๒๕.๒.๕๑

นักรบจากดาวดวงอื่น (10)-สงครามครั้งแรก

(1)
ควั่บ…
เสียงลูกธนูพุ่งข้ามศรีษะของหวูไว่ไปอย่างหวุดหวิด แต่เด็กหนุ่มไม่มีเวลาที่จะคิดอะไรได้ นอกจากวิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียวเท่านั้น
รอบกายของเด็กหนุ่มในขณะนี้เต็มไปด้วยความอลหม่าน ทหารในชุดสีดำนับไม่ถ้วนควบม้าตรงมาที่หวูไว่ บางส่วนเล็งธนูตรงมา ส่วนที่เหลือชักดาบดำมะเมื่อมออกมากวัดแกว่ง ดูท่าจะกระเหี้ยนกระหือรือที่จะเอาชีวิตเด็กหนุ่มเสียเหลือเกิน
และทั้งหมดอยู่ห่างจากเขาไม่ไกลแล้ว
บริเวณที่หวูไว่วิ่งตะบึงอยู่นั้นเป็นทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา และบางส่วนของทุ่งหญ้าไหม้เกรียมด้วยแสงเพลิง มีซากศพเรียงราย กลิ่นคาวเลือดอวลไปหมด
“ทางนี้…หวูไว่”
เสียงอันคุ้นเคยดังแหวกขึ้นมาจากเบื้องหน้า ทำให้เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าและเงยหน้ามองไป ก่อนจะสะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันทีทันใด
“พวกเจ้า…”
หวูไว่ร้องได้เพียงแค่นั้น เมื่อเห็น เรียว และ อากิ ในชุดทหารของกองกำลังเมฆขาวกำลังใช้ดาบในมือกวักเรียกอยู่ไม่ไกล
และเบื้องหลังของคนทั้งสองคือ นางสิงห์คะนองศึก-เอียนซี ในชุดนักรบสีขาวอันทะมัดทะแมง กวัดแกว่งกระบี่ในมือสกัดลูกธนูที่ยิงออกมาจากกองทหารอัศวินดำเบื้องหลังของเขานั่นเอง
และที่ทำให้ดวงตาของเด็กหนุ่มต้องเบิกโพลงขึ้นมาก็คือ ทั่วร่างของคนทั้งสามเต็มไปด้วยคราบเลือด บนใบหน้ามีริ้วรอยบาดแผลเต็มไปหมด สีหน้าของทั้งหมดซีด ดวงตาริบหรี่ ดูเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ
และไม่มีทหารของกองกำลังเมฆขาวคนใดเหลืออยู่อีกเลย
“รีบหนีไป…”เด็กหนุ่มตะโกน
แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียง ลูกธนูนับร้อยนับพันทางด้านหลังก็พุ่งออกมาราวห่าฝน ความเจ็บแปลบเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด เมื่อลูกธนูวิ่งทะลุร่างของหวูไว่ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของกองทหารทางเบื้องหลัง
และภาพที่ทำให้เด็กหนุ่มไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายได้อีกต่อไปก็คือ ลูกธนูมากมายกำลังพุ่งเข้าหาคนทั้งสามอย่างที่เขาไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้นอกจากตะโกนออกไปว่า
“อย่า…”
……..
เด็กหนุ่มร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง ก่อนจะรู้สึกสะดุ้ง และผลุดร่างขึ้นมาด้วยอาการตกใจ เหงื่อกาฬไหลท่วมร่าง
“ฝันไปหรือนี่…”เด็กหนุ่มพึมพำ
หวูไว่สะบัดศรีษะมองไปรอบๆและพบว่า กำลังนอนอยู่บนเตียงในกระท่อมไม้ของเฒ่าลู่ หาได้อยู่ในทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยคาวเลือดอย่างที่อยู่ในความฝันไม่
แค่ความฝันเหรอ-แต่ทำไมมันช่างเหมือนเหตุการณ์จริงเช่นนั้นนะ หวูไว่บอกกับตัวเอง
และดูเอาเถิด ฝันร้ายเมื่อตะกี้มันทำให้เสียงหัวใจของเขาเต้นระทึกเป็นกลอง เหงื่อท่วมแผ่นหลัง ลำคอแห้งผากไปหมด
หวูไว่ต้องนั่งนิ่งอยู่บนเตียงชั่วครู่ใหญ่ ก่อนจะลุกก้าวออกมาจากกระท่อม และเดินตรงไปยังสวนดอกไม้
“เฒ่าลู่…” เด็กหนุ่มตะโกนด้วยเสียงแหบแห้ง
แต่ไม่มีร่างของตาเฒ่าแห่งสวนดอกไม้ ไม่ว่าจะเป็นบนลานกว้าง หรือตามพุ่มดอกไม้ในสวนอย่างที่เคยเป็นมา
“ไปไหนนะ…”
และไม่ทันที่หวูไว่จะทำอะไรต่อไป เสียงฝีเท้าอันหนักแน่นของใครบางคนก็ดังผ่านประตูของสวนดอกไม้เข้ามา
“อ้าว…ที่ปรึกษาเอียน” เด็กหนุ่มร้องออกมา
ฝานซื่อ เพียงแต่พยักหน้ารับและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“รีบไปเถิดน้องชาย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“หา…”
“รีบแต่งตัวเร็วเข้าและไปกับข้า”
“หือม์…ไปไหนกัน”
“รีบไปพบแม่ทัพหลี่โดยเร็ว…เดี๋ยวนี้เลย” เสียงนั้นตวาดขึ้นอย่างหงุดหงิดใจ
“ทราบแล้ว” เด็กหนุ่มรับคำด้วยเสียงเบาๆระคนกับความสงสัยที่ก่อตัวขึ้นมา
เกิดอะไรขึ้นกันแน่…

(2)

ในเมืองเกียะหยู หวูไว่เคยเข้าไปในสวนอุทยานของตระกูลเอียนมาก่อน และยอมรับว่าโอ่อ่า กว้างขวางเหลือเกิน มีตึกเล็กใหญ่มากมาย หากไม่มีบ่าวรับใช้นำพาเข้าไปต้องหลงทางกลับไม่ถูกแน่
แต่เมื่อเดินตามหลังฝานซื่อเข้าถึงด้านในของฐานที่มั่นของกองกำลังเมฆขาว เด็กหนุ่มจากเมืองเซียงอู่ก็ถึงกับอ้าปากหวอ ตกตะลึงขึ้นมาทันที
ที่เจ้าเพื่อนสองคนนั่นบอกว่า กองกำลังเมฆคือกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่น่าเกรงขามไม่ผิดไปจากความจริงเท่าใดนัก
ที่ตั้งของกองกำลังเมฆขาวตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองเกียะหยู มีกำแพงกั้นสอชั้นแบ่งเป็นชั้นนอก และ ชั้นใน มีทหารเดินรักษาการณ์ไปมาตลอดเวลา ผู้คนขวักไขว่สองข้างทางมีตึกเล็กตึกใหญ่เรียงรายอยู่มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่คงจะเป็นค่ายฝึกทหารนั่นเอง และบางส่วนคือที่เก็บคลังอาวุธอันเปี่ยมอานุภาพ และส่วนมากไม่อนุญาติให้คนผ่านเข้าออก นอกจากคนในกองกำลังเองเท่านั้น
ฝานซื่อเดินนำเด็กหนุ่มเข้าไปถึงตึกบัญชาการใหญ่ซึ่งมีนายทหารในชุดเกราะเหล็กนั่งเรียงรายอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ในขณะที่ เอียนมู่หลง และ หลี่มู่ ยืนปรึกษากันบนโต๊ะไม้ใหญ่ ที่มีแผนที่ผืนใหญ่กางไว้
“ท่านแม่ทัพ…”ฝานซื่อตะโกนรายงาน
หลี่มู่ หันมามองที่หวูไว่แว่บหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองที่เอียนมู่หลง แล้วยกมือขึ้นช้าๆ
“ทุกคนออกไปก่อน…”
นั่นแหละนายทหารของกองกำลังเมฆขาวจึงลุกจากที่นั่งของตัวเอง แล้วเดินออกจากตึกไป แต่ก่อนจากไปสายตาทุกคู่หันมาจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าแปลกๆ บางครั้งก็ถึงกับยืนหยุดนิ่งเงยหน้ามองหวูไว่ตั้งแต่หัวจรดศรีษะ
แต่เด็กหนุ่มไม่ทันได้คิดอะไร เสียงของที่ปรึกษาใหญ่อย่างเอียนมู่หลงก็ดังขึ้น
“หวูไว่…เจ้านั่งลงซิ”
เด็กหนุ่มรับคำเบาๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่นายทหารของกองกำลังเมฆขาวเพิ่งจากไป ขณะนี้ในห้องเหลือเพียงเอียนมู่หลง หลี่มู่ และ ฝานซื่ออยู่เท่านั้น
“ข้ามีเรื่องจะบอกกับเจ้า” หลี่มู่กล่าวกับเด็กหนุ่ม และเดินลงมาทรุดตัวลงข้างๆ
“ทหารของเราที่ออกไปสืบความลับเมื่อไม่กี่วันก่อน เสียทีข้าศึกโดนจับตัว”
“หา…” เด็กหนุ่มร้องออกมา เพราะนั่นก็คือพวกของคุณหนูเอียนซี-แล้วก็เรียว กับ อากิ เพื่อนของเขานั่นนะซิ
“อย่าเพิ่งตกใจไปนักเลยเจ้าหนุ่ม เท่าที่ทราบรายงานมาพวกของเราไม่มีใครถูกทำร้ายถึงกับชีวิต เพียงแต่ถูกจับตัวไว้ต่อรองเท่านั้น” เอียนมู่หลงกล่าวเสริม
“ต่อรองเหรอ…”
คราวนี้เป็น หลี่มู่ที่พยักหน้าก่อนจะขมวดคิ้วแล้วกล่าวต่อไปอีกว่า
“พวกที่จับคนของเราไปก็คือ อู๋ซี ขุนพลเอกของกองกำลังเมฆขาว และส่งจดหมายแจ้งมาว่าต้องการแลกเปลี่ยนตัว”
“อะไรนะ…” หวูไว่พูดเหมือนพึมพำ
หลี่มู่ลุกขึ้นและหันหลังให้กับเด็กหนุ่มก่อนจะพูดลอยๆออกมาว่า
“พวกทหารอัศวินดำ พร้อมจะปล่อยคนของเราเพื่อแลกกับเจ้า”
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ ความซวยมาเยือนอีกครั้งแล้วซิเนี่ย จะทำอย่างไรต่อไปเล่า
“น้องชาย…”
อยู่ดีๆฝานซื่อก็เรียกหวูไว่ด้วยสรรพนามอย่างนั้น แล้วเดินเอามือมาตบบ่าเขาเบาๆ
“พวกของเราที่ถูกจับมีจำนวนหลายคน”
“แล้วก็เอ้อ…คุณหนูเอียนซีด้วย”
“ข้าอยากจะขอร้องเจ้า…”
เด็กหนุ่มจะทำอะไรได้นอกจากถอนหายใจเบาๆแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า
“ข้ารู้…ว่าต้องทำอะไร”
“เพียงแต่ว่า ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนที่พวกอัศวินดำตามหาหรอกนะ”เด็กหนุ่มออกตัว
“แต่ข้ายอมทุกอย่างเพื่อให้พวกของเราปลอดภัย”
“อย่ากลัวไปเลย เรามีแผนการณ์ที่เตรียมไว้แล้ว”หลี่มู่บอก
“หือม์…”เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับเลิกคิ้ว
เป็นจริงอย่างที่เฒ่าลูว่าจริงๆ ในที่สุดหวูไว่ก็หลีกเลี่ยงสงครามไม่พ้น แม้จะเป็นสงครามที่ตัวเองไม่อยากเกี่ยวข้องเลยก็ตาม
และเมืองเว่ยจะเป็นสงครามครั้งแรกของเขา

(3)

อู๋ซียืนมือไพล่หลังอยู่บนกำแพงเมืองเว่ย เฝ้ามองสมรภูมิรบอันกว้างขวางที่อยู่เบื้องหน้า และรอคอยการมาถึงของเด็กหนุ่มชื่อหวูไว่ และกองกำลังเมฆขาวที่มีแม่ทัพใหญ่หลี่มู่เดินทางมาบัญชาการรบด้วยตัวเอง
หลังจากผ่านการวางแผนมาอย่างยาวนาน ในที่สุดเขาก็กำลังจะได้ตัวเด็กหนุ่มประหลาดที่มีผมสีทอง ดวงฟ้าสีฟ้า ไปมอบให้กับท่านนายพลซื่อชางแล้ว
แม้ว่าจะพลาดในการชิงตัวหนก่อน แต่อย่างไรขุนพลเอกแห่งกองทัพอัศวินดำก็รู้ว่า ไม่ช้าเขาจะต้องได้ตัวเด็กหนุ่มคนนี้มาอยู่ในกำมือ
เพราะสิ่งใดที่นายพลซื่อชางต้องการ เขาจะต้องสนองตอบความต้องการนั้นให้ได้
ไม่มีคำว่าไม่สำเร็จอย่างเด็ดขาด
เพราะการทำงานอย่างทุ่มเท จงรักภักดีอย่างนี้มิใช่หรือที่ทำให้ชื่อของ ขุนพลอู๋ซี กระเดื่องไกล เคียงข้างกับนายพลซื่อชางตลอดมา
แต่กว่าจะมีวันนี้ได้ขุนพลคู่กายของนายพลซื่อชางก็ต้องต่อสู้อุปสรรคนานับประการ กล่าวได้ว่าเมื่อกระโจนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพอัศวินดำก็ไม่มีวันหยุดพัก ไม่เคยผ่อนคลายแม้แต่วันเดียว
ความลำพองของขุนพลหนุ่มผู้นี้จึงเกิดขึ้นอย่างมีที่มาที่ไป
อู๋ซีบอกกับตัวเองเสมอว่า หากต้องการเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคให้ได้เหมือนนายพลซื่อชาง ต้องสลัดความอ่อนแอ ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นทิ้งไปให้หมด ทำทุกวิถีทางเพื่อให้กองทัพอัศวินดำครองความยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน สร้างอภิมหานครที่เป็นศูนย์รวมอำนาจขึ้นมาให้ได้
ก่อนหน้านี้ ศัตรูเพียงหนึ่งเดียวของกองทัพอัศวินดำก็คือ กองกำลังเมฆขาวของหลี่มู่
และในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า อู๋ซีกำลังจะได้ประจันหน้ากับแม่ทัพใหญ่แห่งกองกำลังเมฆขาวอีกครั้ง
แต่คนที่อู๋ซีรอคอยมากที่สุดกลับเป็นเด็กหนุ่มที่ชื่อหวูไว่
“เจ้าหนุ่มนั่น…”ขุนพลเอกของกองทัพอัศวินดำพูดกับตัวเองในใจ
นับตั้งแต่ทำงานรับใช้นายพลซื่อชางมาอย่างไม่คิดชีวิต อู๋ซียังไม่เคยเห็นผู้นำแห่งกองทัพอัศวินดำแสดงความวิตก หรือหวาดกลัวอะไรหรือผู้ใดมาก่อนเลย
อู๋ซีทำงานเคียงข้างนายพลซื่อชางมายาวนาน จนกล่าวได้ว่าสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของแม่ทัพใหญ่ได้ และเมื่อเอ่ยถึงเด็กชายในฝันขึ้นมาเมื่อไหร่ ร่างกายของนายพลใหญ่จะสั่นเทิ้ม สมาธิแตกซ่าน
เป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฎกับนายพลซื่อชางมาก่อน
“หวูไว่ เจ้าเป็นใครกันนะ” อู๋ซีพึมพำกับตัวเอง
ช่างน่าประหลาดเหลือเกินเด็กหนุ่มที่ไร้พิษสงเพียงคนเดียวสามารถสร้างความหวั่นไหวให้กับนายพลผู้เป็นใหญ่แห่งกองทัพอัศวินดำได้อย่างไม่เคยเห็นมาก่อน
มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!

