๒๙.๙.๕๒

บทที่ 5-เด็กผู้หญิงในอดีต

นีม่าแอบหัวเราะอยู่ในใจ เมื่อเห็นท่าทีขัดเขินของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า จริงเหมือนที่เพื่อนสาวว่าไว้ ผิวของชายหนุ่มคล้ำจนเกือบดำสนิท แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ขี้ริ้วอะไรเลย รูปร่างสูงโปร่ง ผมสั้นอันได้รูป และใบหน้าที่เกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มนั่น ช่วยให้ “จรกา” ดูดีกว่าที่นึกฝันไว้แยะ

แต่ที่นีม่า ชอบมากที่สุดในตัวของชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหน้าก็คือ ดวงตาที่กลมโต สุกใส แฝงแววเริงร่าอยู่ในนั้น แถมขนตายังงอนช้อยเหมือนผู้หญิงอีกต่างหาก

แล้วดวงตาคู่นั้นก็เบิ่งโต พร้อมกับปากที่อ้ากว้างขึ้นทันทีที่มุกแนะนำว่า

“นี่ นีม่า มาจากดัลวา…”

นีม่า ยิ้มให้เขา พลางยกมือไหว้ด้วยอาการชดช้อย

“สวัสดีครับ เอ้อ…” ชายหนุ่มรับไหว้แล้วยิ้มให้ ก่อนจะถามขึ้นว่า

“ดัลวา อย่างนั้นหรือ”

นีม่าขบหัวเราะอย่างนึกเอ็นดู ก่อนพยักหน้ารับ ซึ่งก็ไม่แปลกนักหรอก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้คนเกิดอาการงงงันเมื่อได้ยินชื่อถิ่นเกิดของเธอ ดัลวา เป็นประเทศเล็กๆ ใกล้กับยอดเขาหิมาลัย จนแทบจะเป็นเพียงจุดเล็กๆ บนแผนที่โลกก็ว่าได้ คนไทยส่วนมากแทบจะไม่รู้จักความเป็นมาเอาเสียด้วยซ้ำ

ที่สำคัญก็คือ…

“แต่ว่าทำไม ถึงได้พูด…เอ้อ” วิน ถามขึ้นด้วยสีหน้าเหรอหรา จนนีม่า อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“นีม่า เป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนนะค่ะ มาอยู่ที่นี่ 4-5 ปีแล้ว และก็เรียนภาษาไทยเป็นวิชาโทด้วย”

“อย่างนั้นหรือ…”

“ที่นั่น ส่งคนมาเรียนที่บ้านเราหลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้ก็มีใช่มั๊ย นีม่า” มุกอธิบายบ้าง

หญิงสาวแห่งดัลวาพยักหน้ารับ พลางสบตามองชายหนุ่มที่กำลังมองมาเช่นกัน พลางคิดว่า ถึงจะอธิบายไปแล้ว แต่ชายหนุ่มรุ่นพี่เบื้องหน้าก็ดูจะมีคำถามที่อยากถามอยู่อีกมากมาย ค่อยๆ เล่าไปน่าจะเหมาะกว่า แต่ตอนนี้คงต้องรีบเข้าเรื่องกันก่อนแล้ว
“อย่าเพิ่งถามอะไรมากนักเลย พี่วิน” อยู่ดีๆ มุกก็โพล่งขึ้นมา พลางค้อนใส่ชายหนุ่มวงหนึ่ง

“ที่นัดให้มานี่ ไม่ใช่ให้มาสอบประวัตินีม่านะ ไม่ได้ให้จีบด้วย มองหน้าเพื่อนมุกอยู่นั่นละ ตาบ้า”

“เฮ้ย…ยายมุก พูดอะไรอย่างนั้น” วินร้องเสียงหลง พลางเอามือเกาหัวของตัวเอง แล้วตีสีหน้าปูเลี่ยน ดูเหมือนจะไม่ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฎิเสธออกมาเสียทีเดียวนัก

นีม่าหันไปมองหน้าเพื่อนแล้วนึกขำขึ้นมา นานๆ ที จะเห็นมุกค้อนประหลับประเหลือกใส่ชายหนุ่ม แล้วก็ออกอาการแง่งอนอย่างที่เห็น เพราะโดยปกติมักจะ “ เก่ง” ยามอยู่ในกลุ่มเพื่อนผู้หญิงเท่านั้นนี่ แปลกจัง

แล้วนีม่าก็หันหน้ากลับไปมองที่ชายหนุ่มรุ่นพี่ที่เพิ่งรู้จัก เห็นสีหน้ายิ้มแหยๆ นั่นแล้วชักเห็นคล้อยตามเพื่อนสาวที่บอกว่าจรกาคนนี้เป็นผู้ชายบ๊องๆ คนหนึ่ง นอกจากบ๊องแล้วยังขี้อายอีกต่างหาก

น่าสนใจแฮะ

เพียงแต่ว่า…

“นีม่า เขามีเรื่องให้ช่วย” มุกพูด ไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป

“หือม์ ให้ช่วยอย่างนั้นหรือ” วินเลิกคิ้วสูง พลางหันไปมองที่นีม่าครั้งหนึ่งก่อนรีบหันสายตากลับมา

“อยากให้ช่วยตามหาคน…”

วินมองหน้าสองสาวไปมา แล้วหัวเราะแห้งๆ

“โธ่เอ๊ย พี่ไม่ใช่นักสืบ หรือตำรวจนะ”

มุกหยิกเข้าที่แขนของชายหนุ่มด้วยท่าทีหมั่นไส้ครั้งหนึ่ง

“แหมๆ รู้แล้วน่า แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของคนหายอย่างนั้น”

พูดเสร็จ มุกก็พยักเพยิดไปทางเพื่อนสาว

“คืออย่างนี้ค่ะ อยากให้พี่ช่วยตามหาผู้หญิงคนหนึ่ง”

“ผู้หญิง?...” วินอุทานขึ้น

“นี่พี่วิน…” มุก พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“ผู้หญิงคนที่ว่านี่ หรือพูดให้ถูกเด็กผู้หญิงคนนั้นเคยเรียนที่โรงเรียนเดียวกันกับพี่ และอายุก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพี่ด้วยมั๊ง”

“หา…อย่างนั้นหรือ”

วินถามด้วยน้ำเสียงงุนงง

นีม่าเหลือบตามองชายหนุ่มแล้วแอบยิ้ม

“ถ้าอย่างนั้นก็…” วินพยักหน้าขึ้นลง

“ไหนลองเล่ารายละเอียดมาก่อนสิ…” ชายหนุ่มว่า

มุกหันไปพยักเพยิดกับเพื่อน

“คืออย่างนี้คะ เจ้านายของพี่ชายนีม่าเดินทางมาจากดัลวาเพื่อตามหาเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ตามหามาได้ระยะหนึ่งแล้วก็ยังเงียบๆ อยู่ นีม่าก็เลยอยากจะช่วยด้วยอีกแรง เท่าที่ทราบ เด็กผู้หญิงคนนั้นอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับพี่วินนี่ละมั๊งคะ แล้วก็เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันด้วย”

“อืมม์ เด็กผู้หญิงในอดีตอย่างนั้นหรือ เหมือนนิยายจัง” ชายหนุ่มพูดพร้อมเอามือเกาคาง

“นีม่าก็ว่างั้น แต่นี่ไม่ใช่นิยายหรอกนะคะ เป็นเรื่องจริง เพียงแต่ว่าเหตุการณ์มันผ่านไปตั้งนานแล้ว จะมีทางตามหาตัวเจอหรือเปล่า นีม่าเองก็ไม่แน่ใจ”

ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ก่อนผงกศรีษะรับ

นีม่า มองหน้าวิน และเห็นชายหนุ่มมองสบตาเหมือนกัน

ถึงดูจะขี้อาย ตลก แต่ก็น่าจะพึ่งพาได้อย่างที่มุกว่าจริงๆ แฮะ



นีม่า ผลักประตูกว้างของห้องพักหรูหราในคอนโดมิเนียมสีขาว ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแห่งนั้นด้วยอาการแผ่วเบา หญิงสาวอยู่ในชุดลำลอง เป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว ปล่อยชายเสื้อออกมาด้านนอกคลุมทับกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน ใบหน้าไม่ได้แต่มแต้มเครื่องสำอางค์ใดๆ ดูงามแปลกตาไปอีกแบบ

“พี่มูตา…”

หญิงสาวตะโกนเรียก เมื่อก้าวเข้ามาสู่ภายในห้องพัก ซึ่งโอ่อ่า กว้างขวาง พื้นที่ซึ่งยืนอยู่เป็นห้องรับแขกที่มีเฟอร์นิเจอร์อันหรูหราวางอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง มีโต๊ะทานอาหารเล็กๆ ตั้งอยู่เยื้องออกไป ในขณะที่กระจกใสบานใหญ่ตรงผนังด้านขวามองไปเห็นแม่น้ำอันกว้างใหญ่ได้อย่างเต็มตา ผนังอีกด้านหนึ่งประดับประดาด้วยภาพวาดวิวทิวทัศน์บนกรอบไม้สีขาว

นอกจากห้องรับแขกอันหรูหราแล้ว เมื่อมองตรงออกไปจะเห็นห้องอีกสองห้องที่ปิดสนิทอยู่ มองเห็นแต่ประตูสีขาวกระจ่างตา ไม่มีเสียงใดลอดออกมาแสดงให้เห็นว่ามีผู้คนอยู่ในห้องนั้นแต่อย่างใด และมองเลยไปทางด้านหลังเป็นห้องครัวเล็กๆ ที่บานประตูเป็นกระจกใสเปิดอ้าอยู่

นีม่า ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ทำท่าจะก้าวไปเปิดประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่ แล้วก็เปลี่ยนใจ หันร่างไปยืนนิ่งมองวิวของแม่น้ำสายใหญ่ผ่านแผ่นกระจกบานใหญ่นั้นแล้วเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งก็ดังขึ้นมาทางด้านหลังของหญิงสาว จนนีม่าต้องเหลียวหน้าไปมองพลางอุทานออกมา

“เจ้าชาย…”

ชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า รูปร่างสูงโปร่ง ผมยาวถูกมัดรวบอย่างเป็นระเบียบ เสื้อลายทางตัวโคร่งยาวคลุมจนเกือบถึงหัวเข่า กางเกงขายาวสีเทา ในขณะที่ตรงลำคอแขวนลูกประคำสีดำเอาไว้

ใบหน้าเรียวยาวอันได้รูปนั้นกำลังแย้มยิ้มให้ ดวงตาคมคู่นั้นส่องประกายอ่อนโยนบางอย่างออกมา

นีม่า พึมพำเสียงเบาๆ อยู่ในลำคอ ก่อนจะทรุดร่างลงถอนสายบัวแล้วค้อมศรีษะลงด้วยอาการนุ่มนวล

“ถวายบังคมเพคะ ฝ่าบาท”

ชายหนุ่มเบื้องหน้ายิ้มบางๆ บนใบหน้า ก่อนโคลงศรีษะไปมา

“นีม่า ข้าเดินทางมาในครั้งนี้ในฐานะสามัญชน ทำตัวตามสบายเถิด ”
หญิงสาวพยักหน้ารับ

“พี่มูตาละเพคะ…”

เจ้าชายหนุ่มทรุดพระวรกายลงบนโซฟาหรู พลางผายมือให้หญิงสาวนั่งตรงที่นั่งฝั่งตรงข้าม

“เจ้าก็นั่งลงตามปกติเถอะ ไม่ต้องถือพิธีรีตองเหมือนตอนอยู่ในดัลวาหรอก ข้าให้มูตาไปทำธุระข้างนอก เดี๋ยวก็คงกลับมาแล้ว”

หญิงสาวถอนหายใจ

“หม่อมฉันขอประทานอภัย อยากจะทูลว่า การที่พระองค์มาประทับอยู่ที่นี่แค่สองคนกับพี่ชายของหม่อมฉัน ออกจะสุ่มเสี่ยงเกินไป อย่าลืมว่า พระองค์คือเจ้าชายโดร์เช รัชทายาทแห่งดัลวานะเพคะ"

เจ้าชายหนุ่มแห่งดัลวาทรงพระสรวล

“นีม่า ขอบใจที่เป็นห่วง แต่อย่าลืมว่าข้าเคยมาเรียนหนังสืออยู่ที่นี่หลายปี อีกอย่างในประเทศนี้ไม่มีใครคิดร้ายต่อข้าหรอก อย่าห่วงไปเลย”


นีม่าคิ้วขมวด จมูกย่น แล้วพูดโดยไม่เงยหน้า

“ถึงอย่างนั้นก็เถิดเพคะ ก็ควรจะระวังตัวเอาไว้บ้าง นีม่าขอประทานอภัยที่ต้องทูลตอบตรงๆ”

“ข้าเข้าใจ แต่นีม่าอย่าบ่นเป็นยายแก่ไปเลย นับวันจะคล้ายพี่ชายของเจ้าเข้าไปทุกวันแล้วรู้มั๊ย” เจ้าชายโดร์เช ตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ตรัสแล้ว เจ้าชายโดร์เชก็ถอนพระทัยเบาๆ แล้วย่างพระบาทไปยืนตรงกระจกบานใหญ่

“นีม่า ข้าไม่อยากให้ใครหนักใจกับเรื่องของข้ามากนักหรอก และครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้กลับมาที่นี่อีกก็ได้” เจ้าชายโดร์เชตรัส ในขณะที่ทอดพระเนตรแม่น้ำกว้างเบื้องล่างนั้น

นีม่า ส่งสายตามองแผ่นหลังของรัชทายาทแห่งดัลวา

“หม่อมฉัน ขอประทานอภัย”

เจ้าชายหนุ่มนิ่งเงียบ ก่อนตรัสถามขึ้น

“นอกจากมาหามูตา มีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่า”

“มีเพคะ…” หญิงสาวตอบ

“หม่อมฉันอยากทูลถามว่าเรื่องนั่น ไปถึงไหนแล้วเพคะ”

