทันจบประโยค นีม่าก็ชิงถามขึ้นก่อน


“ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่รู้จักชื่อเด็กผู้หญิงคนนั้น ไม่รู้ความเป็นมา อย่างมากก็โบกมือทักทาย ยิ้มให้กัน แค่นั้นหรือ”


“ใช่แล้ว…นีม่า”


หญิงสาวหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอ


ต้นรักของเจ้าชายรัชทายาทเกิดขึ้น แล้วค่อยๆ ผลิใบอย่างนี้หรอกหรือ


“ยิ่งกว่าซินเดอเรลล่าอีกนะเนี่ย ในนิยายซินเดอเรลล่ายังมีโอกาสเต้นรำกับเจ้าชายมั่ง แต่นี่…”


เจ้าชายโดร์เชถอนพระทัย


“ข้ารู้ แต่นีม่า ข้าเองก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน”


นีม่า หันมองพระพักตร์ด้านข้างของรัชทายาทแห่งดัลวาด้วยสายตาอ่อนโยนลง


“นานมั๊ย เพคะ”


“ราว 3 เดือนเห็นจะได้ หลังจากนั้นข้าก็กลับดัลวาโดยที่…”


“ไม่ได้ร่ำลากัน หรือแม้แต่จะถามชื่อ แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นก็อาจจะไม่รับรู้ความรู้สึกนั้นของเจ้าชายเสียด้วยซ้ำไป” นีม่า ชิงพูดขึ้น


เจ้าชายโดร์เชนิ่งเงียบ แล้วจึงหันพระพักตร์มาทางหญิงสาว


“ไม่มีเหตุผลเลยใช่มั๊ย นีม่า”


หญิงสาวส่ายศรีษะไปมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


“เจ้าชายเพคะ ความรักไม่ใช่เรื่องเหตุผลหรอกนะเพคะ มันเป็นเรื่องของความรู้สึก”


“ขอบใจมาก นีม่า”


เจ้าชายโดร์เชถอนพระทัยครั้งหนึ่ง


“แต่ข้าก็ยังสงสัยอยู่ว่า ความรู้สึกนั่นจะใช่ความรักจริงหรือ ข้าอยากรู้จริงๆ นีม่า”


“เพราะอย่างนั้น เจ้าชายจึงกลับมาในหนนี้”


“จะว่าอย่างนั้นก็คงไม่ผิดนัก” รัชทายาทหนุ่มตรัสตอบ


“แต่ตอบให้อย่างหมดจดกว่านั้นก็คือ เด็กสาวคนนั้นมีเสน่ห์บางอย่าง ให้ข้าต้องถวิลหาอยู่ตลอดเวลา ตอนนั้นข้าเองก็อาย ไม่กล้าที่จะพูดกับเด็กสาวคนนั้นด้วย และถึงมีโอกาสพูด ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี”


เจ้าชายถอนพระทัยหนหนึ่ง


“ข้าเดินทางกลับมาหนนี้ ไม่ใช่มาเพื่อกลับมาหาเห็นหน้าเด็กสาวคนนั้นอีกครั้งเท่านั้น แต่ยังอยากมีโอกาสทำความรู้จักให้มากขึ้น ได้พูดคุย เรียนรู้ซึ่งกันและกัน อยากเห็นความอ่อนโยน รวมไปถึงอารมณ์แปรปรวน ที่บางครั้งสุข บางครั้งก็เศร้าของเด็กสาวคนนั้น มีความรู้สึกอยากจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เท่าที่ข้าจะสามารถทำได้”


“ เจ้าว่าข้าฟุ้งซ่าน เกินไปหรือไม่” รัชทายาทแห่งดัลวาตรัสถามขึ้นอีกครั้ง
หญิงสาวจะตอบอย่างไรได้เล่า นอกจากนั่งนิ่งแล้วทอดสายตายาวไปยังบึงน้ำเบื้องหน้านั่น


“ไม่หรอกเพคะ หม่อมฉันอยากทูลว่า ถ้าหากเจ้าชายได้พบกับเด็กสาวคนนั้นจริง บางทีนี่อาจเป็นพรหมลิขิตก็เป็นได้”


นีม่ารู้สึกเหมือนอย่างที่พูดจริงๆ




๖.๑๐.๕๒

บทที่ 6-ฝนในฤดูร้อน

“ก็ไม่ถึงกับเปลี่ยนไปเสียทีเดียวนัก ตึกเก่าๆ ที่เราเรียนก็ยังอยู่เกือบหมด เสียแต่ว่าสีมันซีดกว่าเดิมไปหน่อยเท่านั้น”