(4)

เสียงกลองศึก เสียงเป่าหลอดเขาดังขึ้นมาเป็นทอดๆ ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องกึกก้อง จากนั้นภาพของกองทหารจากกองกำลังเมฆขาวก็ปรากฎขึ้นต่อสายตา นำหน้าด้วยทหารม้าหมู่ใหญ่ และมีทหารราบเดินเรียงเป็นแถว โดยทั้งหมดอยู่ในชุดเกราะเหล็กวาววับ มีโล่อยู่ในมือซ้าย ส่วนมือขวาถือดาบเล่มโต ส่วนทหารราบอีกบางส่วนถือหอกยาวกระชับอยู่ในมือ เป็นสัญญานว่าพร้อมจะจู่โจม เปิดศึกใส่ศัตรูได้ทุกเมื่อ
ทั้งหมดเคลื่อนกำลังมาจากเกียะหยูและรวมพลมาถึงชายป่าของเมืองเว่ยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังแสนยานุภาพให้ปรากฎต่อสายตาในขณะนี้
ทันใดนั้น…เสียงเป่าแตรก็แผดสนั่นขึ้นมาจากกำแพงเมืองเว่ย เสียงโห่คำราม เคาะอาวุธจากกองกำลังของกองทัพอัศวินดำดึงตึงตังไปมา ทหารบนหอรักษาการณ์บนกำแพงเมืองเดินแถวเข้าประจำที่ โลหะสะท้อนประกายวาววับอยู่บนหอรักษาการณ์
ความตึงเครียดไร้สภาพกำลังแผ่ขจายไปทั่วบริเวณ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมอ่อน ก่อเกิดความรู้สึกอึดอัด ขัดข้องให้กับกองกำลังทั้งสองฝ่าย
ไม่ช้าไม่นาน กำแพงเมืองเว่ยก็เปิดออก มีทหารในชุดเกราะดำ 5-6 คนก้าวออกมา ทุกคนไม่มีอาวุธแต่ดูเหมือนกำลังสาละวนอยู่กับอะไรสักอย่าง
ชั่วอึดใจ กระโจมสีขาวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่หลังหนึ่งก็ปรากฎต่อสายตา หลังจากทหารกลุ่มนั้นก็เดินหายลับเข้าไปในกำแพงเมือง
แต่มีร่างหนึ่งที่นั่งอยู่บนม้านั่ง มีโต๊ะยาวอยู่เบื้องหน้า และกำลังจิบสุราด้วยอาการเยือกเย็น ราวกับนั่งอยู่ในบ้านของตัวเองก็ไม่ปาน
ร่างนั้นอยู่ในชุดสีดำ มีเกราะอ่อนคาดอยู่บนตัว ผมยาวพลิ้วไปตามแรงลม และมีรอยยิ้มประดับอยู่ที่มุมปาก ก่อนจะตะโกนด้วยเสียงกังวานว่า
“กองกำลังเมฆขาวเกรียงไกรสมคำร่ำลือจริงๆ ผู้น้อยคืออู๋ซี นักรบต่ำต้อยแห่งกองทัพอัศวินดำ ขอเรียนเชิญท่านนายพลหลี่มาร่ำสุราพูดคุยกันตรงนี้ดีหรือไม่”
ที่แท้ นักรบหนุ่มที่นั่งอยู่หน้ากระโจมก็คือ อู๋ซี ขุนพลนามกระเดื่องของกองทัพอัศวินดำ-ไม่ใช่ใคร
โดยปราศจากสุ้มเสียง ม้าขาวตัวหนึ่งทะยานออกมาจากกลุ่มทหารของกองกำลังเมฆขาวที่รวมพลอยู่ตรงชายป่า และพุ่งทะยานตรงเข้ามา หลี่มู่ในชุดเกราะเงินอันผึ่งผายนั่นเอง
ผู้นำแห่งกองกำลังเมฆขาวค่อยๆ กระโดดลงจากหลังม้า แล้วก้าวเดินมานั่งบนที่นั่งที่ถูกจัดเตรียมไว้ และประจันหน้ากับขุนพลอู๋ซีแล้วในขณะนี้ ก่อนจะกวาดสายตามองอย่างเรียบเฉย และกล่าวออกมาว่า
“ท่านขุนพลอู๋ช่างมีอารมณ์สุนทรีนัก”
อู๋ซีหัวเราะขึ้นมาเบาๆยกสุราขึ้นจิบ ส่ายหน้าไปมา
“ต้องมาประจันหน้ากับผู้ยิ่งใหญ่แห่งกองกำลังเมฆขาว ตื่นเต้นไปก็เท่านั้น ไม่ใช่หรือ”
“และที่สำคัญ…นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่กองกำลังของพวกเราควรเปิดศึกกันหรอกนี่นา”
“อย่าลืมว่า…”
หลี่มู่ยกสุราที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าขึ้นจิบ ใช้ดวงตาเพ่งมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างไม่วางตา ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“เด็กหนุ่มคนนั้นมาแล้ว และรออยู่ในกองกำลังของเราทางด้านหลังนั่น”
“แต่ก่อนอื่น…ข้าอยากเห็นว่าพวกของเราที่ถูกจับตัวไปยังปลอดภัยดี”
อู๋ซีหัวเราะขึ้นมาเบาๆ พยักหน้า ก่อนยกมือขวาชูขึ้นเหมือนเป็นสัญญานบางอย่าง
บนกำแพงเมืองเว่ย มีความเคลื่อนไหวอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะปรากฎร่างของนายทหารรูปร่างสูงใหญ่กลุ่มหนึ่งกำลังรุนร่างของ เอียนซี เรียว และอากิ เพื่อให้ปรากฎตัวอยู่บนกำแพงต่อหน้าหลี่มู่ แม้กระทั่งกองกำลังเมฆขาวที่รวมพลอยู่ชายป่าก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ทั้งหมดถูกมือมัดไพล่หลัง เรียวมีสีหน้าหวาดกลัวระคนตื่นเต้น ในขณะที่อากิมีอาการสะลืมสะลือ โหนกแก้มบวมเป่ง
ส่วนหงสาคะนองศึกมีใบหน้าบอบช้ำ มีเลือดซึมอยู่ริมฝีปาก แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังสง่างาม และดวงตาส่อประกายนักสู้ เป็นยอดหญิงแห่งกองกำลังเมฆขาวอยู่เหมือนเดิม
หลี่มู่มองดูทั้งหมดด้วยสีหน้าอันเยือกเย็น แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“เห็นแล้วซินะ…ท่านขุนพลหลี่ สภาพคนของท่านอาจจะไม่สู้ดีนัก แต่อย่างน้อยก็ยังถือว่าปลอดภัย มีชีวิตรอดไม่ใช่หรือ” อู๋ซีว่าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“พวกเจ้าคงพอใจแล้ว ขอย้ำว่าการเจรจาแลกตัวจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ ตอนนี้ขอให้กลับไปรอข่าวที่ฐานที่มั่นของพวกท่านทางนอกเมืองก่อน”
“ส่วนเชลยพวกนี้ต้องเข้าไปอยู่ในคุกมืดเหมือนเดิม...” พูดจบอู๋ซีก็โบกมือเป็นสัญญานให้ทหารนำตัวเชลยทั้งสามคนกลับลงไปจากกำแพง
แม่ทัพแห่งกองกำลังเมฆขาวไม่พูดคุยอะไรอีกเลย พยักหน้าเห็นชอบด้วย แล้วก้าวขึ้นม้าหันหลังกลับไปที่ชายป่าซึ่งกองกำลังเมฆขาวกำลังรอคอยผลการเจรจาอยู่ด้วยอาการกระสับกระส่าย
แต่ก็ยังทันได้ยินเสียงตะโกนของขุนพลอู๋ซีไล่หลังมาว่า
“ท่านขุนพลหลี่จงอย่ามีเล่ห์เหลี่ยมในการแลกตัวครั้งนี้ ไม่เช่นนั้นเจ้าคงจะเสียใจไปจนตายแน่นอน…ข้าเตือนแล้ว”

(5)

หวูไว่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงอึกทึกทางด้านนอกของค่าย เหงื่อชุ่มเต็มใบหน้าและแผ่นหลัง และมีอาการเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด
“ตื่นเถอะ มีข่าวจากในเมืองแจ้งมาแล้ว การแลกตัวจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้” ฝานซื่อ ที่ปรึกษาประจำตัวของหลี่มู่เป็นคนมาปลุกเด็กถึงในกระโจมที่พัก
หวูไว่พยักหน้ารับคำ สะบัดศรีษะไปมาเพื่อไล่ความง่วงงุน แม้จะหวั่นกลัวสิ่งที่ตัวเองต้องเจออยู่บ้าง แต่เมื่อนึกได้ว่ากำลังจะช่วยเอียนซีกับพวกให้ปลอดภัยแล้ว เด็กหนุ่มก็คลายใจลงมาก
“ที่ปรึกษาฝาน…ไปเถิด”
ฝานซื่อส่ายหน้าไปมา
“อย่าเรียกข้าว่าที่ปรึกษาฝานอีกเลย เรียกข้าว่าพี่ฝานซื่อเถิด น้องชาย”
เด็กหนุ่มร้องอ้อรับคำ และเตรียมก้าวเท้าออกจากกระโจมที่พักไป แต่ฝานซื่อกระซิบเรียกให้หยุดคอย
“ก่อนจะออกไป ข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องบอกเจ้าให้รับทราบเสียก่อน”
หวูไว่รีบหันกลับมามอง อยากจะรู้ว่ายังมีเรื่องอะไรที่เขาควรจำเป็นต้องรับทราบด้วยอีกหรือ
ฝานซื่อถอนหายใจออกมาเบาๆ
“หลังจากการแลกตัวเสร็จสิ้นแล้ว เท่าที่รับทราบมาท่านขุนพลหลี่มู่ของพวกเราจะเตรียมนำกองกำลังเข้าปะทะแตกหักกับทหารอัศวินดำในเมืองเว่ยนั่น เพื่อช่วยเหลือเจ้ากลับมา ถึงตอนนั้นเจ้าต้องระวังตัวให้ดี ไม่งั้นอาจได้รับอันตรายได้ง่ายๆ ข้าเตือนด้วยหวังดี”
“อะไรกันนะ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” หวูไว่ร้องเสียงหลง
แค่เห็นเอียนซีและพวก รวมไปถึงทหารที่ติดตามมาถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บมากบ้าง น้อยบ้าง เด็กหนุ่มก็รู้สึกเสียใจเป็นอันมากอยู่แล้ว
นี่ยังจะมีการบาดเจ็บล้มตายเพื่อเขาอีกหรือ มันหนักเกินที่เขาจะแบกรับความรู้สึกนี้ได้ไหวอีกต่อไป
“พี่ฝาน…ข้ายอมให้เกิดเช่นนี้ไม่ได้หรอก จะให้ทหารของพวกเราตายเพราะเข้าอีกไม่ได้ ทำไงกันดี…”
ฝานซื่อก้าวเท้าเข้าหาหวูไว่
“นี่มันสงครามนะน้องชาย การสูญเสียเป็นเรื่องธรรมดา”
“นอกเสียจากว่า…”
เด็กหนุ่มดวงตาลุกโพลงขึ้นมาก่อนถามว่า
“นอกเสียจากว่าอะไร รีบบอกข้าเถิด”
ที่ปรึกษาเอามือตบบ่าเด็กหนุ่มแล้วหันหลังให้ เอามือไพล่หลังอย่างใช้ความคิด
“นอกเสียจากว่า เจ้าจะต้อง…”
“แต่ช่างเถิด…เป็นไปไม่ได้หรอก”
เด็กหนุ่มพูดอย่างร้อนรน
“จะให้ข้าทำอะไรเล่าบอกมาเถิด…ข้ายอมนะ ยอมทุกอย่างเพื่อไม่ให้มีการบาดเจ็บล้มตายอีก”
แล้วที่ปรึกษาข้างกายของหลี่มู่ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เรื่องนี้มัน…”
พูดแล้วฝานซื่อก็ก้มศรีษะลง เพื่อซุกซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ และประกายลึกลับในดวงตา ในขณะที่หวูไว่เฝ้าบอกตัวเองว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่มีใครแล้วที่จะช่วยเขาได้นอกจากคนที่ยืนหันหลังอยู่ตรงหน้าเท่านั้น
พี่ฝานซื่อท่านเป็นคนดีจริงๆ-เด็กหนุ่มบอกกับตัวเอง