รัชทายาทแห่งดัลวาส่ายพระพักตร์ไปมา

“ยังไม่คืบหน้าเท่าใดนัก เจ้าก็รู้เรื่องมันนานมากเหลือเกิน แต่ถึงอย่างไรข้าก็มีความรู้สึกว่า ข้าจะได้พบแน่”

นีม่า เป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง

“หม่อมฉันคิดว่า ถ้าพระองค์ฯทรงให้คนที่สถานทูตช่วยจัดการเรื่องนี้บ้างบางที…”

เจ้าชายโดร์เชหันพระพักตร์กลับมา

“นีม่า ข้าไม่ต้องการเช่นนั้น ไม่อยากทำอะไรให้มันเอิกเกริก ถ้าโชคชะตาลิขิตไว้ ข้าจะได้พบนางเองนั่นแหละ ในไม่ช้านี้…”

หญิงสาวผงกศรีษะ ค้อมตัวลงแต่สายตาแอบเหลือบมองชายหนุ่มเบื้องหน้าพลางใช้ความคิด นี่เป็นรักแรกพบใช่มั๊ย หรือว่าเป็นความหลงแรกพบกันแน่

แล้วเจ้าชายโดร์เช ก็ตรัสถามขึ้น

“เจ้าถามเรื่องนี้ไปทำไมกัน นีม่า”

“หม่อมฉันต้องการจะช่วยพระองค์นะสิเพคะ”

“ช่วยอย่างนั้นหรือ

“เพคะ หม่อมฉันขอทูลว่า หม่อมฉันได้รู้จักคนที่เรียนจบจากที่นั่น แล้วก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับพระองค์ด้วย บางทีอาจจะพอช่วยหาเบาะแสได้บ้าง”

“อะไรนะ…”

เจ้าชายโดร์เชหันพระพักตร์กลับมา พระเนตรสั่นระริก ในขณะที่พระสุรเสียงสั่น

นีม่า พยักหน้ารับ

“เหมือนฟลุ้กเลยเพคะ เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ”

รัชทายาทหนุ่มแห่งดัลวา ทรงพระสรวลเบาๆ พระเนตรส่องประกายบางอย่างออกมา

“นีม่า ขอบใจเจ้ามากที่มีน้ำใจ”

เจ้าชายโดร์เช แย้มพระโอษฐ์กว้าง

นีม่าหยุดสายตานิ่งไว้ที่พระพักตร์ของเจ้าชาย พลางบอกตัวเองว่า พระเนตรของเจ้าชายโดร์เชในยามนี้ช่างสดใส แสดงถึงอาการชื่นบาน และน้ำเสียงที่ตรัสออกมาก็แฝงด้วยความตื่นเต้นยินดี

เด็กผู้หญิงคนนั้นคือใครกันแน่…นีม่าถามกับตัวเอง

หญิงสาวรู้สึกโล่งในหัวอก มีความปลาบปลื้มอยู่ในใจ เมื่อได้เห็นความสุขที่หลั่งท้นออกมาของเจ้าชายโดร์เชในยามนี้

ช่วยทีนะ พ่อจรกา นีม่าบอกกับตัวเองในใจ


วินจ้องมองหญิงสาวเบื้องหน้าอยู่แทบทุกอิริยาบถ ในขณะที่เพื่อนสาวนั่งอยู่ตรงท่าน้ำ ยื่นเท้าทั้งคู่แตะเบาๆกับสายน้ำเบื้องหน้านั่น ด้วยอาการเพลิดเพลิน ผมยาวสะบัดไปมา บางครั้งก็หันหน้ามาหัวเราะกับเขา พลางชี้ไม้ชี้มือไปยังสะพานเหล็กเบื้องไกลนั่น

“รออีกนิดนะวิน เดี๋ยวรถไฟก็มาแล้วละ คราวนี้จะอนุญาติให้ทายก่อน”

ชายหนุ่มถอนหายใจ แล้วก้าวเดินไปหา

“เกด ลงไปนั่งกับพื้นอย่างนั้น ชุดทำงานเปื้อนหมดกันพอดี”

หญิงสาวก้มหน้าลงมองชุดที่ตัวเองสวมใส่ ซึ่งเป็นเสื้อทำงานสีขาวแขนสั้น และกระโปรงยาวสีขาวสดใส ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบ

“อ๋อ นิดหน่อย ไม่ได้เปื้อนอะไรหรอก อย่าบ่นไปหน่อยเลย”

วิน ถอนหายใจอีกครั้ง พลางมองดูวงหน้า ดวงตา และรอยยิ้มของหญิงสาวเบื้องหน้าอยู่เงียบๆ

“ดีจังนะ”

“หา…อะไรกัน”

เกด ปิดปากหัวเราะ

“ไม่ใช่อย่างนั้น คือเกด หมายความว่าทำอย่างวินก็ดีไปอย่างนะ ไม่ต้องแต่งตัวให้ยุ่งยาก แถมอิสระดีด้วย”

วิน ยักไหล่ครั้งหนึ่ง

“โธ่เอ๊ย เกด ทำงานออฟฟิซก็ดีเหมือนกันแหละน่า อย่างน้อยก็มีเงินเดือน มีสวัสดิการ มีเงินจ่ายค่าแต่งตัว”

“แต่เกด ก็เห็นวินมีเงินใช้ไม่ขาดมือนี่” หญิงสาวไม่ลดละ

“เป็นงาน อิสระก็จริง แต่มันก็เหนื่อยนะ ต้องขยัน ไม่งั้นเงินก็ขาดมือเอาได้ง่ายๆ นอกจากงานที่ร้านต้นไม้ ก็เลยต้องทำอย่างอื่นเสริมไว้ตลอดด้วยไง ”

เกด พยักหน้ารับรู้

“เรียกว่าดีไปคนละอย่าง”

“ใช่…”

“แต่เกด อยากเห็นวิน ใส่สูท ผูกเน็กไท คงเท่ไม่หยอก”

ชายหนุ่มทำตาโต ส่ายหน้าไปมา

“อย่าเห็นเลย นึกแล้วตลก”

วิน พูดพลางมองดูเสื้อยืด กางเกงยีนส์สีซีดของตัวเอง

“เป็นหนุ่มเสื้อยืด กางเกงยีนส์ มากี่ปีแล้วเนี่ย เพื่อนฉัน” เกดพูดเย้า พลางยันตัวขึ้นจากพื้นอย่างช้าๆ โดยมีวินใช้มือช่วยยึดร่างขึ้นอีกแรง

ลุกขึ้นได้แล้วหญิงสาวก็พิงร่างเข้ากับเสาไม้ตรงท่าน้ำแล้วถามขึ้นว่า

“เออ เกดลืมถามไป เรื่องนั้นละว่าไง”

“เรื่องหนาย…” ชายหนุ่มพูดยางคางล้อเลียน

“โธ่…อย่ามาล้อเล่นน่า เรื่องของมุกไง”

“อ๋อ”

วิน พยักหน้า

“มุกดา จอมยุ่ง” ชายหนุ่มบ่นพลางขมวดคิ้ว

“เถอะน่า ช่วยน้องของเกดหน่อย”

“บุษบา มุกดา เฮ้อ…”

วินว่าอย่างเซ็งๆ ก่อนจะถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง

“แต่งานนี้ ไม่ใช่งานง่ายๆนะ ตามหาคน ใครก็ไม่รู้ แถมเป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อนอีกต่างหาก เบาะแสอะไรก็ไม่มี ไม่รู้เราจะมีปัญญาตามหาเจอหรือเปล่า”

“เถอะน่า ถ้าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเราสมัยเรียน วินก็ต้องรู้จักสิน่า กว้างขวาง ขาใหญ่เหลือเกินนี่ สมัยนั้นนะ” เกดว่าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเมื่อนึกถึงอดีต

แต่ชายหนุ่มหัวเราะไม่ออก ตีสีหน้ายุ่ง คิ้วขมวด

“แปลกนะ เจ้านายของเพื่อนยายมุก จะตามหาเด็กผู้หญิงคนนั้นไปทำไม แล้ว นีม่า คนนั้น มาจากดัลวา เชียวนะ เจ้านายใหญ่นั่นก็ต้องมาจากที่นั่นด้วยสิ”

หญิงสาวพยักหน้ารับรู้

“นีม่า เป็นเด็กน่ารักนะ ยายมุกเคยพามาเที่ยวที่บ้านด้วย”

วินยิ้มแอบเห็นด้วยในใจ

“ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงเหมือนกัน”

“โธ่ จะไปยากอะไรละ”

ชายหนุ่มมองหน้าเพื่อนสาว

“ก็โน่นไง…”

พูดเสร็จ หญิงสาวก็เอามือชี้ไปทางด้านหลังของแม่น้ำ ภาพของตึกเรียนน้อยใหญ่ปรากฎต่อสายตา

ชายหนุ่มมองตามไปแล้วหัวเราะขึ้นมา

“จริงแฮะ งั้นเราไม่ควรนั่งตรงนี้นานนัก แวะไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าหน่อยเป็นไร บุษบา”

“แหม เรียกเสียเต็มยศเชียวนะ”

หญิงสาวตัดพ้อ พร้อมกับหัวเราะ ลมแรงของแม่น้ำพัดผมยาวลู่ไปข้างหลัง ในขณะที่ดวงตาเป็นประกายดูราวกับจะยิ้มได้

“แต่ว่าก็ว่าเถอะ มุกน่าจะให้เกดช่วยมากกว่านะเรื่องนี้ อาจจะง่ายกว่า”

“แหมๆ…เกดเป็นมนุษย์เงินเดือน อาทิตย์นึงต้องทำ 6 วัน จะไปมีเวลาตามหาคนได้ที่ไหนเล่า”

“อ้าว…แล้วกัน” วินว่า

“หมายความเราเป็นคนว่างงานงั้นสิ”

“คงงั้นมั๊ง” เกดหัวเราะอย่างนึกขันความคิดของตัวเอง


๒๓.๙.๕๒

บทที่ 4-จรกาตัวดำๆ

ตอนที่ เกด ผลักประตูบ้านเข้าไปเป็นเวลาย่ำค่ำแล้ว ท้องฟ้าเริ่มมืด แสงไฟในชั้นล่างของบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ส่องแสงวอมแวม ลอดออกมา กระทบเข้ากับพื้นที่เล็กๆ หน้าบ้านที่ดกครึ้มด้วยพันธุ์ไม้หลายชนิดทั้งไม้ดอก ไม้ใบ มีต้นมะขามต้นหนึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาสูงพ้นกำแพงบ้าน



หญิงสาวได้กลิ่นดอกไม้หอมแรงขึ้นแตะจมูก เป็นกลิ่นหอมที่ให้ความสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก เพราะผสมผสานระหว่างกลิ่นรื่นรวยของดอกไม้เข้ากับความชุ่มชื่นของน้ำฝนที่เพิ่งหยุดตกไปเมื่อไม่นานนี่เอง


เกดเหลือบมองไม้ดอก ไม้ใบที่เบ่งบานชูช่อ แล้วก็ยิ้มให้กับตัวเอง ไม่ใช่ว่าไม่ชอบสีสันละลานตาเหล่านั้นหรอก เพียงแต่เธอแยกไม่ออกว่า กลิ่น หอมละมุนที่สูดเข้าจมูกมาจากต้นอะไรกันบ้าง และดอกที่กำลังบานสะพรั่งนั่นมีชื่อว่าเรียกอย่างไร ก็เท่านั้น


เพราะพันธุ์ไม้เหล่านั้นคนที่นำมาปลูกคือแม่เลี้ยงของเธอ และเป็นคนดูแล รดน้ำอย่างประคบประหงมเป็นอย่างดี เกดรู้สึกประหลาดใจอยู่คราม ครันว่าคุณน้าสามารถจัดเรียงต้นไม้ พันธุ์ไม้มากมายไว้ในพื้นที่หน้าบ้านที่คับแคบได้อย่างไร


“อ้าว พี่เกด”


เสียงทักทายดังขึ้นมาเมื่อประตูทางเข้าสู่ตัวบ้านแง้มออก แล้วร่างของหญิงสาวผมยาว หน้าตาเกลี้ยงเกลา แก้มใส จมูกเชิดรั้น ในชุดเสื้อยืดสีทึม กางเกงขาสั้นอวดขาขาวผ่องก็ยื่นหน้าออกมาทักทาย พร้อมกับส่งรอยยิ้มออกมาในคราวเดียวกันด้วย


“มุก ไม่ได้ไปไหนเหรอ วันนี้”


หญิงสาววัยรุ่นส่ายหน้าไปมา พลางเข้ามาใช้มือแตะเข้ากับที่แขนและไหล่ของเกด ซึ่งเปียกชื้นไปด้วยน้ำ


“ดูสิ เปียกหมดเลย พี่เกด”


“นิดหน่อยน่า ไม้ได้เปียกอะไรหรอก” เกดกล่าวตอบ พลางรุนตัวน้องสาวเข้าบ้าน ซึ่งด้านหน้าของตัวบ้านจัดเป็นส่วนของห้องรับแขกเล็กๆ มี โทรทัศน์ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งอยู่มุมหนึ่ง และมีโซฟาวางตัวอยู่ไม่ห่างกันนัก และอีกด้านหนึ่งเป็นโต๊ะเล็กๆ ซึ่งขณะนี้ยุ่งเหยิงไปด้วยกองหนังสือ


“อ้อ อยู่บ้านอ่านหนังสือเหรอ ดีแล้วมุก”


“จ้ะ คุณพี่” มุกตอบพี่สาว แล้วทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา พลางใช้สายตาจ้องมองรายการโทรทัศน์ ซึ่งกำลังมีโฆษกรายงานข่าวส่งเสียงเจื้อยแจ้วลอดออกมา


“พี่เกด มาไงเนี่ย นั่งแท็กซี่มาหรือไง หรือว่ามอเตอร์ไซค์ ไม่เห็นได้ยินเสียงรถตอนเข้ามาเลยนี่”


เกดส่ายหน้าแล้วขบยิ้มพลางหัวเราะ


“รถฟักทองนะ มุก”


