๒๔.๑.๕๑

นักรบจากดาวดวงอื่น (6)

ชีวิตพลิกผัน
(1)
เมืองเกียะหยูตั้งอยู่ทางเหนือของหมู่บ้างเซียงอู่ โดยมีระยะห่างกันไกลกว่า 500 กิโลเมตร และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองทั้งสองก็ห่างไกลกันอย่างสิ้นเชิง
เกียะหยู เจริญถึงขีดสุด อยู่ในทำเลที่เหมาะสม ทางทิศตะวันออกเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ในขณะที่ทิศตะวันตกเป็นเทือกเขาสูง ส่วนด้านทิศใต้ของเมืองติดกับแม่น้ำเฉินเจียง ผืนแผ่นดินชุ่มชื้น อุดมสมบูรณ์ มีน้ำใช้ตลอดเวลา
นอกเหนือไปจากการทำการเกษตร เลี้ยงสัตว์แล้ว เกียะหยูยังเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้า ทั้งทางด้านเสื้อผ้า อัญมณี นอกจากนี้ยังมีทิวทัศน์อันงดงามดึงดูดผู้คนจากทุกสารทิศอีกต่างหาก
แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็คือเป็นฐานที่มั่นของกองกำลังเมฆขาว
กองกำลังเมฆขาว เป็นกองทัพทหารอันเกรียงไกร ที่ประกอบด้วยกลุ่มทหารหนุ่มสาวภายใต้การนำทัพของ หลี่มู่ ชายหนุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลสูงศักดิ์
เป้าหมายคือหยุดยั้งการแผ่อิทธิพลของนายพลซื่อชางแห่งกองทัพอัศวินดำ
การรบพุ่งระหว่างสองฝ่ายเริ่มต้นมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นรองเรื่องขุมกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่กองทัพเล็กๆของหลี่มู่ก็ยืนหยัดอยู่ได้เพราะมียุทธวีธีในการทำสงครามอย่างชาญฉลาด มีทหารที่แข็งแกร่งทั้งหัวใจและฝีมือ มีแม่ทัพที่กล้าหาญ
ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของกองกำลังเมฆขาวก็คือ หวังจุนหลง เจ้าเมืองเกียะหยู ผู้ทุ่มเทงบประมาณเสริมสร้างจนกองกำลังเมฆขาวแกร่งกล้าขึ้นทุกวัน และยังบริหารจนเกียะหยูกลายเป็นเมืองที่เติบโตในทุกด้าน
ไม่มีใครทราบว่า ความร่ำรวยและมั่งคั่งของหวังจุนหลงเกิดขึ้นได้อย่างไร บ้างก็ว่าเป็นเพราะมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ บ้างก็ว่าโชคดีขุดพบเจอขุมสมบัติของอาณาจักรโบราณ
แต่คนส่วนมากเชื่อว่าความร่ำรวยของหวังจุนหลงเกิดจากการทุ่มเททำงานหนักมาตั้งแต่เยาว์วัย เป็นชีวิตที่ต้องดิ้นรนชนิดปากกัดตีนถีบ ไม่เช่นนั้นไหนเลยจะยอมนำทรัพย์สมบัติที่สะสมไว้มาช่วยเหลือคนทุกข์ยาก รวมทั้งก่อตั้งกองกำลังเมฆขาวเพื่อขจัดทุกข์ภัยของประชาชน
อย่างน้อยชาวเมืองเกียะหยูมีความเชื่อมั่นว่า วันใดที่กองกำลังเมฆขาวสามารถล้มล้างกองทัพอัศวินดำของนายพลซื่อชางได้แล้ว สันติภาพจะมาเยือนอีกครั้ง และหวังจุนหลงจะสามารถรวบรวมกองกำลังที่แตกแยก กระจัดกระจายให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวได้ในที่สุด