๒๐.๒.๕๑

นักรบจากดาวดวงอื่น(9)-หยินและหยาง

(1)
ลมยามดึกแผ่ความหนาวเย็นออกมา ภายใต้แสงจันทร์นวลในสวนดอกไม้อันเงียบสงบ ที่มีเสียงใบไม้ดังกรูเกรียวอยู่ไปมา ร่างหนึ่งกำลังกระโดดไปมา ซ้ายที ขวาที ล้มคว่ำล้มหงายก็ตั้งหลายครั้ง แต่ก็ยังหยัดร่างลุกขึ้นมาอย่างไม่ยอมย่อท้อ
แต่ก็มีอยู่บางจังหวะที่ยืนหอบหายใจด้วยอาการเหน็ดเหนื่อยอยู่เป็นนาน
“เฒ่าลู่…นี่ข้าเหนื่อยแล้วนะ เหนื่อยมากด้วย จะให้ข้ากระโดดไป กระโดดมาอย่างนี้ทั้งคืนเลยเหรอ” ร่างนั้นตัดพ้อ แล้วเอามือเกาหัวตัวเองไปมาอย่างหงุดหงิดใจ
ใช่แล้ว-ร่างที่โลดเต้นไปมาด้วยอาการเก้กังอยู่เป็นนานก็คือ หวูไว่-เด็กหนุ่มผมสีทองจากหมู่บ้านเซียงอู่นั่นเอง
และชายเฒ่าที่ลูบคางตัวเองและยิ้มน้อยๆออกมาก็คือเฒ่าบ้า-ตาเฒ่าลู่แห่งสวนดอกไม้
“ข้าหวังดีต่อเจ้าหรอกไอ้หนู…”
“เอาละ…คราวนี้ ข้าอยากให้เจ้ายกหมัดต่อยมาที่ข้าเต็มแรงอย่างไม่ต้องเกรงใจเลย”
“หา…อะไรนะ” เด็กหนุ่มพูดเสียงหลง แม้จะใช้แรงกระโดดไปมาอยู่เป็นนานแต่ถึงอย่างนั้นหวูไว่ก็เชื่อว่าตัวเองยังมีแรงเหลือเฟือที่จะต่อยใส่ตาเฒ่าที่ยืนยิ้มอยู่เบื้องหน้า แต่มันจะมีประโยชน์อะไรเล่า แล้วทำไมเฒ่าลู่ถึงคิดอะไรเพี้ยนๆเช่นนี้
“เฒ่าลู่ พูดผิดพูดใหม่ได้นะ”
ตาเฒ่าเพ่งมองเด็กหนุ่มครู่ใหญ่ แล้วหัวเราะหึหึขึ้นมา ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ
“ข้าไม่ได้พูดผิด ไม่ได้เพี้ยน หรือบ้าอะไรอย่างที่เจ้าเข้าใจหรอกน่า มาเถอะกำหมัดแล้วชกมาที่ข้าเถิด ไม่เป็นไรหรอกน่า”
หวูไว่ถอนหายใจออกมา แล้วก็พยักหน้าหงึกหงัก
เขาจะทำอะไรได้เล่านอกจากพุ่งหมัดขวาตรงไปยังบริเวณหน้าอกของเฒ่าลู่เต็มแรง แต่เป็นการพุ่งน้ำหนักหมัดไปโดยที่เจ้าของมือเอาแต่หลับตาปี๋
แต่แล้ว หวูไว่รู้สึกเหมือนว่าหมัดของตัวเองแหวกถูกแต่ลมในอากาศไปเท่านั้น หาได้พุ่งไปที่ร่างของตาเฒ่าแต่อย่างใด
เพราะอะไรกัน
เด็กหนุ่มนึกได้แค่นั้นขณะลืมตาขึ้น
และเหมือนมีแรงดันบางอย่างกระแทกเข้ากลางหลัง จนเซหลุนๆไปนอนจุกแอ้กอยู่บนพื้นเป็นนาน
เฮ้ย…
มองไปอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกขึ้นมา เมื่อพบว่าแรงดันบางอย่างเกิดขึ้นจากน้ำมือของเฒ่าลู่ที่ไปยืนอยู่ทางด้านหลังของตัวเองได้อย่างไรไม่รู้
“นี่มัน…”
เฒ่าลู่หัวเราะแล้วพูดว่า
“ที่ข้าให้เจ้ากระโดดไปมา ชกต่อยลืมวืดวาดในตอนแรก รวมทั้งชกมาที่ข้านั่นมันคือการใช้พละกำลังจากร่างกายของเจ้าที่มีทั้งหมด เป็นเหมือนการรุกไปข้างหน้าโดยใช้กำลังโจมตี”
“และที่ส่งเจ้าลงไปนอนกองอยู่นั่น มันคือคือการตั้งรับ ที่เน้นความอ่อนโยน แล้วหาช่องว่าง หาจุดว่างในตัวของเจ้าเพื่อตีโต้ออกไป”
“แล้วมันมีความหมายว่าอะไรเล่า ตาเฒ่า”
“มันก็คือ หยิน และ หยาง”
“หยิน และ หยาง เหรอ” เด็กหนุ่มทวนคำ
ตาเฒ่าพยักหน้า
“มันคือแข็งและอ่อน ในโลกนี้ประกอบขึ้นด้วยสองสิ่งนี้เด็กโง่ บางขณะหยินก็เป็นใหญ่ แต่บางเวลาก็จะเป็นหยาง เจ้าเพียงรู้จักพลิกแพลง เชื่อมต่อระหว่างสองสิ่งนี้ให้ได้เท่านั้น เพราะมันจะมีประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ต่อตัวเจ้า”
เฒ่าลู่เพ่งมองมาที่เด็กหนุ่มแล้วพูดว่า
“จงสงบนิ่ง มีสติ เมื่อมีสมาธิ ปัญญาย่อมจะเกิดขึ้น”
หวูไว่เริ่มงงแล้ว ที่ตาเฒ่าพูดมามันเกี่ยวกับการที่เขาชกลมวืดวาดเมื่อตะกี้ด้วยหรือนี่
“ถ้าเจ้าเรียนรู้ที่จะสร้างความกลมกลืนระหว่างหยินและหยางได้ มันจะช่วยป้องกันเจ้าจากทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตได้แน่ เชื่อข้าซิ”
“แล้วข้าจะเรียนรู้มันได้อย่างไร เฒ่าลู่”
“เถอะน่า… อย่ากลัวไปเลย”
ตาเฒ่าผู้แปลกประหลาดบอก
(2)
“เอาไป…”
“อะไรกันตาเฒ่า ดาบเล่มนี้มัน…”
“เถอะน่า…”
เด็กหนุ่มเกาหัวแกรกกรากไปมา รับดาบจากมือเฒ่าลู่ด้วยอาการมึนงง ดาบเล่มนี้แทบจะไม่สามารถเรียกว่าดาบได้เลย เพราะมันไม่มีด้ามดาบ ไม่มีฝัก ที่สำคัญไม่มีประกายวาววับเหมือนดาบทั่วไป
เพราะมันเป็นดาบไม้
เป็นดาบไม้ที่มีขนาดกระชับสั้น ว่าไปแล้วเหมือนแผ่นไม้บางๆที่ผ่านการเกลาจนเป็นรูปร่างเหมือนดาบขึ้นมาเท่านั้น
มันจะใช้ป้องกันตัวได้อย่างไร จะตัดต้นหญ้าที่รกรุงรังในสวนดอกไม้ได้หรือไม่ยังน่าสงสัยอยู่
“เฒ่าลู่ ดาบนี้จะใช้ทำอะไรได้เนี่ย ข้าไม่คิดว่ามัน…”
“เด็กโง่”
ตาเฒ่าตวาดเบาๆแล้วอธิบาย
“อาวุธเป็นเพียงวัตถุภายนอกเท่านั้น สิ่งสำคัญคือเจ้าต้องรู้ใช้ดาบให้เป็นเท่านั้น”
“งั้นเหรอ…”
“งั้นซิ…มันคือการผสานระหว่างจิตกับวัตถุ เมื่อเจ้ารู้จักใช้จิตผนึกเข้ากับอาวุธ จะเป็นดาบไม้ หรือจากดาบวิเศษก็ไม่มีความแตกต่างกัน…”
แล้วเฒ่าลู่ก็ย้ำในประโยคต่อมาอีกว่า
“ดาบไม้มันเหมาะกับเจ้า เพราะมันเป็นดาบที่ใช้เพื่อช่วยเหลือคน ไม่ใช่ฆ่าคน”
อย่างนั้นก็เถอะ-หวูไว่ก็ยังสงสัยอยู่ดี มันคงไม่ง่ายอย่างนั้นกระมัง
“จงจดจ่ออยู่กับดาบ ละทิ้งทุกอย่างและมีสมาธิอยู่กับมัน”ตาเฒ่าว่า
“แล้วข้าจะบังคับมันได้อย่างไร…”เด็กหนุ่มถาม
เฒ่าลู่ยิ้ม
“นอกจากใช้จิตผนึกกับอาวุธแล้ว เจ้าต้องปล่อยให้ร่างกายของเจ้าเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ”
“ฟังดูงงๆนะ เฒ่าลู่”
“จำได้มั๊ยเจ้าเด็กโง่ คำที่ข้าเคยบอก ต้นไผ่ สายน้ำ และ ดวงดาว”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ
“เจ้าหลับตาซิ และนึกถึงคำว่าต้นไผ่ สายน้ำ และดวงดาว”
“ลองนึกถึงต้นไผ่ เห็นมั๊ยว่ามันเรียวยาว บอบบาง แต่สังเกตหรือไม่ว่าจะมีลมแรงเพียงไร ไผ่ไม่โดนหักโค่น มันเพียงเอนไหวมาก็สลายลมแรงเหล่านั้นได้หมดแล้ว หากการเคลื่อนไหวของเจ้ากระทำได้เยี่ยงนั้นยามต่อสู้ เจ้าย่อมจะคลี่คลายสถานการณ์จากหนักเป็นเบาได้”
“ทำตัวเหมือนต้นไม้หวูไว่ ตั้งตระหง่าน สงบนิ่ง และรอคอย”
“อ้อ…”เด็กหนุ่มร้องอืมม์ในลำคอ
“แล้วก็สายน้ำ มันไหลเรื่อยต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง ยิ่งไม่มีสิ่งใดมากีดขวางมันก็จะยิ่งไหลไปตามเส้นทางของมัน ว่าไปแล้วมันก็คือเหมือนกระบวนท่าดาบที่หากควบคุมได้อย่างต่อเนื่องจะเปล่งประสิทธิภาพออกมาอย่างเต็มที่ เป็นการรุกไปข้างหน้ายังไงละ”
“แล้วดวงดาวละ…”เด็กหนุ่มถามทั้งๆที่ยังนั่งหลับตาอยู่
“เด็กโง่เอ๋ย-ดวงดาวมีการเคลื่อนไหวไปมาไม่หยุดนิ่ง และการเคลื่อนไหวของดวงดาวเป็นตัวนำการเคลื่อนไหวต่างๆบนโลก ดวงดาวบนท้องฟ้าโคจรไปทางใด การเคลื่อนไหวของมนุษย์โลก พืช สัตว์ทั้งมวล ก็ดูจะเคลื่อนที่ไปในธรรมชาติเช่นเดียวกัน”
“ดังคำที่ว่าคล้อยเพื่อเคลื่อนตาม คล้อยตามจึงเคลื่อนยังไงเล่า”
หวูไว่ลืมตาตื่นขึ้น ความสว่างลุกโพลนอยู่ภายใน
“เฒ่าลู่ ถ้าอย่างนั้นที่แท้ ต้นไผ่ สายน้ำ ดวงดาวคือเคล็ดแห่งวิชาฝีมือหรือนี่”
“มันก็แล้วแต่เจ้าจะคิดซิ ข้าบอกแล้วไงว่า ต้นไผ่ สายน้ำ และดวงดาวมีความลี้ลับให้เจ้าค้นหา มันแล้วแต่เจ้าจะตีความออกมาอย่างไร แล้วก็ขึ้นอยู่กับโชควาสนาของเจ้าเองอีกด้วย”
เด็กหนุ่มอ้าปากหวอแล้วใช้มือเกาศรีษะตัวเองอีกครั้งแล้ว
“หวูไว่ ทั้งหมดที่ว่ามาเจ้าเข้าใจหรือเปล่า”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับแต่ก็ยังขัดข้องใจจนต้องเอ่ยถามออกไปว่า
“แต่ข้าจะแปรเปลี่ยนมันเพื่อใช้กับดาบไม้เล่มนี้ได้อย่างไร”
ตาเฒ่าลู่เอามือลูบเคราของตัวเอง แล้วหันมามองเด็กหนุ่มด้วยดวงตาอ่อนโยน
“มันจะเกิดขึ้นได้ก็เมื่อเจ้ารู้จักฝึกฝนและมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากขึ้นนั่นเอง”
“อะไรนะ…”หวูไว่ร้องได้แค่นั้น
(3)
เสียงดาบไม้ปะทะกับสายลมอย่างไม่ขาดสาย ท่ามกลางความมืดอันเงียบสงัดในลานของสวนดอกไม้
ถ้าใครได้เห็นหวูไว่ในยามนี้คงจะประหลาดใจอยู่มาก ร่างที่เคลื่อนไหวไปมาผสานเข้ากับกระบวนดาบได้อย่างกลมกลืน แม้จะดูเก้กัง ติดขัดในบางจังหวะ แต่นานเข้าเด็กหนุ่มก็ดูจะควบคุมดาบในมือได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
จนพอจะกล่าวได้ว่าพอรู้จักใช้ดาบเป็นบ้างแล้ว
“เจ้าทำได้ดีมาก หวูไว่”เสียงหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง
เมื่อเด็กหนุ่มหันไปมองก็พบเฒ่าลู่ยืนมือไขว้หลัง เฝ้าดูการรำดาบของตนด้วยสีหน้าอิ่มเอิบ
“แต่ข้าคิดว่า…”
“หวูไว่…เจ้าเพิ่งฝึกฝนอย่ารีบเร่งไปหน่อยนักเลย ความสำเร็จมันเกิดในเวลาชั่วข้ามคืนไม่ได้หรอก”
“ทราบแล้ว เฒ่าลู่”
“เอ๊ย…อาจารย์”
แต่เฒ่าลู่ส่ายหน้า
“อย่าเรียกข้าอย่างนั้นเจ้าเด็กโง่ ข้าไม่ได้เป็นอาจารย์ของเจ้า และเจ้าก็ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของข้า นี่เป็นเพียงแค่การชี้แนะธรรมดาเท่านั้นหรอก”
“แต่ว่า…”เด็กหนุ่มพยายามทักท้วง”
เฒ่าบ้าแห่งสวนดอกไม้ยกมือห้ามแล้วเอ่ยว่า
“ครูและอาจารย์นั้นมีไว้สำหรับสอนสั่งศิษย์ผู้หลงทาง แต่เจ้านั้นไม่ใช่ จำคำข้าไว้ เจ้าไม่เหมือนใครหวูไว่ และไม่เหมือนคนพวกนั้น”
“พวกนั้นเหรอ…พวกไหนกัน”
เฒ่าลู่ไม่ตอบคำ ปล่อยให้เด็กหนุ่มงงงันอยู่อย่างนั้น
(4)
“เจ้าดูแปลกไปนะ…”
“ใช่ ข้ารู้สึกว่าเจ้าดูผึ่งผายขึ้น มีกล้ามเนื้อมากขึ้นกว่าเดิม ไปทำอะไรมาน่ะหวูไว่”
เด็กหนุ่มจากเซียงอู่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะตอบเพื่อนทั้งสองคนไปว่า
“เปล่านี่…ข้าก็ปลูกดอกไม้ไปตามเรื่องเท่านั้น”
เรียวและอากิสบกันตา ดูเหมือนว่าตั้งแต่จากหมู่บ้านเซียงอู่มาอยู่ที่เกียะหยู หวูไว่จะมีอะไรที่ดูพิกล และทำท่าจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าอ้วน-อากิ ถอนหายใจออกมาโดยแรง
“นี่…ไอ้เพื่อนบ้า เจ้าเป็นอะไรของเจ้านะ เอาแต่ขลุกตัวเองอยู่ในสวนดอกไม้แห่งนี้ได้ทุกวี่ทุกวัน บางทีข้าก็เห็นเจ้าเอาแต่มองต้นไม้ในสวนอยู่นั่นแหละ จะมองให้ดอกไม้มันงอกขึ้นมาหรือไง หา”
เจ้าโย่ง-เรียว พยักหน้าหงึกอย่างเห็นด้วย
“ทำใจบ้างเถอะน่า รักคนมีเจ้าของก็ต้องช้ำใจอย่างนี่แหละ มีผู้หญิงสวยในเกียะหยูให้เจ้าเลือกเยอะแยะไป”
“หา…อะไรนะ”คราวนี้เป็นหวูไว่ร้องออกมาบ้าง
อากิเอามือตบหลังเด็กหนุ่มเบาๆเหมือนปลอบใจ
“รู้น่า เจ้านะหลงรักคุณหนูเอียน แต่รักครั้งนี้ของเจ้ามันเป็นรักคุด เจ้าไม่สมหวังหรอก ตัดอกตัดใจเสียเถิดน่า”