“ฮื่อ…”


ชายหนุ่มขานรับไปเช่นนั้น ในขณะยืนนิ่ง สายตาเหลียวมองตึกเก่า 2 ตึกที่วางเรียงรายอยู่คู่กันเบื้องหน้าอย่างใช้ความคิด พื้นที่ที่เขายืนอยู่นั้นเป็นสนามหญ้าเขียวขจี มีเสาธงชาติตั้งเด่นสง่าอยู่ไม่ไกลนัก เรียงรายไปกับสนามหญ้าคือต้นสนสูงใหญ่เขียวขจีที่ช่วยสร้างความร่มครึ้มไปทั่วบริเวณ


เกด ยืนเอามือปัดผมอันยาวเหยียดที่ระมาเคลียแก้ม ก่อนจะหลับตาลงแล้วพึมพำกับเพื่อนชาย


“นานๆ ได้เข้ามาที นึกถึงความหลังจัง”


ชายหนุ่มไม่ตอบคำ เอามือกอดอก แล้วส่ายสายตา มองกลุ่มนักเรียนที่เดินเรียงแถวลงจากตึกเรียน ก่อนจะลับหายไปทางมุมหนึ่งอย่างสนอกสนใจ ก่อนจะโพล่งขึ้น


“นี่เกด ครูที่สอนเราเกษียณไปหมดหรือยังนะ”


“ยังมั๊ง แต่ลุงสอนคงเกษียณไปแล้ว จำได้มั๊ยลุงสอน”


วิน พยักหน้า แล้วหัวเราะ


“ทำไมจะจำไม่ได้ ก็ลุงสอนแกนั่งอยู่ป้อมยามตรงประตูทางเข้าโรงเรียนทุกวัน แล้วเครื่องแบบที่แกใส่ แล้วหน้าตาดุๆ อย่างนั้น ใครก็นึกว่าแกเป็นอาจารย์นะสิ ที่ไหนได้…”


พูดแล้ว วินก็โคลงศรีษะไปมา


“ใช่ ตอนเข้ามาเรียนที่นี่ใหม่ๆ เกดก็เปิ่นเหมือนกัน ยกมือไหว้แกอยู่ตั้งนาน นึกว่าเป็นครู กว่าจะรู้ว่าลุงสอนเป็นคนขับรถของท่านผอ.ก็…”


“หน้าแตกละเอียด…” วินบอกพลางยิ้มน้อยๆ


ทั้งสองคนคุยกันเรื่องความหลังระหว่างเดินท่องน่องจากสนามหญ้าแล้วเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่หน้าตึกสามชั้น สีฟ้าซีด ซึ่งในขณะนี้มีร่างของชายสูงวัยรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีดอกเลา ใส่แว่นตาสีชา เพ่งมองมาอยู่ตรงบันไดทางขึ้น


“มาสเซอร์พิชิต ใช่มั๊ยคะ” เกดร้องถามขึ้น


ชายสูงวัยตรงหน้าก็เพ่งมองที่คู่หนุ่มสาวเช่นกัน หลังจากใช้สายตามองผ่านแว่นอยู่เป็นนาน ก็ชี้ไม้ชี้มือออกมา พลางทักทายเสียงดังลั่น


“นี่พวกเธอเองหรอกหรือนี่ ไม่ได้เจอกันนานเลย เป็นไงบ้าง”


“ครับ ไม่ได้มานานมากเลย ดีใจมากที่ได้เจอมาสเซอร์อีก”


“เหมือนกันนั่นแหละ…ไปหาน้ำท่าดื่มกันก่อน บนโน้น” มาสเซอร์พิชิตชักชวน พลางเดินนำหน้าขึ้นไปชั้นบน ก่อนจะชะงัก แล้วหันหน้ามาบอกกับอดีตลูกศิษย์


“มาเยี่ยมเฉยๆ หรือว่ามีธุระปะปังอะไรหรือเปล่าเรานะ”


วินมองหน้าเกดครั้งหนึ่ง ก่อนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา


“ทั้งสองอย่างครับ มาสเซอร์”


“เด็กผู้หญิงอย่างนั้นหรือ พวกเธอคิดว่าตามหาง่ายหรือไง รุ่นเธอ แล้วรุ่นพี่ขึ้นไปอีก หรือรุ่นน้องที่ไม่ห่างไกลกันนัก มีนักเรียนผู้หญิงอยู่ตั้งเท่าไหร่ ใครจะไปจำได้หมดว่าใครเป็นใครกันบ้าง”


