๒๖.๓.๕๑

นักรบจากดาวดวงอื่น (14)-ความจริงอันเจ็บปวด


(1)



ไม่ไกลจากเนินดินแห่งนั้น มีบึงน้ำแห่งหนึ่งปรากฎอยู่ และมีต้นไม้สูงใหญ่ยืนตระหง่าน แผ่ร่มเงาบดบังแดดกล้าอยู่ไกล้กัน และในขณะนี้หวูไว่ กำลังนั่งคุกเข่าลงกับพื้น เฝ้ามองนักพรตจางเหลียงนั่งหลังยืดตรง พิงร่างเข้ากับลำต้นของไม้ใหญ่ และมองมาที่เขาอย่างไม่วางตา
“เจ้าคงมีคำถามอยากถามข้าหลายข้อละซิ”
“ใช่ ท่านนักพรต”
“ข้าอยากรู้ว่า ทำไมท่านถึงได้รู้จักเรื่องราวของข้ามากนัก และจริงหรือที่ท่านเป็นคนตั้งชื่อให้ข้า”
“เป็นความจริงหวูไว่ ข้าเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้เจ้าเอง”นักพรตเฒ่าหัวเราะ
“ข้าเห็นเจ้ามาตั้งแต่เกิดเลยเชียวละเจ้าหนู…”
นักพรตเฒ่าหลับตาลง แล้วจึงกล่าวว่า
“อาณาจักรไหว่หลาย เป็นดินแดนแห่งหนึ่ง ว่าไปแล้วก็เพียงแค่เศษเสี้ยวของโลกนี้ และโลกนี้ก็เป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของจักรวาล กล่าวได้ว่ากำเนิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไรเลย”
นักพรตเฒ่าลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“เด็กเอ๋ย ยังมีโลก และดวงดาวอีกมากมายที่ตาของมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ จักรวาลของเราเป็นเพียงจักรวาลหนึ่งท่ามกลางจักรวาลอีกนับแสบนับล้านเท่านั้น”
“ยังมีดวงดาวที่มีมนุษย์เหมือนโลกของเราอยู่อีกมากมาย เราเป็นเศษส่วนอันกระจิดริดของจักรวาลเหล่านั้นเด็กเอ๋ย”
“ไม่เพียงแต่เท่านั้นหวูไว่ ยังมีดินแดนลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่ในอีกมิติหนึ่งที่มนุษย์เรามองไม่เห็นอีกเช่นกัน”
“อาณาจักรเหล่านั้นมันเป็นดินแดนที่มีอยู่จริง มีทุกอย่างเหมือนกับอาณาจักรไหว่หลาย มีมนุษย์ ต้นไม้ สัตว์เลี้ยง และความรุ่งเรือง ความตกต่ำ มีเกิดและดับ มันเป็นเหมือนอาณาจักรที่อยู่คู่ขนานกับโลกของเรานั่นไง”
“อาณาจักรคู่ขนานเหรอ…”เด็กหนุ่มพึมพำอยู่ในลำคอ
นักพรตเฒ่าสูดลมหายใจยาวๆ
“อาณาจักรคู่ขนานเหล่านั้น บางแห่งก็สามารถเชื่อมต่อเข้ากับโลกที่เราอาศัยอยู่ และมีหนทางข้ามเส้นแบ่งมายังดินแดนที่เราอาศัยอยู่ในขณะนี้ด้วย เหมือนอย่างนครแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่านครหลี่เต๋อ”
“อะไรคือนครหลี่เต๋อเล่า ท่านนักพรต” หวูไว่ว่า
“มันเป็นนครที่อยู่ในตำนาน เป็นดินแดนอันลึกลับมหัศจรรย์ ที่มีชื่อเรียกขานว่าคืออาณาจักรที่สาปสูญนั่นไง”
“หา…อาณาจักรที่สาปสูญ”เด็กหนุ่มพูดเหมือนตะโกน มันจะใช่ดินแดนที่นายพลซื่อชางตามหาอยู่หรือไม่นะ
“ใช่แล้ว…มันคือดินแดนแห่งเดียวกันกับที่เจ้าเข้าใจนั่นแหละ” นักพรตคลายข้อสงสัย

(2)


นักพรตจางเหลียงเพ่งมองหวูไว่อยู่เป็นนาน ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า
“เรื่องนครหลี่เต๋อ ซึ่งเป็นชื่อที่แท้ของอาณาจักรที่สาปสูญนั้น ข้าเองเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะมีอยู่จริง จนกระทั่ง…”
“จนกระทั่งอะไร…ท่านนักพรต” เด็กหนุ่มรีบร้อนถาม
“ก็จนเมื่อข้าได้มีโอกาสพบกับคนจากดินแดนแห่งนั้นข้ามมาสู่อาณาจักรที่เราอาศัยอยู่”
“จริงเหรอ”
นักพรตจางเหลียงพยักหน้ารับ
“นานมาแล้วในยุคที่ไหว่หลายไม่ยุ่งเหยิง ไม่มีสงครามอย่างทุกวันนี้ และกองทัพอัศวินดำยังไม่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างที่เป็นอยู่ ในตอนนั้น ข้าเริ่มก่อตั้งกองกำลังเล็กๆแห่งป่าสำราญขึ้นมาแล้ว แต่ภาระหลักก็อยู่ที่การปกป้องรักษาผืนป่า ผืนน้ำ ไม่ให้ถูกย่ำยีทำลาย ไม่ได้เตรียมกำลังไว้รับมือกับใครหรือกองกำลังใดทั้งสิ้น กลุ่มกำลังต่างๆสามารถคานอำนาจซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี ชีวิตของข้าคลุกคลีอยู่ในป่าลึกมาโดยตลอด”
หวู่ไว่ฟังแล้วก็เริ่มรู้ว่า เรื่องที่จะได้ยินต่อไปนี้อาจจะเกี่ยวพันกับความลับดำมืดของตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย
“จนวันหนึ่งข้าขี่ม้าตระเวนตรงชายป่าไกล้กับที่ตั้งของป่าสำราญแห่งนี้ และได้ยินเสียงโอดครวญของสตรีนางหนึ่ง และเมื่อข้าขี่ม้าตรงไปยังที่มาของเสียง ก็พบกับร่างของหญิงนางหนึ่งนอนครวญครางพิงร่างตัวเองอยู่กับต้นไม้ต้นหนึ่ง หญิงคนนั้นอยู่ในชุดเสื้อผ้าอันแปลกตาไม่เหมือนคนท้องถิ่นทั่วไป แม้ผมเผ้าจะยุ่งเหยิง แต่ก็ยังมองเห็นความงามสง่าอันแปลกตาของหญิงผู้นี้ได้อย่างแจ่มชัด”
ฟังถึงตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น แต่ก็ไม่กล้าพูดแทรกอะไรออกมา ปล่อยให้นักพรตเฒ่าเล่าเรื่องต่อไป
“ที่สำคัญนางมีดวงตาสีฟ้าไม่เหมือนคนในอาณาจักรไหว่หลายทั่วไป”
“หา…”หวูไว่พึมพำออกมา
“ไม่เพียงแต่ได้พบหญิงสาวนางนั้นเท่านั้น แต่ในบริเวณนั้นข้ายังพบศพทหารนอนเกลื่อนกลาดมากมาย และยังพบผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนทรุดอยู่ด้วยอาการเหนื่อยอ่อน มือขวากุมดาบเล่มหนึ่งซึ่งชุ่มไปด้วยเลือด ชายผู้นั้นเป็นคนรูปร่างสูง ไหล่กว้าง มีใบหน้าอันคมคาย จมูกโด่ง และมีผมสีทอง”
เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกขึ้นมาทันทีทันใด
“ข้าจำไม่ได้ว่าพูดตอบอะไรไปบ้าง นอกจากพาคนทั้งคู่เดินทางกลับมาที่ป่าสำราญโดยเร็ว เพราะข้าเพิ่งสังเกตเห็นว่าหญิงผู้นี้ท้องแก่ไกล้คลอดเต็มทีแล้ว และข้ารู้ในเวลาต่อมาว่าว่าหญิงผู้นี้มีชื่อว่า เหม่ยเหลียน ส่วนผู้ชายชื่อว่า หวูจิ้ง และนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ข้ารู้จากคนทั้งสอง”
“พวกเขาก็คงคือ…”เด็กหนุ่มพยายามพูดแทรก แต่นักพรตเฒ่ายังคงเล่าต่อไป
“เท่าที่ข้าสังเกตุ สองสามี-ภรรยาเป็นคนแปลก ไม่ค่อยพูดจา บางทีก็พูดคุยกันเองด้วยภาษาที่ข้าเองก็ไม่เข้าใจ หรือบางทีก็เห็นเหม่ยเหลียนร้องไห้อย่างไม่มีสาเหตุ ส่วนหวูจิ้งมักจะเก็บตัวเงียบ มีโลกส่วนตัวที่ข้าเองก็เข้าไม่ถึง”
“แล้ว…ยังไงต่อ” หวูไว่ถามเสียงสั่น
“สำหรับเหม่ยเหลียน ข้าสังเกตเห็นว่าชอบมีอาการเหม่อลอย บางทีก็มีอาการหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ แต่ในยามอารมณ์ดี ก็จะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับต้นไม้ใบหญ้าที่ชอบ พูดถึงดอกไม้ที่ปลูกไว้ในเมืองของเธออย่างไม่รู้เบื่อ และจะมีความสุขมากเมื่อพูดถึงลูกในท้อง”
“จนวันหนึ่ง นางก็คลอดลูกออกมา เป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่าเอ็นดู ใช่แล้ว-เด็กคนนั้นมีดวงตาสีฟ้าเหมือนเหม่ยเหลียน และมีผมสีทองเหมือนหวูจิ้ง”
ได้ยินประโยคนี้ ทำให้หวูไว่รู้สึกเหมือนจะหยุดหายใจลงไปเสียเฉยๆ เขารู้แล้วว่าเด็กคนนั้นคือใครกัน
นักพรตเริ่มมีน้ำตาซึมออกมาจากดวงตาสองข้างเมื่อกล่าวถึงประโยคต่อไป
“น่าเสียดายนักที่ร่างกายของเหม่ยเหลียนอ่อนแอเกินไป หลังจากได้เห็นหน้าลูกได้ไม่นานนางก็เสียชีวิต และคำสั่งเสียสุดท้ายที่นางบอกกับข้าก็คือ ช่วยเลี้ยงดูลูกของนางให้เติบใหญ่เป็นคนดี และให้ข้าช่วยตั้งชื่อให้ด้วย นั่นคือคำสั่งเสียสุดท้ายของเหม่ยเหลียน”
หวูไว่ก้มหน้าลงกับพื้นแล้วใช้มือเช็ดน้ำตาที่ไหลซึมออกมา พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“หลังจากเหม่ยเหลียนเสียชีวิต หวูจิ้งยิ่งเก็บตัวกว่าเดิม นิ่งเงียบ ไม่พูดจาอยู่หลายวัน จนวันหนึ่งเขาก็เดินทางมาหาข้า พร้อมอุ้มเด็กน้อยเอาไว้แนบอก แล้วบอกกับข้าว่าให้ช่วยเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้ด้วย ข้าได้แต่ตกใจและถามว่านี่เป็นลูกของเจ้าไม่ใช่เหรอ แล้วเจ้าจะทิ้งลูกไปไหน”
เล่าแล้วนักพรตเฒ่าก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ
“หวูจิ้งหัวเราะเหมือนคนบ้าในตอนนั้น และหลังจากข้าอุ้มทารกนั้นเอาไว้ในอ้อมอกแล้ว หวูจิ้งก็บอกกับข้าว่า เขาไม่ใช่คนในอาณาจักรไหว่หลาย แต่มาจากอีกอาณาจักรอีกแห่ง ที่เรียกว่านครหลี่เต๋อ ดินแดนลี้ลับที่เป็นตำนานซึ่งมีคนร่ำลือมานานนั่นเอง”
นักพรตเฒ่านั่งนิ่งเมื่อเล่าถึงตอนนี้ มองหน้าเด็กหนุ่มอย่างพิจารณา
“พร้อมจะฟังเรื่องราวต่อไปหรือยัง หวูไว่”
เด็กหนุ่มจากเซียงอู่พยักหน้ารับโดยเร็ว

(3)