หวูไว่ มองหน้าเจ้าเพื่อนตัวดีสองคนไปมาแล้วก็หัวเราะหึหึออกมา
“เจ้าเพื่อนบ้า เพ้อเจ้ออะไรกันเนี่ย”
อกหักเหรอ-หวูไว่เคยคิดเช่นนั้นอยู่บ้างเมื่อยามมาถึงเกียะหยูใหม่ๆ แต่การใช้ชีวิตอยู่ในสวนดอกไม้ร่วมกับเฒ่าลู่นานวันเข้า ซึมซับกับธรรมชาติรอบตัว ฟังคำกล่าวอันมีนัยลึกซึ้งของเฒ่าลู่มากขึ้น เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะต้อง ฟูมฟายกับความรักที่ผิดหวังของตัวเองมากนักหรอก
“ความรักมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่นหรอก ข้าคิดอย่างนั้นนะ มันขึ้นอยู่กับตัวเองต่างหาก ไม่ใช่ว่าคนที่ข้ารักจากไป หรือมีคนอื่นที่รักอยู่แล้ว จะทำให้ความรักนั้นจืดจางไปเสียเมื่อไหร่เล่า”
เรียวและอากิหันไปสบตากันอีกครั้ง
“พูดอะไรของเจ้าเนี่ย ไม่เข้าใจเลย” เรียวบ่น
“เรียว อากิ วันใดที่มีความรักพวกเจ้าก็จะรู้เองนั่นแหละ”เด็กหนุ่มว่า
“น้ำเน่าชะมัดวะ”อากิเสริม
แล้วเพื่อนรักทั้งสามก็ประสานเสียงหัวเราะดังไปทั่วสวนดอกไม้
(5)
หลี่มู่ยืนอยู่ในมุมด้านหนึ่งของเก๋งชมจันทร์ในสวนของคฤหาสน์สกุลมู่ ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน และแม่ทัพหนุ่มกำลังเอามือไพล่หลังเฝ้ามองราตรีเบื้องบนที่มืดมิดด้วยอาการครุ่นคิด
ปีนี้หลี่มู่มีอายุ 21 เขาเกิดในตระกูลสูงศักดิ์ สืบเชื้อสายมาจากเชื้อพระวงศ์โบราณ พ่อของหลี่มู่เป็นนายทหารผู้สร้างตำนานการรบไว้มากมาย ในขณะที่แม่เป็นกุลสตรีที่ดีงาม มีเมตตาต่อทุกผู้คน
และจุดเด่นของพ่อและแม่ก็หลอมรวมอยู่ในตัวของหลี่มู่อย่างน่าทึ่ง
หลี่มู่มีความองอาจ สง่างาม มีหน้าตาอันโดดเด่นสะดุดตา ชนิดใครเห็นก็ต้องเหลียวมอง มีความฉลาด เปี่ยมไปด้วยไหวพริบ
อายุได้ 17 หลี่หมู่ก็เปล่งประกายเจิดจ้าในสนามรบ ในฐานะนักรบที่เก่งกล้าสามารถ เป็นอัจฉริยะที่น่าทึ่ง ถนัดในการใช้อาวุธทุกประเภท มีสติปัญญาอันเฉียบคม หลักแหลมในการวางแผนการรบ
อายุได้ 20 หลี่มู่ก็กลายมาเป็นผู้นำของกองกำลังเมฆขาว ชนะศึกเล็กใหญ่มากมาย จนได้ฉายาว่า “ราชันแห่งทุ่งสงคราม” เป็นขุนพลที่สร้างความครั่นคร้ามให้กับนายพลซื่อชางแห่งกองทัพอัศวินดำมากที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้น แม่ทัพหนุ่มก็รู้สึกว่า การใช้ชีวิตในศึกสงครามมานายหลายปี ทำให้รตัวเองชาเย็นจนเกินไป ยากที่ใครจะเข้าถึง
ไม่เว้นแม้กระทั่ง เอียนซี คู่หมั้นสาว
ที่แล้วมา หลี่มู่ กับ เอียนซี ถือเป็นกำลังหลักของกองกำลังเมฆขาว ยามออกศึกสงคราม หงสาคะนองศึกจะเป็นทัพหน้าทำหน้าที่คอยสอดแนม รายงานความเคลื่อนไหวของศัตรู และถนัดในการลอบซุ่มโจมตีเพื่อลดทอนกำลังของศัตรู
ส่วนหลี่มู่ จะทำหน้าที่เป็นทัพหลวง คอยวางแผนการรบ และพร้อมจะเคลื่อนกำลังเพื่อสนับสนุนได้ตลอดเวลา
แต่หลายปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างหลี่มู่ กับ เอียนซี ช่างคล้ายกับแม่ทัพใหญ่กับแม่ทัพน้อย ที่มีแต่เรื่องราวการวางแผน การรบ และการทำลายล้างทหารอัศวินดำเท่านั้น
ความจริงแล้ว แม่ทัพใหญ่แทบไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ จนกระทั่งช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจึงสังเกตเห็นว่า คู่หมั้นสาวมักจะเอ่ยถึงเด็กหนุ่มหวูไว่อยู่บ่อยหนเหลือเกิน พูดถึงหนใดก็มักจะยิ้มแย้ม หัวเราะอย่างเบิกบาน
นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาเองไม่เคยพูดหรือกระทำการใดๆให้คู่หมั้นสาวเบิกบานเหมือนที่เด็กหนุ่มบ้านนอกคนนั้นทำได้
คิดถึงแล้ว หลี่มู่ก็ถอนหายใจออกมา
ในขณะแม่ทัพหนุ่มครุ่นคิดและเฝ้ามองไปยังท้องฟ้าเบื้องบน เอียนซีก็เดินเข้ามาถึงเก๋งชมจันทร์ และเอ่ยทักทายว่า
“พี่หลี่ ยากนักที่จะเห็นแม่ทัพใหญ่ของพวกเรามีอารมณ์สุนทรีชมแสงจันทร์เยี่ยงนี้”
หลี่มู่ หันหน้ามาและพยักหน้าให้คู่หมั้นสาวและส่งรอยยิ้มน้อยๆเป็นการทักทาย
“ซียี้ เจ้าอย่าล้อข้าเลยน่า”
พูดเสร็จ หลี่มู่ก็ยกมือบอกให้คู่หมั้นสาวนั่งลงบนโต๊ะหิน
“ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า…”
หงสาคะนองศึกหัวร่อออกมาเบาๆก่อนทรุดตัวลงนั่ง
“อีก 3 วันข้างหน้าเจ้าคงต้องเดินทางไปเมืองเว่ยแล้วซินะ…”
หญิงสาวพยักหน้ารับ
“เท่าที่ทราบในเบื้องต้นก็คือ ตอนนี้กองทัพอัศวินดำได้ส่งกองกำลังไปที่เมืองเว่ยอย่างผิดสังเกตในช่วงหลายวันที่ผ่านมา”
“อืมม์…แต่เรื่องที่ว่าเมืองเว่ยมีความลับเรื่องอาณาจักรที่สาปสูญอะไรซุกซ่อนนั่น มันน่าสงสัยว่ามันจะเป็นความจริงได้หรือ…”หลี่มู่กล่าว
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่เท่าที่สืบข่าวมาได้ก็คือ นายพลซื่อชางดูจะให้ความสนใจเรื่องอาณาจักรที่ผู้คนร่ำลือกันมากเหลือเกินนี่ ข้าก็อยากรู้ความจริงในเรื่องนี้เหมือนกัน”
แม่ทัพหนุ่มแห่งกองกำลังเมฆขาวพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของคู่หมั้นสาวก่อนเสริมด้วยว่า
“และนายพลซื่อชางก็ยังตามหาเด็กหนุ่มที่มีผมสีทอง ดวงตาสีฟ้าอย่างจ้าละหวั่นเหมือนเดิมด้วย”
“แต่ข้ารับประกันว่า หวูไว่ไม่ใช่เด็กหนุ่มคนที่ว่านั่นแน่ พี่หลี่”
หลี่มู่เหลือบตามองไปที่คู่หมั้นสาว ริมฝีปากของชายหนุ่มเม้มสนิท เหมือนอยากจะกล่าวอะไรแต่ก็เก็บเงียบเอาไว้ในลำคอ
“พี่หลี่…ท่านยังสงสัยหวูไว่อีกเหรอ”
แม่ทัพหนุ่มแห่งกองกำลังเมฆขาวส่ายหน้าอย่างช้าๆ ก่อนลุกจากม้านั่งแล้วไปยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังฟากฟ้าเบื้องบนแล้วพูดลอยๆออกมาว่า
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะห่วงใยเด็กหนุ่มหวูไว่คนนั้นอยู่มากนะ ซียี้”
เอียนซีร้องอืมม์ดังในลำคอ แล้วชั่วครูก็ดวงตาลุกโพลงขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
“นี่…ท่านคงไม่คิดว่าข้ากับหวูไว่…เอ้อ”
หลี่มู่หันมาช้าๆมองไปยังคู่หมั้นสาวและส่ายหน้าไปมา
“นั่นซิ…ข้าไม่คิดว่าพี่หลี่จะคิดอย่างนั้นกับหวูไว่ เขาเป็นเด็กหนุ่มนิสัยดี และยังเป็นคนที่ช่วยชีวิตข้าไว้อีกด้วย”
“แต่พี่หลี่…ข้ามองเขาเหมือนเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น”
“หือม์…เพื่อนหรือ” หลี่มู่ครางออกมาแล้วรู้สึกเหมือนความอัดอั้นในอกคลายออกจนหมด
เอียนซีพยักหน้ารับ
“ท่านแม่ทัพนะท่านแม่ทัพ คิดอะไรของท่านอยู่นี่ เฮ้อ”
“ซียี้…” แม่ทัพหนุ่มพูดเหมือนละเมอ ก่อนทรุดตัวลงนั่งอย่างลืมตัว แล้วยื่นมือเข้ากุมมือของคู่หมั้นสาวเอาไว้
“นี่…ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านเป็นคู่หมั้นข้านะ อย่าคิดอะไรให้มันเลยเถิดไปนักเลย เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ท่านน่าจะเข้าใจความรู้สึกของข้าดี”
“ข้าขอโทษ…ซียี้” หลี่มู่พูดเบาๆ กุมมือคู่หมั้นสาวเอาไว้ไม่ยอมปล่อย และไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ในขณะที่นางสิงห์คะนองศึกก้มหน้าลงอย่างขวยอาย ซุกซ่อนดวงตาเป็นประกายด้วยความยินดีไม่ให้คู่หมั้นหนุ่มได้เห็น
(6)
“แย่แล้ว…ไม่ทันแน่”
หวูไว่ร้องบอกตัวเองอยู่ในใจ ในขณะที่เร่งฝีเท้าเต็มเหยียด เป้าหมายคือประตูเมืองที่ขณะนี้หน่วยทหารเล็กๆของกองกำลังเมฆขาวคงอยู่ระหว่างเคลื่อนกำลังเพื่อไปปฎิบัติภาระกิจยังเมืองเว่ย
“นี่-เจ้าตัวดี อยู่ที่นี่ก็ทำตัวดีๆละ พวกเราจะไปออกรบกันเฟ้ย เป็นสงครามครั้งแรกของพวกเรา”
“โอ๊ย-อย่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ซิไอ้เพื่อนบ้า เราไปเพื่อสอดแนมเท่านั้น ไม่มีอะไรอันตรายนักหรอก และคุณหนูเอียนของเจ้านำทัพไปเองด้วย”
นั่นแหละ-ที่เรียวและอากิบอกกับเขาเมื่อ 3 วันก่อน และเด็กหนุ่มตั้งใจว่าจะต้องไปส่งเพื่อนรักตรงปากประตูเมืองให้ได้
แล้วก็เอ้อ-เขายังได้ตัดดอกเบญจมาศในสวนที่เพิ่งออกดอกสะพรั่งเพื่อเตรียมมอบให้คุณหนูเอียนด้วย
แต่ขณะนี้ ถึงจะเร่งฝีเท้าอย่างไร และมองเห็นประตูเมืองอยู่ลิบๆเบื้องหน้า แต่เขาก็เห็นแล้วว่ากองทหารเล็กๆกำลังเคลื่อนทัพออกจากประตูเมืองไปอย่างเงียบๆ
เห็นอย่างนั้นแล้วเด็กหนุ่มแห่งเมืองเซียงอู่ก็แข้งขาอ่อน ไม่มีแรง ยืนหอบหายใจเฝ้ามองหน่วยทหารเคลื่อนทัพจากไป ร่ำร้องเรียกชื่อคุณหนูเอียน-อยู่ในใจเท่านั้น
“อ้าว…เจ้าหนุ่ม”
เสียงแหลมเล็กดังขึ้นมาทางด้านหลัง เมื่อหวูไว่เหลียวไปมองก็เห็นใบหน้าเหลี่ยม ดวงตายิบหยี และรอยยิ้มเหยียดของคนผู้หนึ่งจ้องมองมา
“ที่ปรึกษาฝาน…”เด็กหนุ่มพึมพำ
ใช่แล้ว-ฝานซื่อ ที่ปรึกษาของแม่ทัพหนุ่มหลี่มู่นั่นเอง
และขณะนี้กำลังจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยดวงตาหลุกหลิกไปมา
“ว่าไงละ…เจ้าหนุ่มมาทำอะไรตรงนี้ แล้วก็นั่นเจ้าจะถือดอกไม้ไปไหน”
หวูไว่หันไปมองดอกเบญจมาศที่กำแน่นอยู่ในมือ แล้วพูดตะกุกตะกักว่า
“คือข้า…อยากจะไปส่งเพื่อนทั้งสองคนที่เพิ่งจะร่วมทัพไปสืบเหตุการณ์ที่เมืองเว่ย แต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้วละที่ปรึกษาฝาน”
“แล้วก็นี่…”เด็กหนุ่มพูดแล้วก้มมองดอกเบญจมาศในมือด้วยสายตาอ่อนโยน “ข้าตั้งใจมอบให้คุณหนูเอียนซี เพื่ออวยพรให้คุณหนูปฎิบัติภารกิจสำเร็จ แค่นั้นเอง”
ฝานซื่อพยักหน้ารับ แล้วถอนหายใจออกมาโดยแรง
“น่าเห็นใจจริงน้องชาย แต่เรื่องแค่นี้ข้าช่วยเจ้าได้สบายมาก เอาดอกไม้นั่นมาซิเดี๋ยวข้าจะจัดการส่งมอบให้คุณหนูเอียนเอง-ข้าว่านางเองก็คงดีใจมาก”
“หา-จริงเหรอ”
ฝานซื่อหัวร่อเบาๆและพยักหน้า ก่อนจะรับดอกไม้จากมือเด็กหนุ่มไปถือไว้
“ไม่เป็นไรหรอก-เรื่องเล็กน้อยน่า”
หวูไว่มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น กล่าวขอบคุณฝานซื่อด้วยน้ำเสียงสั่น
“ที่ปรึกษาฝาน…ท่านช่างมีน้ำใจนัก” เด็กหนุ่มพึมพำและก้าวเท้ากลับสู่ที่พักด้วยหัวใจอันปลอดโปร่ง
ฝานซื่อเพียงมองแผ่นหลังของหวูไว่ที่เร่งฝีเท้าจากไปด้วยสีหน้ายิ้มเหยียด แล้วหัวเราะเสียงแหลมออกมา
“ไอ้หน้าโง่เอ๊ย คางคกคิดจะกินเนื้อห่านฟ้าเชียวหรือนี่ ช่างไม่เจียมนัก…”
พูดพึมพำกับตัวเองเช่นนั้นแล้ว ที่ปรึกษาประจำตัวแม่ทัพหลี่มู่ก็ค่อยๆทิ้งดอกไม้ในมือลงกับพื้นอย่างไม่ใยดี ตามมาด้วยการใช้เท้าเหยียบย่ำดอกไม้นั่นจนแหลกคาเท้า
แล้วหัวร่ออย่างสะใจอยู่เป็นนาน