มาสเซอร์พิชิต พึมพำออกมาก่อนจะพิงร่างเข้ากับพนักเก้าอี้บนห้องทำงาน ในขณะที่หนุ่มสาวเบื้องหน้า ไม่รู้จะพูดอะไรได้นอกจากคลึงแก้วน้ำเบื้องหน้าไปมา


“ว่าไงเล่า พวกเธอ”


“ก็ไม่ว่าหรอกครับ ที่มาสเซอร์พูดมาก็ถูกทุกอย่าง”


มาสเซอร์พิชิตถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง


“นั่นนะสิ จะหาคนก็น่าจะบอกรายละเอียดให้ชัดเจนกว่านี้หน่อย มันเหมือนตาบอดคลำช้าง รู้บ้างมั๊ย”


“ทราบคะ มาสเซอร์” หญิงสาวคนเดียวบนโต๊ะรับคำเสียงอ่อยๆ ก่อนจะหันหน้าไปทางเพื่อนชายที่นั่งเคียงข้าง


“เด็กผู้หญิงคนนั้น ผมสั้นแค่คอ ผิวขาวเกลี้ยงเกลา มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าอยู่เสมอ เป็นคนร่าเริง เท่าที่ทราบก็มีข้อมูลแค่นี้เองหรอกครับ”


มาสเซอร์พิชิตหัวเราะหึหึอยู่ในลำคอ


“อืมม์ ยังดีกว่าไม่มีเอาเสียเลยนะ สรุปรวมความแล้วน่าจะเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก นิสัยดี บางทีอาจเป็น…”


ยังไม่ทันพูดประโยคจบ มาสเซอร์สูงวัยก็เลิกคิ้วขึ้นสูง พยักเพยิดไปที่หญิงสาวอย่างมีความหมาย


“แหม มาสเซอร์ คงไม่บังเอิญอย่างนั้นหรอกมั๊งคะ หน้าตาอย่างนั้น หาได้ง่ายจะตายไป และที่สำคัญเกดก็ไม่ได้นิสัยดีอะไรมากมาย หน้าตาก็แค่ไปวัดวาตอนสายได้เท่านั้น”


เกดร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแง่งอน เรียกรอยยิ้มจากผู้เป็นครู


“งั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มาสเซอร์อยากถามว่า ผู้ชายคนนั้นที่ให้เราช่วยตามหาเป็นใคร”


“ทำไมหรือครับ” วินถามขึ้น


“อ้าว เหมือนเจ้าชายตามหาซินเดอเรลล่าเป๊ะเลย นี่ถ้ามีรองเท้าแก้วข้างนึงก็ใช่แน่ๆ” มาสเซอร์ว่าอย่างขำๆ


“ไม่มีหรอกครับ รองเท้าแก้ว”


“ถ้าอย่างนั้น มาสเซอร์ก็จนปัญญา…”


“นอกเสียจากว่า…”


“เสียจากว่า อะไรคะ” เกดถามขึ้น


มาสเซอร์พิชิตพยักหน้ารับ


“ก็ลองไปคุยกับผู้ชายคนนั้นดูก่อน เอารายละเอียดมาอีกนิด แล้วลองมาคุยกับมาสเซอร์ดูอีกครั้ง น่าจะพอเห็นเค้ากว่าเดิมบ้างละ จริงมั๊ย”


วินทำตาโต


“จริงครับ”


“ทำไม ถึงไม่คิดนะ พวกเรา” เกดว่ายิ้มๆ






เป็นไงบ้าง


มุกดาที่เพิ่งมาถึงเอ่ยทักนีม่าที่นั่งอยู่บนโต๊ะไม้สีขาวริมสระน้ำเล็กๆ ในมหาวิทยาลัย


หญิงสาวจากดัลวา ละสายตาจากสระน้ำแล้วบอกว่า


“ก็เรื่อยๆ นะมุก ตอนนี้ก็รอแค่ข่าวคราวของตาบ๊องของมุกอยู่นั่นแหละ” นีม่า พูดแล้วมองตาเพื่อน แล้วหัวเราะคิกคักอย่างนึกสนุก


“โธ่เอ๊ย เพื่อนเรา บอกกี่ครั้งแล้วนี่ว่า ตานั่นไม่ใช่ของมุกนะ”