ชื่อเสียงและความยิ่งใหญ่ของเมืองเกียะหยูและกองกำลังเมฆขาวโด่งดังไปทั้งแผ่นดิน แต่สำหรับเด็กหนุ่มบ้านนอกที่ไม่เคยรับรู้โลกภายนอกนอกจากความเป็นไปในหมู่บ้านของตัวเองอย่างหวูไว่แล้ว เพิ่งรับรู้ความเกริกเกียรติของเมืองแห่งนักรบแห่งนี้ก็ในช่วงเวลาไม่กี่วันนั่นเอง
หลังจากหลบหนีการไล่ล่าของทหารอัศวินดำจากการช่วยเหลือของนักพรตเฒ่าผู้ลึกลับ กระทั่งขึ้นไปอยู่บนเรือรบมังกรที่แล่นอยู่บนแม่น้ำเฉินเจียง ขณะนี้หวูไว่พบว่าตัวเองกำลังจะได้สัมผัสเมืองเกียะหยูอย่างเต็มตาเสียที
ช่วงเวลาหลายวันบนเรือไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มตื่นเต้น ตะลึงพึงเพริด เหมือนเรียวและอากิ เพื่อนจากเซียงอู่ทั้งสองคนแม้แต่นิด
สิ่งที่ทำให้หวูไว่ซึมกะทือ มึนงงก็คือ…
“หลี่มู่ เป็นคู่หมั้นของเอียนซี หวูไว่เอ๊ย” คำบอกกล่าวของเพื่อนทั้งสองดังอึงอลอยู่ในหัวสมองครั้งแล้วครั้งเล่า
เด็กหนุ่มอยากจะเชื่อเหมือนกันว่า เพื่อนตัวแสบนั้นล้อเล่น แต่เมื่อมีโอกาสเห็นทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันบนดาดฟ้าเรือ เขารู้ทันทีว่าทุกอย่างเป็นความจริง รูปร่างสูงสง่าของหลี่มู่ และรูปโฉม อันสคราญตาของเอียนซี ดูช่างเข้าคู่ กลมกลืนเสียนี่กระไร
นี่กระมังที่เขาเรียกว่าคู่สร้างคู่สม-หวูไว่นึกในใจ
หวูไว่แอบเหลือบตามองเอียนซี แล้วก็หันมามองสารรูปของตัวเองแล้วก็ส่ายหน้าช้าๆ นอกจากจะดูประหลาด ด้วยผมสีทอง และดวงตาสีฟ้าแล้ว รูปร่างอันบอบบาง นิสัยอันตื่นกลัว รวมไปถึงความอ่อนด้อยในเรื่องวิชาฝีมือด้วยแล้ว เด็กหนุ่มก็บอกกับตัวเองว่าเขาไม่มีอะไรเทียบเคียงกับแม่ทัพเอกแห่งกองกำลังเมฆขาวได้แม้แต่น้อย
ช่วงเวลาหลายวันบนเรือ นอกจากใช้เวลาขลุกอยู่กับเพื่อนทั้งสองคนแล้ว หวูไว่มักจะหลบอยู่ในห้องพัก นอนนิ่งอยู่บนเตียงหันหน้าเข้าข้างฝาไม่อยากสนใจอะไรทั้งนั้น คิดอยู่อย่างเดียวว่า ถึงเกียะหยูเมื่อไหร่จะถามเพื่อนทั้งสองว่าจะเอายังไงกันแน่ จะสมัครเป็นทหารของกองกำลังเมฆขาวจริงหรือ
ส่วนเขานะอยากกลับเซียงอู่ใจจะขาด
ระหว่างนั้น เอียนซี หาเวลามาคุยกับหวูไว่ ช่วงสั้นๆ แต่เรื่องที่พูดคุยมักจะเป็นเสียงบ่นเหนื่อยกับการวางแผนยุทธศาสตร์ร่วมกับหลี่มู่และนายทหารคนอื่นๆ บางครั้งก็เป็นความปลาบปลื้มที่สามารถนำแผนที่ทางทหารของค่ายทหารอัศวินดำมาได้สำเร็จ
นอกจากนั้นก็คุยเรื่องราวความเป็นมาของเกียะหยู และกองกำลังเมฆขาวให้เด็กหนุ่มฟังเสียยืดยาว จนหวูไว่มองเห็นเกียะหยูได้อย่างชัดเจนราวกับเมืองมาปรากฎต่อหน้า
หรือไม่ก็…
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่าหือหวูไว่ ดูเจ้าเงียบไปนะ ไม่เห็นช่างพูดช่างคุยเหมือนเคยเลย คงคิดถึงบ้านละซิท่า แต่เชื่อข้าเหอะ พอเจ้าได้เห็นเกียะหยูก็จะลืมเซียงอู่ไปเลย”
“ครับ…คุณหนู” หวูไว่รับคำ