“อะไรกัน รถฟักทอง ทำเป็นซินเดอเรลล่าไปได้พี่เกด” มุกร้องออกมา พลางขมวดคิ้ว ใช้นัยน์ตาจ้องมองมาที่พี่สาวอย่างจะคาดคั้นหาความจริง


“บอกมาสิ ใครมาส่งพี่เกด มุกอยากรู้…”


ยังไม่ทันที่เกดจะกล่าวตอบอะไร ร่างของหญิงสาววัยกลางคนผู้หนึ่งก็เดินมาจากทางด้านหลังของห้องรับแขก แล้วเข้ามายืนเคียงข้างกับเกดที่พิงร่างเข้ากับโต๊ะไม้ที่มีกองหนังสือสุมทับอยู่


หญิงสูงวัย แต่สีหน้าแจ่มใส และมัดผมเป็นมวยสูง เอามือลูบเข้าที่ศรีษะของเกดที่ชื้นไปด้วยน้ำอย่างเป็นห่วงเป็นใยแล้วถามขึ้นว่า


“ไปโบสถ์มาหรือเกด แล้วคุยอะไรกับยายมุกอยู่นะ”


เกดพยักหน้ารับ


“ค่ะ น้าเยาว์ เกดไปโบสถ์มา” หญิงสาวกล่าวตอบ พลางเอามือโอบเข้าที่เอวของน้าเยาว์อย่างสนิทสนม


“เกด บอกมุกเรื่องรถฟักทองอยู่นะ…”


“อะไรนะ รถฟักทองเหรอ” น้าเยาว์โพล่งถามขึ้นมองหน้าลูกเลี้ยงที่เอาร่างมาคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ ด้วยสีหน้างงงัน


“นั่นสิ แม่ พี่เกด มีความลับ” มุกฟ้อง พลางเอามือเท้าคาง แล้วค้อนมาที่พี่สาวเป็นวงพองาม


เกดหัวเราะ มองหญิงสองวัยที่มองมาด้วยสีหน้าระรื่น


“เกดไปอาบน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวมาเฉลย”


คล้อยหลังที่เกดเดินออกจากห้องรับแขกไป น้าเยาว์ทรุดลงข้างตัวบุตรสาวบนโซฟาตัวนั้น แล้วถามขึ้น
“มุก เกดพูดอะไรของเค้านะ”


“นั่นสิแม่ พูดยังกะตัวเองเป็นซินเดอเรลล่า”


น้าเยาว์ยิ้มระบายอยู่บนใบหน้า ก่อนผงกศรีษะราวกับเห็นด้วยกับบุตรสาว “เดี๋ยว มุกก็เก็บหนังสือเถอะ เตรียมทานข้าวกันได้แล้ว”


“จ้ะ” บุตรสาวรับคำพลางเหลียวมาทางบุพการี ก่อนพูดลอยๆ ออกมา


“สงสัยจะเป็นจรกา”


“จรกา อะไรกันอีกเล่าเนี่ยมุก แม่งง”


มุกย่นจมูก พลางเอามือท้าวคาง


“ก็คนที่มาส่งพี่เกด มุกเดาเอาว่าจรกา ตัวดำคนเดิมนั่นแหละ จะมีใครได้”


“หืมม์” คนเป็นแม่อุทานขึ้นมาพร้อมเลิกคิ้ว


มุก หาวหวอดขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วพิงร่างเข้าคลอเคลียผู้ให้กำเนิดอย่างประจบประแจง “ก็พี่วินไง จรกา” บุตรสาวเฉลย


น้าเยาว์คิ้วขมวด เอามือแตะเบาๆ ที่แขนของบุตรสาว


“ทำไมไปเรียกพี่เขาอย่างนั้น แล้วรู้จักหรือ จรกา นะ”


“อ้าว ก็ในวรรณคดีอิเหนาไงแม่” มุกว่า พลางหัวเราะ


“ตัวดำอย่างนั้นก็ต้องเป็นจรกา ผู้หลงใหลบุษบา ก็พี่เกดนะชื่อจริง บุษบาไม่ใช่หรือ จรกาตัวดำกับบุษบาตัวขาว ชะเอิงเอย”


“เฮ้อ ลูกชั้น เป็นไปได้นะ”


นงเยาว์ถอนหายใจอย่างระอา


“ในอิเหนานะ จรกาขี้ริ้วมาก ผมหยิก หน้าขรุขะ ปากก็หนา จมูกใหญ่ พูดเสียงหยาบ แถมอ้วน แต่พี่วินของมุกนะไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียหน่อย เพียงแต่ว่า…ผิวคล้ำไปนิด”


“ไม่นิดละแม่ แล้วพี่วินก็ไม่ใช่ของมุกนะจ้ะ ของพี่เกดเค้าต่างหาก กิ๊วกิ๊ว”


“แม่คนนี้ ทะเล้นเหลือเกินละ” นงเยาว์เอ็ดลูกสาวด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก


“เชื่อมั๊ยแม่ วันไหนอิเหนาปรากฎตัว แล้วมาฉกตัวบุษบาไป ตานั่นจะทำหน้ายังไงน้า”


“ไม่ละมั๊ง”


“นี่แม่…” มุกพูดพลางผุดร่างลุกขึ้นจากโซฟาด้วยอาการปราดเปรียว


“ก็จริงนี่ เทียวไล้เทียวขื่ออยู่กี่ปีกันแล้วนี่ เงื้อง่าราคาแพงเสียเหลือเกินตาจรกาตัวดำๆ เอ๊ย ”


นงเยาว์ถอนหายใจออกมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นความเซี้ยวของบุตรสาว


“นี่…ลูกจ๋า อย่าไปคิดอะไรแทนพี่เค้าเลย”


คนเป็นแม่หันมองไปทางหลังบ้านที่ลูกเลี้ยงเดินเข้าไปได้พักใหญ่แล้ว


“สองคนนั่นเขาเป็นเพื่อนที่คบหากันมานานแล้ว มีอะไรที่คล้ายกันอยู่มาก แต่คบกันเป็นแฟนหรือ คงไม่มั๊ง ยิ่งคนของเราดูจะไม่มีทีท่าเลย ลูกก็รู้นี่”


ลูกสาวพยักหน้าแต่ยังไม่หยุดแสดงความเห็น


“มุกก็ว่างั้น ผู้หญิงนะบางทีก็ไม่ชอบคนดีมากๆ หรอก มันน่าเบื่อ และอีกอย่าง…”


“พี่วินนะบางทีก็อารมณ์ศิลปิน ละเอียดอ่อนเกินไป คบเป็นเพื่อนนะพอได้ แต่ถ้าเป็นแฟนอ๊ะนะ…มุกไม่เอาด้วยคนหรอก”


“ทำเป็นพูดดีไปเถอะ เกลียดสิ่งไหนมักได้สิ่งนั้นนะมุก คำโบราณท่านว่า”


บุตรสาวส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย


“เชอะ-ไม่มีทาง ที่สำคัญพี่วินเขาไม่ชอบผู้หญิงอย่างมุกหรอก เขาชอบผู้หญิงเรียบร้อย พูดอ่อนหวาน เป็นเจ้าหญิงอย่างพี่เกดเท่านั้น เจอกับมุกทีไรมีแต่กัด หาเรื่องขัดคอ กวนประสาทอยู่เรื่อยตานั่นนะ”


คนเป็นแม่เอามือตีเพี๊ยะเข้าที่แขนบุตรสาวเป็นการปรามอีกครั้ง


“ลูกมุก…” นงเยาว์เอ๊ดแต่ในใจลึกๆ ก็อดคล้อยตามความคิดลูกสาวไม่ได้



ตอนที่วิน ก้มหัวและจูงจักรยานลอดประตูรั้วเหล็กเข้าไปในตัวบ้านนั้น ฝนที่ปรอยลงมาตั้งแต่ตอนหัวค่ำหยุดไปแล้ว แต่ความชื้นหลังฝนตกทำให้กลิ่นดอกโมกหอมฟุ้งมากกว่าทุกวัน


บ้านไม้ทำด้วยไม้ระแนงสีฟ้าเบื้องหน้าดูสดใสด้วยไฟสีนวลจากหลอดไฟตรงบันไดทางขึ้น มีแสงระเรื่อลอดมาจากห้องหนึ่งที่หน้าตาเปิดกว้างออก ม่านลูกไม้พลิ้วไหวไปมาตามแรง


ชายหนุ่มเหลียวมองไปรอบตัวบ้านที่ดกครึ้มไปด้วยต้นไม้สารพันชนิด มีทั้งต้นไม้ใหญ่และเล็ก ซึ่งขณะนี้กำลังส่ายใบไปมาราวกับท่วงทำนอง ประหลาด สอดรับกับเสียงนกกลางคืนบางชนิดได้อย่างกลมกลืน


วินพยายามเงยหน้ามองหาที่มาของเสียงนกเหล่านั้น แต่เมื่อมองลอดผ่านสุมทุมพุ่มไม้ขึ้นไปก็เห็นแต่ดวงดาวกระพริบพราวอยู่บนท้องฟ้า ให้ความงามแปลกตาไปอีกแบบหนึ่ง


ชายหนุ่มจูงจักรยานไปพิงไว้ที่โอ่งน้ำใหญ่ที่อยู่ติดกับกับใต้ถุนบ้านที่ยกพื้นสูง เพื่อใช้เป็นที่เก็บของสารพัดสารพัน และยังมีโต๊ะไม้สีทึมสำหรับใช้นั่งเล่น ทานข้าว และรายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวชะอุ่ม บางกระถางเป็นต้นเฟื่องฟ้าที่เบ่งบาน ออกดอกชูช่อในยามฤดูร้อน


“นั่นวิน หรือลูก…” เสียงหนึ่งดังลอดขึ้นมาตรงบันไดหน้าบ้าน


“ครับ…แม่แก่” เด็กหนุ่มตอบ พลางก้าวเดินไปตามต้นเสียง ร่างของหญิงสูงวัยร่างท้วม หน้ากลม ผมสีดอกเลา ในชุดเสื้อแขนกุด ผ้าถุงลายดอก กำลังค้อมร่างลงตรงบันไดและจ้องมองมา ใบหน้าแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี


“ทานข้าวมาหรือยังละ แม่แก่ทำกับข้าวไว้ให้แน่ะ บนโต๊ะกินข้าวโน่น”


“ยังไม่หิวเลย แม่แก่” วินตอบ แล้วเดินขึ้นบันไดไปตามหลังหญิงสูงวัยขึ้นสู่ชั้นบนของบ้านที่ด้านนอกเป็นห้องกว้าง หน้าต่างไม้เปิดโล่งรับลม มีตู้ไม้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งพิงผนังอยู่ด้านหนึ่ง ภายในตู้เป็นหนังสือเล็กใหญ่วางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เก้าอี้ไม้ยาววางเคียงกับโต๊ะตัวเตี้ยอยู่ใกล้กัน ด้านตรงข้ามเป็นที่ตั้งจอโทรทัศน์ขนาด 21 นิ้ว ที่มีผ้าลูกไม้คลุมเอาไว้ เบื้องบนเหนือโทรทัศน์ขึ้นไป เป็นกรอบรูปชายหญิงคู่หนึ่งยืนเคียงกันอยู่หน้าบ้านหลัง หนึ่ง หญิงสาวในรูปแต่งกายเรียบร้อย เสื้อลูกไม้กระโปรงขาวคลุมเข่า และกำลังโอบเด็กตัวน้อยๆ ไว้ในอ้อมแขน ส่วนผู้ชายผิวคล้ำในเสื้อขาว กางเกงสี กรมท่ากำลังยิ้ม มองเห็นไรฟันลอดออกมา


“แล้วพ่อแก่ละ…”


หญิงสูงวัยส่ายหน้าไปมาอย่างระอาใจ พลางบุ้ยใบ้ไปทางห้องที่ตั้งอยู่เยื้องไป แม้ประตูห้องจะปิดสนิท แต่มีเสียงเบาๆ ลอดออกมา


“นอนฟังวิทยุอยู่นะสิ ฟังแต่การเมืองนั่นแหละ ไม่รู้จะฟังกันไปถึงไหน ข่าวทางหนังสือพิมพ์ก็อ่านอยู่นั่นแหละ ทำให้เครียดเกินไปนะ แม่แก่ว่า”“นี่ๆ…ยายแก่” เสียงหนึ่งดังแผดออกมาจากห้อง


“นินทาอะไรอยู่ ได้ยินนะเฟ้ย”


หญิงสูงวัยสะดุ้งขึ้นเฮือกหนึ่ง พลางเอามือท้าวสะเอว ค้อนประหลักประเหลือกไปยังที่มาของเสียงนั้น พลางเอามือป้องกระซิบกับหลานชาย


“ดูตาฟ้อนนั่นสิ แก่แล้วหูตาไม่ค่อยดี แต่ถ้านินทาเมื่อไหร่ได้ยินชัดแจ๋ว ดูเอาเถอะ”


วิน ส่ายหน้าไปมา ยิ้มบางๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เดินไปนั่งพิงอยู่ตรงบานหน้าต่าง เหม่อมองไปยังท้องฟ้าที่โอบล้อมไปด้วยความมืด และเสียงลมพัด


“คงไปกับหนูเกดมาสินะ…” แม่แก่ถามขึ้น


ชายหนุ่มพยักหน้ารับ


“ไปที่โบสถ์มานะครับ แม่แก่”


แล้วหญิงชราก็พยักหน้ารับ


“หนูเกดนี่เหมือนแม่แกนะ ไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ไม่เคยขาดเลย นี่ถ้า…”


พูดได้แค่นั้นแม่แก่ก็ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง


“เกดเขาลูกแม่นี่ครับ ” ชายหนุ่มบอก


แม่แก่พยักหน้ารับ พลางใช้สายตาอันอ่อนโยนมองมาที่แผ่นหลังของหลานชายซึ่งกำลังพิงร่างกับขอบหน้าต่างๆ มองไปยังฟากฟ้าเบื้องบนอย่างสนใจ