“โทษที นีม่า ลืมไปนะจ้ะ” หญิงสาวเสียงเบาลง แล้วเอามือเสยผมครั้งหนึ่ง


“เห็นพี่เกดบอกว่า ตาบ๊องนั่นเริ่มบทบาทนักสืบของตัวเองไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังเห็นบ่นอุบว่า ตามหายากอยู่เหมือนเดิม”


“อืมม์ นีม่ารู้ว่ามันยาก ถ้าสำเร็จก็ดี แต่ถ้าไม่ก็คงไม่เป็นไรหรอกนะ ว่าไปแล้วก็เกรงใจเพื่อนพี่สาวมุกเหมือนกัน”


มุกเอามือตีเพี๊ยะที่แขนของเพื่อน


“ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก ถ้าไม่ช่วยเรื่องนี้ เดี๋ยวมุกก็หาเรื่องให้ช่วยเรื่องโน้นไปอีกจนได้”


“อ้าว เหรอ” นีม่าอุทาน


“ฮื่อ” มุกดาว่า พลางขบยิ้มอยู่ในสีหน้า ดวงตาทอดแววเริงรื่นอยู่ในนั้น


นีม่า มองหน้าเพื่อนสาวอย่างใช้ความคิด ไม่บ่อยครั้งนักหรอกที่จะได้เห็นดวงตาคู่นั้นส่องประกายบางอย่างออกมา


“ความจริงแล้ว พี่วินของมุก เอ๊ย…ของพี่เกด ก็ดูดีนะ ไม่เหมือนจรกาอย่างที่มุกว่าเลย ดูเป็นคนง่ายๆ”


“หรือมุกว่าไง…” นีม่ารุกถามต่อ


มุกดาเบ้ปาก ทำคิ้วขมวดเข้าใส่เพื่อน


“สายตาไม่ดีมั๊ง นีม่า”


“เหรอ”


“นิสัยที่แย่ที่สุดของตาบ๊องนั่นก็คือ เป็นคนที่เรียบเรื่อย วันๆ ออกจะเฉื่อยแฉะ ไม่ชอบแข่งขันชิงดีชิงเด่นอะไรกับเขาเลย ไม่สมกับชื่อวินเลย”


“อ้อ ชื่อวิน นี่มาจากภาษาอังกฤษที่แปลว่า ชัยชนะ งั้นหรือ”


“ไม่รู้หรอก มุกเดาเอานะ…”


“หรือจะเป็นวินนี่ เดอะ พูห์”


มุกดาหัวเราะ


“นั่น เป็นพี่เกดเขาชอบเรียกของเขาเอง วินนี่ แหวะ-แค่คิดก็ตลกแล้วละ”


นีม่ายิ้มชอบใจกับอากัปกิริยาของเพื่อน


“ว่าต่อไปสิ เรากำลังฟังอยู่”


“พี่วิน เป็นผู้ชายที่นีม่า จะหาเจอได้ยากมาก ชอบปลูกต้นไม้ อยู่กับดอกไม้ใบหญ้าได้ทั้งวัน อย่างตอนฤดูร้อน เวลากลีบดอกไม้หล่นมาตามท้องถนน เวลาตานั่นเดินผ่านนะ เอาแต่มองอยู่นั่น กลีบซักกลีบก็ไม่ยอมเหยียบ เอากะเค้าสิ”


“ไปว่าเขา…” นีม่าหัวเราะกับเรื่องเล่าของเพื่อน


“ตาบ๊องนั่นอารมณ์ศิลปิน อ่อนไหว ละเอียดอ่อน ยิ่งกว่าผู้หญิงอย่างมุกเสียอีก นี่ไม่ใช่มุกว่าคนเดียวนะ แม่ก็บอกเหมือนกัน”


“แล้วพี่เกดละ…”


“ขานั้นเค้าเพื่อนกัน ถึงจะคิดอย่างนั้นก็ไม่พูดออกมาหรอก”


นีม่า หันไปมองน้ำในสระแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแช่มชื่น


“ผู้ชายละเอียดอ่อน มุกไม่ชอบเหรอ เหมือนพระเอกในหนังเกาหลีไงจ้ะ”


“ม่าย…มุกไม่ชอบ” มุกดาว่าด้วยน้ำเสียงแง่งอน


“เหรอ งั้นชอบแบบไหนละ”