๑๓.๒.๕๑

นักรบจากดาวดวงอื่น (8)-โลกซับซ้อน

(1)

“ลงมือซิ…”
“นี่…ไม่ใช่ให้เจ้ามาดูข้ากินอาหารพวกนี้หรอกนะ”
“ยังไงเล่า…หวูไว่”
นั่นแหละ-เมื่อถูกเรียกชื่อ เด็กหนุ่มจึงสะดุ้งไหวขึ้นมานิดหนึ่ง แล้วมองจานอาหารที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอ
ไม่ใช่ไม่หิว แต่อาหารที่วางอยู่ตรงหน้ามันมากจนตาลายต่างหาก จะเป็นปลาน้ำแดง ไก่นึ่งซีอิ๊ว ผัดผักจานใหญ่ เนื้อแพะตุ๋น หมั่นโถว บะหมี่เป็ด ก็ชวนให้น้ำลายสอทั้งสิ้น
แต่บรรยากาศรอบข้างในขณะนี้ เด็กหนุ่มไม่คุ้นเอาเสียเลย มันเป็นเหลาใหญ่แห่งเมืองเกียะหยู ที่มีผู้คนเดินเข้าออกมากมาย ผู้คนในอาภรณ์งดงามนั่งอยู่ตามโต๊ะต่างๆ เสียงคนเรียกเด็กรบใช้สั่งอาหารดังไปมา เด็กรับใช้บางคนก็สาละวนอยู่กับการยกอาหาร เทสุรา และพูดคุยกับลูกค้า
เด็กหนุ่มนั่งอยู่ชั้นบน ในโต๊ะใหญ่ด้านใน ที่มีอาหารลำเลียงมาไม่ขาดสาย ซึ่งคะเนราคาแล้วก็คงไม่เบานักหรอก
แต่เอ้อ…บนโต๊ะขณะนี้มีคนอยู่แค่สองคนเท่านั้น
นั่นคือตัวของหวูไว่-เด็กหนุ่มแห่งเมืองเซียงอู่ ในชุดเสื้อเนื้อบางสีเทากลางเก่ากลางใหม่ และดูน่าแปลกตาด้วยผมสีทอง และดวงตาสีฟ้าคู่นั้น
และที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับคือหญิงสาวในชุดเสื้อผ้าสีฟ้าสดใส มีสร้อยไข่มุกเพิ่มความผุดผาดให้กับลำคอขาวคู่นั้น ดวงตาของหญิงสาวใสกระจ่าง จมูกโด่ง ฟันขาวเรียงเป็นประกาย
จะเป็นใครไปได้นอกจาก เอียนซี-บุตรสาวคนเดียวของที่ปรึกษาเอียนมู่หลง
เอาเถอะ-ถึงเด็กหนุ่มที่ร่วมโต๊ะจะดูธรรมดาไปหน่อย แต่เมื่อได้โอกาสนั่งร่วมโต๊ะกับคุณหนูเอียนอย่างนี้ บริกรทั้งหนุ่มแก่ในร้านถึงจะมองเด็กหนุ่มดูน่าขัดตาไปบ้าง แต่ก็กุลีกุจอบริการเป็นอย่างดี อย่างมากก็แค่เหลือบตามองสีผมและดวงตาอันแปลกประหลาดและซุบซิบกันไปมา
แต่แค่นั้นก็ทำหวูไว่ขัดเขิน อย่าว่าแต่คีบอาหารทานเลย แค่ยกน้ำชาขึ้นจิบก็ยังลำบากใจเหลือทนแล้ว
“เป็นไรไปอีกเล่า รีบกินเข้าเถอะ มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง”
ได้ยินอย่างนี้ หวูไว่จึงยื่นตะเกียบคีบเนื้อปลา แต่ก็แค่เอามาวางไว้บนชามของตัวเองพอเป็นพิธีเท่านั้น
“คุณหนูเอ่อ…ที่ท่านพาข้ามาวันนี้”
หญิงสาวส่ายหน้าอย่างระอา
“บอกไม่ให้เรียกว่าคุณหนูไง เจ้านี่ไม่จำเสียเลยนะ”
“ข้า…”
เอียนซี ยกมือขึ้นโบกห้ามแล้วก็หัวเราะออกมา
“เอาเถิด จะเรียกยังไงก็ตามใจเจ้า แต่วันนี้ที่ข้าชวนเจ้ามาที่นี่ก็เพราะอยากจะคุยกับเจ้ามากกว่า”
คุยเหรอ-เด็กหนุ่มฟังแล้วก็ชะงักไป อาหารที่อยู่ในปากกลืนลงคออย่างลำบากอย่างเย็น
“อย่างนั้นซิ เพื่อนเจ้าสองคนนั่นแหละมาฟ้องว่าพักหลังนี่เจ้าดูแปลกไป เป็นอะไรไปหรือเปล่า”
คราวนี้เด็กหนุ่มเลยได้แต่อ้าปากค้าง
“สองคนนั่นบอกว่า ตอนนี้เจ้าไม่ค่อยชอบพูด วันๆเอาแต่จ้องมองต้นไม้ทั้งวัน ชวนไปไหนก็ไม่ยอมไป ทำตัวเหมือนเฒ่าลู่ไม่ผิดเพี้ยน”
ได้ยินแล้ว หวูไว่ก็รีบยกมือสองข้างขึ้นส่ายไปมา
“เปล่า-ไม่มีอะไรคุณหนู ข้ามีความสุขดี ไม่ได้ป่วย แล้วก็ไม่ได้เพี้ยนด้วย”
“ข้าได้ยินอย่างนี้ก็สบายใจ”หญิงสาวบอก
“คุณหนู-แล้วท่านละ”หวูไว่ถามอย่างหวาดๆ
คุณหนูเอียนส่ายหัว ก่อนจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
นับตั้งแต่เดินทางกลับมาเกียะหยู และนำหวูไว่มาฝากเฒ่าลู่ไว้ที่สวนดอกไม้ หวูไว่ก็ไม่ได้พบหน้าคุณหนูเอียนบ่อยนัก เท่าที่รู้จากปากของเรียว และ อากิ ก็คือ งานของคุณหนูใหญ่ยุ่งมาก เต็มไปด้วยภาระมากมาย ทั้งเรื่องวางแผนการศึก ฝึกทหาร หรือบางครั้งก็เดินทางร่วมไปกับที่ปรึกษาเอียน เข้าพบและหารือกับ หวังจุนหลง เจ้าเมืองเดียะหยูอยู่เนืองๆ
ยามแวะมาที่สวนดอกไม้ จึงมักจะเป็นช่วงเวลาค่ำ มีเวลาทักทายหวูไว่ได้ใม่กี่คำก็ต้องจากไปแล้ว
“แล้วท่านกับแม่ทัพหลี่เล่า” อยู่ดีๆหวูไว่ก็ถามออกมา ถามออกไปแล้วก็รู้สึกว่าน้ำเสียงของตัวเองช่างแห้งแล้งอะไรอย่างนี้
“หือ…อะไรนะ” หญิงสาวว่าอย่างงงๆ
“ก็ไม่มีอะไรนี่ เขาก็ดี”
“อ้อ” เด็กหนุ่มพูด
เอียนซี-คิ้วขมวดด้วยความสงสัย เพ่งมองเด็กหนุ่มแห่งเซียงอู่ที่นั่งอยู่เบื้องหน้า รู้สึกเหมือนเด็กหนุ่มจากเซียงอู่มีอะไรแปลกไปจากเดิมจริงๆ
“เจ้าอยากรู้อะไร”
“หรือว่า…”บุตรสาวที่ปรึกษาใหญ่แห่งเกียะหยูตั้งข้อสงสัย
“ไม่…ไม่…ไม่มีอะไร” หวูไว่ละล่ำละลักกล่าว
“จริงหรือ…”เอียนซีย้ำถามอีกครั้ง
เด็กหนุ่มจะทำอะไรได้ นอกจากพยักหน้า
“เอาเถอะ หวูไว่ ข้ามีเวลาว่างมากๆเมื่อไหร่ เจ้าอยากรู้อะไรถามมาได้เต็มที่”
“แต่อย่าเพิ่งเป็นวันนี้เลยนะ…ข้าเหนื่อย”
หวูไว่ ดวงตาลุกโพลงขึ้นมาและถามขึ้นมาอย่างลืมตัว
“คุณหนูท่าน…ท่าน”
“อย่าทำสีหน้าอย่างนั้นเลยน่า หวูไว่ รีบกินให้อิ่ม แล้วก็ร้องเพลงให้ข้าฟังหน่อย”
“หา-อะไรนะ”หวูไว่ร้องคราง
แล้วหญิงสาวก็หัวเราะร่วนขึ้นมา

(2)


ดอกไม้ดอกหนึ่ง
เติบโตในป่า
เกิด เติบโต และรอวันผลิบาน
แต่วันหนึ่งดอกไม้เศร้าโศก
ไม่อยากเติบโต ผลิบาน
ร้าวรานเพราะไม่มีใครเห็น
แล้วฉันจะบานเพื่อใคร-ดอกไม้ถาม
จนวันหนึ่ง มีเสียงกระซิบมาจากเบื้องบน
ดังมาจากดาวดวงหนึ่งบนฟากฟ้า
บอกว่า-อย่าเศร้าไปเลยดอกไม้
เจ้าเกิดมาก็เพื่อผลิบาน-ไม่ใช่หรือ
เติบโต ผลิบาน เพื่อตัวเองไม่ได้หรือ
ดอกไม้สะท้านสะทก
แล้วร้องอนิจจาเมื่อมองขึ้นไปบนฟ้า
ดาวดวงนั้น เล็กกระจิดริดอะไรเช่นนั้น
แสงริบหรี่ราวกับเปล่งจากหิ่งห้อยในยามค่ำคืน
เจ้าเห็นข้าหรือไม่-ดวงดาวถาม
เห็นมั๊ยเล่า-ข้าเป็นเพียงดาวอับแสงดวงหนึ่ง
เป็นเพียงจุดเล็กๆบนฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดาวพราวแสงมากมาย
แต่ถึงอย่างไรข้าไม่เคยหม่นเศร้ากับตัวเอง
อย่างน้อยข้าเกิดมาเพื่อส่องแสง
ข้ารู้เพียงเท่านั้น
ดอกไม้แย้มยิ้มให้กับดวงดาว
พบคำตอบให้ตัวเอง
ข้าพร้อมแล้วจะผลิบาน
เพื่อตัวเอง เพื่อโลก และเจ้าด้วย
ดวงดาว…

“เพลงนี้ไพเราะมาก…”
เสียงปรบมือเบาๆดังขึ้นหลังจากเด็กหนุ่มร้องเพลงจบลง เป็นการแสดงความพออกพอใจของคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเอียน ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของหญิงรับใช้
ขณะนี้ หวูไว่ยืนอยู่ในตึกใหญ่ของตระกูลเอียน ยืนร้องเพลงน้ำเสียงเจื้อยแจ้วด้วยอาการขัดเขิน
หลังจากออกมาจากเหลาใหญ่ในเมือง หญิงสาวนำเด็กหนุ่มมาที่ตึกตระกูลเอียน พาไปที่สวนเล็กๆทางด้านหลัง ให้หญิงรับใช้จัดหาผลไม้ ของว่างมาให้ทาน แต่เด็กหนุ่มกินไม่ลง ได้แต่ยืนเก้กัง เพราะไม่รู้ว่าคุณหนูเอียนจะพาเขามาที่นี่ทำไม
“อย่างที่บอกนั่นไง ทานอิ่มแล้วก็ร้องเพลงให้ข้าฟังหน่อย เพลงที่เจ้าร้องให้ฟังตอนที่เราอยู่ในหมู่บ้านเซียงอู่นั่นไง”
“เหวอ…”
นั่นละ-ที่เด็กหนุ่มต้องใช้เวลาอยู่ในสวนเล็กในคฤหาสน์ ร้องเพลงเหมือนตอนอยู่ในทุ่งหญ้า ลำธาร ไกล้กับหมู่บ้านเซียงอู่ เพลงที่ร้องก็อย่างเช่นเด็กเลี้ยงวัวกับผีเสื้อตัวหนึ่ง ต้นหลิวเต้นรำ ซึ่งร้องเล่นมาตั้งแต่เด็ก
ก่อนจะจบด้วยเพลง “ดอกไม้กับดาวดวงหนึ่ง” ที่หวูไว่ คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก ตอนที่คุณหนูเอียนซีรักษาตัวอยู่ที่หมู่บ้านของเขานั้น ยังได้ยินเสียงร้องเพลงนี้จากเขาอยู่บ่อยๆ จะว่าเป็นเพลงประจำตัวของเขาก็คงได้
“ใครแต่งเพลงนี้นะ เจ้ารู้มั๊ย”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า รู้แต่ว่าลุงและป้าสอนให้เขาร้องเพลงนี้มาตั้งแต่เด็ก พร้อมกับบอกว่า เขานะเหมาะกับเพลงนี้มากที่สุด
ยามนี้ เด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่ต่อหน้าหญิงสาว ก้มหน้าลงต่ำแต่แอบเหลือบมองคุณหนูเอียนอยู่เงียบๆ หลายเดือนที่ผ่านมา ถึงคุณหนูเอียนมีสีหน้าอิ่มเอิบกว่าเดิม หากแต่หลายครั้งที่เจอกัน เขาพบว่า หญิงสาวมักจะขมวดคิ้ว มีสีหน้าเคร่งเครียด บางทีก็เงียบเฉยจนเกินไป ไม่เหมือนเอียนซีคนที่รู้จักเมื่อครั้งอยู่เซียงอู่เท่าใดนัก
ได้เห็นสีหน้ายิ้มแย้ม หัวเราะของคุณหนูเอียนในขณะนี้แล้ว หวูไว่รู้สึกปลาบปลื้มอย่างบอกไม่ถูก
เขารู้ว่าไม่สามารถช่วยเหลือกิจการอันใดของยอดหญิงแห่งกองกำลังเมฆขาวผู้นี้ได้แม้แต่น้อย สิ่งที่เขาทำได้ก็คือมอบความสุขเพียงชั่วขณะอย่างที่ทำอยู่ในตอนนี้เท่านั้น
ได้แค่นี้จริงๆ
และอย่างช้าๆ เอียนซี หยัดตัวเองขึ้นจากม้านั่ง พยักหน้าน้อยๆให้กับเด็กหนุ่ม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
“เอาละ..หมดเวลาของข้าแล้วสำหรับวันนี้”
หวูไว่ รู้แล้วว่า ถึงเวลาที่เขาจะต้องกลับไปที่สวนดอกไม้ที่พำนักเช่นกัน
“คุณหนู…เอ่อ” เด็กหนุ่มกล่าวตะกุกตะกัก
คุณหนูแห่งตระกูลเอียนอันยิ่งใหญ่เลิกคิ้ว ยิ้มน้อยๆ
“มีอะไรอีกเล่า…อย่าอ้ำๆอึ้งซิ เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าชอบคนที่พูดอะไรตรงๆนี่นะ”
“ข้าเพียงอยากจะบอกว่า คุณหนูอย่าตรากตรำงานหนักมากไปก็เท่านั้นเอง”
“เอาเถอะน่า…ข้าไม่เป็นไรหรอกน่า” หญิงสาวพูดตัดบท
“เจ้าก็อย่าห่วงคนอื่นให้มากนักเล่า หวูไว่”
“ทราบแล้ว คุณหนู”
เด็กหนุ่มรับคำด้วยเสียงเบาๆ

(3)