“หวูจิ้งอธิบายเล่าถึงหลี่เต๋อว่า ในคืนวันอันรุ่งเรือง นครแห่งนั้นมีแต่ความร่มเย็น สิ่งก่อสร้างล้วนแล้วแต่สวยงามราวกับสวรรค์สร้าง ผู้คนแต่งกายกันอย่างงดงาม มีภูเขา ต้นไม้ ดอกไม้ ที่สวยงามเหมือนดินแดนไหว่หลายทุกอย่าง แต่ภาพเหล่านั้นได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้บ้านเมืองเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง มีการรบพุ่ง มีสงครามที่ไม่มีจุดจบเกิดขึ้น บ้านเมืองร้อนเป็นไฟ และผลจากการรบพุ่งทำให้ต้นไม้ ป่า และภูเขาถูกทำลายไปมากมาย”
ฟังมาถึงตอนนี้ หวูไว่ก็สะดุ้งขึ้นมา ดูเหมือนสถานการณ์เช่นนี้ก็กำลังจะเกิดขึ้นกับอาณาจักรไหว่หลายด้วยไม่ใช่หรือ
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรเด็กเอ๋ย อาณาจักรอันยิ่งใหญ่ อารยธรรมโบราณล้วนแล้วแต่พึ่งพาธรรมชาติ ไม้ หิน และ ดินถูกใช้ในการก่อสร้าง น้ำจากแม่น้ำ ลำธาร ใช้ในการดื่มกิน เพาะปลูก แต่เมื่อมนุษย์เราเอาแต่ตักตวง ทำลายต้นไม้ ป่าเล็กจนถึงป่าใหญ่ จนเกิดวิกฤตธรรมชาติ สิ่งที่ตามมาก็คือภัยแล้ง โรคระบาด กระทั่งเกิดสงคราม การทำลายล้าง และนั่นคือที่มาของการล่มสลายของหลี่เต๋อยังไงเล่า”
นักพรตจางเหลียงถอนหายใจออกมาแล้วหลับตาลงด้วยอาการเหนื่อยอ่อน
“เท่าที่รับทราบมาจากพ่อของเจ้า ความล่มสลายของอาณาจักรที่สาปสูญ มันเป็นเพราะผู้คนในดินแดนแห่งนั้นตักตวงจากธรรมชาติมากเกินไป มีความอยากได้อยากเป็นอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อไม่มีความเชื่อว่ามนุษย์และธรรมชาติคือสิ่งที่ต้องพึ่งพากัน ไม่อาจแยกจากกันได้ และพยายามจะเอาชนะธรรมชาติ หายนะจึงเกิดขึ้นได้เสมอนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่เพียงไรก็ตาม” นักพรตจางเหลียงกล่าวปลอบใจ
หวูไว่เงยหน้าถามนักพรตเฒ่าด้วยน้ำตานองหน้าว่า
“พ่อและแม่ของข้าหนีภัยสงครามมา อย่างนั้นหรือ…”
“พวกเขาหนีมาเพื่อเจ้า เด็กเอ๋ย”
“เพื่อข้าเหรอ…” เด็กหนุ่มพึมพำออกมา
“ฟังข้านะหวูไว่ มีพลังลี้ลับบางอย่างแฝงอยู่ในตัวของเจ้า”
“อะไรนะ…ไม่จริงมั๊ง” หวูไว่เถียง พลังลึกลับอะไรนั่นไม่มีทางอยู่ในตัวเขาได้อย่างเด็ดขาด นับตั้งแต่เกิดมาเขาเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง มีชีวิตอย่างธรรมดา เจ็บป่วยเหมือนคนทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษเหนือเด็กหนุ่มคนอื่นๆแม้แต่น้อย
“ข้าเองก็ไม่รู้ เป็นหวูจิ้งที่บอกกับข้าเอง และบอกด้วยว่ามีใครบางคนตามล่าเจ้าอยู่ จำที่ข้าเล่าได้มั๊ยว่า ตอนที่พบพ่อกับแม่ของเจ้า มีทหารนอนจมกองเลือดอยู่ไกล้ๆ ทหารพวกนั้นก็คือ พวกที่ไล่ล่าพวกเจ้านั่นไง”
“ถ้าอย่างนั้น ใครบางคนที่ตามล่าตัวข้า ก็อาจจะตามมาจากนครหลี่เต๋อด้วยเหมือนกัน ใช่มั๊ย” หวูไว่โพล่งถามออกมา
นักพรตจางเหลียงพยักหน้ารับ
“เป็นไปได้…”
หวูไว่ทอดถอนใจ มึนงงกับความลึกลับดำมืดของตัวเองอย่างหนัก
“ถึงตอนนี้ เจ้าคงรู้แล้วซินะ หวูไว่เอ๊ย เจ้าไม่ใช่คนในดินแดนแห่งนี้”
“เป็นจริงหรือเนี่ย…” หวูไว่ร้องครางแสดงถึงหัวใจอันเจ็บปวด ความลับดำมืดที่เขากระหายใคร่รู้กลายเป็นความจริงที่เหนือจริงเกินกว่าที่เขาจะนึกถึงได้
นักพรตจางเหลียงลุกขึ้นมายืนข้างๆหวูไว่ แล้วยกมือขึ้นลูบศรีษะเด็กหนุ่มอย่างปรานีและห่วงใยก่อนกล่าวว่า
“หลังจากพ่อของเจ้าจากโลกนี้ไป ข้าก็นำเจ้าไปที่หมู่บ้านเซียงอู่ ที่นั่นเป็นสถานที่เหมาะกับเจ้ามากกว่า”
“พ่อของข้าเสียชีวิตอย่างไร ท่านนักพรต”
“ข้าไม่แน่ใจนัก แต่หลังจากแม่ของเจ้าเสียชีวิตได้ไม่กี่เดือนนัก พ่อของเจ้าก็เสียชีวิตลงอย่างสงบ โดยไม่มีอาการบาดเจ็บ ป่วยไข้อะไรเลย ก่อนตายพ่อของเจ้าบอกว่า พลังลี้ลับในตัวของเจ้านั้นมีอำนาจล้นเหลือ แต่ถ้าหากสามารถรักษาจิตใจของผู้ครอบครองให้ยึดมั่นในความดี ได้รับการปลูกฝังไปในแนวทางที่ถูกต้อง ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย ให้ความสำคัญแก่โลกและธรรมชาติ พลังนี้จะถูกควบคุมเอาไว้ได้”
เด็กหนุ่มร้องอ้อขึ้นมา-วิถีชีวิตของเขาในเซียงอู่ที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ไม่แสวงหา คลุกคลีอยู่กับแม่ธรรมชาติ เป็นเพราะด้วยเหตุผลนี้หรอกละหรือ
แล้วถ้าวันใดพลังลี้ลับนั่นมีอำนาจเหนือเขาขึ้นมาละ
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพลังลี้ลับนั่นคืออะไร มันแฝงเร้นอยู่ในสายเลือดของเจ้าจริงหรือไม่และมีอานุภาพรุนแรงอย่างไร ที่ข้าจะแนะนำได้ในขณะนี้ก็คือ เจ้าต้องกระทำความดีเพื่อใช้กำกับพลังในตัวเจ้านั่นไว้”
“อย่างนั้นหรือ…”
หวูไว่มองนักพรตเฒ่าด้วยอาการเงียบสงบ ไม่พลุ่งพล่านเหมือนเมื่อหลายนาทีที่ผ่านมาอีกแล้ว

(5)


แสงแดดส่องทะลุมาตรงพื้นดินที่หวูไว่ทรุดตัวลงนั่งอยู่ แต่ใบไม้อันดกครึ้มจากต้นไม้ใหญ่แผ่ร่มเงามาปกคลุมจนทำให้อากาศไม่ร้อนจนเกินไปนัก
แต่สำหรับเด็กหนุ่มแล้วจะร้อนหรือหนาวไม่มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว
“ข้าจะดำเนินชีวิตอย่างไรนับแต่นี้”
นักพรตเฒ่ายิ้มและตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เจ้าจะต้องรู้สึกปล่อยวาง มีเรื่องอีกมากมายที่เจ้าต้องกระทำ หวูไว่เจ้าต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่และตัดสินใจด้วยตัวเองบ้างแล้ว”
“แต่ข้าอยากกลับไปที่หลีเต๋อ ท่านนักพรต” หวูไว่สารภาพ
“เจ้าอยากจะกลับไปที่นั่นทำไมเจ้าหนูเอ๊ย ข้าเชื่อว่ามันได้กลายเป็นอาณาจักรที่สาปสูญไปแล้วจริงๆ และเจ้าก็กลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้หรอก เชื่อข้าเถอะ…”
“แต่ข้า…ข้า”
“เอาเถอะ ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่ข้าเองก็ไม่รู้หนทางที่จะนำพาเจ้ากลับไปดินแดนเกิดของพ่อและแม่เจ้าหรอก ถ้ามีใครจะค้นพบเส้นทางที่จะนำกลับไปหลี่เต๋อก็คงมีแต่ตัวเจ้าเองเท่านั้นแหละหวูไว่…”
“และมีคำหนึ่งที่พ่อของเจ้าบอกไว้ก็คือ ตามหาแสงเหนือให้เจอ”
“แสงเหนือ อย่างนั้นหรือ”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมา อะไรคือแสงเหนือเขาไม่รู้หรอก และเขาเองก็คงไม่มีความสามารถที่จะค้นหาอาณาจักรที่สาปสูญแห่งนั้นได้ด้วย
“ท่านนักพรตต้องช่วยข้านะ ข้าไม่เหลือใครอีกแล้ว”
ทันใดนั้น นักพรตจางเหลียงก็ไอโขลกขึ้นมาอย่างรุนแรง สีหน้าซีดเผือดเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในถ้ำ
“เวลาของข้าเหลือน้อยแล้ว เด็กเอ๋ย” นักพรตพูด
“อะไรนะ…”เด็กหนุ่มร้องคราง

(6)


หวูไว่เดินตามหลังนักพรตเฒ่ามาได้พักใหญ่แล้ว หลังจากปริศนาดำมืดในเรื่องความเป็นมาของตัวเองเริ่มคลี่คลาย นักพรตเฒ่าก็เดินนำเด็กหนุ่มมาตามเส้นทางเดิม แต่เขาไม่มีอารมณ์จะสังเกตธรรมชาติรอบข้างตัวเท่าใดนักแล้ว เพราะตลอดทางเดินนักพรตจางเหลียงต้องหยุดพักอยู่เป็นระยะ เพราะอาการไอโขลกที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านนักพรตเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้ายังพอไหวอยู่ รีบเดินเถิด”
หวูไว่ ได้แต่ถอนหายใจ เมื่อตอนที่อยู่บนเนินแห่งนั้นด้วยกัน เขาได้ยินนักพรตพูดว่าเวลาของตัวเองมันเหลือน้อยเต็มทีนะ มันคืออะไรกัน และมีความหมายว่าอะไร แต่ที่แน่ๆมันคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนักสำหรับเขา
ตะวันช่วงบ่ายคล้อยต่ำลงไม่เท่าไหร่ แต่ท้องฟ้าเบื้องบนก็หม่นแสงจนมืดมนไปทั่ว ก่อให้เกิดความรู้สึกเซื่องซึม เศร้าสร้อย ไม่ผิดกับความรู้สึกของเด็กหนุ่มจากเซียงอู่ในขณะนี้ หลังจากต้องจากถิ่นพำนักอันคุ้นเคยมาตั้งแต่เกิด ชีวิตของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ยิ่งเมื่อปริศนาชาติกำเนิดเริ่มคลี่คลาย หวูไว่ก็ได้แต่งงงัน ไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นความจริงไปได้
และในขณะนี้ เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอ้างว้าง เดียวดาย ไม่มีใครเหลือเป็นที่พึ่งอยู่เลย นอกเหนือไปจาก นักพรตจางเหลียงที่เดินดุ่มอยู่ข้างหน้าในตอนนี้เพียงคนเดียว-คนเดียวเท่านั้น
แล้วถ้า…
ในไม่ช้าทั้งสองคนก็เดินลงมาจนถึงไกล้เขตปากถ้ำซึ่งเป็นที่พักในช่วงหลายวันที่ผ่านมา แล้วอยู่ดีๆนักพรตเฒ่าก็หันหน้ามาทางเด็กหนุ่ม
“หวูไว่ เจ้าไปเก็บใบไม้ที่ร่วงกองอยู่ตรงพื้นดินใต้โคนต้นไม้นั่นมาซิ แล้วเอามาให้ข้าที่ในถ้ำ”
“หา”เด็กหนุ่มร้องขึ้นมาคำหนึ่ง แล้วเหลียวมองไปตามนิ้วมือที่ชี้ออกไปของนักพรต และเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาใหญ่โต ใบไม้บนต้นเขียวชะอุ่มก่อร่มเงาอันแช่มชื่นไปทั่วบริเวณ
แต่ตรงโคนต้น ใบไม้ที่แห้งเหี่ยว ปลิวหลุดจากขั้วกระจายกองอยู่กับพื้นจำนวนนับไม่ถ้วน
แต่นักพรตจางเหลียง ต้องการใบไม้นั่นไปทำไมนะ-ไม่เข้าใจเลย

















๑๗.๓.๕๑

นักรบจากดาวดวงอื่น (13)-ความลับดำมืด

(1)