มุกดาหัวเราะขึ้นมา


“ชอบแบบตบจูบนะ โหดๆ เท่ๆ มุกชอบแบบว่าผู้หญิงร้าย ผู้ชายเลว” "และที่สำคัญ พระเอกหนังเกาหลี เขาต้องผมยาว ผิวขาวเกลี้ยงเกลา พูดจาเพราะๆ มีสตางค์ ไม่ได้ตัวดำเป็นจรกา แล้วก็กระต๊อกกระต๋อยเหมือนตาวินนั่นเสียหน่อย"


“โหย…เพื่อนฉัน” นีม่าว่าอย่างนึกขำ


“ว่าแต่ว่า พี่เค้าทำงานอะไรนะ ลืมถามไป เห็นมีเวลาว่างได้ทั้งวัน เสื้อผ้าที่เห็นใส่ก็เสื้อยืด กางเกงยีนส์ตลอด”


มุกพยักหน้า


“ก็ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ไง เค้าเก่งเรื่องงานออกแบบ พวกหนังสือ โบชัวร์ สิ่งพิมพ์อะไรอย่างนั้น แล้วก็มีร้านขายต้นไม้อยู่ที่สวนจตุจักร ยามว่างก็ชอบเล่นดนตรีกับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน เห็นมั๊ยเล่า ติสต์มาก”


นีม่า พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ชายหนุ่มรุ่นพี่คนนั้นมีลักษณะบางอย่างที่สะท้อนความเป็น “ศิลปิน” ในตัวออกมา


“ก็ดีนี่นา ดูมีความสุขดีออก”


มุกดาส่ายหน้าไปมา


“ลอยไปลอยมาอย่างนี้ ผู้หญิงที่ไหนเค้าจะ…”


“พี่วิน เป็นแฟนพี่เกดงั้นหรือ” นีม่า โพล่งถามขึ้น


“เฮ้อ พูดไม่ถูก คนนึงก็แสนจะซื่อบื้อ ส่วนอีกคนก็ดูไม่มีท่าทีอะไรเท่าไหร่เลย ถ้าจะเป็นก็คงเป็นนานก่อนหน้านี้แล้วมั๊ง”


“ว่าแต่ว่า นีม่าสนใจไปทำไมเล่า หรือว่า…”


“บ้าน่า…” นีม่าว่าอย่างเขินอาย


“ก็มุกเล่าให้ฟังไม่ใช่หรือว่า สองคนนั้นเขาเป็นเหมือนปาทองโก๋กันนะ”


“ฮื่อ…” มุกว่า


“เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนชั้นประถมแล้วละ เป็นยิ่งกว่าแฟนเสียอีกมั๊ง”


“ที่สำคัญ…” มุกหยุดถอนหายใจยาว


“สองคนนั้นเค้าเหมือนกันอยู่อย่าง เป็นลูกกำพร้าแม่เหมือนกัน ก็เลย…”


แม้เพื่อนสาวไม่พูดให้หมดประโยค นีม่าก็พอจะเข้าใจความหมายได้อยู่หรอก


นีม่า นึกถึงตาบ๊องของมุก แล้วก็พลางคิดไปถึงผู้ชายอีกคน ที่แทบจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักนิดเดียว



เป็นลูกกำพร้าเหมือนกันทั้ง 3 คนเลยหรือนี่ ช่างบังเอิญเสียจริงๆ




ชายหนุ่มผู้นั้นตกเป็นเป้าสายตาของคนดูแลความสะอาดในโบสถ์นับตั้งแต่เข้ามานั่งสงบนิ่งเมื่อเกือบครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา


ไม่ใช่เพราะความแปลกหน้านั่นหรอก แต่เป็นความสง่างาม รูปร่างอันสูงใหญ่นั่นต่างหาก เมื่อบวกกับหน้าตาอันคมเข้ม มีรอยยิ้มบางๆ อยู่บนใบหน้าด้วยแล้ว ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ดึงดูดให้กับผู้พบเห็น


หน้าตาของชายหนุ่มดูไม่เหมือนคนไทย แต่ก็ไม่เชิงเป็นฝรั่งเสียทีเดียวนัก ดูเหมือนแขกผสมจีนอย่างไรพิกล


ที่สำคัญชายหนุ่มนั่งสงบนิ่งอยู่นานแล้ว มีเพียงบางครั้งที่ใช้สายตากวาดมองความงดงามในโบสถ์คาธอลิกแห่งนี้อย่างสนอกสนใจ