สายฝนโปรยปรายลงมาเป็นละอองบางๆในขณะที่หวูไว่เดินออกจากคฤหาสน์ใหญ่ของสกุลเอียน อากาศเริ่มเย็นลง ในขณะที่ความมืดก้าวเข้ามาปกคลุมผืนฟ้าเบื้องบน ตามถนนหนทางผู้คนบางตาลงไป
เด็กหนุ่มเลือกที่จะเดินอ้อมไปทางขวาของประตูเมือง เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินผ่านตลาดใหญ่ประจำเมืองที่จอแจ พลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากมาย แต่หลังจากเดินไปได้ครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มจากเซียงอู่ก็ชักไม่แน่ใจว่าตัวเองตัดสินใจถูกหรือเปล่า เพราะซอยเล็กๆที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้านี้ทั้งมืดทั้งแคบ และแทบจะไม่มีผู้คนสัญจรไปมาเลย แต่มันก็เป็นทางลัดที่จะนำพาสู่สวนดอกไม้ที่พำนักได้รวดเร็วที่สุด จริงอยู่-หวูไว่ ไม่กลัวความมืด แต่ไม่ใช่ความมืดในเมืองใหญ่เยี่ยงนี้ มันไม่ใช่สภาพที่คุ้นเคยเหมือนอยู่ในเซียงอู่แม้แต่นิด ความแปลกหน้าต่อสถานที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองก้าวเท้าอย่างเชื่องช้า และสั้นไปกว่าตอนที่เดินออกมาจากคฤหาสน์สกุลเอียนอยู่มาก
ที่สำคัญ-หลังจากเดินมาทางนี้ได้ไม่นาน เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนไม่ได้เดินอยู่คนเดียว แต่เหมือนมีคนก้าวเดินตามหลังเขาอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อหันไปมองก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดและความเงียบเท่านั้น
แต่ทุกครั้งที่ย่ำเท้าลงกับพื้นถนน ก็ได้ยินเสียงตึงตังตามมาเสมอ บางจังหวะหวูไว่พยายามเร่งฝีเท้าหนี แต่เสียงเหมือนการย่ำเท้าของใครบางคนก็ไล่หลังมาเหมือนเดิม
และเมื่อถึงซอยเล็กๆเบื้องหน้าในขณะนี้ หวูไว่หลับตาสูดลมหายใจยาวๆอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะออกวิ่งผ่านซอยเล็กๆเบื้องหน้าไปอย่างรวดเร็ว เป็นการวิ่งแบบเต็มฝีเท้า ไม่สนใจว่าจะมีอะไรยืนขวางหน้าหรือไม่
ชั่วอึดใจ เด็กหนุ่มก็มายืนหอบอยู่ที่ถนนเล็กๆสายหนึ่ง เป็นเส้นทางที่จะลัดเลาะกลับสู่สวนดอกไม้นั่นเอง แต่ก่อนที่จะก้าวเดินต่อไป มีร่างหนึ่งยืนขวางทางอยู่ เป็นร่างของชายชุดดำมีผ้าสีดำคาดหัวและปิดบังใบหน้า ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นคนที่สะกดตามหวูไว่มาตลอดทางนั่นเอง
“เจ้า…เจ้าเป็นใครกัน” เด็กหนุ่มถามเสียงสั่น และเหลียวมองไปรอบบริเวณก่อนจะพบว่าไม่มีผู้คนเดินผ่านไปมาแม้แต่คนเดียว
ชายชุดดำไม่ตอบคำ หยิบกระบี่ในมือออกมา ตวาดเสียงดังและพุ่งเข้ามาหาพร้อมกวัดแกว่งกระบี่ในมือ หวูไว่จะทำอะไรได้นอกจากถอยหลังกรูดและท่องออกมาคำเดียว
วิ่ง…
ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็วิ่งหนีทันที
เสียงดาบฉวัดเฉวียนอยู่ทางด้านหลัง เด็กหนุ่มจะทำอะไรได้เล่านอกจากตัดสินใจกลิ้งร่างตัวเองลงกับพื้นอย่างไม่กลัวเจ็บ ไม่เช่นนั้นคงจะไม่รอดพ้นจากวิถีกระบี่จากทางด้านหลังได้แน่
แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงคมกระบี่ที่กรีดเข้าที่แผ่นหลัง จนต้องร้องโอดโอยและนอนแผ่อยู่บนพื้นไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น
ชายชุดดำก้าวเท้าย่างเข้ามา พร้อมกุมกระบี่ในมี่ชี้ปราดมาที่เด็กหนุ่ม
“เจ้า…เจ้า…ต้องการอะไร” หวูไว่พูดเสียงสั่น และไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่รู้ว่าเคยทำอะไรให้ชายลึกลับผู้นี้โกรธแค้นมาก่อน หรือว่าเป็นการเข้าใจผิดกันแน่
แต่จะทำอะไรได้หวูไว่บอกกับตัวเอง-นอนรอความตายเถิด
ชายชุดดำยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ พลางลดกระบี่ในมือลงกับพื้น มองมายังเด็กหนุ่มที่นอนแผ่อยู่บนพื้น แล้วส่ายหน้าไปมา ก่อนจะหันหลังจากไปอย่างช้า ไม่ช้าร่างในชุดดำนั้นก็กลืนหายไปในความมืด
ส่วนหวูไว่ได้แต่มึนงง ก่อนจะร้องโอยออกมาเมื่อรู้สึกเจ็บแผลจากคมกระบี่ที่กลางหลัง
ซวยชะมัดเลย
(4)
“อูยย์…เบาหน่อยๆ เฒ่าลู่”
เด็กหนุ่มร้องครางออกมาเบาๆในขณะที่เฒ่าลู่ใช้ยาสมานแผลทาที่กลางหลัง เพราะมันทั้งร้อนทั้งแสบอะไรอย่างนี้
“ทนหน่อยซิ เจ้าเด็กโง่”
ผ่านไปชั่วครู่ เมื่อยาออกฤทธิ์ เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลัง อาการเจ็บแสบคลายลงไปมาก
“เจ้าโชคดีนัก…”
“อะไรกัน…โชคดีเหรอ ข้าเกือบตายอย่างนี้นะ”
“เจ้าไม่ตายหรอก เด็กโง่”
เฒ่าลู่ ลุกขึ้นยืนแล้วถือถ้วยยาสมานแผลไปวางไว้บนโต๊ะ แล้วหันไปยืนมองผนังห้องอยู่เงียบๆ
“ดูจากรอยแผลนั่นแล้ว มันเกิดจากคมกระบี่ที่เกรี้ยวกราด เด็ดขาด หากแต่ไม่คิดลงมือฆ่าเจ้าแม้แต่น้อย ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่ได้มานั่งให้ข้ารักษาแผลอย่างนี้แน่”
“อย่างนั้นเหรอ…”เด็กหนุ่มพึมพำ ก่อนพยักหน้าหงึก เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์อันอกสั่นขวัญแขวนเมื่อคืนที่ผ่านมา เพราะตอนที่เขานอนลงไปกองกับพื้นนั่น ชายชุดดำลึกลับเพียงแต่ย่างเท้าเข้ามา ใช้กระบี่ชี้มาที่ตัวเขาอยู่ครู่ใหญ่ ส่ายหน้า แล้วก็เดินจากไป
เพราะอะไรกันเล่า…
“เจ้าเคยสร้างศัตรูอะไรไว้ที่ไหนหรือเปล่า หือม์”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า
“ข้าเหรอไม่มีหรอก นอกเสียจากว่า…เอ้อ”
“ว่าอะไร”
เด็กหนุ่มเกาหัวพลางตอบว่านอกจาก ชายลึกลับผู้นั้นจะเป็นพวกจากกองทัพอัศวินดำที่ตามล่าตัวเขาอยู่เท่านั้น
เฒ่าลู่หันหน้ากลับมาและส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
“ไม่น่าเป็นไปได้…ข้าไม่เคยพบว่าพวกทหารอัศวินดำเคยบุกมาที่เกียะหยูแห่งนี้เลย ข้าว่าเจ้าเดาผิดแล้ว”
หวูไว่ครางในลำคอ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร
“หรือว่าจะจำผิดตัวนะ…”
“คงไม่อีกนั่นแหละ ผมสีทอง และดวงตาสีฟ้าของเจ้านั่น ทำให้เจ้าแตกต่างกับคนทั่วไปในเมืองนี้ เดาผิดอีกแล้ว”
หวูไว่ได้แต่ถอนหายใจ มึนงงกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
“ข้าควรทำอย่างไรดี เฒ่าลู่”
ตาเฒ่าบ้าหัวเราะหึหึก่อนทรุดตัวลงบนโต๊ะกลางห้อง
“ทางที่ดี เจ้าไม่ควรบอกใครในเรื่องนี้ เรื่องมันจะเลยเถิดไปกันใหญ่ แล้วก็หาทางป้องกันตัวซ่ะ…”
“ป้องกันตัวเหรอ”เด็กหนุ่มพึมพำ
เฒ่าลู่พยักหน้าแล้วยิ้ม
“ข้ามีวิธี…”
(5)
คฤหาสน์ตระกูลเอียนมีเนื้อที่อันกว้างขวาง ปลูกอยู่ริมแม่น้ำ มีทิวทัศน์อันสวยงาม แต่ที่โอ่อ่ากว่าเพื่อนคือตึกใหญ่ที่เป็นถิ่นพำนักของเอียนมู่หลง ประมุขใหญ่ของคฤหาสน์แห่งนี้ ซึ่งตบแต่งอย่างหรูหรา คนรับใช้ในตึกใหญ่แห่งนี้ต้องผ่านการอบรมมาเป็นอย่างดี มารยาท ความประพฤติต้องเพียบพร้อม
และที่สำคัญต้องสามารถจำแนก “แขก” ที่มาเข้าพบประมุขใหญ่ว่าใครคนไหนอยู่ในสถานะใด ควรให้พบหรือไม่พบ
และในห้วงเวลานี้ “แขก” ที่สามารถเข้าพบประมุขของตึกได้ในเวลาดึกเช่นนี้ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน
ในห้องรับรองของตึกใหญ่ เอียนมู่หลง ยืนใช้ความคิดด้วยการเอามือกุมคาง และหันหลังไปให้กับอาคันตุกะผู้มาเยือนทั้งสองคน
หนึ่งนั้นคือ ฝานซื่อ บุรุษใหญ่ร่างท้วม ใบหน้าสี่เหลี่ยม ที่ดวงตาหลุกหลิกไปมาตลอดเวลา ซึ่งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของหลี่มู่ ขุนพลเอกของกองกำลังเมฆขาว
ส่วนอีกคนหนึ่งในชุดอาภรณ์ขาวกระจ่างตา ดวงตาเจิดจ้าก็คือ หลี่มู่ นั่นเอง
เอียนมู่หลงหันมาช้าๆมองหน้าหลี่มู่ชั่วครู่พร้อมเอ่ยถาม
“เจ้าเชื่อว่า เด็กหนุ่มแซ่หวูคนนั้นไม่มีความลับอะไรซ่อนอยู่ เพราะอะไร”
หลี่มู่ยืดอกขึ้นเล็กน้อย ส่ายหน้า
“เพราะว่าเจ้าหนุ่มนั่นไม่มีฝีมือติดตัวแม้แต่น้อย มีแต่ท่าทางหวาดกลัวที่โดนข้ารุกไล่ไปจนมุมเท่านั้น”
ประมุขแห่งสกุลเอียน ใช้มือลูบเคราที่คางอย่างใช้ความคิด
“ถ้าอย่างนั้น…ทำไมพวกอัศวินดำนั่นถึงอยากได้ตัวมันนักนะ คนอย่างนายพลซื่อชางไม่กระทำอะไรที่ไร้เหตุผลแน่”
หลี่มู่กล่าวว่า “ข้าก็ไม่รู้ แต่ที่ทำได้ในขณะนี้ก็คือ จับตาดูมันเอาไว้เท่านั้น”
ฝานซื่อรีบพูดแทรกออกมาทันที
“แต่แผนการณ์ที่คุณชายแอบปลอมตัวไปขู่เด็กหนุ่มแซ่หวูนั่นไม่ควรจะให้คนอื่นรู้ โดยเฉพาะเอ่อ…”
“โดยเฉพาะใครกันฝานซื่อ…”หลี่มู่หันมามองที่ปรึกษาคู่ใจ
ฝานซื่อค้อมหัว ยิ้มอย่างมีเลศนัยว่า “แม้แต่คุณหนูเอียนซี…”
“เพราะถ้าข้าตาไม่ฝาด ความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูเอียนดูกับเด็กนั่นไม่ธรรมดา”
หลี่มู่ขมวดคิ้วว่าด้วยน้ำเสียงแข็ง “ฝานซื่อเจ้าพูดอะไรของเจ้ากัน”
แต่เป็น เอียนมู่หลงที่ยกมือห้ามเสียก่อน
“อย่าหงุดหงิดไปเลยน่า หลานหลี่ ที่ฝานซื่อพูดมาก็ไม่ได้เป็นคำพูดที่เลื่อนลอยเสียทีเดียวนัก ข้าก็สังเกตเห็นเหมือนกัน”
ประมุขใหญ่แห่งสกุลเอียนหยุดไปชั่วครู่
“เอาเถอะ…เราเพียงช่วยกันจับตาความเคลื่อนไหวของเด็กนั่น ข้าเชื่อว่าในไม่ช้าความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องปรากฎ”
“และอย่าลืม เรายังมีงานต้องทำอีกมาก”
นั่นแหละ หลี่มู่กับฝานซื่อจึงพยักหน้ารับพร้อมกัน

(6)
“จริงๆนะคุณชาย ระวังเด็กหนุ่มนั่นไว้หน่อยก็ดี”
“ฝานซื่อ ข้าว่าเจ้าคิดมากไปแล้ว ซียี้ รู้จักข้ามาตั้งแต่เด็ก นางเป็นคู่หมั้นข้านะ ข้าไม่คิดว่านางจะเป็นอะไรอย่างที่เจ้าว่านั่นหรอก”
“ข้าก็ไม่ได้หมายความถึงขนาดนั้น แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นคุณหนูเอียนห่วงใยใครเหมือนเด็กหนุ่มแซ่หวูคนนั้นเลย”
“เอาเถอะน่า-ข้ารู้ แต่ก็ยังคิดว่าเจ้าคิดอะไรมันเลยเถิดเกินไปแล้ว มองคนในแง่ดีบ้าง ฝานซื่อ”
ที่ปรึกษาใหญ่ของขุนพลเอกแห่งกองกำลังเมฆขาวจึงได้แต่รับคำอย่างเสียไม่ได้
“หวูไว่…เจ้าเด็กบ้า” ฝานซื่อบ่นกับตัวเองอยู่ในใจ เพราะน้อยครั้งนักเขาที่จะโดนหลี่มู่ตำหนิต่อหน้าอย่างนี้
“เพราะเจ้าคนเดียว…”




๖.๒.๕๑

นักรบจากดาวดวงอื่น (7)