แล้ววินก็หันหน้ามามองแม่แก่ แล้วถามโพล่งขึ้น


“แม่แก่ แล้วผมนี่หน้าตาเหมือนใคร นิสัยด้วย”


“อ้าว…แล้วกัน” หญิงชราอุทานออกมา เมื่อหลานชายเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาอย่างทันควัน


“ลูกก็หน้าตาเหมือนแม่นะสิ ดูจากรูปนั่นเอาสิ” แม่แก่ว่าพลางพยักเพยิดไปยังกรอบรูปบนผนังนั่น โดยมีชายหนุ่มเหลือบตามองตามไป


“นิสัยก็คล้ายกันนะ ใจดี ร่าเริง รักต้นไม้ใบหญ้า…”


“อ้อ แต่เหมือนพ่ออยู่อย่าง คือพูดน้อย ชอบฟังมากกว่าพูด แต่บางทีก็ชอบเก็บความทุกข์เอาไว้กับตัวโดยไม่จำเป็นเลย”


แม่แก่พูดแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ


“เออ-แม่ว่าบางทีลูกนะขี้ใจน้อยเหมือนพ่อ ส่วนผิวนั่นก็ได้เลือดพ่อมาเต็มๆ”


วินทำหน้าตาเหรอหรา เอามือเกาศีรษะแก้อาการขัดเขิน


“ไม่เชื่อเวลาไปเยี่ยมพ่อ เอ๊ย หลวงพ่อที่วัดก็ลองถามดูสิว่าจริงหรือเปล่า บอกว่าแม่แก่ให้ถามก็ได้เอ้า”
ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมา


“ไม่เอาละ ผมแค่อยากรู้”


แม่แก่มองหลานชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ยิ้มละไมบนใบหน้า


“ตามใจเถอะ ว่าแต่ว่าปีนี้ยังไม่ได้ลงไปหาหลวงพ่อเลยนี่ ใช่มั้ย”


“ครับ พอดีช่วงนี้งานเยอะด้วยสิ ”


“แล้วอีกอย่าง…”


ชายหนุ่มถอนหายใจ


“ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างด้วย”


“อ้าว…” แม่แก่ร้องขึ้น


“ก็ยายมุกนะสิ…”


หญิงชราเพ่งมองมาที่หลานชายแล้วถามขึ้น


“อ้อ น้องสาวหนูเกด ใช่มั๊ย”


วินพยักหน้า พลางบ่นอยู่ในใจกับการร้องขอของเด็กสาวรุ่นน้อง ที่มีเรื่องให้ช่วยเหลือไม่เว้นวัน


“ครับ ยายมุกโทรศัพท์มาหลายครั้งแล้ว บอกว่าจะให้ช่วยทำอะไรก็ไม่รู้”


เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน เมื่อมุกดา เด็กสาวรุ่นน้องโทรศัพท์มาหาตอนดึก ในขณะที่ใกล้จะหลับมิหลับแหล่อยู่แล้ว


“พี่วิน นี่มุกนะ”


“รู้แล้ว ดึกๆ ดื่นๆ โทรมาทำไมละมุก ไม่รู้จักหลับนอน”


“โหย-พูดอย่างกะว่าเค้าพิศวาสตัวเองนักนี่ ที่โทรมานี่เพราะมีธุระปะปังให้ช่วยหน่อย”


“ธุระ…”ชายหนุ่มร้องขึ้น


“ทำไมยะ เรื่องแค่นี้ช่วยน้องนุ่งไม่ได้หรือไง ทีกับพี่เกดละ…”


“พอๆ ไม่ต้องไปอ้างคนอื่นเขาหรอก อยากให้ช่วยอะไรก็บอกมา”


วินได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นครั้งหนึ่ง


“อีก 2-3 วัน ไปหามุกที่มหาลัยหน่อยแล้วกัน จะเล่ารายละเอียดให้ฟัง”


ชายหนุ่มได้แต่อือออรับคำไปเท่านั้น


บอกกับตัวเองว่า น้องสาวของเพื่อนคนนี้หาเรื่องยุ่งยากมาให้ทำอีกแล้วละมั๊ง เฮ้อ






“เป็นผู้ชายบ๊องๆ คนหนึ่งนะ”


“แล้วจะได้เรื่องเหรอ มุก”


“ได้สิ ถึงบ๊องไปหน่อยก็พอจะพึ่งพาได้อยู่หรอก”


มุก มองหน้าเพื่อนสาวซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้า ทั้งสองคนอยู่ในชุดนักศึกษา แม้ทั้งคู่จะแต่งหน้าบางๆ แต่ผิวอันเกลี้ยงเกลาขับเน้นความงามแห่งวัยสาวให้ผุดผาดขึ้น ทั้งสองคนนั่งอยู่ทางด้านนอกของร้านกาแฟเก๋ไก๋ที่ตั้งอยู่เยื้องกับที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอันใหญ่โต นักศึกษาชายที่เดินผ่านไปมาบริเวณเหลียว มองทั้งสองสาวอย่างสนอกสนใจ จนแทบจะเดินชนกันเองอยู่หลายครั้ง


“มุก ดูสิ พวกนักศึกษาชายพวกนั้นมองเธอตาเป็นมัน เสน่ห์แรงจริงนะ เพื่อนเรา”


นักศึกษาสาว หัวเราะอย่างเริงร่าตามประสาคนอารมณ์ดี ก่อนส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย พลางใช้มือป้องปากพูดกับคู่สนทนาว่า


“ผิดไปละมั๊ง นีม่า อย่างมุกนี่ถึงสวยก็แค่สวยติ๊งต๊อง ไหนจะเด่นสะดุดตาเท่าสาวสวยแห่งดินแดนเทือกเขาหิมาลัยได้เล่า”


หญิงสาวชื่อนีม่า เอามือตีเผียะครั้งหนึ่งบนหลังมือเพื่อนรักด้วยอาการขัดเขิน


“ชื่อนีม่า ในภาษาของเธอนี่แปลว่า พระอาทิตย์ จริงละหรือ”


“จริงสิ บอกมุกไปหลายครั้งแล้วนี่”


นีม่า พูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ พลางค้อนใส่เพื่อนสาวครั้งหนึ่ง “นีม่า นี่ยิ่งงอนยิ่งสวยนะ ถ้ามุกเป็นผู้ชายจีบไปแล้วนะเนี่ย”


มุก หมายความตามที่พูด พลางเพ่งมองเพื่อนสาวอย่างไม่วางตา หญิงสาวในชุดนักศึกษาที่นั่งอยู่เบื้องหน้ามีเสน่ห์ที่บอกไม่ถูก วงหน้านั้นกลมบ่งบอกถึงความอิ่มเอิบ จมูกโด่งยาว นัยน์ตาดำคมกริบ ส่วนผิวแม้จะไม่ขาวผ่อง แต่ก็เกลี้ยงเกลา สะอาดตา ยิ่งยามผมยาวระต้นคอสะบัดไปมา จนเจ้าตัวต้องใช้มือปัดผมที่เคลียแก้มเป็นครั้งคราว ยิ่งเพิ่มความน่าเอ็นดูมากยิ่งขึ้น


“มองอะไรนะ ทำเป็นเหมือนไม่เคยเห็นเราไปได้” นีม่า ว่าอย่างเขินอาย พลางใช้ช้อนเขี่ยขนมเค้กชิ้นเล็กๆ บนโต๊ะไปมา


“คนแถวนั้นเขาสวยเหมือนนีม่ากันหมดหรือเปล่านะ ชักอิจฉาแฮะ”


“ฮื่อ เอาอีกแล้วมุก” นีม่าร้องเสียงสูง


“นี่ นีม่า มาอยู่ที่นี่กี่ปีแล้วนะ”


“อืมม์ ก็ 4-5 ปีได้แล้วมั๊ง ก็อยู่ตั้งแต่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนี้ก็อยู่ปีสุดท้าย จะรับปริญญาอยู่รอมร่อแล้วนี่”


มุกพยักหน้ารับรู้


“แล้ว ทำไมไม่คบใครเป็นแฟนเลย มาทำตัวติดกับมุกติดเป็นปาท่องโก๋ไปได้”


“อ้าว…”


นีม่า อุทานขึ้น พลางตีมือคู่สนทนาเข้าเผียะหนึ่ง


“มุก ก็เหมือนกัน ไม่คบใครเป็นแฟนเสียที สวยออกอย่างนี้ หรือว่า…”


“แฮ่…” มุกหัวเราะแห้งๆ พลางโบกไม้โบกมือให้เพื่อนสาวเลิกถามต่อเสียที


“เราเคยบอก ไม่ใช่หรือ พอเราเรียนจบแล้ว ก็คงต้องกลับบ้านเสียที แล้วประเทศของเราก็อยู่ไกลจากที่นี่มาก ไม่อยากเอาใจไปผูกกับใครหรอก”มุกพยักหน้าเข้าใจ


“ดัลวา เราเคยได้ยินแต่ชื่อ ไม่เคยไปเหมือนกัน รู้แต่ว่าเป็นดินแดนที่สวยงามมากใช่มั๊ย”


นีม่า พยักหน้ารับ ก่อนจะอุทานออกมาคำหนึ่ง


“คุยกันเพลินเลยเนี่ย แล้วเมื่อไหร่ตาบ๊องของมุกจะมาเสียทีเล่า”


มุกทำตาโต ขมวดคิ้ว แล้วบ่นออกมาว่า


“ตาบ๊องนั่น ไม่ใช่ของมุกนะจ้ะ เป็นเพื่อนสนิทพี่สาวมุกเอง อย่าเข้าใจอะไรผิดไปนะ”


มุกเอามือลูบผมของตัวเองครั้งหนึ่ง


“รออีกนิดเถอะ คงใกล้มาถึงแล้ว ตาจรกานั่น”


“จรกา หรือ?”


มุกหัวเราะอย่างสบอารมณ์ แล้วนินทาคนที่ยังเดินทางมาไม่ถึงด้วยน้ำเสียงกึ่งขัน


“อืมม์ เดี๋ยวเห็นตัวก็รู้เองแหละ นีม่า จรกาตัวดำ ของแท้เชียวนะเพื่อน”


๑๕.๙.๕๒

บทที่ 3 หญิงสาว ชายหนุ่ม และ รถฟักทอง

เสียงออร์แกนลม สอดประสานไปกับเสียงร้องสูงของนักร้องในโบสถ์สีขาวแห่งนั้น ลอดผ่านบานประตูที่แย้มออกมานิดหนึ่ง ทั้งยังมองเห็นคนกลุ่มใหญ่นั่งเรียงรายบนม้านั่งยาวด้วยอาการสงบนิ่ง บางคนคุกเข่าลงกับพื้นแล้วเอามือประสานไว้ที่อก ในขณะที่บาทหลวงสูงวัยที่ยืนอยู่บนพื้นที่ยกสูงขึ้น กำลังสวดมนต์ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แสงจากไฟดวงเล็กดวงน้อยที่เรียงรายอยู่ตามผนังส่องแสงระเรื่อเป็นสีส้มอมเหลือง เพิ่มความขรึมขลังให้โบสถ์แห่งนี้ได้อย่างน่าประหลาด


ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ท่าทางทะมัดทะแมง ในเสื้อยืดสีแดง และกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน ที่ยืนอยู่ทางด้านนอก สอดส่ายตามองผ่านบานประตูโบสถ์ครั้งหนึ่งแล้วจึงหันไปเพ่งมองต้นตะเบบูย่า ที่ยืนเรียงรายเป็นทิวแถวในโรงเรียนฝรั่งที่อยู่ติดกันที่มีรั้วเหล็กกั้นไว้อย่างสนอกสนใจ ตะเบบูยากำลังออกดอกม่วงอมชมพูสะพรั่งดูละลานตาไปหมด


อีกฟากหนึ่งในรั้วโรงเรียน ต้นคูนแตกดอกสีเหลืองเป็นพวงระย้า ก็กำลังพลิ้วไหวไปมาตามแรงลม กลีบดอกเหลืองบางส่วนปลิดปลิวจากขั้วกระจายลงสู่พื้น


“ดอกอะไรนะ สวยจัง” เสียงหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง จนชายหนุ่มต้องหันมามองทางต้นเสียง แล้วรอยยิ้มก็ผุดพรายขึ้น


ใบหน้าของชายหนุ่มเรียวยาว ดวงตาสุกใสเป็นประกาย คิ้วยาวเรียวไปจนจรดหางตา ผมที่สั้นแทบจะเกรียนทำให้ใบหน้าเรียวยาวนั้นดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้นผิวของชายหนุ่มคล้ำสนิทจนเกือบดำ แต่ก็เข้ากันได้ดีกับรอยยิ้มอันแสนเปิดเผย


“ดอกตะเบบูย่าไงเล่า แล้วนั่นก็ราชพฤกษ์ ที่คนอีสานเขาเรียกกันต้นคูน นี่เกดไม่รู้จักหรือไง”


เสียงหัวเราะใสของหญิงสาวดังขึ้นเบาๆ ก่อนจะส่ายศรีษะไปมา


หญิงสาวมีผมยาวสลวยระต้นคอ ผิวขาวกระจ่างราวกับสีชมพู นัยน์ตาเป็นประกาย แฝงแววเริงรื่นอยู่ในนั้น สอดรับกับขนตายาวเป็นแพ ชุดที่หญิงสาวสวมใส่เป็นเสื้อยืดขาวมีดอกไม้ดวงน้อย ดวงใหญ่ ระบายอยู่บางๆ ส่วนกระโปรงยาวสีฟ้า เพิ่มความอิ่มเอิบแห่งวัยสาว ดึงดูดคนที่ทะยอยเดินออกจากโบสถ์ให้มองกันอย่างเหลียวหลัง


“แย่จริงๆ เนอะ เป็นผู้หญิงแท้ๆ แต่ไม่รู้จักดอกไม้ใบหญ้าอะไรกะเขาเลย แต่เกดก็เคยได้ยินว่า ตะเบบูยา มีสีเหลืองนี่ ไม่ใช่หรือ”


ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างระอาใจ


“โธ่เอ๊ย ตะเบบูยา มันก็มีหลายสี หลายพันธุ์ ที่ในรั้วโรงเรียนนั่นเขาเรียกอีกอย่างว่าชมพู่พันธ์ทิพย์ ส่วนสีเหลือง เขาเรียกตะเบบูยาเหลือง หรือเหลืองปรีดิยาธร ถ้าอยากเห็นทางด้านหลังของโบสถ์ก็มี เดี๋ยวจะชี้ให้ดู”


หญิงสาวถอนหายใจ


“สู้ผู้ชายอย่างวินไม่ได้เลยเกดเนี่ย รู้จักดอกไม้ตั้งเยอะแยะ เก่งจัง”


“อย่าชมเลย ” ชายหนุ่มที่ชื่อวินว่าอย่างขัดเขิน พลางพยักเพยิดไปทางประตูโบสถ์ที่กำลังจะปิดลง เมื่อคนทะยอยเดินออกมาเรื่อยๆ


“นั่นแนะ จะกลับกันหมดแล้ว ไปกันหรือยังเรา”


“ฮื่อ” หญิงสาวพยักหน้ารับ แล้วโพล่งถามขึ้น


“แต่นี่ ตั้งใจมารับเกดอย่างนั้นหรือ”


“ฮื่อ”


“ฮื่อ อะไรจ้ะ”


“ก็หมายความตามนั้นแหละ”


เกด เอามือปิดปากแล้วขบหัวเราะ


“โห สงสัยฝนตกแน่วันนี้”


แล้วเสียงเลื่อนลั่นของท้องฟ้าเบื้องบนก็ดังขึ้นมา ทั้งคู่เงยหน้ามองไปยังเบื้องบนพร้อมกัน แล้วก็หัวเราะให้แก่กันอย่างนึกขบขัน


“เนื่องในโอกาสพิเศษอะไรเนี่ย” เกด ถามด้วยน้ำเสียงระรื่น


“ออกรถใหม่ เลยอยากให้เกดนั่งเป็นประเดิม”


หญิงสาวดวงตาพองโต แล้วขบริมฝีปาก


“หา-ดีจังเลย อยู่ไหนละ รีบไปสิ อยากเห็น ดีเหมือนกันฝนกำลังจะตกด้วย”


วินส่ายหน้าไปมา


“ไม่ได้หรอก วิ่งไปวิ่งกลับพอดีฝนตกเปียกกันพอดี แล้วเอ้อ…รถมันไม่มีหลังคาด้วย”


“อ้าว” เกดอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ


“รถไม่มีหลังคา มีด้วยหรือ”


ชายหนุ่มยิ้มแหยๆ พยักหน้าแทนคำตอบ


แล้วฝนก็ปรอยเม็ดลงมา




สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา โบสถ์สีขาวเงียบสงบ ประตูทางเข้าปิดลงแล้ว ชายหญิงคู่เดิมนั่งบนเก้าอี้ยาวหน้าประตูทางเข้าโบสถ์ฝรั่ง เงยหน้าเฝ้ามองฟ้าเบื้องบนที่เป็นสีเทา และมีเสียงเลื่อนลั่นดังขึ้นเป็นครั้งคราว


ข้างม้านั่งยาว เป็นกระถางเฟื่องฟ้าที่กำลังออกดอกสะพรั่ง บางดอกก็ร่วงหล่นอยู่บนพื้นที่เป็นอิฐชุ่มน้ำ ลมพัดแรงจัด จนละอองฝนกระจายเกาะตามใบหน้าและแขนของทั้งสองคนเป็นเกล็ดน้ำใส


“ฝนตกก็ดีเหมือนกัน ร้อนมาหลายวันแล้ว”


“คงงั้นมั๊ง” ชายหนุ่มเออออตามหญิงสาว


“เกดก็ชอบฝนเหมือนกัน แต่ชอบหน้าหนาวมากกว่า”


ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้


“ผู้หญิงส่วนมากก็ชอบหน้าหนาว”


หญิงสาวผินหน้าไปมองด้านข้างของชายหนุ่ม ซึ่งกำลังเก็บดอกร่วงของเฟื่องฟ้ามากองไว้ตรงม้านั่งยาวอย่างเพลิดเพลิน พลางยิ้มน้อยๆ


“ไงละ ชอบหน้าร้อนใช่มั้ยละ”


“ฮื่อ เรานะไม่รังเกียจหน้าร้อนเหมือนคนอื่นเขาหรอก อย่างน้อยดอกไม้ในฤดูร้อนก็ดูสวยดี เวลาที่มันบานตามถนนในกรุงเทพฯนี่เราว่ามีสีสันมากกว่าตอนฤดูหนาวเสียอีก”


หญิงสาวร้องอืมม์อย่างเห็นด้วย ก่อนจะสอดสายตาผ่านไปที่รั้วประตูโบสถ์ ซึ่งทางด้านนอกมีม้านั่งเรียงรายเป็นทิวแถว และมีรูปปั้นนักบุญขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งอยู่ไม่ไกล


“ไหนละ รถนะ หือม์”


ชายหนุ่มหันมาสบตากับหญิงสาว พร้อมกับแยกเขี้ยวเข้าใส่อย่างล้อเลียน


“จอดอยู่หลังโบสถ์โน่นแน่ะ”


“รถไม่มีหลังคาเหรอ เป็นรถเปิดประทุน พวกปอร์เช่อะไรอย่างนั้นหรือ” เกดว่าด้วยน้ำเสียงกึ่งขัน


วินส่ายหน้าไปมา


“ถ้างั้นก็…”


ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างอายๆ


“อย่างที่เกดคิดนั่นแหละ ถูกแล้ว




แดดแจ่มหลังจากฝนซาลงไป ท้องฟ้าเป็นสีเทาแต่ไม่ขุ่นมัวเหมือนชั่วโมงที่ผ่านมา ลมพัดแรง เม็ดฝนปรอยลงมาเป็นละอองยิบ ในขณะที่ผู้คนในซอยเล็กแคบแห่งนั้นเดินกึ่งวิ่งเพื่อหาที่หลบฝน แต่ชายหญิงคู่หนึ่งที่นั่งอยู่บนจักรยานใหม่เอี่ยม สีสดใส ดูจะไม่อนาทรร้อนใจกับละอองฝนที่หล่นมากระทบเท่าใดนัก ยังคงขี่จักรยานอย่างไม่เร่งรีบ บางจังหวะก็จอดนิ่งพากันชี้ชวนกันชมดูดอกชงโคที่กลีบมีทั้งสีม่วง สีชมพู หลังกำแพงสูง ที่เบ่งบานกันอย่างเต็มที่ บางดอกก็ร่วง ปลิดปลิวทิ้งกลีบลงบนทางเท้า


“เมื่อก่อน ตรงนี้เป็นตึกเก่าที่พักอาศัยของพวกซิสเตอร์ที่สอนหนังสือพวกเรา ใช่มั๊ยวิน เกดก็ลืมๆ ไปแล้ว”


“ใช่ แต่ตอนนี้กลายเป็นโรงเรียนอนุบาลไปแล้วละ แต่เราว่าก็ยังดูร่มรื่นเหมือนเดิมนี่นา ถ้าเป็นวันเปิดเทอมคงคึกคักนะ” ชายหนุ่มที่ปั่นจักรยานด้วยอาการเนิบนาบพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย


ซอยแคบเล็กแห่งนั้น แบ่งเป็นสองฝั่ง ฟากหนึ่งเป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ เรียงรายกันเป็นทิวแถว บางหลังก็ปิดประตูหน้าต่างเสียสนิท แต่บางหลังก็เปิดหน้าต่างรับลมฝนที่กระจายความเย็นลงของละอองฝนลงมาสู่พื้นดิน ส่วนอีกฝั่งเป็นกำแพงสูงก่อด้วยอิฐสีแดงที่ชุ่มไปด้วยน้ำ หลังกำแพงเป็นตึกฝรั่งเก่าที่ดูขรึมขลัง เลยไปหน่อยก็เป็นป่าช้าฝรั่งที่ประตูปิดสนิท แต่ยังพอมองเห็นดอกไม้ฤดูร้อนบางชนิดเบ่งบาน ไหวระริกตามแรงลมอยู่


“กี่ปีแล้วนะ ที่เราเรียนจบกันมานี่ วิน” หญิงสาวถามขึ้นอีก


“โอ๊ย เราจำไม่ได้หรอก แต่มันก็นานมาก นานเหลือเกิน แต่ถึงเราจะจบไปนานแล้ว แต่เกด ก็มาที่โบสถ์ทุกสัปดาห์นี่ ไม่ใช่หรือ”


“ใช่ จำแม่นนี่…”


ชายหนุ่มมีสีหน้าชุ่มชื่น ปั่นจักรยานให้เร็วขึ้น พูดโดยไม่หันมามองหญิงสาวที่นั่งซ้อนท้าย


“รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะพาไปรำลึกความหลังก่อนกลับบ้าน”


“แหม รำลึกความหลัง พูดเหมือนคนแก่เลยนะยะ แต่ว่าที่ไหนกันละ”


“ก็ที่สะพานของเรานั่นไง”


วิน พูดด้วยน้ำเสียงเริงรื่น ปั่นจักรยานฝ่าลมแรง และละอองฝนบนซอยเล็กๆ แห่งนั้นด้วยอาการเร่งรีบกว่าเดิม ในขณะที่หญิงสาวที่ซ้อนท้ายหัวเราะเสียงใส เริงร่า ท่ามกลางลมฝนบางเบา




“คู่”


“เราว่าคี่นะ”


ชายหญิงคู่หนึ่งนั่งเถียงกันอยู่ตรงท่าน้ำเล็กๆ ลมพัดรวยรินมาจากแม่น้ำ ฝนหยุดตกแล้ว แดดกำลังแจ่มจ้า และส่องแสงกระทบสายน้ำเป็นประกาย ต้นไม้ต้นเล็กๆ ริมน้ำปลิวไสวไปมา


“นั่นไง มาแล้ว” ชายหนุ่มว่า พลางชี้มือชี้ไม้ไปยังสะพานเหล็กที่วางตัวอยู่เบื้องบนและเชื่อมสองฝั่งแม่น้ำเอาไว้ และขณะนี้มีขบวนรถไฟเปิดหวูด ตามมาด้วยเสียงกึงกังยามวิ่งผ่านรางรถไฟบนสะพานนั้นไปอย่างเชื่องช้า


“หนึ่ง…สอง…สาม…สี่” หญิงสาวหันไปนับตู้รถไฟทีละขบวนอย่างตั้งอกตั้งใจ กระทั่งขบวนรถไฟลับหายไปจากสะพาน ทิ้งแต่เสียงหวูดยาวไว้เบื้องหลัง “เย้ คู่จ้ะ เกดชนะ” หญิงสาวว่าพลางปรบมือ อ้าปากกว้างด้วยความลิงโลด พลางยักคิ้วล้อเลียนชายหนุ่มที่กำลังเอามือเกาศรีษะด้วยสีหน้าปูเลี่ยน


“สนุกดีเนอะ หรือว่าไง” หญิงสาวเอาศอกกระแทกเบาๆเข้าที่ลำตัวชายหนุ่ม


“อืมม์ นึกถึงอดีตตอนเรียน เราสนุกกันมากใช่มั๊ย เกมนับตู้รถไฟเนี่ย”


หญิงสาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะหันร่างมองไปยังด้านหลังของท่าน้ำ ภาพของตึกโรงเรียนกลางเก่ากลางใหม่ปรากฎขึ้นต่อหน้า ก่อนจะถอนหายใจครั้งหนึ่ง


“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้นะวิน เกดอยากกลับไปเป็นนักเรียนอีก เชื่อมั๊ยเกดชอบฝันเห็นตัวเองในชุดนักเรียน แล้วก็นั่งตรงริมหน้าต่างในห้องเรียน คอยนับว่าตู้รถไฟมีกี่ตู้ ฝันบ่อยด้วยละ”


วิน ยิ้มนัยน์ตาเป็นประกาย แล้วเอามือยีหัวของหญิงสาวเบาๆ


“ยายบ๊องเอ๊ย…”


เกด ทำคอย่น แลบลิ้นใส่ชายหนุ่ม


“แล้ววิน จำได้มั๊ย”


“จำอะไรละ มีตั้งหลายเรื่องนี่”


หญิงสาวเอามือกุมที่ไม้กางเขนบนลำคอขาวผ่องแล้วหลับตาลง พลางระบายยิ้มบางเบา


ชายหนุ่มจ้องใบหน้าของคู่สนทนาที่กำลังพริ้มตาลงชั่วขณะ ก่อนพูดออกไปโดยไม่ละสายตาไปมองที่อื่น


“เรื่องโซลเมทไง ใช่มั๊ย”


“อืมม์ เก่งจัง”


หญิงสาวลืมตาขึ้น แล้วหัวเราะ


วิน ถอนหายใจ ในขณะที่แววตาหมองลงนิดหนึ่งจนคู่สนทนาแทบจะสังเกตไม่เห็น


“ความรักแบบลูกหมา…” วินว่าลอยๆ


“แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่สวยงามนะยะเธอ ผู้หญิงส่วนมากต่างก็ฝันถึงโซลเมทของตัวเองทั้งนั้นแหละ ถึงจะยังไม่ได้พบหน้า แต่ก็รู้สึกอบอุ่นที่ได้นึกถึง ตอนนี้เกดมีลางสังหรณ์ว่าเกดจะได้เจอเนื้อคู่ เร็วๆ นี่แหละ จริงๆนะ”


ชายหนุ่มเอามือแตะเขาที่หน้าผากหญิงสาว พลางพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ


“เป็นเอามาก…”


“โธ่…ไม่ให้กำลังใจกันเลยนะ”


ชายหนุ่มหันหน้ามองไปที่แม่น้ำเบื้องหน้าแล้วพูดขึ้น


“เถอะน่า เจ้าชายคงตามหาซินเดอเรลล่าอยู่มั๊ง”


“ใช่ๆ เกดคือนางซิน เออจริงสิ-มีแม่เลี้ยงเหมือนกันด้วย”