“ลืมตาซิ”
เสียงกระซิบแผ่วดังแว่วมาเข้าหูหวูไว่ เด็กหนุ่มค่อยๆหรี่ตาลืมขึ้นอย่างช้าๆ และพบกับดวงตาสีเทาของนักพรตเฒ่ามองมาอย่างอ่อนโยน
นักพรตจางเหลียงยืนอยู่ตรงหน้า ในขณะที่ตัวของหวูไว่นั่งอยู่บนพื้น มองไปรอบๆ และพบว่าตัวเองนั่งอยู่ในถ้ำลึกลับที่ถูกนักพรตนำตัวมาเมื่อหลายวันก่อน เป็นถ้ำที่กว้าง ปลอดโปร่ง และมีคบไฟติดไว้จนทำให้ถ้ำสว่างโพลนอยู่ตลอดเวลา
เท่าที่จำได้เลาๆก็คือ ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงหวูไว่ถูกนักพรตเฒ่าสั่งให้นั่งหลับตา หายใจเข้าออกให้เป็นจังหวะ ผ่อนร่างกายทุกส่วน อย่าเกร็งหรือขัดขืน นานไปเด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกว่ามีสมาธิที่แน่วแน่ ร่างกายไม่ไหวติงเป็นเวลานาน ไม่รู้สึกเจ็บปวด เมื่อยล้า ไม่รู้สึกหิว หรือง่วง
บางขณะรู้สึกมีมืออันบอบบางทาบเข้าแผ่นหลัง และก่อให้เกิดพลังประหลาดแผ่ซ่านไปทั่ว รู้สึกเหมือนมีแสงสว่างสีขาวอาบไปทั่วทั้งร่าง บางครั้งก็เหมือนมีเสียงสวดมนต์ของนักพรตเฒ่าดังอยู่ข้างหู ช่วยให้ผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง ไม่คิดถึงสิ่งใด
และเมื่อลืมตาขึ้นในขณะนี้ หวูไว่รู้สึกเหมือนกับเป็นคนใหม่ ผู้มีจิตอันผ่องใส และเหมือนมีพลังบางอย่างเต้นเร่าอยู่ภายในกายตลอดเวลา
เด็กหนุ่มอาจจะดูกระปรี้กระเปร่าขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพูดอะไรไม่ออก รู้สึกงงงันกับเรื่องแปลกประหลาดของตัวเอง ไม่คุ้นเคยกับสถานที่ และยิ่งถูกนำตัวเข้ามาในถ้ำลึกลับอย่างนี้ด้วยแล้ว นักพรตเฒ่ามีจุดประสงค์อะไรยากที่จะคาดเดาจริงๆ
“ข้าขอชมเจ้า…” อยู่ดีๆนักพรตก็กล่าวออกมา
“หือม์…อะไรนะ”เด็กหนุ่มว่า
“การฝึกสมาธิด้วยการนั่งนิ่ง หลับตา สะกดตัวเองด้วยลมปราณภายใน ไม่ใช่สิ่งที่กระทำโดยง่าย การกำหนดจิตให้สงบเหมือนลมหายใจเข้าออกเยี่ยงนี้ บางคนอาจใช้เวลาเป็นปีกว่าจะมองทะลุตัวตนได้ออก และบางคนก็อาจทำไม่ได้เลยตลอดชีวิต”
“แต่สำหรับเจ้าแล้ว เพียงคำแนะนำเล็กน้อยก็สามารถผ่านขั้นตอนแรกของการฝึกฝนได้แล้ว จงจำเอาไว้การฝึกฝนเช่นนี้หากเจ้าสามารถควบคุมจิตจนถึงขั้นระดับสูงสุด ที่เจ้าจะได้รับตามมาก็คือบ่อเกิดของพลังอันจะไม่มีวันสิ้นสูญ”
หวูไว่ร้องอืมม์เป็นการรับคำขึ้นมา ไม่ได้รู้สึกเหลิงกับคำชมนั้นแต่ประการใด การฝึกฝนเยี่ยงนี้เขาไม่ได้เพิ่งเรียนรู้เป็นครั้งแรก เพราะช่วงเวลาหลายเดือนในสวนดอกไม้ในเกียะหยูเขาได้ร่ำเรียนมาจากเฒ่าบ้า-เฒ่าลู่ ชนิดที่เรียกว่าละเอียดลึกซึ้งพอสมควร
แต่เด็กหนุ่มไม่ได้อธิบายออกไป เพราะมีคำถามค้างคาใจอยู่ในอกหลายข้อเหลือเกิน
“ท่านผู้เฒ่าอะไรคือป่าหฤหรรษ์ แล้วจริงหรือที่ท่านเป็นคนตั้งชื่อให้ข้านะ”
“เจ้าจะได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมด แต่อย่ารีบร้อนนักเลย เอาทีละเรื่องก่อนเถอะ” นักพรตว่าและอธิบายต่อว่า
“ป่าหฤหรรษ์ ก็เป็นกองกำลังหนึ่งเหมือนอย่างกองทัพอัศวินดำ กองกำลังเมฆขาวนั่นแหละ แต่เราเป็นกองกำลังที่เล็กมาก ไม่มีนักรบผู้หาญกล้ามากมายเหมือนกองกำลังอื่น และมีทั้งเด็ก สตรี คนชรา ที่หนีภัยสงครามมารวมตัวอยู่กับเรา ทุกคนที่อยู่ในป่าหฤหรรษ์จึงล้วนแล้วแต่มีบาดแผลมาจากสงครามมาทั้งสิ้น เราอยู่กันเหมือนพี่น้อง ใช้ชีวิตกันอย่างสมถะ เรียบง่าย”
“ที่สำคัญ…เราเน้นไปที่การช่วยเหลือผู้คน ไม่ใช่ก่อสงคราม”นักพรตจางเหลียงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หวูไว่ฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้าหงึกเห็นตามไปด้วย แต่จะด้วยดวงตาที่ยังแสดงความสงสัยปรากฎให้เห็นหรืออย่างไรไม่รู้ นักพรตเฒ่าจึงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตาว่า
“บางทีพวกทหารอัศวินดำก็เรียกพวกเราว่าโจรป่า เนื่องจากป่าหฤหรรษ์ไม่เคยเปิดศึกปะทะแตกหักกับกองทหารอัศวินดำมาก่อน เราเน้นไปที่การซุ่มทำลายเหมือนกองโจร เหมือนอย่างที่เฉินตงนำพาคนไปช่วยเหลือเจ้ายังไงละ”
เด็กหนุ่มเกาหัวอีกแล้ว-นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาสนใจใคร่รู้มากนักหรอก
นักพรตเฒ่าคล้ายจะรู้ความในใจของเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า จึงหัวเราะขึ้นมาเบาๆ
“ยามเมื่อไม่ได้ยกกำลังออกไปซุ่มโจมตีพวกอัศวินดำ คนของเราก็ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไป เก็บสมุนไพร หาของป่า ทำความสะอาดที่พักอาศัยของเรา ฝึกฝนการใช้อาวุธ และทุกวันจะใช้เวลาปฎิบัติธรรมด้วยการนั่งสมาธิ เหมือนอย่างที่ข้าแนะนำเจ้าไปเมื่อตะกี้นั่นไง”
“แล้วที่ท่านนำตัวข้ามาที่นี่ ด้วยเหตุผลอะไรท่านนักพรต” หวูไว่ถามดื้อๆ
นักพรตจางเหลียงเงียบไปครู่หนึ่ง มองหน้าเด็กหนุ่มอย่างสำรวจ ทำท่าจะกล่าวอะไรออกมาแต่แล้วก็ไอโขลกขึ้นมาอย่างรุนแรง ร่างงองุ้ม มือไม้สั่นขึ้นมาอย่างทันทีทันใด หวูไว่รีบก้าวเข้าประคองด้วยอาการตกใจ ดูเหมือนนักพรตจะอ่อนแรงขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ท่านนักพรตเป็นอย่างไรบ้าง…”หวูไว่ร้องเสียงสั่น
นักพรตโบกมือไปมา “ไม่เป็นไรหรอก อย่าห่วงไปเลย ข้าเพียงแต่รู้สึกเหนื่อย และอยากพักผ่อนเท่านั้น
ได้ยินอย่างนี้ เด็กหนุ่มจะทำอะไรได้นอกจากประคองนักพรตเฒ่าไปนั่งตรงมุมหนึ่งของถ้ำ และไม่ช้า นักพรตจางเหลียงก็นั่งสมาธิ หลับตาลง และไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย
คำถามที่หวูไว่อยากรู้จึงต้องรอไปก่อนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

(2)

“ตื่นแล้วเหรอ หวูไว่”
เด็กหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นจากมุมหนึ่งของถ้ำลึกลับ ซึ่งเขาคงเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว และหันไปตามเสียงเรียก และมองเห็นนักพรตจางเหลียงมองมาอยู่ก่อนแล้ว สีหน้าของนักพรตเฒ่ากลับคืนสู่ความปกติแล้ว ดวงตาเป็นประกาย ในขณะที่แผ่นหลังยืดตรง และใช้มือลูบเคราของตัวเองไปมา
“ไปกันเถอะ…ข้าจะพาเจ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง”
“ที่ไหนกัน…”เด็กหนุ่มถามอย่างงุนงง ก่อนจะลุกก้าวเดินตามออกไปจากถ้ำแต่โดยดี
นักพรตเฒ่าเดินนำเด็กหนุ่มออกจากถ้ำลึกลับแห่งนั้น ไม่ช้าไม่นานก็เดินมาถึงทางเดินเล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเสียงธารน้ำไหล เสียงนกร้อง ดังแว่วมา เงยไปเบื้องบน มองเห็นเมฆขาวกระจายอยู่ทั่วฟ้า ดูเหมือนเวลาผ่านไปนานเหลือเกินที่เขาถูกนำตัวมาอยู่ที่ถ้ำลึกลับ นานจนลืมคืนลืมวันไปหมด
“ท่านนักพรต ข้าอยากฟังท่านเล่าต่อ เรื่องของป่าหฤหรรษ์แห่งนี้ข้าเริ่มรู้และเข้าใจบ้างแล้ว แต่เรื่องของข้านะ ที่อยากให้ท่านเล่าให้ฟัง”
นักพรตชี้มือไปข้างหน้า “ไปนั่งตรงนั้นก่อนเถิด ตรงนั้นมีโขดหินที่เราน่าจะนั่งคุยกันได้”
เด็กหนุ่มรับคำแล้วก้าวเดินตามหลังนักพรตไป จนได้เห็นโขดหินก้อนโตที่วางตัวเองอยู่ริมลำธารเล็กๆสายหนึ่ง อากาศสดชื่น แสงแดดอ่อนๆทอดลงมาครอบคลุมทั่วบริเวณ เมื่อมองเห็นธรรมชาติรอบตัวเต็มไปด้วยความสดชื่นเยี่ยงนี้แล้ว หวูไว่รู้สึกผ่อนคลายลงไปมาก ก้าวลงนั่งเคียงข้างเฝ้ารอนักพรตจางเหลียงไขความลับดำมืดที่อยากรู้โดยไว
“ก่อนที่เจ้าจะได้รู้เรื่องราวที่คับอก ข้าอยากเล่าเรื่องบางอย่างที่เจ้าสมควรรับรู้ไว้เพื่อประโยชน์ในภายภาคหน้าเสียก่อน”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ
“ก่อนอื่นเจ้าควรจะรู้ว่าอาณาจักรที่เราอาศัยอยู่นี้ เรียกว่าอาณาจักรไหว่หลาย เป็นอาณาจักรที่ปราศจากผู้ปกครองมานานนักหนา มีก็แต่กลุ่มกำลังใหญ่น้อยแย่งชิงความเป็นใหญ่มาหลายสิบปีแล้ว แต่ที่ครองอิทธิพลเหนือกว่ากองกำลังอื่นใดก็คือ กองทัพอัศวินดำของนายพลซื่อชาง”
“แล้วนายพลซื่อชางต้องการอะไร เงินทอง อำนาจ หรืออยากเป็นเจ้าผู้ครองอาณาจักรแห่งนี้” หวูไว่ถามอย่างสงสัยใจ
“ความปรารถนาของนายพลซื่อชางก็คือทำลายกองกำลังต่างๆให้ราบคาบ และสร้างอภิมหานครขึ้นมาโดยหวังกุมอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งดูท่าการเติบกล้าของกองทัพอัศวินดำแล้ว ความปรารถนานี้อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมนักหรอก”
“นายพลซื่อชางมีความสามารถเช่นนั้นเชียวหรือ…” หวูไว่ถาม
“เมื่อพูดถึงในฐานะนักรบแล้ว นายพลซื่อชางคือแบบฉบับชั้นดีเชียวละ นอกจากมีความสามารถในการต่อสู้ การวางแผนการรบอันลึกล้ำแล้ว ยังเป็นชนชั้นผู้นำที่มองการณ์ไกลอยู่ตลอดเวลา”
พูดจบแล้วนักพรตเฒ่าก็ถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วเล่าต่ออีกว่า
“แต่ข้อเสียของนายพลผู้นำทัพของกองทัพอัศวินดำก็คือ โหดเหี้ยมจนเกินไป ความทะยานอยากแตกปะทุตลอดเวลา มีตัวเองเป็นศูนย์รวมของอำนาจแต่เพียงผู้เดียว และยังมีความโลภผิดกับผู้คนทั่วไป ต้องการสะสมความมั่งคั่งตลอดเวลา”
ฟังอย่างนี้แล้ว หวูไว่ก็ได้แต่กลืนน้ำลายเอื๊อกๆ เขาจะรอดเงื้อมมือจากนายพลซื่อชางได้อย่างไรกันเนี่ย ป่านนี้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งกองทัพอัศวินดำคงเดือดเป็นไฟที่เห็นเขาหนีรอดเงื้อมมือไปได้ และคงสั่งให้ทหารอัศวินดำพวกนั้นตามล่าเขาจ้าละหวั่นแน่
“ไม่มีใครหยุดนายพลซื่อชางได้เลยหรือ แม้แต่เอ่อ…กองกำลังเมฆขาว”
นักพรตเฒ่าเหลือบตามองเด็กหนุ่มหน่อยหนึ่งแล้วก็หันไปพูดต่อ
“มันยากที่จะกำจัดชั่วร้ายทั้งหมดไปจากโลกนี้เด็กเอ๋ย เพียงแต่เราพยายามทำให้มันดีขึ้นเท่านั้น และกองกำลังเมฆขาวก็กำลังต้องการทำอย่างนั้น แต่ก็ไม่แน่นักว่าการเปิดศึกปะทะแตกหักกับนายพลซื่อชางจะหยุดยั้งทุกสิ่งทุกอย่างได้”
“ทำไมเล่า…ท่านนักพรต”
“หวูไว่เอ๊ย…เจ้ายังต้องเรียนรู้โลกอีกมาก เราไม่สามารถหยุดยั้งสงครามได้ด้วยการทำสงครามเสมอไป”
“แล้วเราจะหยุดยั้งมหาสงครามที่อาจจะปะทุขึ้นได้อย่างไรเล่า” เด็กหนุ่มพึมพำขึ้น
“สร้างหัวใจแห่งความดี และปลูกฝังหัวใจแห่งรักเท่านั้นจึงจะเป็นทางรอดของโลกนี้ และเราต้องการใครสักคนที่นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่อาณาจักรไหว่หลายของเราโดยเร็วที่สุด”
“ใครกันที่มีความสามารถเช่นนั้น เป็นท่านนักพรตเองใช่มั๊ย”
“ หรือว่าพี่เฉินตงคนที่นำข้ามาถึงป่าหฤหรรษ์แห่งนี้ละ”
นักพรตจางเหลียงส่ายหน้า และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“บางทีคนๆนั้นอาจจะเป็นเจ้าก็ได้ หวูไว่…”
“หา…อย่าล้อข้าเล่นนา ท่านนักพรต” เด็กหนุ่มจากเซียงอู่ว่าเสียงสั่น
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น แต่ข้าเห็นอนาคต เห็นอนาคตของอาณาจักรไหว่หลายที่ต้องพึ่งพาเจ้าอย่างมาก”
“ไม่เอาน่า…ท่านนักพรต ข้าไม่มีความสามารถเช่นนั้น”
“เอ…แต่ว่าท่านบอกว่าท่านเห็นอนาคตเหรอ เป็นจริงหรือนั่น ท่านเห็นได้อย่างไรกัน บอกข้าหน่อย”
คราวนี้นักพรตจางเหลียงหันมามองหน้าเด็กหนุ่มอย่างสำรวจ พูดด้วยน้ำเสียงกังวานว่า
“มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนักหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ารู้ เกิดขึ้นจากการฝึกสมาธิ ทำจิตให้นิ่ง เมื่อกำหนดจิตให้จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเจ้าจะค้นพบกับความลี้ลับแห่งชีวิต”
“ความลี้ลับอย่างนั้นเหรอ ท่านนักพรต”
“ใช่…เมื่อจิตของเราถูกฝึกมาเป็นอย่างดีจนถึงขั้นบรรลุญาน เรื่องที่จะมองเห็นอดีต อนาคตได้ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอยอีกต่อไป”
“เหวอ…” ร้องออกมาคำหนึ่ง หันหน้ามองนักพรตจางเหลียงอย่างไม่เชื่อสายตา
“อย่าตื่นเต้นไปนักเลย เมื่อเจ้าฝึกฝนถึงขั้นพบความว่างในตัว เจ้าจะค้นพบคำตอบว่า อดีต หรือ อนาคต ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรใส่ใจที่สุด อดีตคือสิ่งที่ผ่านเลย ส่วนอนาคตคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง มันไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้นเด็กเอ๋ย”
แต่เด็กหนุ่มอยากรู้แต่เพียงอย่างเดียวก็คือ
“ข้าจะเป็นอย่างไรในอนาคตท่านนักพรต ชีวิตของข้าจะเป็นอย่างไร”
นักพรตส่ายหน้า
“ข้าบอกเจ้าไม่ได้หรอก เรื่องอดีตเจ้าแก้ไขอะไรไม่ได้ ส่วนเรื่องของอนาคตเป็นสิ่งที่เจ้าจะต้องประสบพบมันด้วยตัวเอง ข้าบอกเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์ เสียเวลาเปล่าๆ”
นักพรตพูดเสร็จก็ถอนหายใจเบาๆ
“แต่ที่ข้าอยากจะบอกเจ้า และขอร้องต่อเจ้าก็คือ ไม่ว่าเจ้าจะพบเจอกับเหตุการณ์อย่างไร จะทุกข์สุขอย่างไร เจ้าอย่ายอมแพ้แล้วกัน”
“หือม์…ท่านนักพรตหมายความว่าอย่างไร” หวูไว่ถามอย่างสงสัยใจ
“สัญญากับข้าซิหวูไว่ ไม่ว่าเจ้าจะต้องเจออะไรในชีวิตนับแต่นี้ จะล้มลุกคลุกคลานอย่างไร เจ้าห้ามยอมแพ้ สิ้นหวัง ไม่ว่าจะล้มคว่ำอย่างไรเจ้าต้องลุกขึ้นมาด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้ ถ้าเจ้าสัญญาได้ข้าจะได้หมดห่วง”
แม้จะยังงุนงง แต่น้ำเสียงอันเปี่ยมเมตตา และยิ่งนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่นักพรตช่วยชีวิตเขาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เด็กหนุ่มตอบกลับไปว่า
“ข้าสัญญา…ท่านนักพรต”
นักพรตเฒ่าหันหน้ามา และเด็กหนุ่มมองเห็นน้ำซึมออกมาจากดวงตาสองข้างนั่น เพราะอะไรกันเล่า-เด็กหนุ่มไม่รู้
“จำเพลงดอกไม้ป่ากับดาวดวงหนึ่ง ที่เจ้าชอบร้องยามอยู่ในหมู่บ้านของเจ้าได้มั๊ย”
“หือม์…”หวูไว่อุทานออกมา ทำไมจะจำไม่ได้ก็เพลงนั้นเขาร้องมาตั้งแต่เด็ก และลุงเป็นคนสอนเขาเอง และเขาเองยังเคยร้องให้คุณหนูเอียนซีฟังอยู่บ่อยๆเลยนี่
แต่นี่-นักพรตเฒ่าทำไมถึงรู้เรื่องเพลงนั้นได้เล่า
“อย่าแปลกใจนักเลยเด็กเอ๋ย เพลงนั้นข้าเป็นคนถ่ายทอดให้กับลุงของเจ้าเองนั่นแหละ”
คราวนี้ หวูไว่ถึงกับร้องครางออกมา นึกย้อนไปถึงวันคืนเก่าๆในอดีตที่อยู่ในเซียงอู่ เพลงที่ลุงเคยสอน คำสอนอันลึกซึ้งระหว่างเดินชมพระอาทิตย์ตกดินวันแล้ววันเล่าร่วมกับลุง
ภาพนั้นแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ
“มันไม่ใช่สิ่งที่ลุงรู้มาตั้งแต่กำเนิดหรอกนะ หลานเอ๊ย มีคนมาถ่ายทอดให้ข้าอีกทอดหนึ่งนะ”
“ใครกันครับ ท่านลุง…ใครกัน”
“เจ้าไม่รู้จักหรอก แต่สักวันหนึ่งถ้าโชคดีเจ้าน่าจะมีโอกาสได้พบกับท่าน”
หรือว่าท่านผู้นั้นก็คือ…
“ท่านนักพรต” เด็กหนุ่มพูดได้แค่นั้น
นักพรตจางเหลียงหัวเราะออกมาเบาๆ
“เพลงนั้น เจ้ารู้ความหมายของมันหรือไม่”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า
“ดอกไม้ที่เบ่งบาน หรือดวงดาวที่ส่องประกาย มีความหมายที่เจ้าจะน่าเรียนรู้ไว้”
นักพรตเฒ่าหลับตาลง แล้วกล่าวด้วยเสียงกังวานว่า
“ดอกไม้ในป่าลึกก็เหมือนดอกไม้ทั่วไปที่เราเห็นกัน มันย่อมจะเบ่งบานถึงจะไม่มีใครสัมผัส หรือได้เห็นก็ตาม เช่นเดียวกับดวงดาวบนฟ้านั่นถึงอย่างไรมันก็ต้องส่องแสงอยู่ดี”
“มันหมายความว่า มนุษย์เรามีหน้าที่ซึ่งสมควรกระทำใช่มั๊ย” หวูไว่ว่า
“ไม่เพียงเท่านั้นเด็กเอ๋ย มันยังแสดงให้เห็นถึงการกระทำเพื่อตัวเองอีกด้วย”
“อย่างนั้นเหรอ…”
“ใช่…ดอกไม้บานเพื่อตัวเอง ดวงดาวส่องประกายเพื่อตัวเอง หากดวงดาวไม่ส่องประกายเพื่อตัวเองแล้ว ท้องฟ้าเบื้องบนนั่นคงจะมืดมืด ดอกไม้ถ้าไม่บานเพื่อตัวเอง เราก็คงไม่มีต้นไม้ใดที่มีดอกอันงดงามอีกต่อไป”
นักพรตพูดเสร็จแล้วก็ยกมือชี้ไปตรงป่าเล็กๆเบื้องหน้าที่ดกครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์
“เจ้าก็เช่นกัน ต้องรู้จักอยู่เพื่อตัวเอง เจ้าอาจกระทำความดีเพื่อคนอื่น แต่จงให้ความดีนั้นหลั่งไหลออกมาจากตัวเจ้าเอง ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับคนอื่น เจ้าไม่สามารถใช้ชีวิตโดยอยู่ในความคาดหวังของคนอื่นได้หรอก”
“จำไว้ว่าหวูไว่ จงยึดมั่นในความดีเพราะมันสร้างความอิ่มเอิบให้กับตัวเจ้า อย่าพึงหวังว่าทำดีแล้วต้องได้ดีตอบแทน เพราะถ้ามันไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าจะผิดหวัง เกิดทุกข์ ”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ
“มันฟังดูทำยากนะ ท่านนักพรต”
นักพรตเฒ่าหัวเราะหึหึขึ้นมาเหลือบตามองเด็กหนุ่มอีกครั้ง
“เด็กเอ๋ย…พอเจ้าเกิดมาก็ถูกฝึกฝนในแนวทางนี้อยู่แล้วโดยเจ้าไม่รู้ตัว ตักน้ำ ผ่าฟืน ทำงานช่วยเหลือลุงกับป้า รวมไปถึงการมีน้ำใจกับคนในหมู่บ้าน มันคือสิ่งที่เจ้าทำเพราะมีความสุขจากการกระทำนั้นไม่ใช่หรือ”
“ส่วนการดำเนินชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติทั้งจากภูเขา ลำธาร ก่อให้บังเกิดจิตใจเคารพธรรมชาติ เป็นการฝึกจิตของเจ้าให้เติบกล้า”
ฟังอย่างนั้นแล้ว เด็กหนุ่มเริ่มสัมผัสได้ถึงความลับดับมืดของตัวเองมากยิ่งขึ้น ดูเหมือนชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นถูกฝึกฝนเพื่อรอคอยอะไรบางอย่าง
บางอย่างที่เขาน่าจะได้รู้จากปากของนักพรตจางเหลียงในไม่ช้านี้