แล้วเสียงกึงกังของเท้าคู่หนึ่งก็ดังขึ้นมาทางประตูทางเข้า พร้อมกับร่างของชายหนุ่มร่างท้วม ในเสื้อสีขาวแขนยาว กางเกงสีเทาเข้ม ดวงตากลมโต ก็ปรากฎตัวขึ้น ก่อนจะเดินกึ่งวิ่งมายืนอยู่ทางด้านหลังของชายหนุ่ม


ชายผู้มาใหม่ถอนหายใจครั้งหนึ่ง ก่อนจะค้อมหลังลงกล่าวถ้อยคำบางประโยคกับชายหนุ่มแปลกหน้าผู้นั้น


ถ้อยคำที่ได้ยินนั้น ไม่ใช่ภาษาไทยอย่างที่คุ้นเคยกัน แต่เป็นภาษาแปลกๆ ที่ฟังจับความไม่ออก


แต่ดูเหมือนว่าชายแปลกหน้าสองคนจะเข้าใจภาษาเหล่านั้นเป็นอย่างดี


“เจ้าก็นั่งเถิดมูตา แล้วก็เงียบๆ อย่ารบกวนข้า เข้าใจหรือไม่”


ชายร่างท้วมค้อมศรีษะรับ แล้วหย่อนร่างท้วมลงบนม้านั่งยาวหลังที่นั่งของชายหนุ่มไปหนึ่งแถว


“ที่นี่หรือ เจ้าชาย”


“อืมม์…”


ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่พยักหน้ารับ


“พบผู้หญิงคนนั้นที่โบสถ์แห่งนี้เพียงครั้งเดียว ถึงขนาดทำให้…”


ชายหนุ่มเหลียวหลังไปมองคู่สนทนา


“มันดูไม่มีเหตุผลเลยนี่…” ชายร่างท้วมกระซิบแผ่ว แล้วค้อมหลังลงแสดงท่าทีกริ่งเกรงต่อชายหนุ่มอย่างเห็นได้ชัด


ชายหนุ่มเพียงถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง แล้วผินหน้ามองไปยังรูปปั้นพระแม่มารีที่ตั้งเด่นอยู่เหนือระดับสายตาขึ้นไป ริมฝีปากเม้มสนิท สายตาทอดยาวไปเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด


คิดถึงความหลังอย่างนั้นหรือ…




เมื่อเด็กหนุ่มในชุดนักเรียน เสื้อขาว กางเกงสีน้ำเงิน วิ่งฝ่าสายฝนเข้าไปในประตูโบสถ์ที่เปิดกว้างแห่งนั้น ร่างท่อนบนก็ชุ่มไปด้วยน้ำแล้ว เด็กหนุ่มค่อยๆ เอามือเช็ดน้ำฝนที่เกาะอยู่ตามใบหน้าและแขนอย่างช้าๆ ก่อนจะบ่นออกมาดังๆ


“ฤดูร้อนแท้ๆ ทำไมฝนตกหนักอย่างนี้นะ เปียกหมดกันเลยเรา”


บ่นกับตัวเองแล้ว เด็กหนุ่มก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปในโบสถ์ฝรั่งแห่งนั้น แม้ภายในสภาพจะเก่าไปบ้าง แต่ก็ดูงดงาม น่าเกรงขาม แสงระเรื่อของของไฟเหนือเพดานโบสถ์ ขับเน้นความงดงามของภาพวาดนักบุญที่เรียงรายอยู่โดยรอบ ในขณะด้านนอกฝนยังปรอยละอองไม่หยุด เด็กหนุ่มได้ยินเสียงเปาะแปะของเม็ดฝนยามกระทบหลังคาโบสถ์ลอยมา


บรรยากาศรอบโบสถ์เงียบสงัด แต่ก็ไม่ถึงกับวังเวงนัก ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่ ทำให้เด็กหนุ่มคลายความกังวลลงไป เขาก้าวเท้าเดินอย่างไม่เร่งรีบนัก ก่อนจะทรุดร่างลงบนเก้าอี้ยาวตัวหนึ่ง ตั้งใจว่านั่งพักรอให้ฝนซาลงกว่านี้เสียหน่อย ค่อยกลับไปที่พักน่าจะดีกว่า


แต่ยังไม่ทันใช้มือลูบน้ำที่เกาะเม็ดพราวอยู่ตามแขนแมนได้หมด เด็กหนุ่มก็ลืมตาโพลงขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงแว่วมาเข้าหู เป็นเสียงเล็กๆ ปนสะอื้นที่คล้ายแว่วอยู่ในสายลม