“แต่แม่เลี้ยงเกดนะ ใจร้ายเหมือนในนิทานที่ไหน คุณน้าใจดีจะตายไป”


“ฮื่อ…จริงด้วยแหละ” เกดพยักหน้ารับ


“เออจริง ถ้าเกดเป็นนางซิน แล้วเพื่อนเรา เป็นอะไรดีนะ”


ชายหนุ่มหันหน้ากลับมา ส่ายหน้าไปมา


“ไม่รู้เหมือนกัน ”


“เป็นแม่เลี้ยงคงไม่ได้ เป็นนางฟ้าก็ไม่ได้เหมือนกัน ว้า นึกไม่ออกแฮะ”


หญิงสาวส่ายหน้าด้วยจนถ้อยคำ


“เป็นรถฟักทองมั๊ง” วินพูดพร้อมกับยิ้มฝืดๆ


“ต๊าย ช่างคิดนะยะ แล้วไหนละรถฟักทอง” เกดพูดพร้อมกับหัวเราะขัน


วินเอานิ้วชี้เคาะเข้าที่ขมับด้านขวาครั้งหนึ่ง แล้วผายมือไปยังรถจักรยานที่พิงไว้ทางตีนสะพานของท่าน้ำด้วยอาการเชื้อเชิญ


“เชิญครับ ซินเดอเรลล่า”


เกด สบตากับวินครั้งหนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นหัวเราะ


“แหม คิดไปได้ เป็นรถฟักทองนะ โอมเพี้ยง ขอให้เป็นจริงเถิด สาธุ” หญิงสาวว่าด้วยน้ำเสียงขี้เล่น พลางยกมือขึ้นไหว้ไปทางแม่น้ำเบื้องหน้าด้วยอาการล้อเลียน


“แล้วกัน…”


วินครางออกมา


“ไปกันเถอะ เดี๋ยวรถฟักทองจะพาซินเดอเรลล่ากลับถึงบ้านเลยละ”


เกดหัวเราะอย่างนึกขัน


“โธ่ ขำตายละ…”

๘.๙.๕๒

ตอนที่ 2-คำขอของลามะ

ห้องยาวนั้นเปิดโล่ง ในขณะที่บานหน้าต่างทุกด้านเปิดกว้าง ปล่อยให้แสงสว่างสาดจ้าครอบคลุมไปทั่วบริเวณ และยังอวลไปด้วยกลิ่นกำยานหอมประหลาด กลิ่นธูป สิ่งที่เพิ่มความสดใสให้กับห้องยาวก็คือ ธงผ้าหลากลวดลาย ที่แขวนระโยงระยางและกำลังโบกสะบัดไปมาตามแรงลม ในขณะที่ผนังห้องด้านหนึ่งมีรูปเขียนบนผ้าแพรผืนใหญ่แขวนอยู่ ภาพวาดนั้นเป็นรูปยักษ์หน้าตาขึงขังโอบล้อเกวียนไว้ ภายในวงล้อแบ่งเป็นชั้นนอก ชั้นใน ปรากฎรูปของสัตว์หลายชนิดทั้งไก่ งู หมู คน ในอิริยาบถต่างๆ ดูเหมือนเป็นนิทานปริศนาธรรม ที่มีความหมายอันลึกซึ้ง




นอกเหนือไปจากรูปเขียนบนผ้าผืนใหญ่แล้ว ผนังห้องด้านอื่นก็มีรูปเขียนขนาดใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แขวนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ รูปเขียนเหล่านั้นมีทั้ง รูปดอกบัว ปลา หีบสมบัติ หอยสังข์ ที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ และมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างประหลาด



แต่สีสัน ลวดลาย ที่ถูกประดับประดาอยู่แทบทุกพื้นที่ของห้อง ก็ยังไม่สะดุดตาเท่ากับร่างหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพรมแดงบนพื้นที่ยกสูงขึ้นมา



ร่างนั้นเป็นชายชราร่างผอมบาง ศรีษะโล้นเกลี้ยง สวมเสื้อคลุมสีเหลือง ใบหน้าของชายชราเรียวยาวดั่งรูปไข่ จมูกใหญ่ หูกางออก นัยน์ตาทั้งสองข้างปิดสนิท



แต่ริมฝีปากบางคู่นั้นกำลังแย้มยิ้ม อันบ่งบอกว่า รับรู้กับสภาพทุกอย่างในห้องได้เป็นอย่างดี
ไม่ช้าก็มีเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาสองคู่ก้าวเข้ามาในห้อง



“มากันแล้วหรือ กษัตริย์แห่งดัลวา และรัชทายาท” เสียงอันอ่อนโยนนั้น ผ่านออกมาจากริมฝีปากบางอันได้รูปของชายชราบนพรมแดง ซึ่งในขณะนี้หาได้ลืมตาตื่นขึ้นแต่อย่างใดไม่



“ท่านอาจารย์ ริมโปเช โลซัง” กษัติรย์เดเช็น เสด็จประทับเข้ามาใกล้ก่อนทรุดพระวรกายลงคำนับลามะที่นั่งสงบนิ่งอยู่ด้วยอาการเคารพ โดยมีเจ้าชายโดร์เช รัชทายาททรุดพระองค์ลงข้างๆ



“ไม่ได้พบกันนานแล้วสินะ” ริมโปเช โลซัง กล่าวในขณะที่ลืมตาขึ้นมอง 2 บิดา-บุตร ผู้เป็นเหนือหัวแห่งดาร์ลัม และยิ้มอย่างเปิดเผย



“ข้ามีเรื่องจะปรึกษา”



“อืมม์…ข้าทราบแล้ว”



กษัตริย์เดเช็น หันไปสบพระเนตรกับรัชทายาทแห่งดัลวา ครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้ตรัสอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว



“คงเป็นเรื่องของเจ้าชายกระมัง…”



“ใช่แล้ว ท่านอาจารย์” ลามะชราถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง พลางใช้สายตามองรัชทายาทหนุ่มแห่งดัลวาอย่างเพ่งพินิจ



“ว่าไปแล้ว ข้าไม่แน่ใจนักว่าควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยดีหรือไม่”



“แต่ว่า…”ประมุขแห่งดัลวาทรงทักท้วงขึ้น ส่วนเจ้าชายได้แต่สงบนิ่ง สายตาจับจ้องอยู่ที่ลามะเบื้องหน้า



ริมโปเช โลซัง พยักหน้าครั้งหนึ่งแล้วจึงตอบ



“นับตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท เจ้าชายทรงมีพระจริยวัตรงดงาม เพียบพร้อม ช่วยเหลือกิจการของกษัตรย์เดเช็นได้ไม่น้อยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็นที่รักใคร่ของอาณาประชาราษฎร์ ทรงเป็นอนาคตของดัลวาอย่างไม่ต้องสงสัย”



ลามะชราหลับตาลง เอามือสองข้างวางหงายไว้บนตัก เอ่ยต่อโดยไม่ลืมตาขึ้น



“แต่พวกเราก็ไม่ควรคาดหวังในตัวเจ้าชายให้มากจนเกินไปนัก ถึงจะเป็นรัชทายาทแห่งดัลวา พระองค์ก็เป็นแค่ชายหนุ่มคนหนึ่ง เป็นชายหนุ่มที่มีเลือดเนื้อ มีความปรารถนาเหมือนปุถุชนทั่วไป”



“โดยเฉพาะเรื่องความรัก ที่เจ้าชายควรจะมีสิทธิ์เลือกเอง” ผู้นำแห่งจิตวิญญานแห่งดัลวาทอดน้ำเสียงยาว และลืมตาขึ้นมองมาที่เจ้าชาย



ความอึดอัดแผ่ซ่านไปทั่วห้องกว้างที่เปิดโล่ง ในขณะที่กลิ่นกำยาน กลิ่นธูปหอมลอยวนไปทั่ว



“ท่านอาจารย์ ข้าเองก็เข้าใจ แต่หญิงงามในดัลวาก็มีอยู่มากมาย แต่องค์รัชทายาทกลับต้องการตามหาหญิงสาวในดินแดนห่างไกลผู้หนึ่ง ที่ไม่รู้ว่ายังมีตัวตนอีกหรือไม่ และแทบไม่เคยมีความผูกใดๆ ต่อกัน”



“แล้วก็…” เหนือหัวแห่งดัลวาตรัสค้างไว้แค่นั้น แล้วทอดพระเนตรไปยังราชโอรสที่นั่งนิ่งอยู่



“เหตุการณ์ก็ผ่านมานานหลายปี แล้วทำไม…”



“ฟังข้าก่อนเถิด” ลามะชรากล่าวขัดขึ้น แต่แฝงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน



“ชีวิตคือการเรียนรู้ และความรู้คือสิ่งที่เปิดประตูแห่งชีวิต เป็นการเปิดประตูจากความโง่เขลา ที่น่าประหลาดก็คือจิตใจของมนุษย์เราก็ชอบที่จะแฝงอยู่กับความโง่เขลาเสมอ มันทำให้ประตูแห่งชีวิตต้องปิดลง แต่สำหรับบางคนแล้ว มีเพียงความรักเท่านั้นที่จะเปิดประตูออกมาได้”



“ความรักและหัวใจ อย่างนั้นหรือ” กษัติรย์เดเช็น ตรัสถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา



ริมโปเช โลซัง พยักหน้ารับ



“บางทีพระองค์อาจจะลืมความรู้สึกนั้นไปแล้วกระมัง ดอกไม้บานยังไงเล่า”



ประมุขแห่งดัลวา เงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรลามะ



“ดอกไม้เกิด เติบโต แล้วก็เบิกบาน กำจายกลิ่นเพียงชั่วครู่ จากนั้นกลีบก็จะร่วงลงพื้น แล้วก็อำลาโลกนี้ไป แต่มันก็ยังงดงามอยู่ในความรู้สึกของเราเสมอ ความรักก็เช่นกัน”



“ใช่หรือไม่ เจ้าชาย” น้ำเสียงของลามะแฝงความรู้สึกบางอย่าง จนทำให้รัชทายาทหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นทอดพระเนตรลามะชรา



กษัตริย์เดเช็น ทรงนิ่งไปพักใหญ่หลังจากรับฟังคำกล่าวของผู้นำจิตวิญญานแห่งดัลวา ก่อนตรัสด้วยน้ำเสียงที่เครียดขึ้นกว่าเดิม



“อาจารย์ โปรดชี้ทางสว่างในเรื่องนี้ด้วย”



ริมโปเช โลซัง ยิ้มที่ริมฝีปาก



“ความรักที่บอกเล่าได้ ย่อมไม่ใช่ความรัก”



“ถ้าอย่างนั้น…”



“ขอโอกาสให้เจ้าชายสักครั้ง ข้าเชื่อว่าเจ้าชายโดร์เชจะทรงรู้ว่าต้องปฎิบัติตนอย่างไร ไม่ให้เป็นที่ผิดหวังของทุกคน”



ประมุขแห่งดัลวาทอดพระเนตรไปยังรัชทายาทหนุ่ม พลางพยักหน้ารับคำขอของลามะชรา
ส่วนเจ้าชายโดร์เช แม้จะไม่ได้ตรัสอะไรออกมา แต่พระเนตรที่เป็นประกาย และพระโอษฐ์ที่แย้มขึ้นน้อยๆ ก็บ่งบอกความหมายบางอย่างออกมา



ริมโปเชเฒ่า พยักหน้าอย่างพออกพอใจแล้วหลับตาลงอีกครั้ง




แสงจากพระอาทิตย์เบื้องบนอ่อนแรงลงมากแล้ว แต่ก็ยังส่องประกายงดงาม โดยเฉพาะเมื่อมองจากลานกว้างในอารามเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนชะง่อนผาสูง ท่ามกลางแมกไม้เขียวชะอุ่ม ก่อให้เกิดความรู้สึกชุ่มชื้น



ร่างสูงสง่าของเจ้าชายโดร์เช ประทับนิ่ง พระเนตรทอดไปยังรังสีสุดท้ายของพระอาทิตย์ที่ใกล้จะลับเหลี่ยมเขาไปทุกขณะ พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ



“มีอะไรที่ทรงหนักพระทัยอีกหรือ” คุรุเฒ่าที่ยืนสงบอยู่ทางเบื้องหลังถามขึ้น



“ท่านลามะ จิตใจข้าไม่สงบเลย ข้าได้ทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ”



“ไม่มีใครบอกได้หรอก”



เจ้าชายหนุ่มหันพระวรกายมา พลางใช้พระหัตถ์ลูบคลำลูกประคำที่แขวนไว้บนลำพระศอ พลางตรัสขึ้น



“ข้าเรียนรู้เรื่องการสวดมนต์กำหนดวาระแห่งจิตผ่านลูกประคำเส้นนี้มาตั้งแต่เยาว์วัย แต่ดูเหมือนข้าจะไม่สามารถที่จะควบคุมจิตใจตัวเองให้ก้าวผ่านห้วงทุกข์หนนี้ไปได้เลย”



ริมโปเชเฒ่า ส่ายหน้าไปมา



“ความรู้สึกบางอย่างหากเราไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเองแล้ว สิ่งที่จะได้พบก็คือความว่างเปล่าเท่านั้น ความทุกข์ของเจ้าชายก็เพราะความเปล่ากลวงที่ว่านั่นเอง อย่าได้ร้อนใจอะไรไปเลย”



รัชทายาทแห่งดัลวานิ่งไปคำกล่าวนั้น



“เจ้าชาย ต้องเข้าใจว่า ความจริงมิอาจแสดงตัวออกมาได้ถ้าไม่มีประสบการณ์โดยตรง ความหมายแท้จริงที่พระองค์ตามหาอยู่ จะพบก็ต่อเมื่อ ได้เรียนรู้ สัมผัส มีประสบการณ์ ต้องรู้ด้วยตัวเอง ไม่มีทางเลือกอื่น”