(3)

หวูไว่ก้าวเดินตามหลังนักพรตจางเหลียงอย่างเงียบๆ ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา รู้แต่ว่านักพรตใจดีผู้นี้จะนำพาเขาไปสถานที่แห่งหนึ่ง แต่มันเป็นสถานที่อะไร เกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่ อย่างไรนั้น ยากที่จะคาดเดาจริงๆ
ขณะนี้เด็กหนุ่มเดินเกาะตามไหล่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ ช่วงแรกก็ยังพอทนหรอก แต่เมื่อแดดร้อนจัดขึ้น และความสูงชันของเขาแห่งนี้ที่ยืดยาวราวกับไม่มีวันจบ ทำให้หวูไว่เริ่มเหนื่อย หายใจเริ่มติดขัด จนกระทั่งต้องยืนนิ่งเอามือกุมหัวเข่าสองข้างและตะโกนออกไปว่า
“ท่านนักพรต…หยุดก่อนเถอะ ข้าเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว”
นักพรตจางเหลียงเหลียวกลับมาดู หัวเราะเสียงดังอยู่ในลำคอ น่าแปลกนัก-ที่นักพรตเฒ่ามีสีหน้าแช่มชื่น ไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อยให้เห็นแม้แต่น้อย
“เจ้าต้องอดทนมากกว่านี้” นักพรตว่า
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ
“เราต้องไปอีกไกลมั๊ยเนี่ย”
“ไม่ไกลนักหรอก รีบเดินเถิด”
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจยาวๆ แล้วเร่งฝีเท้าตามนักพรตไปอย่างช้าๆ ไม่พยายามมองถึงเส้นทางข้างหน้ามากนัก เสียงนกร้อง แล้วก็กลิ่นหอมของดอกไม้ที่อวลมากระทบจมูกช่วยดึงดูดความสนใจของเขาไปได้ไม่น้อยเลย
ชั่วอึดใจ เด็กหนุ่มก็ปีนป่ายจนพ้นช่วงที่ชันที่สุดของเนินเขาแห่งนี้ มีถนนสายเล็กๆทอดตัวยาวอยู่ข้างหน้า และมองเห็นนักพรตเฒ่ายืนรออยู่ด้วยท่าทีนิ่งสงบ
“ถึงแล้วหรือ ท่านนักพรต”
นักพรตจางเหลียง ใช้มือชี้ไปยังถนนเบื้องหน้า ก้าวเท้าเดินนำไปอีกครั้ง แต่เชื่องช้ากว่าเดิมมากนัก ทำให้เด็กหนุ่มก้าวเดินตามไปจนทันในที่สุด
และก้าวผ่านต้นไม้ใหญ่เล็กที่ขึ้นเรียงรายอยู่สองข้างถนน สร้างความชุ่มชื้นให้กับบรรรยากาศรอบตัวได้อย่างน่าประหลาด
ภาพที่ปรากฎเบื้องหน้าทำให้เด็กหนุ่มตาลุกโพลง รู้สึกเหมือนจะลืมหายใจไปในนาทีนั้น
มันเป็นเนินดินที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่เขียวขจีชุ่มชื้นไปด้วยต้นหญ้าเล็กๆ และมีดอกไม้เล็กๆชูช่อขึ้นมา ยิ่งเมื่อมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆขาวด้วยแล้ว เด็กหนุ่มบอกตัวเองว่ามันช่างสวยงามเหลือเกิน
กลิ่นหอมประหลาดของแม่ธรรมชาติเบื้องหน้าอวลมาเข้าจมูก ไหนยังจะผีเสื้อนานาพันธุ์บินลอยวนอยู่เหนือเนินดินไปมาอย่างเริงร่าอีกเล่า สีสันอันสวยงาม สร้างบรรยากาศให้รู้สึกชุ่มชื่น อบอุ่น จนทำให้เด็กหนุ่มลืมความเหนื่อยทั้งหมดไปเลย
“เจ้ารีบก้มลงคำนับ ป้ายศพข้างหน้านั่น เร็วซิ”
เสียงของนักพรตกังวานขึ้น นั่นแหละเด็กหนุ่มจึงได้สังเกตเห็นป้ายหินเหนือเนินดินแห่งนี้รวม 2 ป้าย และมีข้อความที่เขียนขึ้นด้วยลายมือโย้เย้ปรากฎอยู่
หา-นี่คือหลุมฝังศพหรือนี่
แต่ถึงจะประหลาดใจอยู่บ้าง แต่อะไรก็ไม่รู้ทำให้เด็กหนุ่มก้มลงคำนับป้ายหินเบื้องหน้าด้วยความเคารพ ก่อนจะหันไปถามนักพรตที่ยืนลูบเคราด้วยอาการเงียบสงบอยู่เบื้องหลังว่า
“ท่านนักพรต ที่พาข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาเคารพผู้ล่วงลับใต้ผืนดินนี้หรอกหรือ แล้ว 2 คนในหลุมนั่นคือใครกัน”
และคำตอบก็ที่ได้รับ ก็ทำให้หวูไว่ตะลึงงัน อ้าปากกว้าง รู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นไปในนาทีนั้น
“ในหลุมศพนั่นไม่ใช่ใครเด็กเอ๋ย คือพ่อและแม่ผู้ให้กำเนิดเจ้านั่นเอง”
“หา…อะไรกัน”
หวูไว่ ทำอะไรไม่ถูกเอามือลูบหน้าตัวเองเพื่อสลัดความมึนงงอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า
“ท่านนักพรต บอกมาเถิด ข้าคือใครกันแน่…”

๑๐.๓.๕๑

นักรบจากดาวดวงอื่น (12)-โจรป่ากับนักพรต

(1)