(1)
ไม่ไกลจากตึกใหญ่ของตระกูลเอียน มีสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง ก่อสร้างโดยเอียนมู่หลงนั่นเอง
พื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ มีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาอยู่ไกล้กับประตูทางเข้า ก่อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น แช่มชื่นอย่างประหลาด
กลิ่นเกสรดอกไม้ หญ้ารก แมลงตัวน้อยๆ เสียงนกร้อง เป็นภาพแห่งธรรมชาติที่ปรากฎต่อหน้าของเด็กหนุ่มแห่งหมู่บ้านเซียงอู่อยู่ในขณะนี้ แล้วเด็กหนุ่มก็ร้องออกมาเบาๆครั้งหนึ่ง ยืดอก สูดลมหายใจยาวๆ
แล้วก็เริ่มด้วยการยิ้มน้อยๆ ตามมาด้วยการอ้าปากกว้าง-กว้างยิ่งกว่ากว้าง
แล้วก็เผลอหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง
สวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยต้นไม้รกครึ้มแห่งนี้ ดูจะทำให้หวูไว่เหมือนได้กลับไปอยู่ในเซียงอู่อีกครั้ง
เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นทางด้านหลังของเด็กหนุ่ม เอียนซี นั่นเอง นางกำลังหัวเราะคิกคัก ดวงตาเป็นประกายแจ่มใส และจ้องมาที่หวูไว่
“ข้าเชื่อว่าที่นี่อาจจะเหมาะกับเจ้านะ ว่าไงละ”
เด็กหนุ่มจะทำอะไรได้เล่า เหลือบตามองหญิงสาวอย่างอายๆ แล้วก็พยักหน้าช้าๆ
“มาเถอะ…ข้าจะพาเจ้าไปรู้จักเฒ่าลู่”
พูดจบแล้ว หญิงสาวก็เดินนำหวูไว่ ผ่านทางน้อยๆที่โรยกรวดอยู่ทางด้านขวาของอุทยาน ที่มีกอไม้เรียงรายอยู่สองข้างทาง
“เฒ่าลู่ ใครกันนะ-คุณหนูเอียน” เด็กหนุ่มโพล่งถามขึ้น
หญิงสาวหันมาแล้วพูดขันๆ
“คนที่นี่เรียกเฒ่าลู่ว่าเฒ่าบ้าแห่งสวนดอกไม้”
หา-เฒ่าบ้าเหรอ ตายละ…
(2)
มันเป็นกระท่อมไม้หลังเล็กๆที่วางตัวเองอยู่บนเนินดินแห่งหนึ่ง มีต้นไผ่สูงชะลูดแทงทะลุผืนหญ้าปลูกอยู่ไกล้ๆ ถัดออกไปทางขวามีดอกไม้สีสันแปลกตากระจายขึ้นเป็นพุ่ม
“นี่…เฒ่าลู่” เอียนซีป้องปากส่งเสียงเจื้อยแจ้วไปยังหน้ากระท่อมไม้หลังนั้น
ชั่วอึดใจ ประตูกระท่อมก็เปิดออก เด็กหนุ่มเห็นมืออันผอมซูบ เหี่ยวย่นนั่นก่อน แล้วจึงเห็นเสื้อสีเทาอันเก่าคร่ำคร่า เต็มไปด้วยรอยปะชุนอันไร้ระเบียบตามมา
ใบหน้านั้นเรียวยาว แก้มตอบ ผมเผ้ารุงรัง เครายาวสีดอกเลา เมื่อเห็นใบหน้านั้นเด็กหนุ่มแทบจะร้องออกมา เพราะมันช่างคล้ายคลึงกับนักพรตที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้เสียเหลือเกิน แต่ครั้นเพ่งอย่างสังเกตจึงรู้ว่าไม่ใช่ เพียงแต่มีบางอย่างที่คล้ายกันเท่านั้น
ในขณะที่นักพรตมีใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาแจ่มใส และมีทีท่าสำรวมอยู่เสมอ แต่ตาเฒ่าคนที่ยืนอยู่หน้ากระท่อมคนนี้ดูจะปล่อยตัวตามสบาย แถมยังหาวหวอด และบิดร่างไปมาซ้ายที-ขวาที ไม่มีทีท่าระวังตัวแม้แต่น้อย
“อ้อ…คุณหนู” เสียงพูดปนหาวของเฒ่าลู่ดังขึ้น
บุตรสาวคนเดียวของที่ปรึกษาใหญ่แห่งเกียะหยูโคลงศรีษะไปมาคิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย
“เฒ่าลู่แอบงีบหลับกลางวันอีกแล้วซินี่”
ตาเฒ่าแห่งสวนดอกไม้ตีหน้าปูเลี่ยน ก่อนจะแก้เขินด้วยการเพ่งมองที่เด็กหนุ่ม
และก่อนที่เด็กหนุ่มจะพูดอะไรออกมา เอียนซีก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“เฒ่าลู่…เด็กหนุ่มคนนี้ชื่อหวูไว่ ข้าพามาเพื่อให้มาช่วยทำงานที่นี่”
“เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้…” เฒ่าลู่เอามือชี้มาที่หวูไว่ และหันไปมองคุณหนูเอียนอย่างงุนงง
หงสาคะนองศึกเม้มปาก ยืนกอดอก และพยักหน้าลงอย่างช้าๆ
“สวนแห่งนี้ว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เล็กๆ ได้คนมาช่วยดูแลอีกคนก็จะผ่อนงานไปได้อีกตั้งเยอะไม่ใช่หรือ…”
เฒ่าลู่พยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะเอ่ยว่า
“ถ้าคุณหนูต้องการอย่างนั้นก็ได้…”
รับคำเสร็จแล้ว เฒ่าลู่ก็หันมามองหวูไว่ตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกที แล้วก็หัวเราะหึหึอยู่คนเดียว
ประหลาดชะมัดตาเฒ่าคนนี้-เด็กหนุ่มแอบบ่นอยู่ในใจ
(3)
หลังจากย้ายมาอยู่ที่อุทยานดอกไม้แห่งนี้ได้เพียง 3 วัน หวูไว่ก็พบว่าตาเฒ่าลู่มีอะไรที่พิกลอยู่มาก
อาทิเช่น วันๆเฒ่าลู่พูดน้อยมาก จะเรียกว่าถามคำตอบคำก็คงไม่ผิดนัก แถมวันทั้งวันเอาแต่นอนนิ่งเงียบ ขลุกตัวเองอยู่ในห้องนอน
หรือไม่ก็ นั่งมองสวนหินได้ทั้งวัน แถมเป็นการเฝ้ามองแบบนั่งนิ่ง ไม่ขยับตัวหรือกระพริบตา ราวกับไร้ชีวิตนั่นเลยทีเดียว
บางทีก็เดินไปเดินมาทั่วอุทยานแล้วส่ายหน้าไปมาอยู่เป็นนาน
เฒ่าแห่งสวนดอกไม้ไม่เคยออกจากอุทยานไปหาใคร และไม่มีใครมาหาถึงในอุทยานดอกไม้นี้เหมือนกัน
แต่ถึงอย่างนั้นหวูไว่ก็ถือว่าตัวเองพอจะรับความแปลกประหลาดของตาเฒ่าลู่ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
เท่าที่เห็น ตาเฒ่าดูแลสวนดอกไม้แห่งนี้ได้ดีพอสมควร พันธุ์ไม้นานาพันธุ์ เบ่งบาน ออกดอกตามฤดูกาล ส่วนกอดอกไม้ที่เรียงรายอยู่ตรงนั้น ตรงนี้บ้าง ส่งกลิ่นหอม มีแมลง ผีเสื้อบินดอม อยู่ตลอดเวลา
แต่หวูไว่รู้สึกว่าโมงยามที่ทำให้ตาเฒ่าผู้นี้มีความสุขที่สุด ดูจะเป็นช่วงขณะที่ดอกไม้เหล่านั้นโรยรา ร่วงหล่นจากต้น ปลิวกระจายอยู่ตามพื้นหญ้าเสียมากกว่า เมื่อถึงตอนนั้นตาเฒ่าจะคว้าไม้กวาดมากวาดลานดินที่เต็มไปด้วยดอกที่ร่วงโรย ใบไม้ที่ปลิดปลิวลงมาอย่างเพลิดเพลิน
ในช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา เด็กหนุ่มจึงเฝ้ามองยามที่เฒ่าลู่หยิบไม้กวาดขึ้นมาอย่างสนใจใคร่รู้ อยากจะรู้นักว่า ทำไมเฒ่าลู่จึงได้ใส่ใจใบไม้ ใบหญ้าเล็กๆที่ปลิวกระจายอยู่บนพื้นดินยิ่งกว่า ดอกที่ชูช่ออยู่บนต้นนั่นเสียอีกเล่า
“เจ้าสงสัยอะไรนักหรือ เจ้าหนุ่ม” อยู่ดีๆตาเฒ่าก็พูดโพล่งออกมาในขณะที่หันหลังอยู่แท้ๆ ทำเอาหวูไว่สะดุ้งเฮือกขึ้นมา อึ้งไปพักใหญ่
“คือว่า…คือว่า ข้าสงสัย”
“สงสัยอะไร”
“สงสัยว่าทำไมท่านผู้เฒ่าดูจะรักและเอาใจใส่ดอกที่เหี่ยวเฉา ใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้น เสียยิ่งกว่าที่ออกดอกอยู่บนต้นนั่นเสียอีก”
เฒ่าลู่หันหน้ามาหาเด็กหนุ่ม หัวเราะหึหึ ส่ายหน้าไปมา แล้วบ่นอีกว่า
“โง่เขลา ช่างโง่เขลา”
โง่เขลาหรือ-หวูไว่พูดกับตัวเอง
“มีแต่ผู้มีปัญญาเท่านั้น”เฒ่าลู่พูดต่อ แล้วหันไปเก็บกวาดลานกว้างของสวนดอกไม้ต่อไป
เด็กหนุ่มเกาหัวแกรกๆ
“ถ้าเจ้าอยากรู้ เจ้าต้องสนใจที่จะมอง” เฒ่าลู่พูดลอยๆขึ้นมาอีก
“มองเหรอ…”
“ไม่ใช่มองด้วยตา”
“หา…อะไรนะ” หวูไว่คราง
“…”

(4)
ใช้เวลาร่วมเดือนเด็กหนุ่มจึงมีคำตอบให้เฒ่าลู่
“ข้ารู้แล้วว่า อะไรคือการมอง ที่ไม่ได้มองด้วยตา”
ตาเฒ่าประหลาดแห่งสวนดอกไม้ ได้ยินแล้วก็เอามือลูบเคราของตัวเองไปมา แล้วก็ยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้าไปมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“มันคือการสังเกต มีสมาธิ และมองทุกอย่างด้วยจิตอันสงบ ใช่หรือไม่ เฒ่าลู่”
เฒ่าลู่หันมองหน้าเด็กหนุ่มแล้วถามขึ้นว่า
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าเห็นอะไร เจ้าพบคำตอบที่เจ้าถามหรือยัง”
หวูไว่ยิ้มอย่างเบิกบาน
“มันคือความสุข กับ ความทุกข์ ความงาม กับ ความน่าเกลียด ความเบ่งบาน กับ ความโรยรา และมันคือ สิ่งเล็ก และ ใหญ่”
ฟังคำตอบแล้ว ตาเฒ่าหัวเราะอยู่ในลำคอ มองหน้าหวูไว่
“หาได้ยากนัก…หาได้ยาก” เฒ่าลู่พูดแต่เพียงแค่นั้น
เด็กหนุ่มยิ้มอย่างสุขใจ ช่วงแรกๆที่เขาเฝ้ามองตาเฒ่ากวาดใบไม้บนลานกว้างนั้นอยู่เป็นนาน ไม่พบคำตอบว่าอะไรคือการมองอย่างที่ตาเฒ่านั้นว่าสักนิด
จนเวลาผ่านไปอีกหลายวัน เด็กหนุ่มที่จดจ่ออยู่กับตาเฒ่าที่กวาดใบไม้อยู่เบื้องหน้า เริ่มมองเห็นอะไรบางอย่าง ท่ามกลางความเงียบสงบของสวนดอกไม้ เขามองเห็นแต่เฒ่าลู่ เห็นไม้กวาด แล้วก็เห็นใบไม้ที่แห้งเหี่ยว ดอกที่ร่วงโรย
เห็นกระทั่งใบไม้ที่ค่อยๆปลิวปลิดจากขั้วและลอยคว้างลงบนพื้น
พอเกิดความรู้สึกเยี่ยงนี้แล้ว หวูไว่ก็หวนคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่ในเซียงอู่ นึกถึงป่า ทุ่งหญ้า ลำธาร และช่วงเวลาที่เดินเคียงข้างลุงเพื่อไปชมพระอาทิตย์ตกดิน
และก็คำสอนของลุง
“ทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติล้วนแต่มีคำตอบทุกอย่างในชีวิตให้กับเราหวูไว่ ต้นไม้ ใบหญ้า กำเนิด เบ่งบาน แล้วก็เหี่ยวเฉา สูญสลายไป และเจ้าต้องเข้าใจว่า ไม่อาจเลือกที่จะพบเห็นแต่ความสวยงามเท่านั้น เจ้าต้องรู้จักสังเกต มองหา สิ่งที่ไม่สวยงาม ความน่าเกลียดอีกด้วย เจ้าต้องมีจิตอิสระซึ่งต้องตื่นตัวต้อนรับทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะทำให้เจ้ามีชีวิตอย่างอิ่มเอิบ มองทุกอย่างด้วยความละเอียดลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น”
ใช่แล้ว-มันคือการอยู่ร่วมของสรรพสิ่ง นั่นเอง
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา หวูไว่ และเฒ่าลู่ พูดคุยกันมากขึ้น กล่าวได้ว่าสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสุขสงบ เด็กหนุ่มรับอาสารดน้ำ พรวนดิน ตบแต่งกิ่งก้านของต้นไม่ใหญ่เล็กไว้เกือบหมด นอกจากนั้นยังรับเหมาทั้งเรื่องทำอาหาร ซักเสื้อผ้า ปัดกวาดกระท่อมที่อยู่อาศัย อย่างเต็มอกเต็มใจ
เหลือหน้าที่กวาดลานดินที่เต็มไปด้วยดอก ใบ ที่ร่วงโรยให้เฒ่าลู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“เจ้าเด็กโง่…”เฒ่าลู่จะเรียกหวูไว่อย่างนี้ยามที่เห็นงานที่เคยทำมีคนมาแย่งทำไปหมด จากนั้นก็จะหัวเราะเสียงดังอยู่ในลำคอ
ซึ่งเด็กหนุ่มเข้าใจไปเองว่านั่นคือการกล่าวขอบใจของตาเฒ่านั่นเอง
(5)
“หวูไว่ เจ้าดูต้นไผ่นั่นแล้วบอกข้าซิ เจ้าเห็นอะไร”
เด็กหนุ่มหันไปมองอยู่ชั่วครู่แล้วก็หันมาตอบว่า
“มันคือสิ่งที่ทนทานที่สุด ต่อให้แล้งเพียงไรไผ่ไม่ยอมตาย ส่วน ลำต้น กิ่งใบ ของมัน แสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์ แล้วการไหวเอนตามแรงลมของมันคือความนอบน้อม”
ตาเฒ่าลู่ถามต่อไปอีก
“แล้วต้นเหมยที่แตกดอกออกช่ออยู่นั่นเล่า…”
“เท่าที่ข้าเห็นและรู้สึกก็คือ ดอกเหมยเบ่งบานได้ เพราะมีรากติดกับดิน และมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะอาหารจากดินและน้ำ ถ้าไม่มีดิน ไม่มีน้ำ ไม่มีแสงแดด ต้นไม้และดอกไม้ก็ไม่มีชีวิตอยู่ได้” เด็กหนุ่มตอบอย่างฉาดฉาน
เฒ่าลู่ยิ้มให้ก่อนอธิบายต่อว่า
“สิ่งที่หล่อเลี้ยงมนุษย์เราก็คือ อาหาร น้ำดื่ม และอากาศ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งไร้ชีวิตที่หล่อเลี้ยงชีวิต ทุกสิ่งในโลกไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไร้ชีวิตต่างก็ต้องเกื้อกูลกันและกัน ต้องอยู่ร่วมกัน”
“และนี่คือ การมองด้วยจิต ดูด้วยใจ จำไว้” ตาเฒ่าลู่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและหันมามองเด็กหนุ่มด้วยดวงตาเป็นประกาย
“การดูด้วยหัวใจ มองด้วยจิตอันเป็นอิสระ มันจะทำให้ทุกส่วนในร่างกายของเจ้าว่างเปล่า เจ้าจะได้เห็นมากกว่าสิ่งที่มองเห็นด้วยตา เมื่อกายว่างเปล่า ใจของเจ้าก็สว่าง”
ฟังคำอธิบายแล้ว เด็กหนุ่มก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย
หวูไว่ รู้สึกมีอะไรบางอย่างลุกโพลงอยู่ในอก ความอิ่มเอิบบางอย่างแผ่ซ่านทั่วร่างอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะพูดลอยๆเหมือนลืมตัวว่า
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าคิดว่ามนุษย์ก็ต้องดูแลธรรมชาติใช่มั๊ย เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และเราก็ต้องดูแลและมีความรักต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยเช่นกัน”
“ใช่… เจ้าเด็กโง่” เฒ่าลู่หัวเราะเสียงดัง
“เฒ่าลู่…ท่านเป็นใครกันแน่” เด็กหนุ่มถามอย่างสงสัย
“ข้านะเหรอ…ก็เฒ่าบ้าไง”
พูดจบแล้ว เฒ่าลู่ก็หลับตาลง โดยมีเด็กหนุ่มยืนเกาหัวแกรกอยู่ข้างๆ
คนบ้าที่ไหนจะมีความรอบรู้ในสรรพสิ่งลึกซึ้งเยี่ยงนี้เล่า