“ท่านอาจารย์หมายถึง ความรัก อย่างนั้นหรือ” รัชทายาทหนุ่มถาม



ริมโปเช เป็นฝ่ายถอนหายใจออกมาบ้าง



“ข้อนั้นข้าเองก็ไม่ทราบ บางทีถ้าเจ้าชายตามตัวเจอผู้หญิงคนนั้น อาจจะได้คำตอบกระมัง”



เจ้าชายโดร์เช ทรงนิ่งไปชั่วครู่ แล้วตรัสขึ้น “อวยพรให้ข้าด้วย ท่านลามะ”



ลามะเฒ่า หัวเราะออกมาเบาๆ หลับตาลง แล้วใช้มือกุมที่ลูกประคำที่ห้อยอยู่ พลางพึมพำเสียงดังในลำคอ ก่อนจะเดินจากไปอย่างช้าๆ



รัชทายาทหนุ่ม ทอดพระเนตรไปยังเทือกเขาสูงเบื้องไกลที่กำลังถูกอาบไล้ด้วยแสงตะวัน ในขณะที่พระเนตรแฝงไปด้วยความกังวล




ดึกมากแล้ว แสงจันทร์ทอดเป็นลำยาวผ่านกรอบหน้าต่างลายงดงามของท้องพระโรง ก่อนจะสาดแสงสีนวลไปทั่วบริเวณ คลอบคลุมร่างหนึ่งที่คุกเข่าอยู่กับพื้น



“มูตา”



พระสุรเสียงอันทรงอำนาจของบุรุษที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตรัสกับชายร่างท้วมที่นั่งค้อมหลังอยู่



“พระเจ้าข้า”



มูตา กล่าวด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา พลางเงยหน้าขึ้นสบตากับเหนือหัวแห่งดัลวาด้วยอาการสั่นระริกไปทั้งร่าง ในขณะที่ขมับสองข้างมีเหงื่อแตกพลั่กๆ ไหลโซมออกมา



“เจ้า มีส่วนรู้เห็นต่อแผนการณ์ของเจ้าชายโดร์เชมาตั้งแต่ต้นด้วยหรือไม่”



“นี่…ข้าพระองค์” คนสนิทของรัชทายาทดัลวา กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นระริก ไหล่สองข้างลู่ลง คอตก





กษัตริย์เดเช็น ทรงพระสรวลเมื่อเห็นอาการตื่นเต้นของมูตา



“อย่ากลัวไปนักเลย ข้าไม่คิดทำอะไรเจ้าหรอก ถึงอย่างไรความก็แตกไปแล้วนี่ ใช่มั๊ยเล่า”



มูตาสะดุ้งขึ้นเฮือกหนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับ



“เอาเป็นว่า ข้าไม่ขัดขวางองค์ชายกับเจ้าก็แล้วกัน แต่ขอให้ครั้งนี้เป็นหนสุดท้าย”



“แล้วก็…”



คนสนิทของเจ้าชายโดร์เชเงยหน้าขึ้น รอฟังคำตรัสของเจ้าเหนือหัวแห่งดัลวา ด้วยท่าทีมึนงง



“จำไว้ว่า การเดินทางไปครั้งนี้ต้องเป็นความลับ อย่าแสดงตัวให้ใครรู้ว่าเจ้าและองค์ชายมีฐานะอะไร และเจ้าต้องดูแลองค์ชายเป็นอย่างดี อย่าให้มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด”



“ทราบแล้ว พระเจ้าข้า” มูตาทูลเบาๆ



กษัตริย์เดเช็น ถอนพระทัยครั้งหนึ่ง แล้วจึงตรัสต่อ



“ความจริงแล้ว ข้าไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่องค์ชายกระทำอยู่ แต่เอาเถอะ-เมื่อท่านริมโปเช โลซัง เห็นชอบด้วย ข้าก็ไม่ขัดละ”



“ท่านลามะ รับทราบเรื่องนี้ด้วยหรือพระเจ้าข้า”



เหนือหัวแห่งดัลวาพยักพระพักตร์



“ท่านลามะ บอกกับข้าว่า การเดินทางหนนี้ จะทำให้องค์ชายเรียนรู้และเติบใหญ่ขึ้น ข้าก็อยากให้เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เจ้าก็ด้วยใช่มั๊ย”



มูตา ก้มศรีษะรับคำ



“น้องสาวข้าพระองค์เรียนหนังสืออยู่ที่นั่น คงจะช่วยเหลือได้อีกแรง พระเจ้าข้า”



“จำไว้ว่า พวกเจ้ามีเวลาไม่มากนัก”



เหนือหัวแห่งดัลวาตรัสแล้ว ก็ถอนพระทัยออกมาครั้งหนึ่ง แล้วพระเนตรก็ปิดลง ในขณะที่คนสนิทของเจ้าชายโดร์เช นั่งนิ่ง ไม่รู้จะทูลตอบอย่างไรดี




“มูตา พระบิดารับทราบว่าอย่างไรบ้าง”



“รับสั่งเรื่องการเดินทางขององค์ชาย ทรงห่วงความปลอดภัย แล้วก็ตรัสว่า พวกเรามีเวลาไม่มากนัก”



มูตา ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่



“แล้วก็พูดถึงคำกล่าวของท่านลามะด้วย”



“อย่างนั้นหรือ…” เจ้าชายโดรเช ตรัสถามขึ้น หันพระพักตร์มาคนสนิทที่ค้อมตัวลงทูล ท่ามกลางเสียงลมหวีดหวิวของเนินทรายแห่งนั้น



“ท่านลามะกล่าวกับพระบิดาว่าอย่างไรบ้าง”



“ก็บอกว่า การเดินทางครั้งนี้จะทำให้พระองค์เติบโต แข็งแกร่งขึ้น พูดเหมือนกับรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างนั้นแหละ” มูตา ว่าเสียงละห้อย พลางเอามือปัดเม็ดทรายที่ปลิวมาเกาะติดตามเสื้ออยู่เป็นพัลวัน



“ริมโปเช โลซัง คือผู้นำด้านจิตวิญญานของดัลวา อย่าลืมสิ ท่านอาจเห็นสิ่งที่พวกเราไม่เคยสัมผัสก็ได้”



“อ้าว ถ้าอย่างนั้น ท่านลามะ ก็น่าจะบอกว่า มีอะไรรอเราอยู่ที่นั่นบ้าง” มูตาส่งเสียงท้วงขึ้นมา



เจ้าชายโดร์เช ทรงใช้พระหัตถ์แตะเข้าที่ไหล่คนสนิทครั้งหนึ่ง



“มูตา ความลี้ลับบางอย่างเราก็ต้องสัมผัสด้วยตนเอง มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยคำอธิบายใดๆ ได้หรอก เราต้องเดินทางค้นหาความลี้ลับนั้นเอง เราต้องหลอมละลายตัวเองเพื่อตามหาสิ่งนั้น เข้าใจหรือไม่”



คนสนิทของรัชทายาทแห่งดัลวาพยักหน้าช้าๆ





“มูตา เจ้าเตรียมตัวเก็บข้าวของเพื่อเตรียมออกเดินทางเถอะ ข้าสังหรณ์ใจว่าครั้งนี้เราจะไม่สูญเปล่า”



ตรัสเสร็จแล้ว รัชทายาทแห่งดัลวาก็เงยพระพักตร์เหม่อมองไปยังฟากฟ้าเบื้องบน ที่ดารดาษไปด้วยดวงดาวน้อยใหญ่



“ข้าเชื่อว่า ครั้งนี้ข้าจะได้พบนางแน่ เชื่อเถอะมูตา”



คนสนิทของรัชทายาทดัลวาเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าเบื้องบน ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง แล้วจึงส่ายหน้าไปมา



ในขณะที่เจ้าชายโดร์เชเงียบงัน ท่ามกลางความมืด และเสียงลมอู้ บนเนินทรายแห่งนั้น

๒.๙.๕๒

ตอนที่ 1-รัชทายาทแห่งดัลวา

ท้องฟ้ามืด แต่ก็ยังไม่ถือว่ามืดไปเสียทีเดียวนัก ยังมีดาวบางดวงส่องประกายวิบวับพอให้เห็นบ้าง ในขณะที่บนเนินทรายแห่งนั้น มีลมอ่อนๆ โชยมา สลับกับเสียงร้องของสัตว์กลางคืนบางชนิด



นานแล้วที่ชายหนุ่มบนหลังม้าสงบนิ่งอยู่ มีก็แต่อาการขยับบังเหียนม้าในมืออยู่ไปมา บางครั้งก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ในขณะที่ดวงตามองไปยังท้องฟ้าเบื้องบน จ้องไปยังดาวดวงหนึ่งที่ส่องประกายงดงามกว่าดาวประกายพรึกอย่างสนอกสนใจ ไม่นำพากับเสียงตะโกนเรียกของชายร่างท้วมที่ยืนค้อมหลังอยู่บนผืนทราย ในขณะที่อีกมือหนึ่งถือบังเหียนม้าของตัวเองเอาไว้หลวมๆ



“เจ้าชาย รีบเสด็จเถิด พระบิดาขององค์ชายทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า มีเรื่องด่วน”



“อีกนิดเถิดน่า ข้าอยากมองดาวนั่นให้เต็มตาเสียก่อน” เสียงนุ่มทุ้มดังกังวานขึ้นจากปากอันได้รูป ในขณะที่ร่างอันงามสง่าบนหลังม้านั่นหันมาทางชายร่างท้วมที่กำลังส่ายหน้าไปมาด้วยอาการกระสับกระส่าย



ร่างสูงใหญ่บนม้านั่นอยู่ในชุดสีเทาเนื้อดี และมีเสื้อคลุมสั้นสีแดงดั่งเลือดนกสวมทับไว้อีกชั้น แต่ที่น่าดึงดูดใจมากที่สุดก็คือ ใบหน้าสี่เหลี่ยมอันได้รูป ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า สอดรับกับจมูกโด่ง และจอนยาวใกล้ใบหูให้ความรู้สึกแปลกตา ผมยาวสลวยถูกรวบไว้อย่างเป็นระเบียบ ส่วนรอยยิ้มน้อยๆ นั่นเล่าก็ช่างเปิดเผย บ่งบอกอารมณ์ขบขันยามเห็นอากัปกิริยาของคนที่สนทนาด้วย



“เจ้าชาย อย่าทำเป็นเล่นไปหน่อยเลย ตกค่ำอย่างนี้ถ้าไม่มีเรื่องด่วน คงไม่ทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าอย่างนี้หรอก” ชายร่างท้วมร้องออกมาอีก



“มูตา ใจเย็นไว้ก่อนเถิด หายใจยาวๆ แล้วมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบนโน่น แล้วบอกข้าสิเจ้าเห็นอะไร” ชายหนุ่มบนหลังม้าพูดพลางหัวเราะออกมา



ชายชื่อมูตาอือออรับคำ แล้วมองไปยังฟ้าเบื้องบนชั่วขณะหนึ่ง จากจุดที่ยืนอยู่จะพบแต่เทือกเขาใหญ่น้อยเรียงรายสุดลูกหูลูกตา ดูคล้ายมังกรกำลังเคลื่อนตัวไปมา แม้ความมืดของราตรีจะเข้าบดบัง แต่ยังพอเห็นสีขาวของปุยหิมะสว่างโพลนปกคลุมอยู่บนยอดเขา เป็นทิวทัศน์ที่งดงาม แปลกตาอย่างยิ่ง



“จะเห็นอะไรได้เล่า เห็นความมืด เห็นดาวบางดวง แล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไร…” ชายร่างท้วมพึมพำพลางส่ายหน้าไปมา ละสายตาจากฟ้าที่มีดาวพรายพร่างหลังจากใช้เวลาเฝ้ามองชั่วอึดใจ แล้วหันไปขมวดคิ้วใส่คนบนหลังม้า



“ตั้งใจดูหน่อยสิ มูตา”



“ไม่เลยพะยะค่ะ เจ้าชาย ข้าเห็นเพียงแค่นั้น”



ชายหนุ่มที่ถูกเรียกขานว่าเจ้าชายทรงพระสรวลออกมาเบาๆ แล้วกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า



“มูตาเอ๋ย มูตา เจ้าไม่เห็นดวงดาวของเจ้าหรอกหรือ”



มูตา จะทำอะไรได้เล่านอกจากยกมือเกาศรีษะตัวเองอย่างหงุดหงิดใจ ส่ายหน้าไปมาด้วยอาการมึนงง
ร่างสูงโปร่งอันได้รูปส่งร่างตัวเองลงจากหลังม้าด้วยอาการแคล่วคล่อง แล้วยืนอยู่บนผืนเนินทรายแห่งนั้นด้วยการยืนกอดอก ส่วนดวงตายังไม่ละไปจากฟากฟ้าเบื้องบนนั่น



“มูตา เจ้าดูดวงดาวเหล่านั้นสิ ถึงแม้จะยังไม่มีกระจายอยู่เต็มท้องฟ้าเหมือนทุกคืน แต่มันก็มีจำนวนมากมายเหลือเกิน แต่รู้มั๊ย-ทุกครั้งที่ข้าจ้องมองไปบนนั้น ข้ามองไปที่ดาวดวงนั้นเพียงดวงเดียวเท่านั้น ไม่เคยเหลียวแลดาวนับพันนับหมื่นนั่นเลย”



กล่าวเสร็จ ชายหนุ่มก็ยกนิ้วชี้ไปที่ดาวเล็กๆ ดวงหนึ่งที่สว่างเจิดจ้า โดยมีสายตาของมูตามองตามไป



“ ท่ามกลางดวงดาวนับหมื่นนับพันบนฟากฟ้านั่น มันจะมีดาวอยู่เพียงดวงเดียวเท่านั้นหรอกที่เจ้าใฝ่หา หลงใหล อยากครอบครอง และส่องประกายเพื่อเจ้าเสมอมา ”



“ดาวดวงนั้น …อะไรกัน” มูตา พูดพลางถอนใจออกมา



“ดวงดาวขององค์ชายหรือนั่น ไม่เห็นจะสวยอะไรเลย และมันก็ไม่แตกต่างกับดาวดวงอื่นเลยแม้แต่น้อย”