แม้ว่านายพลซื่อชางจะทุ่มสรรพกำลัง และแผนการณ์อันลุ่มลึกเพื่อต้องการได้ตัวเขามา แต่ดูเหมือนผู้ยิ่งใหญ่แห่งกองทัพอัศวินดำจะไม่ได้โหดร้ายกับเด็กหนุ่มจนเกินไปนัก นอกจากจะไม่คุมขังไว้ในห้องมืดอย่างที่คาดแล้ว ยังจัดให้พักในห้องพักรับรองในตึกหลังใหญ่ ที่มีทหารยามยืนรักษาการณ์ตลอดเวลาอีกต่างหาก
ขณะนี้ หวูไว่นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยอาการกระวนกระวาย แสงจันทร์แทงทะลุความมืดเข้ามาอาบห้องจนมีสีนวลกระจ่างตา
“โอ๊ย…”เด็กหนุ่มร้องขึ้นมาเมื่อมีบางอย่างกระแทกเข้าที่ปลายเท้า และลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
มีชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งยืนอยู่ในเงามืดไกล้กับเตียงของเขา และจ้องมาด้วยอาการยิ้มน้อยๆ
หวูไว่ขยี้ตาเพื่อต้องการมองอาคันตุกะลึกลับอย่างละเอียด ชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ยืนพิงกับหน้าต่างที่อยู่ไกล้กับเตียงของเขา มือกอดอก และเอาขาไขว้กันอยู่ ชายหนุ่มมีใบหน้าเรียวยาว จมูกโด่ง นัยน์ตาคมกริบ ผมสีดำสนิทยาวปะบ่า เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นสีเขียวสดใส คะเนอายุไม่น่าจะมีอายุมากกกว่าหวูไว่มากนัก
“เจ้าคงเป็นหวูไว่สินะ” หนุ่มแปลกหน้าเอ่ยขึ้น ในขณะที่หวู่ไว่เองได้แต่นั่งมึนงงอยู่บนเตียง
“ข้าชื่อเฉินตง” หนุ่มแปลกหน้าแนะนำตัว
“เจ้าเป็นใครกัน” หวูไว่พูดเหมือนละเมอ
“ข้าเป็นโจรป่า”
หวูไว่ยิ่งงงเต็กเข้าไปใหญ่ ไม่รู้ว่าชายหนุ่มผมยาวหลบรอดทหารอัศวินดำเข้ามาห้องนี้ได้อย่างไร และต้องการอะไรจากเขากัน
“ข้ามาพาเจ้าออกไปจากที่นี่…”
“หา…” เด็กหนุ่มตะโกนอย่างลืมตัว
“จุ๊ๆ…อย่าเสียงดังไปสิ ไม่งั้นทหารยามที่อยู่หน้าห้องนั่นต้องบุกเข้ามาในห้องแน่”
“เจ้าต้องการอะไร…”
เฉินตง-ชายหนุ่มผู้มีผมยาวสลวย และมีใบหน้างดงามเหมือนผู้หญิง ส่ายหน้าเล็กน้อยพลางกล่าว
“เจ้านะซิต้องการ..ไม่ใช่ข้า”
“ไป”
สิ้นประโยคสุดท้าย เฉินตงก็กระชากหวูไว่ลงจากเตียงก่อนจะกระซิบว่า
“เจ้าเตรียมตัวให้ดี เราต้องปีนลงไป”

(2)

ท้องฟ้ามืดสนิทเหมือนผ้าดำผืนใหญ่ในขณะที่หวูไว่ปีนป่ายอยู่ทางด้านนอกของห้องพักรับรอง แม้ความสามารถด้านอื่นจะจำกัดจำเขี่ย แต่เรื่องการปีนป่ายเยี่ยงนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ยากเย็นสำหรับเด็กหนุ่ม เพราะช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเซียงอู่ก็ปีนขึ้นลงต้นไม้ หรือไม่ก็ปีนขึ้นไปซ่อมแซมหลังคาบ้านอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ความสูงของตึกรับรองจึงไม่ใช่ปัญหานัก
แต่เทียบกับเฉินตงก็นับว่าห่างกันหลายช่วงตัว
ชายหนุ่มผู้มีผมยาวสลวยปีนป่ายอย่างแคล่วคล่อง ใช้มือและเท้าส่งตัวเองข้ามไปอย่างรวดเร็ว จนหวูไว่ต้องเร่งเหวี่ยงตัวไปให้ทัน
ไม่ช้าไม่นาน หวูไว่ก็พบว่าตัวเองมายืนอยู่บนพื้นดิน อยู่ห่างไกลจากตึกรับรองไกลโข ความมืดของราตรีทำให้ทั้งสองคนหลบซ่อนโดยไม่มีทหารยามสังเกตเห็น
“เรายังต้องไปอีกไกล…รีบเถอะ” เฉินตงกระซิบเบาๆ
ทั้งสองคนลัดเลาะตามเงามืดไปเรื่อยๆ บางครั้งก็เร็ว บางครั้งก็ช้า หรือไม่ก็ต้องหยุดแอบรอให้กลุ่มทหารอัศวินดำที่ลาดตระเวนผ่านไปเสียก่อน
หวูไว่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ และเริ่มมีอาการเหนื่อยอ่อน พร้อมกับอาการประหลาดใจที่เห็นเฉินตงลัดเลาะฝ่าความมืดไปด้วยอาการเงียบสงบ คล่องแคล่วราวกับเดินอยู่ในหมู่บ้านของตัวเองอะไรอย่างนั้น
กว่าจะรู้สึกตัวอีกที โจรป่าผู้ลึกลับก็พาหวูไว่ลัดเลาะมาจนถึงชายป่านอกกำแพงเมืองเสียแล้ว
“หยุดก่อน…”เฉินตงกระซิบบอกจนหวูไว่ต้องเบรกตัวโก่ง
หวูไว่มองไปเบื้องหน้าแล้วต้องร้องครางด้วยอาการตกใจขึ้นมาอย่างทันทีทันใด กองทัพหมู่หนึ่งของกองทัพอัศวินดำยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า บางส่วนง้างคันธนูขึ้นศรเอาไว้ บางส่วนชักดาบชี้มาที่หวูไว่และเฉินตงด้วยสีหน้าดุดัน
ในขณะที่หวูไว่มัวแต่ตะลึงกับภาพเบื้องหน้าอยู่นั้น อู๋ซีในชุดเกราะ สวมหมวกเหล็ก ก็ก้าวออกมาข้างหน้า และพูดด้วยเสียงอันกังวาน
“เฉินตง…เจอกันอีกแล้วสินะ”
“แล้วก็เจ้าหวูไว่…ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”
เด็กหนุ่มแห่งหมู่บ้านเซียงอู่หันไปมองเฉินตงที่ยืนข้างๆเหมือนมีคำถาม แต่ดูเหมือนว่าโจรป่าผู้มีผมยาวสลวยจะไม่มีอารมณ์ที่จะกล่าวอะไรออกมา เฉินตงหยิบอาวุธคู่ใจออกมา เป็นทวนเล่มยาว มีสีเขียวเหมือนสีของใบไม้ มีลวดลายอันแปลกตา แม้ดูน้ำหนักจะไม่เบานัก แต่เมื่ออยู่ในมือของเฉินตงแล้วดูเหมือนราวกับถือทวนไม้ไว้อย่างนั้นนั่นแหละ
“ดีใจที่ได้พบขุนพลเอกอู๋ซีอีกครั้ง”โจรป่ากล่าว
“ปล่อยเด็กคนนั้นไว้กับเรา…”อู๋ซีพูดเหมือนตะโกน
ช่างแปลกนัก-เฉินตง ชายหนุ่มผมยาวหาได้สะดุ้งกับเสียงตะโกนของขุนพลเอกแห่งกองทัพอัศวินดำแต่อย่างใดไม่
“มา” โจรป่าพูดเหมือนเสียงตวาด
มีเสียงเคลื่อนไหวอยู่ในชายป่าดังระงมอยู่ครู่ใหญ่ หมู่ไม้โยกไหวไปมา มีเสียงพึ่บพั่บเหมือนเสียงของผู้คนชักอาวุธอยู่ไปมาตลอด
ไม่ช้าไม่นาน ชายฉกรรจ์ในชุดเขียวกลุ่มใหญ่พร้อมอาวุธครบมือก็ปรากฎออกมา
“ขุนพลอู๋ซีคงไม่คิดว่าข้าจะเดินทางมาคนเดียวหรอกกระมัง…”
“ถึงอย่างไร ข้ามีกำลังพลเหนือกว่าพวกเจ้ามาก แค่ปิดล้อมเอาไว้ เจ้าก็คงไม่มีทางไปแล้ว” ขุนพลเอกแห่งกองทัพอัศวินดำพูดเหมือนคำราม พร้อมกับชักกระบี่ออกจากฝัก
แต่โจรป่าผู้ลึกลับเอามือเดาะดาบไปมาอย่างใจเย็นก่อนจะขว้างสิ่งของบางอย่างลงกับพื้นดินเสียงดังขึ้นมา และปรากฎหมอกควันสีเทาจางๆขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นฉุนประหลาด และม่านของหมอกควันกลืนร่างของหวูไว่ และพวกโจรป่าที่มีความเป็นมาอันลึกลับจนหมด
“รีบหนีเร็ว…”เสียงของโจรป่าเฉินตงกระซิบบอกกับเด็กหนุ่ม
และยังไม่ทันที่หวูไว่จะทำอะไรต่อไป ก็มีมือคู่หนึ่งกระชากแขนเขาโดยแรงและพุ่งปราดออกไปทางชายป่าด้านหนึ่ง โดยมีเสียงขวับเขวี้ยวของลูกธนูฝ่าหมอกควันและพุ่งผ่านศรีษะของเด็กหนุ่มไปอย่างหวุดหวิด
เสียงของเฉินตงดังแว่วอยู่ข้างหูอีกว่า
“ขุนพลอู๋ อย่าเอาแต่ไล่ตามพวกข้าอยู่เลย อากาศแห้งแล้งอย่างนี้ บางทีอาจทำให้คลังอาวุธของกองทัพเกิดเหตุไฟลุกใหม่เอาได้ง่ายๆ…จริงมั๊ยเล่า”
เสียงคำรามของอู๋ซีคำรามผ่านม่านหมอกควันว่า
“ไอ้พวกโจรป่า ข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่”
อู๋ซีเผ่นโผนเข้าหากลุ่มโจรป่าและหวู่ไว่ด้วยอาการเคียดแค้น ในขณะที่กองกำลังทางด้านหลังก็ควบทะยานเข้าหาเสียงสนั่นหวั่นไหวไปทั้งป่า
“เตรียมตัว…” โจรป่าเฉินตงตะโกน และชุดกระฉากลากถูหวูไว่ที่ยืนตะลึงมุ่งเข้าสู่ชายป่า ในขณะที่ชายฉกรจ์ชุดเขียววิ่งพลางต่อสู้พลางเหมือนจะเป็นโล่มนุษย์กำบังให้ เสียงปะทะกันดังอึงคะนึงขึ้นมา เสียงดาบปะทะดาบดังสนั่นหวั่นไหว
ลูกธนูพุ่งหวีดหวิวข้ามศรีษะหวูไว่ไปมาอยู่หลายครั้ง แต่ก็แค่เฉียดไปเท่านั้น เฉินตงดูจะมีความสามารถไม่น้อย มือหนึ่งใช้ทวนปัดป่ายลูกธนูที่ยิงสวนเข้ามา แต่อีกมือหนึ่งก็กระชากหวูไว่ติดมือหนีเข้าด้านลึกของชายป่าไปอย่างทุลักทุเล
ไม่ช้าไม่นานก็หายลับไปจากชายป่าที่ดกครึ้มไปด้วยสีเขียวของต้นไม้

(3)
หวูไว่ยืนเหนื่อยหอบ แข้งขาดูเหมือนจะไม่มีเรี่ยวแรงอีกต่อไป ภูมิประเทศเบื้องหน้าไม่ใช่ป่าทึบที่ต้นไม่ใหญ่เรียงรายอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเวิ้งเขาอันเขียวขจี เริ่มมีแสงจากพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าออกมาแล้ว
“ยังหยุดพักไม่ได้เจ้าหนู…” โจรป่านามเฉินตงกล่าวเตือน
เฉินตงเป่าปากเป็นเสียงสัญญานและหันไปพยักเพยิดกับกลุ่มชายฉกรรจ์ที่รอดหนีมาได้
น่าประหลาด ม้ากลุ่มใหญ่เผ่นโผนมาจากด้านไหนก็ไม่รู้ เหยาะย่างมาถึงบริเวณที่พวกของหวูไวยืนอยู่
จะพาข้าไปไหน-หวูไว่อยากร้องถามอย่างนั้นนัก
แต่ดูเหมือนไม่มีเวลาเสียแล้ว หวูไว่รู้สึกเหมือนมีแรงบางอย่างดีดร่างของเขาขึ้นม้า และเจ้าม้าก็พุ่งทะยานออกไปทันที ลอยละล่องเหมือนอยู่เหนือพื้นพสุธาอะไรอย่างนั้นเลยทีเดียว
มีเสียงอึงอลไล่ตามหลังมา หวูไว่ไม่กล้าหันกลับไปมอง เพราะกลัวว่าหากเห็นกองทัพอัศวินดำขี่ม้าไล่ตามมาจะเกิดอาการตกใจจนหล่นจากหลังม้าไปเสียก่อน
เด็กหนุ่มจากหมู่บ้านเซียงอู่เพ่งมองไปข้างหน้า มองเห็นเฉินตง-หัวหน้าโจรป่าเร่งฝีเท้าม้าเป็นพัลวัน
“ดูนั่น…” เสียงชายฉกรรจ์เสื้อเขียวที่ขี่ม้ากระหนาบหวูไว่อยู่ตะโกนพร้อมกับชี้ดาบไปข้างหน้า
เมื่อเด็กหนุ่มหันมองตามไปก็ถึงกับดวงตาลุกโพลงด้วยอาการตื่นเต้นขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
บนถนนเบื้องหน้าปรากฎร่างของกลุ่ม ทหารในชุดเกราะพร้อมอาวุธครบมือกลุ่มใหญ่กำลังเร่งรุดมาทางนี้ และมีเสียงเป่าเขาดังก้องไปทั่ว พร้อมกับเสียงชักอาวุธดังเปรื่องปร่าง และร่างในชุดเกราะหนึ่งกำลังกวัดแกว่งดาบในมือเป็นประกายเจิดจ้านำหน้าอยู่
แม้จะอยู่ไกลสายตาออกไป แต่หวูไว่ก็จำได้แม่นว่า จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก หลี่มู่ แม่ทัพใหญ่แห่งกองกำลังเมฆขาวเท่านั้น
กองกำลังเมฆขาวพุ่งตรงเข้ามาไกล้ และดาหน้าเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ในขณะที่เสียงโห่ร้องของทหารอัศวินดำที่ตามไล่หลังมาก็แผดก้องขึ้น
“ไป…เจ้าหนูไป๊” เฉินตงที่ขี่ม้ากระหนาบเข้ามาตะโกนด้วยเสียงอันดัง และใช้มือตบที่ม้าตัวที่หวูไว่นั่งอยู่ และเจ้าม้าก็แสนรู้นัก ควบยาวหักเลี้ยวไปทางซ้ายมุ่งตรงสู่เวิ้งเขาที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้า แต่เด็กหนุ่มก็ยังทันเห็น กองกำลังเมฆขาวกำลังเผ่นโผนเตรียมเข้าปะทะกับกองทัพอัศวินดำที่ไล่ตามหลังหวูไว่และพวกอยู่ไวๆ
“เจ้าโชคดีนัก ได้กองกำลังเมฆขาวมาต้านปะทะไว้เช่นนี้เรามีทางรอดแน่แล้ว ไป”เสียงของโจรป่า-เฉินตงแว่วมาข้างหู
หวูไว่ส่งสายตามองกลับไปที่ด้านหลัง นอกจากจะมองเห็นแม่ทัพใหญ่หลี่มู่นำหน้าแล้ว ยังแว่บเห็น เอียนซี-หงสาคะนองศึกทะยานเคียงข้างไปด้วย และกำลังเผ่นโผนเข้าปะทะกับกองทหารอัศวินดำอยู่แล้วในขณะนี้ และเสียงโห่ร้องฆ่าฟันดังอลหม่านไปหมด
หวูไว่ หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของคำว่าสงคราม เด็กหนุ่มหลับตานึกถึงทหารที่โดนดาบฟาดฟันเข้าใส่ จนร่วงหล่นลงจากหลังม้า ร่างกายชุ่มไปด้วยเลือด แล้วก็มือไม้อ่อนขึ้นมาทันที
แต่ก็เพียงแว่บเดียวเท่านั้น ม้าของหวูไว่ก็ควบเต็มกำลังมุ่งสู่เวิ้งเขาเบื้องหน้า ทิ้งเหตุการณ์ปะทะกันระหว่าง 2 กองกำลังที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคเอาไว้เบื้องหลัง