เด็กหนุ่มสอดส่ายสายตาเพ่งมองไปตามที่มาของเสียงนั้นอยู่เป็นนาน ก่อนจะร้องออกมา


“ใครกันนะ…”


บนม้านั่งยาวเยื้องออกไปไม่ไกลนัก มีร่างของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในชุดนักเรียน เป็นเสื้อแขนยาวผูกคอซอง กระโปรงสีน้ำเงินยาวแทบจะคลุมถุงเท้า มองเห็นผมสลวยตัดสั้นระต้นคอ และกำลังคว่ำร่างลงพิงกับพนักม้านั่งตัวถัดไป พลางเอามือสองข้างปิดเข้าที่ใบหน้าของตัวเอง และส่งเสียงสะอื้นออกมา ส่วนแผ่นหลังกำลังไหวระริก แสดงถึงอารมณ์ที่ไม่ปกติ


เด็กหนุ่มสะบัดหัวไปมาไล่น้ำที่เปียกชุ่มศีรษะครั้งหนึ่ง แล้วจึงเดินอย่างแผ่วเบาก่อนค้อมตัวลง ยื่นหน้าลงไปใกล้ๆ เด็กสาว


“นี่…เป็นไรไปหรือเปล่า” เสียงพูดอันแปร่งๆ ของเด็กหนุ่มถามขึ้น


เด็กสาวที่คว่ำหน้าลง เงยหน้าอย่างช้าๆ แล้วจึงหันมามองตามเสียงทักในขณะที่เสียงสะอื้นค่อยๆ เบาลงไป


เด็กผู้หญิงมีหน้าตาอันเกลี้ยงเกลา ผิวขาวกระจ่างราวกับสีชมพู มีขนตายาวเป็นแพ ซึ่งในขณะนี้ขนตายาวชุ่มไปด้วยน้ำตา ขอบตามีรอยบวมช้ำ ในขณะที่ริมฝีปากบางนั้นซีด


“เธอ…” เด็กสาวทักทาย พลางใช้เอามือขวาป้ายน้ำที่ไหลซึมออกมาออกมาจากดวงตา


เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งข้างๆ


“เป็นไรไปหรือเปล่า มีอะไรให้ช่วยมั๊ย”


เด็กสาวส่ายหน้าไปมา ก่อนคิ้วจะขมวดขึ้น


“เธอ เรียนหนังสืออยู่แถวนี้เหรอ”


“อืมม์…” เด็กหนุ่มตอบพลางชี้นิ้วไปยังทางซ้ายมือของโบสถ์


เด็กสาวยิ้มพลางพยักหน้า


“มิน่า เหมือนเคยเห็นหน้าเลยนี่นา เธอคงเป็นพวกนักเรียนต่างชาติพวกนั้น สินะ”


เด็กหนุ่มหัวเราะอายๆ เสียงพูดไทยอันแปลกแปร่ง และหน้าตาที่ไม่เหมือนคนไทยสักเท่าไหร่นัก บ่งบอกทุกอย่างโดยไม่จำเป็นต้องอธิบายใดๆ


“โรงเรียนของเธอ มีพวกนักเรียนต่างชาติเรียนอยู่เยอะ” เด็กสาวว่าต่อ เสียงพูดเริ่มสดใส ดูคล้ายคลายความโศกเศร้าไปได้บ้างแล้ว


แล้วเด็กสาวก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋ากระเสื้อ หยิบแว่นตาขึ้นมาสวมใส่ แล้วหันหน้ามาทางเด็กหนุ่ม ยิ้มให้อย่างสดใส ไม่มีอาการเก้อเขิน ตื่นกลัวเด็กหนุ่มแปลกหน้าแต่อย่างใด


“ฉันพูดไทยได้บ้าง แต่ก็ไม่ค่อยชัดนักหรอก ว่าแต่ว่าเธอเป็นอะไรไปหรือเปล่า”


เด็กสาวมีสีหน้าซึมลงแต่ก็ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น แล้วก็ยิ้มแย้มให้คู่สนทนาด้วยอาการปกติ “อืมม์…แต่ไม่เป็นไรแล้ว คงต้องกลับบ้านแล้วละ เย็นมากแล้ว” พูดเสร็จเด็กสาวก็ทำท่าจะลุกขึ้นจากม้านั่ง จนเด็กหนุ่มต้องใช้มือดึงแขนเอาไว้ด้วยอาการลืมตัว


“อย่าเพิ่งไปเลยนะ…”


“หืมม์…”