“ต่างสิ-ต่างอย่างมากด้วย เจ้าต้องรู้จักสังเกตเอาเอง ข้าเชื่อว่าเจ้าก็มีดวงดาวของตัวเองเหมือนกัน เพียงแต่เจ้านะไม่เคยใส่ใจเท่านั้น ถึงได้เป็นโสดอยู่จนป่านนี้ไง”



“เจ้าชาย-พูดอะไรอย่างนั้น ดวงดาวกับความเป็นโสด เกี่ยวกันด้วยหรือ แล้วดาวขององค์ชายมีชื่อว่าอะไรละ”



ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมา



“ไม่รู้เหมือนกัน ข้าไม่ใช่นักดาราศาสตร์นี่ ข้ามองเพราะชอบประกายอันเจิดจ้าของมันแค่นั้น รู้แต่ว่ามันเป็นดวงดาวของข้าก็เพียงพอแล้ว ไปเถอะ มูตา พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก”



พูดตัดบทแล้ว ชายหนุ่มก็กระโจนขึ้นม้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว โดยมีมูตา ตาลีตาเหลือกกระโจนขึ้นม้าของตัวเองแทบไม่ทัน



ชั่วอึดใจ ชาย 2 คนก็หายไปจากเนินทรายแห่งนั้น ทิ้งไว้ก็แต่ท้องฟ้าอันมืดมิด อ้างว้าง และแสงกระพริบพรายของดาวบนฟ้านั่น

พระราชวังแห่งนั้นตั้งอยู่บนไหล่ผา แม้แสงแห่งราตรีจะแผ่ขยายเต็มท้องฟ้า แต่ก็ไม่อาจบดบังความงดงามของพระราชวังสีขาวได้ รูปทรงแบบป้อมปราการสูงให้บรรยากาศถึงความขรึมขลัง ในขณะที่หอคอยคู่สูงเสียดฟ้าช่วยขับเน้นความสง่างาม เมื่อผนวกเข้ากับเงาทะมึนของยอดเขาสูงเสียดฟ้าที่ผงาดง้ำเป็นฉากหลัง ยิ่งก่อให้เกิดความยิ่งใหญ่และงดงามของราชวังสีขาวแห่งนี้



เสียงม้าตัวหนึ่งวิ่งห้อเหยียดฝ่าความมืด ทะยานผ่านกำแพงสูงของพระราชวังด้านหน้าด้วยความเร็วปานลมพัด ในขณะที่ทหารยามด้านหน้าได้แต่มองตามไป ก่อนจะหันกลับมายืนในอิริยาบถเดิม สีหน้าสงบนิ่ง ไร้ความรู้สึก ราวกับคุ้นเคยร่างบนม้านั่นเป็นอย่างดี



เมื่อมองตามร่างบนม้านั่นต่อไป จะเห็นชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งควบม้าทะยานผ่านกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่า ก่อนจะรั้งบังเหียนม้าในมือเพื่อชะลอความเร็วลง เมื่อมองเห็นตำหนักสีขาวตั้งตระหง่านทางเบื้องหน้า ก่อนจะหยุดเทียบม้า พลางยื่นบังเหียนในมือให้กับทหารยามผู้หนึ่งในชุดอันทะมัดทะแมง ที่ก้าวเข้ามาหา



ชายหนุ่มก้าวลงจากหลังม้า พยักหน้าให้ทหารยามด้วยอาการคุ้นเคย ก่อนจะสูดลมหายใจยาวครั้งหนึ่ง แล้วจึงก้าวเท้าไปทางตำหนักสีขาวเบื้องหน้า โดยมีทหารในชุดพื้นเมืองที่ยืนเรียงรายน้อมหัวคำนับด้วยอาการสงบ



ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก้าวเดินกึ่งวิ่งผ่านทางเดินที่ทอดยาว จนมายืนหยุดอยู่ที่ประตูลายงดงาม เมื่อเงยหน้าขึ้นไปจะเห็นรูปมังกรสองตัวสลักเป็นลายนูนอยู่บนแผ่นไม้ที่วางตัวอยู่เหนือประตู ให้ความรู้สึกที่ขึงขัง น่ายำเกรง



เมื่อก้าวผ่านประตูนั้นไปแล้ว ท้องพระโรงอันวิจิตรงดงามจึงปรากฎต่อสายตา บนฝาผนังทุกด้านของห้องเต็มไปด้วยภาพวาดอันงดงาม เป็นภาพรูปดอกบัวสีทองอันเปล่งปลั่ง ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง เรียงรายอยู่โดยรอบ ก่อให้เกิดความรู้สึกสงบเย็น พร้อมกันนั้นกลิ่นหอมอันประหลาดของดอกไม้บางชนิดก็อวลไปทั่วท้องพระโรง



ชายหนุ่มไม่แสดงอาการใดออกมา ใบหน้านั้นเคร่งขรึม ในขณะที่นัยน์ตาดำขลับ เป็นประกายงดงาม จ้องมองไปที่ร่างหนึ่งที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนบัลลังก์ทองเบื้องหน้า



ร่างนั้นอยู่ในชุดยาวกรอมเท้าซึ่งทำจากผ้าฝ้ายเนื้อดี ถ้าสังเกตชุดยาวนั้นให้ดีจะเห็นลวดลายเป็นรูปดาวดวงเล็กดวงน้อย สีแดงบ้าง สีเหลืองบ้าง แต่งแต้มอยู่บนพื้นหลังสีน้ำตาล และมีผ้าคลุมสีเหลืองสดใสคล้องไว้ที่ไหล่ขวา ส่วนหมวกผ้าบนศีรษะที่เป็นสีแดงเข้มดั่งเลือดนก กำลังขยับขึ้นลงไปมา เพราะเจ้าของร่างกำลังให้ความสนใจกับการเพ่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งในมือ ดูคล้ายจะไม่รับรู้การมาถึงของคนที่ยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้านั่นเลย



“พระบิดา” ชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึงร้องออกไปคำหนึ่ง ด้วยน้ำเสียงกังวาน



ร่างบนบัลลังก์ พยักหน้ารับรู้ครั้งหนึ่ง แต่สายตาทั้งคู่ยังเพ่งอ่านหนังสือในมืออย่างสนใจต่อไป



“นั่งสิ…ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า” เสียงอันทรงอำนาจดังขึ้น พลางผายมือให้กับชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ลายทองที่ตั้งลดหลั่นอยู่ใกล้บัลลังก์ทองนั่น



“โดร์เช เจ้ารู้มั๊ยนี่คือหนังสืออะไร” เสียงบนบัลลังก์ทองกังวานขึ้นมาอีกหลังจากความเงียบแผ่เข้าปกคลุมท้องพระโรง





“ไม่ทราบ พระบิดา”



เมื่อพระบิดาของโดร์เช หยัดร่างตัวเองขึ้นจากบัลลังก์ทอง จึงได้เห็นว่าร่างนั้นสูงใหญ่ งามสง่า แผ่นอกผึ่งผาย ไหล่กว้าง ใบหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม คิ้วเข้ม และดวงตาทั้งสองเจิดจ้า ช่วยขับเน้นประกายบางอย่างออกมา



จะว่าไปแล้ว ทั้งหน้าตา รูปร่าง และบุคคลิกอันน่าเกรงขามของชายสองวัยแทบจะถอดแบบออกมาไม่ผิดเพี้ยน ต่างกันไปก็แต่ริ้วรอยใบใบหน้าที่บ่งบอกวัยอันแตกต่างของทั้งสองออกมาอย่างเด่นชัด



ชายสูงวัยกว่าก้าวเดินอย่างเนิบช้าจากพื้นที่ยกขึ้นสูง จนมายืนอยู่ใกล้กับที่ชายหนุ่มนั่งอยู่ จนแทบจะสัมผัสตัวกันได้


“โดร์เช หนังสือในมือของข้าในขณะนี้ก็คือ ประวัติความเป็นมาของดัลวาในอดีตจนถึงปัจจุบัน และยังมีเรื่องราวของราชวงศ์เซโมของเราบันทึกไว้อย่างละเอียด เจ้าน่าหาเวลาอ่านดูบ้าง เพื่อให้เจ้าได้ตระหนักถึงรากแห่งความเป็นมาของพวกเรา เข้าใจหรือไม่”



เจ้าชายโดร์เช ยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป ราวกับทราบว่า ถึงไม่ถามก็จะได้รับทราบคำตอบในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้แล้ว



“ดัลวา คืออาณาจักรโบราณอันเก่าแก่ มีอายุหลายร้อยปี มีเอกลักษณ์ของตัวเองทั้งสภาพภูมิศาสตร์ และวิถีการดำเนินชีวิต ภูเขาสูงชันเป็นเนื้อที่ส่วนใหญ่ของอาณาจักรของเรา และดัลวา มีทิวทัศน์สวยงาม นอกจากมีทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ยังมีทะเลสาบงดงามหลายแห่ง มีชื่อเสียงไปทั่วโลก นี่คือสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ”



“ข้าทราบ พระบิดา” เจ้าชายโดร์เชตรัสตอบด้วยถ้อยคำแสนสั้น



“เจ้ารู้หรือไม่ว่า ราชวงศ์เซโมของเราปกครองดัลวามานานเพียงไร กษัตริย์ทุกพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ สร้างความเป็นปึกแผ่นให้อาณาจักรน้อยๆ แห่งนี้มาโดยตลอด แล้วยัง…”



ยังไม่ทันตรัสได้ครบประโยค รินเชน ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่และคุกเข่าลงกับพื้นต่อหน้าพระบิดาด้วยท่าทีสงบ



“และกษัติรย์องค์ปัจจุบัน คือพระเจ้าเดเช็น ทรงเป็นที่รักของชาวดัลวาทุกคน เพราะสิ่งที่พระองค์ปรารถนามากที่สุด ไม่ใช่ความมั่งคั่ง ความเจริญอย่างไม่หยุดยั้งของประเทศ แต่เป็นความสุขของอาณาประชาราษฎร์ทุกคน ข้าทราบพระเจ้าข้า”



พระเจ้าเดเช็น ทรงแย้มโอษฐ์อย่างพอพระทัย พลางค้อมร่างแตะที่ไหล่ของร่างที่คุกเข่าลงกับท้องพระโรงเบาๆ คราหนึ่ง



“และที่เจ้าต้องรู้ เจ้าชายโดร์เช เจ้าคือมกุฎราชกุมารที่จะต้องสืบทอดบัลลังก์ต่อจากข้า เจ้าจะต้องโตเป็นผู้ใหญ่ให้มากกว่านี้ ใช้เวลาในอีกไม่กี่ปีนับแต่นี้เรียนรู้คุณสมบัติของการเป็นนักปกครองที่ดี”



เจ้าชายโดร์เช เงยพระพักตร์มองพระบิดา ด้วยพระเนตรสุกใส ริมฝีปากยาวเม้มสนิท



“ข้ารู้ว่า หลายปีที่ผ่านมาเจ้าปฎิบัติหน้าที่มกุฎราชกุมารเป็นอย่างดี รับผิดชอบงานใหญ่น้อยมากมาย แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ เจ้าต้องทุ่มเทให้มากกว่านี้”



“ที่สำคัญ โดร์เช สิ่งที่เจ้าวางแผนอยู่เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมนัก ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการกลับไปที่นั่นอีกครั้ง ทำไมเล่า”



เจ้าชายโดร์เชมีพระพักตร์ซีดลง แล้วตรัสออกมาสั้นๆ ว่า



“พระบิดา…ข้า”



กษัตริย์เดเช็น ใช้พระหัตถ์ดึงร่างเจ้าชายโดร์เชให้ลุกขึ้นด้วยท่าทีนุ่มนวล



“โดร์เช นอกจากข้าจะเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองดัลวาแล้ว อีกสถานะหนึ่งข้าคือบิดาผู้ให้กำเนิดเจ้านะ เจ้าคิดอะไร มีความรู้สึกอย่างไร ปิดบังพระบิดาไม่ได้หรอก บุตรของข้า”



เจ้าชายโดร์เช ตรัสอะไรไม่ออกอีกต่อไปแล้ว



“เจ้ามีภารกิจที่ต้องทำอีกมากมายนับแต่นี้ เจ้าชายโดร์เชต้องมีจริยวัตรที่งดงามเป็นแบบอย่างแก่พสกนิกร แต่เจ้ากลับต้องการใช้เวลาสำคัญเช่นนี้ตามหาผู้หญิงคนหนึ่ง ข้าไม่เข้าใจเลย”



“โดร์เช เจ้าคือองค์ชายแห่งดัลวา เป็นทายาทคนเดียวของข้า เจ้าต้องเข้มแข็ง หนักแน่นกว่านี้อีกมากนัก แต่หลายปีมานี่ สิ่งที่เจ้าให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือ การยึดติดอยู่กับอดีต และอดีตของเจ้าคือ ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เจ้าเองก็ไม่รู้ว่านางไปอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอตัว อย่างที่เจ้าปรารถนาหรือไม่”



“พระบิดา แต่ครั้งนี้ข้ามั่นใจ”



“โดร์เช…”



เจ้าชายโดร์เชทรุดพระวรกายลงกับพื้นท้องพระโรงอีกครั้ง



“พระบิดา ครั้งเดียวเท่านั้น ข้าขอสัญญา”



ผู้ปกครองแห่งดัลวาถอนหายใจยาว แล้วเงยพระพัตร์ขึ้นทอดพระเนตรภาพวาดรูปดอกบัวยักษ์ที่เด่นผงาดอยู่ด้านหลังบัลลังก์ทองคำ



“ข้าตัดสินใจเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้ ในฐานะพ่อกับลูกข้าเห็นใจเจ้า แต่ในฐานะกษัตริย์แห่งดัลวานั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”



“ถ้าอย่างนั้น…” เจ้าชายโดร์เชตรัสถามขึ้น



พระเจ้าเดเช็น สบพระเนตรกับราชโอรส แล้วตรัสออกไปด้วยน้ำเสียงทุ้มเย็นว่า



“ท่านลามะ จะร่วมตัดสินใจในเรื่องนี้ด้วย”