(4)
หวูไว่และกลุ่มโจรป่าควบม้าหนีเหตุการณ์รบพุ่งที่เมืองเว่ยนานหลายชั่วยาม ขณะนี้ท้องฟ้ากระจ่าง อากาศรอบข้างเริ่มเย็น สายลมอ่อนๆพัดมาปะทะ และเบื้องหน้าในขณะนี้คือเทือกเขาใหญ่อันสูงชัน ดกครึ้มด้วยป่าไม้อันเขียวขจี ยิ่งควบม้าเข้าไปไกล้ หวูไว่ก็ยิ่งรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลายอย่างประหลาด
มีถนนทอดยาวโผล่ออกมาเมื่อทั้งหมดทะยานถึงตีนเขา หวูไว่เหยาะย่างม้าเข้าไปหาอย่างลืมตัว อากาศรอบข้างเริ่มเย็นชื้น มีกลิ่นหอมดอกไม้นานาพันธุ์ลอยมาเข้าจมูก มีเสียงนกร้องดังจุ๊บจิ๊บไปมา
“ที่นี่ที่ไหนกันนะ…” หวูไว่ครวญออกมาอย่างลืมตัว
“เขาเรียกว่าป่าหฤหรรษ์ไงเล่าเจ้าหนุ่ม…”เฉินตงไขความกระจ่าง และหันมามองเด็กหนุ่มจากหมู่บ้านเซียงอู่ด้วยดวงตาอ่อนโยนกว่าเดิม
ทั้งหมดขี่ม้ามาจนถึงสุดขอบถนน ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฎต่อสายตาทำให้หวูไว่ ดวงตาเบิกโพลงขึ้นมา
มีหอคอยไม้ตั้งตระหง่านอยู่ฝั่งตรงข้าม โดยมีสะพานไม้ทอดยาวเชื่อมระหว่างสองฝั่ง และมีบึงน้ำใหญ่ทอดตัวยาวอยู่เบื้องล่าง
เมื่อก้าวผ่านหอคอยเข้าไป หวูไว่ก็ได้เห็นบ้านหลังเล็กหลังน้อยผุดขึ้นมา เรียงรายอยู่สองข้างทาง เป็นบ้านหลังคามุงจากไม่ผิดเพี้ยนไปกับในหมู่บ้านเซียงอู่เลย
แต่ทุกหลังตั้งอยู่บนต้นไม้ใหญ่!
หวูไว่สังเกตเห็นคนในบ้านเดินออกมาโบกมือทักทายให้กับเฉินตงกับพวกที่เหยาะย่างม้าเข้ามาในหมู่บ้านอีกด้วย
ท้องฟ้าเบื้องบนนั้นเล่า มีนกฝูงใหญ่บินโฉบไปโฉบมา บ้างก็บินไปเกาะอยู่เหนือหลังคาบ้าน
สวยเหลือเกิน-หวูไว่บอกกับตัวเอง
หวูไว่ก้าวลงจากหลังม้า และเดินตามเฉินตงกับพวกไปโดยดี แม้จะมีคำถามอยู่ในใจ แต่ดูเหมือนว่า ไม่ช้าไม่นานนี้เด็กหนุ่มน่าจะได้คำตอบที่ตัวเองต้องการ
เฉินตงนำพาหวูไว่เดินผ่านถนนอันชุ่มชื้นมาจนถึงอารามหลังหนึ่ง
ใช่แล้ว-เป็นอารามของนักพรตที่ผุดขึ้นมาอยู่กลางป่าลึกได้อย่างน่าประหลาด
ถึงตอนนี้นักรบที่ติดตามมาจากชายป่าริมหมู่บ้านเว่ยแยกย้ายกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงเฉินตงที่นำหวูไว่เดินดุ่มเข้าสู่อาราม ภาพของห้องอันกว้างขวาง ตกแต่งอย่างเรียบง่ายปรากฎแก่สายตา แสงอาทิตย์ลอดผ่านจากหน้าต่างด้านหนึ่งเข้ามา
มีนักพรตยืนเรียงรายอยู่ด้วยอาการเงียบสงบราว 4-5 คน และมีนักพรตผู้หนึ่งคุกเข่าสวดภาวนาต่อหน้าพุทธรูปเบื้องหน้า
หวูไว่ออกจะมึนงงอยู่เล็กน้อย แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเงียบสงบอันประหลาดของอารามแห่งนี้ เรี่ยวแรงที่หดหายจากการตรากตรำในการเดินทางคลายลงไปมาก และสายตากำลังเพ่งมองไปที่ร่างของนักพรตที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า พร้อมกับความรู้สึกอันแปลกประหลาดผุดขึ้นมา แม้จะเห็นจากทางด้านหลัง แต่เขาช่างคุ้นกับนักพรตผู้นี้เสียเหลือเกิน
นักพรตผู้นี้มีผมเป็นสีเทา อยู่ในชุดนักพรตสีเทาด้วยเช่นกัน ในขณะที่หวูไว่สังเกตสังกาอยู่นั้น นักพรตก็หันหน้ามา และทำให้เด็กหนุ่มเกิดอาการตะลึงพึงเพริศขึ้นมาจนต้องตะโกนออกมา
“ท่านนักพรต…”
นักพรตเฒ่าผู้นี้มีดวงตาอันอ่อนโยน มีเครายาวสีดอกเลายื่นออกมา และมีรอยยิ้มน้อยๆปรากฎจะเป็นใครไปได้เล่านอกจากนักพรตเฒ่าที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้ถึง 2 ครั้ง 2 ครา และเคยทักชื่อของเขาได้อย่างถูกต้องตั้งแต่เจอครั้งแรกนั่นเอง
นักพรตเฒ่ายิ้มให้เด็กหนุ่ม ใช้มือลูบเครายาวของตัวเอง และกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ข้าคือนักพรตจางเหลียงแห่งป่าหฤหรรษ์”
“นักพรตจางเหลียง…” เด็กหนุ่มทวนคำ
ใช่แล้ว-ตอนที่ปะทะกับขุนพลอู๋ซีครั้งแรก และได้นักพรตเฒ่ายื่นมือมาช่วยเหลือ เขาได้ยืนขุนพลเอกแห่งกองทัพอัศวินดำเรียกชื่อ นักพรตจางเหลียงมาแล้วครั้งหนึ่ง
แล้วป่าหฤหรรษ์ละ-มันคืออะไรกัน
เด็กหนุ่มกระพริบตาถี่ๆ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ความมึนงงเกาะกุม สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในช่วงหลายวันที่ผ่านมามันสุดแสนจะเหลือเชื่อ
หวูไว่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรที่สาปสูญอะไรนั่น ไม่รู้ว่าตัวเองเข้ามาพัวพันกับการรบพุ่งของกองกำลังต่างๆได้อย่างไร
และยิ่งงุนงงกับการถูกนำตัวมาที่ป่าหฤหรรษ์แห่งนี้อีก
อะไรจะเกิดขึ้นกับเขาอีกนับแต่นี้?
บางทีนักพรตเฒ่าผู้ใจดีนี้อาจช่วยได้-หวูไว่นึกในใจ
“เจ้าคงสงสัยสินะ ว่าทำไมถึงถูกนำมาตัวมาที่นี่ ข้ามีคำตอบให้เจ้า” นักพรตพูดเหมือนอย่างที่ใจของเด็กหนุ่มต้องการทราบ
หวูไว่พยักหน้า
“แต่เจ้าเพิ่งเดินทางมาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนเสียก่อนเถิด มีหลายเรื่องที่เจ้าจะได้รู้ในไม่ช้า แต่ข้าคงไม่สามารถบอกเล่าได้หมดในเวลาอันสั้น แต่ช่างเถิดเรายังมีเวลาพอสมควร เจ้าคงต้องอยู่ที่นี่ไปอีกหลายวันแน่”
“หา…”
เด็กหนุ่มมึนงงอีกแล้ว
ดูเหมือนว่าหลังจากออกมาจากหมู่บ้านเซียงอู่ ชีวิตของเด็กหนุ่มก็เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเกียะหยูเป็นเวลานาน จากนั้นก็ต้องเข้าไปพัวพันกับนายพลซื่อชางและกองทัพอัศวินดำเข้าอีก
และตอนนี้หลบหนีภัยมาอยู่ที่ป่าหฤหรรษ์แห่งนี้ และไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ไปอีกนานเท่าใดอีกด้วย
ที่แน่ๆเขาคิดถึงหมู่บ้านเซียงอู่ของเขาเสียเหลือเกิน
“ท่านนักพรต ข้าอยากถามสักข้อ” เด็กหนุ่มทนเก็บความสงสัยต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
นักพรตจางเหลียงพยักหน้า
“ท่านเคยรู้จักข้ามาก่อนใช่มั๊ย”
นักพรตเฒ่าหัวเราะเบาๆกับคำถามของเด็กหนุ่ม
“เป็นความจริง ข้ารู้จักเจ้า รู้จักมานานทีเดียว รู้จักกระทั่งที่มาของชื่อของเจ้า หวูไว่”
“ชื่อของข้าเหรอ..ไม่มั๊ง”
“รู้มั๊ยว่าชื่อหวูไว่ของเจ้ามีที่มาอย่างไร และใครเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้กับเจ้า”
หวูไว่เกาหัวแกรกๆ
“ก็คงเป็นลุงกับป้าของข้าที่เซียงอู่นะซิ ท่านนักพรต และเท่าที่ทราบชื่อของข้ามีความหมายว่าไม่ทำอะไรเลย”
นักพรตเฒ่าส่ายหน้า
“หวู - มีความหมายว่าไม่ใช่หรือไม่มี ส่วน เว่ย คือการกระทำ แต่ชื่อของเจ้าไม่ได้มีความหมายว่าไม่ทำอะไร แต่มันคือ การไม่ทำอะไรที่ไม่สอดคล้องกับจักรวาลและธรรมชาติต่างหาก หรือความจริงก็คือ การสอดคล้องและสมดุล การเชื่อมโยงเป็นหนึ่งนั่นเอง”
“เหวอ…เป็นอย่างนั้นเหรอ”เด็กหนุ่มว่า ก่อนจะถามเหมือนละเมอ
“แต่ท่านนักพรตรู้ความหมายของชื่อข้าได้อย่างไร ท่านรู้มากกว่าตัวข้าเองเสียอีก”
“ข้าย่อมรู้แน่…”
“เพราะข้าเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้กับเจ้าเอง” นักพรตเฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อะไรนะ…”เด็กหนุ่มครางออกมา
“เป็นไปไม่ได้”
หวูไว่พูดด้วยน้ำเสียงสั่น และรู้สึกเหมือนอยากจะเป็นลมขึ้นมาเสียอย่างนั้นแหละ

๓.๓.๕๑

นักรบจากดาวดวงอื่น (11)-พบผู้ยิ่งใหญ่

(1)