เด็กหนุ่มถอนมือตัวเองออกมาจากแขนขาวผ่อง นวลเนียนของเด็กสาวอย่างขัดเขิน


“ฝนยังตกแรงอยู่เลย ออกไปก็เปียกหมดกันพอดี อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนเถอะ”


เด็กสาวพยักหน้ารับ แล้วทรุดร่างลงตามเดิม สายตาเพ่งมองไปยังรูปพระแม่มารีที่อยู่เบื้องหน้า


“เป็นความลับนะ…”


“อะไรนะ…”


เด็กสาวหัวเราะเสียงใส ขยับแว่นสายตาเหนือจมูกไปมา


“ก็เมื่อกี้ไง ตอนที่เราแอบร้องไห้ อย่าไปบอกใครละ”


“อ๋อ รับรองได้” เด็กหนุ่มตกปากรับคำเสียงหนักแน่น “แม่เราเพิ่งเสีย…”



เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ นัยน์ตาเริ่มจะแดงขึ้นมาอีก


เด็กหนุ่มสะดุ้งขึ้นมาครั้งหนึ่ง


“เมื่อไหร่…”



“หลายเดือนมาแล้ว แต่ว่าเรา…เรา” เด็กสาวทำท่าจะส่งเสียงสะอื้นออกมาอีกครั้ง


เด็กหนุ่มยื่นผ้าเช็ดหน้าให้



“อย่าร้องไห้เลย เช็ดน้ำตาซะ”


เด็กสาวกล่าวขอบคุณ ยื่นมือรับ แล้วค่อยๆ ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นซับน้ำตาที่ไหลซึมออกมาใต้กรอบแว่น ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มในประโยคต่อไป


“อย่าเสียใจไปเลย เราก็ไม่มีแม่เหมือนกัน”


“อะไรนะ…”


“แม่เราก็ตายไปแล้วเหมือนกัน” เสียงเด็กหนุ่มสั่นเครือพอจับความรู้สึกได้


“เมื่อไหร่…” เด็กสาวถามขึ้นโดยไม่มองหน้า


“นานมากแล้ว” เสียงเด็กหนุ่มเศร้าๆ


“เพราะอย่างนั้นเรารู้…”


เด็กสาวนิ่งเงียบไปชั่วขณะ แล้วจึงถอนใจน้อยๆ ก่อนจะถามขึ้นมาว่า


“เธอนับถือคริสต์หรือเปล่า”


เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฎิเสธ


“ไม่เป็นไร เราจะสวดมนต์ให้”


พูดจบแล้ว เด็กสาวผมสั้น ก็พริ้มตาลง เอามือกุมไว้เหนืออก ส่งเสียงพึมพำอยู่ในลำคอ


เด็กหนุ่มมองหน้าเพื่อนแปลกหน้าที่หลับตาลง แล้วยิ้มบางๆ


“เธอดูเป็นคนแปลกจัง ประเดี๋ยวร้องไห้ ประเดี๋ยวหัวเราะ”


เด็กสาวพยักหน้า ขบยิ้มโดยไม่ลืมตา


“ใครๆ ก็ว่าอย่างนั้นแหละ”


เด็กหนุ่มมองด้านข้างของเด็กสาว แว่นตาคู่นั้น แล้วยังจมูกโด่งได้รูป รอยยิ้ม ผิวพรรณอันนวลเนียนนั่นอีกเล่า เขาเฝ้าลอบมองวงหน้านั้นอย่างเพลิดเพลิน ราวกับต้องการผนึกภาพเด็กสาวเบื้องหน้าเอาไว้ในความทรงจำอย่างนั้นแหละ


“เล่าเรื่องของแม่เธอให้ฉันฟังบ้างสิ” เด็กสาวพูดอย่างแผ่วเบา


“ได้สิ”


“แต่ตอนนี้รอเราสวดมนต์ให้จบก่อนแล้วกัน”


เด็กหนุ่มหัวเราะ แต่ไม่ยอมละสายตาไปจากวงหน้าของคู่สนทนา


เสียงฝนเทกระหน่ำมาอีกระลอกแล้ว โบสถ์ยังคงเงียบสงบ เด็กสาวหลับตาพริ้มคุกเข่าลงกับพื้น ในขณะที่เด็กหนุ่มนั่งนิ่งอยู่บนม้านั่งยาวเหม่อมองไปยังเบื้องหน้า


ดูคล้ายกับว่า มีคนสองคนเท่านั้นในโลกนี้