(6)
“นี่…อากิ”
“ว่าไงละ…เรียว”
“ข้าว่าหวูไว่มันแปลกๆไปนา ว่ามั๊ย”
“ฮื่อ…ข้าก็ว่างั้นแหละ”
ขณะนี้ เจ้าอ้วน-อากิ และเจ้าโย่ง-เรียว ในชุดพลทหารแห่งกองกำลังเมฆขาว กำลังนั่งอยู่บนเนินหญ้าในอุทยานดอกไม้แห่งเกียะหยู เฝ้ามอง-หวูไว่ เพื่อนจากหมู่บ้านเซียงอู่นั่งนิ่งอยู่ข้างกอดอกไม้ สายตาเพ่งมองไปที่ต้นหลิวต้นหนึ่งอย่างสนอกสนใจ
ถ้าเพ่งมองธรรมดาก็ไม่เท่าไหร่นักหรอก แต่ลองว่านั่งมองโดยไม่ขยับตัว ตาไม่กะพริบ นิ่งเงียบเป็นเวลาหลายชั่วยามแล้ว ค่อนข้างจะแปลกไปหน่อย
ยิ่งบางครั้งถึงกับกระซิบพูดกับต้นไม้ก็ยิ่งเพิ่มความประหลาดเข้าไปใหญ่
“หรือว่า…”อยู่ดีๆเจ้าอ้วนอากิก็โพล่งขึ้นมา ทำเอาเพื่อนคู่ขาต้องร้องถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“หรือว่าอะไรวะ…บอกมาซิ”
“คือว่า…”อากิ ว่าเสียงสั่นๆ “หวูไว่มันอาจจะผิดหวังในความรัก อกหักเพราะไปแอบรักคุณหนูเอียน มันก็เลย…มันก็เลย”
“บ้าไปแล้ว…นะเหรอ” คราวนี้น้ำเสียงของเรียวดูแห้งผาก บ่งบอกอารมณ์ของคนพูดเป็นอย่างดี
พูดเสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็ถอนหายใจออกมาโดยแรง แล้วส่ายหน้าไปมา
เป็นอันว่า นอกจากจะมีเฒ่าลู่เป็นเฒ่าบ้าประจำสวนดอกไม้แห่งนี้แล้ว ในขณะนี้ก็ยังเพิ่มเด็กบ้า-หวูไว่ ขึ้นมาอีกคนเสียอีก


(7)
ขณะที่หวูไว่เดินมาถึงบึงน้ำเล็กๆแห่งนั้น ดวงดาวเกลื่อนกระจายบนท้องฟ้าเต็มไปหมด สายลมเย็นพัดมาอ่อนๆ ในขณะที่ต้นไผ่ริมทางแกว่งไกวไหวเอนเป็นมา
“ทำอะไรชักช้านักเล่า…”
เสียงดังมาจากริมบึงน้ำแห่งนั้นนั่นเอง และนั่นเป็นเสียงของตาเฒ่าลู่ที่ยืนหันหลังให้กับเขาอยู่ มองเห็นเสื้ออันเก่าคร่ำคร่าของตาเฒ่าสะบัดไปมาตามแรงลม เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าดึกดื่นเช่นนี้ตาเฒ่าทำไมถึงยังไม่นอน และยังนัดแนะให้เขามาพบที่บึงน้ำแห่งนี้เสียอีก
แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไร เฒ่าลู่ก็นั่งลงกับพื้นไกล้กับบึงน้ำ
“นั่งซิ…”
หวูไว่ รีบปฎิบัติตามอย่างว่าง่าย
แม้ไม่รู้ว่าการนัดหมายครั้งนี้เฒ่าลู่มีจุดประสงค์อะไร แต่เด็กหนุ่มจากเซียงอู่เชื่อว่าไม่ใช่ประสงค์ร้ายแน่ เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมา ตาเฒ่าที่ถูกขนานนามว่าเฒ่าบ้า ถ่ายทอดความคิดหลายอย่างให้กับเขา
ถ้อยคำลึกซึ้งที่เฒ่าลู่ถ่ายทอดให้เขานั้นช่างประหลาดนัก เพราะมันสอดคล้องกับคำสอนที่ลุงสั่งสอนเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
บางสิ่งที่ลุงพร่ำสอนแต่หวูไว่ไม่เคยเข้าใจแก่นอันเป็นเนื้อแท้เลย แต่หลังจากได้สนทนากับเฒ่าลู่แล้ว หวูไว่พบว่าตัวเองเข้าใจคำสอนของลุงได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
บางทีครั้งนี้ก็อาจจะเช่นกัน
“หวูไว่…เจ้าไม่เหมือนเด็กหนุ่มคนอื่นที่ข้ารู้จักมา เจ้ารู้ตัวมั๊ย” ตาเฒ่าพูดโดยสายตาเหม่อมองไปยังบึงน้ำเบื้องหน้า
“ไม่เหมือนเหรอ…”
“เจ้าโชคดีมากหวูไว่ ที่เกิดมาในกลุ่มคนที่เข้าใจการอยู่ร่วมระหว่างโลกกับธรรมชาติมาตั้งแต่เกิด ดำเนินชีวิตตามวิถีธรรมชาติมาโดยตลอด เจ้าถูกฝึกให้มีจิตใจสงบ”
“งั้นเหรอ…ไม่มั๊ง” เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าจะตอบอะไรให้ได้ดีไปกว่านั้น และบอกกับตัวเองในใจว่า เฒ่าลู่ เอ๊ย เจ้าก็เหมือนกัน เจ้าไม่เหมือนผู้เฒ่าคนใดที่ข้าเคยรู้จักมาก่อน ภายใต้เสื้อผ้าเก่าที่ผ่านการปะชุนครั้งแล้วครั้งเล่า และเนื้อตัวขมุกขมอมอยู่ตลอดเวลานั้น กลับซุกซ่อนไว้ด้วยความลี้ลับ และความคิดอันละเอียดลึกซึ้งอย่างน่าประหลาด
“บางทีเจ้าอาจจะไม่รู้ การนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร เฝ้าชมพระอาทิตย์ตกดิน เหม่อมองดวงดาวทอแสงยามค่ำคืน แท้จริงก็คือการทำสมาธิอย่างหนึ่ง มันคือการมองเข้าไปภายในของตัวเอง”ตาเฒ่าว่าด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
หวู่ไว่ไม่ได้ตอบคำ แต่ภาพของลุงและป้า และชาวบ้านคนอื่นในหมู่บ้านเซียงอู่โผล่ขึ้นมาในห้วงสมองแว่บหนึ่ง
“แต่นี่…เฒ่าลู่ นัดข้าออกมาที่บึงน้ำแห่งนี้ทำไม”
เฒ่าบ้าของชาวเมืองเกียะหยูยกมือชี้ไปที่บึงน้ำแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“อะไรกัน พาข้ามาเพื่อดูบึงน้ำแห่งนี้นะเหรอ…”
เฒ่าลู่หัวเราะขึ้นมาก่อนจะกล่าวต่ออีกว่า
“เจ้าลืมที่ข้าสอนไปแล้วหรือไง อย่าดูหรือมองเห็นอะไรด้วยตาเท่านั้น”
“แต่นี่มัน…”เด็กหนุ่มทักท้วง
“เจ้าจงทำจิตให้ผ่องใส มันจะทำให้เจ้าสามารถมองเห็นแก่นแท้ของบึงน้ำแห่งนี้ หลับตาซิ”
หวูไว่หลับตาลง
“บอกข้าซิ…เจ้าเห็นอะไร”
ไม่ช้าไม่นาน เด็กหนุ่มก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์ ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว มองเห็นแต่บึงน้ำข้างหน้า และยินเสียงกิ่งไผ่ที่แกว่งไกวไปมาเท่านั้น
“ข้าเห็นสายน้ำ และเห็นความสงบของมัน”
“หวูไว่…”เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนเฒ่าลู่มากระซิบอยู่ที่ข้างๆหู
“ใช่แล้วน้ำคือความสงบ และมันสิ่งที่สร้างความชุ่มชื้นให้กับทุกชีวิต ไม่ชิงดีชิงเด่นกับใคร เข้าได้กับทุกสรรพสิ่ง ไม่ขัดแย้ง และเจ้าควรจะทำตัวเหมือนน้ำในบึงนั่น จำไว้”
แล้วหวูไว่ก็ลืมตาขึ้น แต่ภาพที่เห็นก็คือ เฒ่าลู่ยังนั่งอยู่ที่เดิม แล้วเสียงที่ได้ยินข้างหูเล่ามันมาจากที่ไหนกัน
“เรียนรู้จากสายน้ำ…งั้นเหรอ”
“คราวนี้เจ้าดูสายน้ำที่มันไหลเอื่อยๆไปนั่นซิ น้ำในบึงนั่นมีมีสิ่งมากมายให้เจ้าได้เรียนรู้ มีปลาที่แวกว่าย มีใบไผ่ที่ร่วงหล่น มีความเคลื่อนไหว มันก็เหมือนจิตใจของคนเรา ซึ่งล้วนแล้วแต่เคลื่อนไหวไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง”
เฒ่าลู่ลุกขึ้นอย่างช้าและหันมามองหวูไว่อย่างเงียบงัน
“เจ้าต้องเรียนรู้จากดวงดาวบนท้องฟ้านั่นด้วย”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำเหมือนละเมอ และเงยหน้ามองดวงดาวที่สุกสกาวอยู่เบื้องบน
“เจ้าเห็นดวงดาวเหล่านั้นมั๊ย บางดวงก็เปล่งรัศมีเจิดจ้า แต่ดาวบางดวงก็มีแสงริบหรี่ และก็มีทั้งเกาะกันเป็นกลุ่มใหญ่ และมีทั้งที่อยู่โดดเดี่ยว”
แล้วมันมีความหมายว่าอะไรกัน-เด็กหนุ่มนึกในใจ
“แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ดวงดาวบนฟากฟ้านั่นล้วนแล้วมีหน้าที่ซึ่งต้องกระทำ มันถูกกำหนดไว้เช่นนั้น แม้แต่ดาวตกนั่น” เฒ่าลู่อธิบาย ในขณะที่ดาวตกดวงหนึ่งที่ส่องแสงอยู่วูบหนึ่งแล้วจางหายไป
“เหมือนคนเราที่มีหน้าที่ซึ่งต้องกระทำใช่มั๊ย-เฒ่าลู่” เด็กหนุ่มถาม
ผู้เฒ่าไม่ตอบคำ ชั่วครู่จึงกล่าว
“จำคำข้าไว้ ต้นไผ่ สายน้ำ และดวงดาว”
“อะไรนะ…”
เฒ่าบ้าแห่งสวนดอกไม้ย้ำหนักแน่นอีกว่า
“จงเรียนรู้จากธรรมชาติ”
“หือม์…”หวูไว่ร้องขึ้นมา
“มันคือการเกิดและดับ หยุดนิ่งและเปลี่ยนแปลง”
เด็กหนุ่มนิ่งไป งุนงงและมีแต่คำถาม
“จำไว้หวูไว่ เจ้าต้องเข้าให้ถึงแก่นแท้แห่งความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ต้นไผ่ สายน้ำ และดวงดาว มีคำตอบรอให้เจ้าค้นหา”
“อ้อ…”เด็กหนุ่มร้องขึ้นมา
“ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นและดำรงอยู่ แต่เจ้าก็ไม่ใช่เซียนผู้วิเศษ เจ้าไม่อาจซึมซาบ เข้าใจได้อย่างทันทีทันใดหรอก เจ้าจะต้องผ่านการใช้ชีวิตให้มากกว่านี้ แล้วเจ้าจะพบกับคำตอบที่ต้องการ”
เด็กหนุ่มฟังแล้วก็รู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา ชีวิตทำไมมันถึงได้น่ากลัวเช่นนี้นะ
“ข้าไม่แน่ใจว่าจะผ่านมันไปได้ง่ายหรอกนะ การใช้ชีวิตเนี่ย”
ตาเฒ่าหัวเราะเบาๆขึ้นมา
“อย่ากลัวไปเลยเจ้าหนู ความเจ็บปวด และความทุกข์ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ มันจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น วิถีชีวิตของเจ้าตั้งแต่วัยเด็กเป็นเหมือนการบ่มเพาะให้เจ้าพร้อมรับมือกับทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเข้ามาหา”
เด็กหนุ่มเกาหัว และร้องออกมาว่าโธ่เอ๊ย
“ข้าจำเป็นต้องเตรียมพร้อมด้วยเหรอ เตรียมพร้อมสำหรับอะไรเล่า”
แล้วหวูไว่ก็ได้ยินเสียงเฒ่าลู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“อย่างน้อยก็เตรียมพร้อมสำหรับพายุใหญ่ที่ไกล้จะมา”
“หา-อะไรนะ พายุใหญ่เหรอ เฒ่าลู่”
“มันคือมหาสงครามที่กำลังไกล้จะปะทุขึ้นในเร็ววันนี้ เจ้าเด็กโง่”
เด็กหนุ่มฟังแล้วก็อึ้งไปพักใหญ่ มหาสงคราม-เขาจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันด้วยหรือ
“แต่มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในโลกที่ความกระหายและอยากได้ครอบครองแผ่ขยายไปเช่นนี้ สงครามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เชื่อข้าเถอะหวูไว่” เฒ่าลู่ปลอบใจ
“เจ้าเองก็เลี่ยงไม่พ้นด้วยเช่นกัน”