หลี่มู่ แม่ทัพใหญ่แห่งกองกำลังเมฆขาวพร้อมด้วยนายทหารมือดีหมู่หนึ่งควบม้านำหวูไว่ จากที่พักรบในชายป่าด้านหนึ่งมาจ่อประชิดอยู่หน้ากำแพงเมืองเว่ยแล้วในขณะนี้
ในขณะที่กองทัพของกองกำลังเมฆขาวทางด้านหลังได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่คาดฝัน
เมืองเว่ย อาจไม่ใช่ฐานที่มั่นใหญ่ของกองทัพอัศวินดำก็จริง แต่หลังจากขุนพลอู๋ซีใช้กำลังเข้ายึดครองแล้ว เชื่อว่าต้องสั่งสมกำลังคนไว้ไม่น้อยเลย หากมีการปะทะแตกหักกันจริงระหว่างกองกำลังทั้งสองฝ่ายยากจะคาดเดานักออกผลจะลงเอยออกมาเช่นไร
หลังจากทั้งหมดปักหลักรออยู่ชั่วอึดใจ กำแพงเมืองก็เปิดออก อู๋ซี ควบม้าฝ่าออกมา โดยมีทหารของอัศวินดำจำนวนหนึ่งเดินตามออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไร้วิญญาน และท้ายแถวคือ เอียนซี และเหล่าทหารของกองกำลังเมฆขาวที่โดนจับกุมตัวมา ในจำนวนนั้นรวมถึง 2 ทหารใหม่ เรียว-อากิ เด็กหนุ่มจากเมืองเซียงอู่ด้วย
“เป็นไงเจ้าหนุ่มหวูไว่…พบกันอีกแล้วซินะ” ขุนพลอู๋ซีพูดขึ้นมาขณะที่มองมาที่เด็กหนุ่มอย่างไม่วางตา
ใช่แล้ว-หวูไว่ เคยเจอกับ ขุนพลเอกแห่งกองทัพอัศวินดำมาครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ ซึ่งครั้งนั้นหากไม่ได้นักพรตเฒ่าผู้นั้นช่วยเหลือไว้ ป่านนี้เขาก็คงตกอยู่ในกำมือของพวกอัศวินดำไปแล้ว
ส่วนในขณะนี้ แม้จะมีทหารของกองกำลังเมฆขาวยืนรายล้อมอยู่ แต่หวู่ไว่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ มือเย็นเฉียบขึ้นมา ไม่รู้จะพูดตอบโต้กับฝ่ายตรงข้ามอย่างไรดี
“ได้เวลาแล้วกระมัง ขุนพลอู๋ซี” หลี่มู่ กล่าวขึ้นมา
อู๋ซียิ้มพลางพยักหน้า แล้วยกมือเป็นสัญญาน
ในไม่ช้า ทหารอัศวินดำก็รุนร่างของเหล่าเชลยที่ถูกมัดมือไพล่หลังให้ก้าวเดินตรงไปข้างหน้า ในขณะที่หลี่มู่ก็หันมาพยักเพยิดให้หวูไว่ ก้าวเท้าลงจากม้าและเดินตรงไปยังกำแพงเมือง
เป็นการแลกตัวที่กระทำกันอย่างง่ายๆ แต่สำหรับเด็กหนุ่มจากเมืองเซียงอู่แล้วตกใจแทบตาย กว่าที่เขาจะก้าวเท้าได้แต่ละก้าวเป็นไปอย่างยากลำบากเหลือเกิน ยิ่งมองไปที่อาการถมึงมึงของทหาร 2 ฝ่ายที่จ้องมองกันอย่างไม่วางตาด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำเอาหัวใจหล่นไปกองอยู่ตาตุ่ม
แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อหวูไว่เดินสวนกับเอียนซีและพวก หวูไว่ก็ยังมีแก่ใจพยักเพยิดและยิ้มให้ ก่อนที่จะมีทหารอัศวินจำนวนหนึ่งเข้ามากระชากลากถู และใช้เชือกมัดมือไพล่หลัง และรุนตัวให้เดินไปที่กำแพงเมืองโดยเร็ว
“หวูไว่…หวูไว่เว๊ย รักษาตัวด้วยนะ แล้วพวกเราจะหาทางช่วย” เรียวนั่นเองที่ตะโกนมา เด็กหนุ่มจะทำอะไรได้นอกจากหน้าพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปมองทางคุณหนูเอียนแว่บหนึ่ง
แต่เพียงสบตากันเพียงครั้งเดียวก็พอแล้ว-เด็กหนุ่มรู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นหญิงสาวปลอดภัยดีแล้ว
ในไม่ช้าเด็กหนุ่มก็ถูกรุนร่างหายลับเข้าไปในกำแพงเมือง พร้อมกับเหล่าทหารอัศวินดำเหล่านั้น
ในขณะที่เอียนซี และพวกก็พากันทรุดฮวบลงเมื่อเดินไปถึงบริเวณที่หลี่มู่และทหารกองกำลังเมฆขาวยืนปักหลักระแวดระวังอยู่

(2)

ธรรมดาแล้ว เมื่อหลี่มู่นั่งวางแผนการรบอยู่กับทหารคู่ใจในกระโจมแล้ว ไม่อนุญาติให้ใครคนหนึ่งวิ่งพรวดเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาติ
แต่เมื่อมีร่างหญิงสาวในชุดขาวทะยานเข้ามา แม่ทัพหวูไว่ไม่เพียงไม่โกรธเท่านั้น ยังโพล่งถามออกไปด้วยว่า
“ซียี้…ทำไมเจ้าไม่พักผ่อนเล่า ออกมาที่นี่ทำไม”
จะเป็นใครไปได้เล่า เอียนซี-นางสิงห์คะนองศึกนั่นเอง
แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าอันขึงขังของคู่หมั้นสาวแล้ว แม่ทัพใหญ่แห่งกองกำลังเมฆขาวก็เม้มริมฝีปาก โบกมือให้นายทหารที่กำลังร่วมกันวางแผนการรบออกไปชั่วครู่
“พี่หลี่ ท่านทำอะไรของท่าน ข้าได้ยินว่าท่านสั่งให้พวกเราถอนกำลังออกจากที่นี่ แล้วหวูไว่ละ…” หญิงสาวละล่ำละลักกล่าว
“นั่งก่อนเถิด ซียี้” หลี่มู่พูดแล้วเดินไปรุนหลังให้คู่หมั้นสาวนั่งลง
“สงบใจฟังข้าก่อนเถิด อย่าใจร้อนไปเลย”
“แต่นี่…”หญิงสาวพยายามเถียง จนคู่หมั้นหนุ่มต้องโบกมือห้าม
“เจ้าอาจเป็นคู่หมั้นของข้า แต่ในฐานะจอมทัพของกองกำลังเมฆขาวเจ้าต้องปฎิบัติตาม และข้าก็มีเหตุผลด้วย”
“เหตุผลอะไรเล่า…อย่าลืมว่าหวูไว่ช่วยข้าและทหารของเราไว้นะ” เอียนซีเถียงพลางขมวดคิ้ว
หลี่มู่ ก้าวเดินช้าๆแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆคู่หมั้นสาวพลางกล่าวว่า
“อย่าลืมว่า นี่เป็นพื้นที่ซึ่งกองทัพอัศวินดำเข้ายึดครอง ทั้งในเมืองเว่ย และบริเวณไกล้เคียงคงมีการวางกำลังเพื่อรับมือเราไว้อย่างแน่นหนาแล้ว และมันไม่ใช่ชัยภูมิที่เราได้เปรียบแม้แต่น้อย ข้าสั่งให้เราถอยเพื่อความปลอดภัยของทหารทุกคนนะ”
“แต่ว่า…”นางสิงห์คะนองศึกพูดค้านแต่น้ำเสียงแผ่วเบาลงไปจากตอนแรก
“ข้าเข้าใจว่าเจ้าเป็นห่วงเด็กหนุ่มคนนั้น และข้าก็ต้องบอกว่านับถือในน้ำใจของเด็กหนุ่มหวูไว่ด้วยเหมือนกัน แต่เชื่อเถอะว่า เขาจะไม่เป็นไร พวกอัศวินดำไม่ได้คิดแผนนี้ขึ้นมาเพียงเพื่อต้องการกำจัดเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวหรอก หวูไว่ยังมีประโยชน์ต่อนายพลซื่อชาง เขาจะต้องอยู่รอดปลอดภัย เราเพียงแต่ต้องรอโอกาสเท่านั้น”
“รอคอยโอกาสเช่นนั้นหรือ…”
หลี่มู่ผงกศรีษะกล่าวว่า “ใช่แล้ว…ที่สำคัญนี่เป็นคำร้องขอของหวูไว่เอง”
“อะไรนะ…” เอียนซีแผดเสียงขึ้นด้วยอาการตกใจ
“ซียี้…เป็นความจริง ตอนที่เราจะนำตัวเขามาแลกกับพวกเจ้านั้น หวูไว่แจ้งกับข้าเองว่าไม่ต้องการให้มีการเสียเลือดเนื้อของทหารของเราต่อไปอีก…”
เอียนซี ผลุดลุกขึ้นพึมพำเสียงดังอยู่ในลำคอครู่หนึ่ง แล้วเดินสะบัดออกไปจากกระโจม ไม่ฟังเสียงเรียกของคู่หมั้นหนุ่มแม้แต่น้อย
ในที่สุดสงครามครั้งแรกของหวูไว่-เด็กหนุ่มจากเซียงอู่ จึงจบลงด้วยการเสียสละตัวเอง ไม่มีใครต้องเสียเลือดเนื้อเยี่ยงนี้เอง

(3)

หลังจากถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องพักได้ราว 3 วัน หวูไว่ก็ได้ยินข่าวว่า กองกำลังเมฆขาวได้ถอนกำลังออกไปจากชายป่าทางด้านนอกของเมืองเว่ยแล้ว ทำให้เด็กหนุ่มคลายใจลงไปมาก
แต่ต่อจากนั้นเขาก็ได้แต่กระสับกระส่ายไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองนับจากนี้ จะถูกจับตัวไปอยู่ที่ไหน จะถูกจับฆ่าหรือเปล่า หรือว่าจะขังเขาไว้เฉยๆอย่างนี้
แต่เช้าวันนี้ เขาก็ได้คำตอบ
ขุนพลอู๋ซี-ขุนพลเอกแห่งกองทัพอัศวินดำรอเขาอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ และเมื่อเจอหน้ากัน ขุนพลหนุ่มผู้นี้ไม่ได้กล่าวอะไรกับเขาเลยนอกจากคำว่า
“ตามข้ามา…ข้าจะพาเจ้าไปพบกับใครบางคนที่ตึกบัญชาการใหญ่”
จากนั้น หวูไว่ก็ถูกนำตัวเดินจากเรือนพักที่คุมขังมุ่งตรงไปยังตึกบัญชาการใหญ่ที่อยู่ห่างไม่ไกลนัก
ในที่สุด หวูไว่ก็เดินมาถึงห้องโถงใหญ่ เป็นห้องโล่งๆที่ไม่มีทหารอัศวินดำยืนเฝ้าอยู่เหมือนเส้นทางที่ผ่านมา ทุกอย่างดูเงียบสงัด
มีผู้ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนหันหลังอยู่ ชายผู้นั้นอยู่ในชุดทหารเต็มยศ เอามือไพล่หลัง เงยหน้ามองรูปวาดมังกรขนาดยักษ์บนกำแพงอย่างสนใจ
“มาแล้วครับท่านนายพล” อู๋ซีพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และค้อมหลังลงน้อยๆด้วยอาการนอบน้อมต่อชายร่างใหญ่เบื้องหน้า
“ว่าไง หวูไว่”
ชายร่างสูงใหญ่กล่าวทักทายก่อนจะค่อยๆหันหน้ามาทางหวูไว่อย่างช้าๆ
แม้จะไม่เคยเห็นหน้าชายผู้นี้มาก่อน แต่เด็กหนุ่มรู้แทบจะในทันทีว่าชายผู้นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “ท่านคือ…ท่านคือนายพล…เอ้อ” เด็กหนุ่มพูดเสียงตะกุกตะกักขึ้นมาทันที
ตอนนี้เขาเห็นใบหน้าของนายพลซื่อชาง ผู้ยิ่งใหญ่แห่งกองทัพอัศวินดำได้อย่างชัดเจนแล้ว
ใบหน้าของนายพลซื่อชางไม่ได้ดุร้ายอย่างที่หวูไว่คิดไว้แต่แรก หนวดเหนือริมฝีปาก และเคราอันดกดำไม่ได้ทำให้ดุร้าย น่าหวาดกลัว แต่แสดงให้เห็นถึงความมีอำนาจ ความเด็ดขาดเสียมากกว่า
แต่สิ่งที่ทำให้หวูไว่หนาวไปถึงไขสันหลัง และมีอาการสั่นเทิ้มขึ้นมาก็คือ ดวงตาทั้งสองข้างของท่านนายพลที่เพ่งมองมาอย่างไม่วางตานั่นเอง เพราะมันช่างเย็นชา ไร้ความรู้สึก ราวกับไม่มีวิญญานอะไรปานนั้น
“ใช่จริงๆ ใช่เจ้าจริงๆ”นายพลซื่อชางกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ดวงตาลุกวาววาม เก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้ไม่ไหว
“เจ้าคือเด็กหนุ่มคนนั้น” นายพลพูดเบาๆเหมือนกระซิบกับตัวเอง
“ข้า…ข้า…เอ่อ…คงไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ท่านตามหาหรอกกระมัง ท่านน่าจะดูผิดคนมากกว่า” หวูไว่ตอบเสียงสั่น หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
“ฮ่า” ท่านนายพลเงยหน้าหัวเราะราวกับขบขันเสียเต็มประดา
“หวูไว่เจ้ารู้หรือไม่ เจ้าไม่ใช่เด็กหนุ่มธรรมดา เพราะไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่โต้เถียงข้ามาก่อน เพราะคนที่ทำอย่างนั้นไม่มีทางที่จะมีชีวิตรอด รู้ไว้ด้วย” นายพลซื่อชางพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
“ถ้าข้าบอกว่าใช่ก็คือใช่ ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ เจ้าหนุ่ม”
ฟังแค่นี้ หัวใจของเด็กหนุ่มจากเมืองเซียงอู่ก็หล่นไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม
แล้วแต่ชะตากรรมเถอะ เด็กหนุ่มบอกกับตัวเอง

(4)

“หวูไว่ เจ้านี่บอบบางนัก ตอนเด็กๆเจ้าคงไม่ค่อยได้กินอาหารดีๆมากนัก แล้วก็เอาเวลาเที่ยววิ่งไปวันๆ ใช่มั๊ยเล่า”
แม้จะเป็นคำถามที่คาดคั้นไปหน่อย แต่น้ำเสียงที่ไม่กระแทกกระทั้นเหมือนครั้งแรกที่เจอหน้ากัน ก็ทำให้เด็กหนุ่มจากเซียงอู่คลายความกลัวในตัวของนายพลซื่อชางลงไปมาก ไม่รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออกเหมือนนาทีแรกที่ก้าวเข้ามาในห้องนี้อีกแล้ว แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะกล่าวโต้ตอบอะไรออกไป
และโดยไม่คาดฝัน นายพลผู้ยิ่งใหญ่แห่งกองทัพอัศวินดำ เดินมาตบบ่าหวูไว่จนต้องสะดุ้งเฮือกขึ้นมา
นายพลซื่อชางมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าหวูไว่อยู่มาก ทุกครั้งที่ต้องตอบคำถามเด็กหนุ่มจึงต้องแหงนหน้าพูด และในขณะนี้ในห้องโถงใหญ่มีเพียงท่านนายพลกับหวูไว่เท่านั้น
“เจ้าต้องมีจิตที่สงบนิ่ง เพราะเมื่อจิตสงบนิ่งเจ้าก็จะสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง” หวูไว่นึกถึงคำสอนของเฒ่าลู่ และรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
“เจ้าอาจไม่รู้ตัว มีบางอย่างในดวงตาของเจ้าที่บอกกับข้าว่าเจ้าไม่เหมือนเด็กหนุ่มทั่วไปที่ข้าเคยพบ” นายพลซื่อชางเริ่มต้นอีกครั้ง
หวูไว่ไม่พูดอะไร พยายามคุมสมาธิให้มั่น
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องอาณาจักรที่สาปสูญบ้างมั๊ย เจ้าหนุ่ม”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ ใคร่ครวญวิธีที่จะพูดเพื่อไม่ให้สถานการณ์ของตัวเองต้องเลวร้ายกว่านี้
“ข้าไม่รู้จักท่านนายพล และมองไม่เห็นเหตุผลที่ท่านต้องให้ความสนใจความมีอยู่ของอาณาจักรที่สาปสูญอะไรนั่น มันน่าจะเป็นเพียงข่าวที่ร่ำลือกันไปเท่านั้น และที่สำคัญมันไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับข้าได้เลย”
นายพลผู้ยิ่งใหญ่เพ่งตามองเด็กหนุ่มพลางยิ้มน้อยๆอย่างพออกพอใจ
“ข้าจะบอกความลับให้อย่าง อาณาจักรที่สาปสูญไม่ใช่เรื่องที่กุขึ้นมา และมันเกี่ยวกับเจ้าโดยตรงทีเดียว”
“หา…”
นายพลผู้ยิ่งใหญ่ใช้แขนรั้งตัวให้หวูไว่ลุกขึ้นยืน แล้วลากตัวเด็กหนุ่มด้วยมือข้างเดียวออกไปจากห้องโถงใหญ่ และก้าวเดินผ่านพวกทหารองครักษ์ที่พากันก้มหน้า พลางหลีกทางให้ และไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่คนเดียว
หวูไว่แข้งขาอ่อน ใจสั่น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะถูกนำตัวไปที่ไหน และเขาจะต้องพบเจอกับอะไรอีก

(5)

หลังจากถูกลากถูมาได้พักใหญ่ หวูไว่ก็พบว่าตัวเองกำลังมายืนอยู่ในห้องนอนห้องหนึ่ง เป็นห้องโล่งที่กว้างขวาง ไม่มีสิ่งประดับในตัวห้องมากมายนัก นอกจากเตียงนอนใหญ่ แล้วก็โต๊ะใหญ่ตรงมุมหนึ่ง
แต่ที่สะดุดตาก็คือ ภาพวาดภาพหนึ่งบนผนังห้อง ซึ่งในขณะนี้นายพลซื่อชางกำลังจ้องมองอย่างไม่วางตา แล้วก็พูดเหมือนคำรามว่า
“เจ้าดูภาพนั่นซิ เห็นอะไรมั๊ย…”
หวูไว่เพ่งมองภาพนั้นอย่างละเอียด ก่อนจะนิ่งตะลึงกับภาพที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า
ในภาพนั้น เป็นภาพของดินแดนประหลาดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นภาพของเมืองใหญ่ที่มีปราสาทสวยงามราวกับสวรรค์สร้างผุดขึ้นมามากมาย แต่ที่งดงามที่สุดก็คือ ราชวังสีขาวที่ตั้งตระหง่านขึ้นมาราวกับเป็นที่อยู่ของเทพแห่งสวรรค์
ดูเหมือนเป็นภาพเขียนที่แสดงให้เห็นถึงอาณาจักรแห่งหนึ่งที่รุ่งเรือง มีความยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
และในมุมหนึ่งของภาพ ปรากฎร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ยืนเคียงข้างกับชายชราในชุดเสื้อคลุมยาวสีเทา ด้วยสีหน้ายิ้มน้อยๆ
เมื่อเพ่งมองอย่างละเอียด หวูไว่ถึงกับแข้งขาสั่นขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
ภาพนั้นบรรจงเขียนด้วยเส้นและสีที่งดงาม และใบหน้าของเด็กหนุ่มนั้นเรียวยาว ดวงตากลมโต คิ้วเรียวยาว
แต่ที่โดดเด่นสะดุดตาก็คือ ดวงตาสีฟ้าใส และเส้นผมสีทองของเด็กหนุ่มในรูปวาด
และมันเป็นใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับเขาเสียเหลือเกิน
ถ้าจะเรียกให้ถูกก็ต้องบอกว่า ภาพเด็กหนุ่มในรูปเป็นคนๆเดียวกับหวูไว่อย่างไม่ต้องสงสัย
“คราวนี้เจ้ารู้หรือยังละว่า เจ้าเกี่ยวข้องกับอาณาจักรที่สาปสูญเพียงไร เจ้าหนุ่ม” นายพลซื่อชางกล่าวด้วยเสียงกังวาน
หวูไว่ไม่มีอะไรจะตอบ นอกจากเพ่งมองภาพวาดนั้นด้วยอาการตะลึงงัน
“มันคือ…”
“ข้าต้องใช้เวลา สรรพกำลังมากมายกว่าจะหาภาพอันมีคุณค่าภาพนี้มาได้ มันไม่ใช่เรื่องที่กุขึ้นมาหรอกเจ้าหนุ่ม อาณาจักรที่สาปสูญเป็นเรื่องจริงที่มีตำนานกล่าวขานไว้นานแล้ว และครั้งแรกที่เห็นภาพนี้ข้าเองก็ตกใจเป็นอันมาก เมื่อเห็นภาพของเจ้าปรากฎอยู่ในภาพด้วย เจ้าไม่ได้เป็นแค่เด็กหนุ่มในความฝันของข้าหรอกนะ ไม่ใช่เลย”
ถึงตอนนี้ หวูไว่รู้แล้วว่า นายพลซื่อชางตามล่าตัวเขาอย่างจ้าละหวั่น เพราะอะไร แต่เรื่องอาณาจักรที่สาปสูญอะไรนั่นมันคืออะไร และอยู่ที่ไหนกันแน่ และเขาไปเกี่ยวข้องกับมันได้อย่างไร
“แต่ข้าก็ยังไม่รู้เรื่องอาณาจักรอะไรนั่นอยู่ดี ท่านนายพล”
นายพลซื่อชางสูดลมหายใจยาวๆก่อนกล่าวว่า
“ในตำนานเล่าขานกันมา บอกว่า อาณาจักรที่สาปสูญแห่งนั้นเปรียบเหมือนดินแดนในฝัน มีทรัพย์สมบัติที่มีค่าเก็บไว้มากมาย และว่ากันว่าในดินแดนแห่งนี้ยังมีของวิเศษล้ำค่า ซึ่งจะทำให้ข้ามีอำนาจ มีชัยชนะในสงครามทุกสมรภูมิ และเจ้าต้องเป็นคนนำทางข้าไปพบอาณาจักรแห่งนั้น”
เด็กหนุ่มได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างงงงัน
“แต่ว่า…ท่านจะแสวงหาอำนาจ ความมั่งคั่งไปทำไม เพราะตอนนี้ท่านก็มีทุกอย่างที่ต้องการแล้วไม่ใช่หรือ”
“ฮ่า…หวูไว่เอ๊ย หวูไว่”นายพลหัวเราะด้วยเสียงอันดังอีกครั้งและเอามือชี้หน้าเด็กหนุ่ม
“เจ้าน่าทึ่งมากหวูไว่ที่กล้าโต้เถียงกับข้า แต่จะบอกให้ก็ได้ว่าไม่พอหรอก ข้าคิดว่าอำนาจ ความมั่งคั่งที่มีอยู่ในตอนนี้ยังไม่พอกับความต้องการ ตอนนี้ข้าและกองกำลังของข้าถูกท้าทายจากกลุ่มติดกำลังหลายกลุ่ม ข้าจำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งมากกว่านี้ เพื่อทำสงครามที่จะไม่มีวันแพ้”
หวูไว่กลืนน้ำลายลงคอ ก่อนพูดเสียงสั่นๆว่า
“ถึงอย่างไรข้าก็ยืนยันคำเดิมว่า ข้าไม่รู้จักอาณาจักรสาปสูญอะไรนั่น แม้ท่านจะฆ่าข้าให้ตายข้าก็ต้องบอกว่า ไม่รู้จักหนทางที่จะนำทางท่านไปอาณาจักรที่สาปสูญเด็ดขาด”
“ฆ่าเจ้าเหรอ…ไม่หรอก ข้าไม่คิดฆ่าเจ้าอย่างน้อยก็ในตอนนี้” ท่านนายพลกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“อย่างน้อยก็จนกว่าจะรู้ความจริงเรื่องของอาณาจักรที่สาปสูญนั่น…”
หวูไว่จะทำอะไรได้นอกจากนิ่งเงียบ พลางคิดกับตัวเองว่า ท่านนายพลทำไมถึงถึงได้หมกมุ่นอยู่กับดินแดนที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่อย่างนี้
ในวูบหนึ่ง เด็กหนุ่มแห่งเซียงอู่รู้สึกสงสารผู้ยิ่งใหญ่แห่งกองทัพอัศวินดำจับใจ

(6)

บนกำแพงเมืองเว่ยขณะนี้มีคนสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ มีเคราดกครึ้ม ดวงตาเจิดจ้าเป็นประกาย แม้จะไม่ได้สวมชุดเกราะเต็มยศ แต่อำนาจและพลังที่เปล่งออกมาก็บ่งบอกว่าจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจาก นายพลซื่อชาง-ผู้ยิ่งใหญ่นั่นเอง
ส่วนที่ยืนอยู่ข้างๆเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบเศษ ใบหน้าเรียวยาว ดวงตากลมโต ที่กำลังค้อมหลังรับฟังคำสั่งด้วยอาการนอบน้อม แน่แล้ว อู๋ซี-ขุนพลคู่ใจของจอมพลซื่อชางนั่นเอง
“เราจะเอายังไงกับเด็กหนุ่มนั่นต่อไปดี” เป็นฝ่ายอู๋ซีที่พูดขึ้นก่อน
“เราต้องเก็บมันไว้ เด็กหนุ่มชื่อหวูไว่นั่นมีความเป็นมาที่ลึกลับ และถ้าเรื่องราวของอาณาจักรที่สาปสูญนั่นเป็นจริง มีแต่มันที่จะนำพาเราไปถึงสถานที่แห่งนั้นได้ และเจ้าต้องดูแลมันให้ดี อู๋ซี”
ขุนพลหนุ่มแห่งกองทัพอัศวินดำพยักหน้ารับ ก่อนจะเหลือบตามองผู้นำแห่งกองทัพอัศวินดำแว่บหนึ่ง ปีนี้นายพลซื่อชางมีอายุย่างเข้า 50 แล้ว แต่ดูยังองอาจ ผึ่งผายร่างกายดูไม่ทรุดโทรมไปเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเคราและผมจะมีสีขาวแซมขึ้นมา แต่กลับเสริมสร้างบุคคลิกให้ดูเด่นสะดุดตามากยิ่งขึ้น
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่…” นายพลซื่อชางกล่าวออกมาโดยที่ยังผินหน้าออกไปเบื้องหน้า
“ข้า…ข้าคิดว่า…”อู๋ซีกล่าวอย่างตะกุกตะกัก
“ไม่ต้องตกใจไปหรอกน่า ข้ารู้ว่าเจ้าก็เหมือนนายทหารอีกหลายคนในกองทัพของเราที่คิดว่าข้าคงวิปลาศไปแน่ ที่ใช้สรรพกำลัง เงินทองมากมาย เพื่อตามหาเด็กหนุ่มคนเดียว รวมไปถึงอาณาจักรอันลึกลับที่ไม่รู้ว่าจะมีจริงอยู่หรือไม่ แต่ขอให้เชื่อใจข้าเถอะ ไม่ช้าเราจะได้คำตอบในเรื่องนี้แน่”
“แต่เด็กหนุ่มนั่น ข้าคิดว่ามันเป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรที่แสดงให้เห็นว่าจะกุมความลับอันยิ่งใหญ่อันใดไว้เลย”
แต่จอมทัพแห่งกองทัพอัศวินดำรีบยกมือขึ้นห้ามทันที
“อู๋ซี เจ้าอย่าคิดเช่นนั้น ข้าคิดว่าเด็กหวูไวนั่นมีอะไรที่น่าสนใจหลายประการ เห็นมั๊ยว่าถึงมันจะดูไม่มีพิษสงอะไร แต่อย่างน้อยมันก็มีความกล้าหาญพอสมควร กล้านำชีวิตตัวเองมาแลกเปลี่ยนกับพวกทหารกองกำลังเมฆขาวเชียวนะ เจ้าอย่าลืมซิ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อู๋ซีต้องยอมรับว่าเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องไม่น้อย
“แล้วท่านต้องการให้ข้าจัดการเด็กนั่นอย่างไร”
“ข้าต้องการให้เจ้าคุมตัวมันกลับไปที่ฐานทัพของเราที่เมืองเฝอ ที่นั่นข้าจะสอบมันอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่ตอนนี้ข้ามีธุระบางอย่าง ที่ต้องไปกระทำก่อน”
“ครับ ท่านนายพล”
นายพลซื่อชางยิ้มอย่างพอใจ
“ข้าไม่ถือสาเจ้าหรอกนะที่คิดว่าข้าทำอะไรประหลาดไปหน่อยในช่วงนี้ แต่ถ้าอาณาจักรสาปสูญนั่นมีอยู่จริง และมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าให้เราตักตวง เชื่อเถอะว่ามันจะช่วยดลบันดาลชัยชนะให้กองทัพของเราได้แน่ และจะไม่มีใครต้านเราอยู่รวมทั้งพวกกองกำลังเมฆขาวนั่นด้วย”
“แล้วถ้าเราไม่พบคำตอบในเรื่องนั้นเล่าครับ…”
นายพลซื่อชางหันมามองขุนพลคู่ใจและพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมว่า
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เด็กหนุ่มนั่นก็ไม่น่าจะมีชีวิตรอดอีกต่อไป”
อู๋ซี ก้มหัวน้อมรับคำสั่งและไม่ประหลาดใจสักนิด
คนที่ทำให้นายพลผู้ยิ่งใหญ่แห่งกองทัพอัศวินดำคุมตัวเองไม่อยู่ สมาธิแตกซ่าน ได้ อย่างเด็กหนุ่มชื่อหวูไว่นั่น ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
เพียงแต่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่เท่านั้น