นั่นเป็นประโยคเดียวกระมังที่หวูไว่กล่าวกับเอียนซีตลอดเวลาที่อยู่บนเรือมังกร
(2)
ตอนแรกที่ได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเกียะหยูจากปากของเอียนซีนั้น หวูไว่นึกว่ามองเห็นนครใหญ่แห่งนี้ทุกซอกทุกมุมแล้ว แต่เมื่อร่วมขบวนทหารของกองกำลังเมฆขาวเคลื่อนกำลังจากเรือรบมังกรเข้าสู่เขตตัวเมือง เด็กหนุ่มจากเซียงอู่ก็พบว่าความจริงที่พบผิดกับที่ตัวเองนึกไว้เยอะ
เมืองเกียะหยูใหญ่โตกว่าที่เขาคิดไว้มาก แค่กำแพงเมืองก็สูงจนเด็กหนุ่มต้องแหงนคอมอง กำแพงเมืองดูเหมือนจะก่อขึ้นจากหินก้อนใหญ่ และมีป้อมสูงที่มีทหารยามรักษาการณ์ตลอดเวลา และยังมีทหารลาดตระเวนอยู่รายรอบ จึงยากนักที่จะมีใครผ่านเข้าออกโดยไม่ได้รับอนุญาติ
ตลอดรายทางเข้าเมือง มีประชาชนชาวเมืองเกียะหยูมายืนรอรับหลี่มู่และกองกำลังเมฆขาวเต็มสองฟากฝั่งถนน เสียงตะโกนเรียกชื่อขุนพลหลี่-คุณหนูเอียนดังสลับไปมาอยู่ตลอดเวลา
หลี่มู่ และ เอียนซี ขี่ม้าเยาะย่างอยู่เคียงข้างกันอยู่หน้าขบวน บางครั้งก็หันไปกระซิบกระซาบกัน และบางครั้งก็โบกไม้โบกมือให้ผู้คนสองข้างทางอยู่ไปมา ดูเหมือนทั้งสองคนจะเป็นที่รักของชาวเมืองกันอย่างถ้วนทั่ว
เงาร่างเล็กๆของหวูไว่หลบนิ่งอยู่ท้ายขบวน โดยมีเรียว และ อากิ เพื่อนรักทั้งสองคนยืนขนาบข้างด้วย
“ช่างเป็นคู่หนุ่มสาวที่เหมาะสมอะไรกันเช่นนี้” ชาวเมืองคนหนึ่งที่ยืนอยู่ห่างกับหวูไว่ไม่ไกลนักพึมพำขึ้น ในขณะที่สายตามองไปยังหลี่มู่ และ เอียนซี อย่างชื่นชม
แม้เป็นประโยคสั้นๆ แต่ก็ทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งขึ้นมาก่อนจะไหล่คู้ ทำท่าจะยืนหมดแรงอยู่ตรงท้ายขบวนอย่างนั้นแหละ
“นี่…ท่านลุง ท่านรู้จักสองคนนั้นดีจังนะ” เรียว อดรนทนไม่ไหวต้องสะกิดถาม
“แหม…” ชาวเมืองว่าแล้วหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะหันมามองหวูไว่กับพวกอย่างสังเกตสังกา
“อะไรกัน เจ้ามาจากไหนเนี่ย ใครก็รู้จักหนุ่มสาวคู่นี้ทั้งนั้นแหละ”
“ท่านขุนพลหลี่มู่ก็เป็นขุนพลเอกของกองกำลังเมฆขาว ที่ช่วยปกป้องพวกเราให้พ้นจากการรุกรานของพวกกองทัพอัศวินดำนั่นไง”
“คุณหนูเอียน…ก็คือบุตรสาวของที่ปรึกษาเอียน”
“ที่ปรึกษาเ อียนหรือ…” หวูไว่พูดลอยๆออกมา
“ใช่ พวกเจ้าไปอยู่ป่าไหนมาเนี่ย ที่ปรึกษาเอียนก็คือ เอียนมู่หลง ที่ปรึกษาของท่านเจ้าเมืองเกียะหยู-หวังจุนหลงนะซิ…เฮ้อ” ชาวเมืองคนนั้นว่าต่อและส่ายหน้าน้อยๆ
“นางก็เป็นหนึ่งในนักรบของกองกำลังเมฆขาวเหมือนกัน ฉายาของนางคือ หงสาคะนองศึก พวกเจ้าเคยได้ยินหรือเปล่า”
เด็กหนุ่มจากเมืองเกียะหยูมองหน้ากันไปมา หงสาคะนองศึกเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลย-คุณหนูเอียนนี่นะ
โดยเฉพาะหวูไว่ฟังถ้อยคำเหล่านั้นด้วยอาการมึนงง
เวลาร่วมเดือนที่ผ่านมา เด็กหนุ่มได้มีโอกาสรู้จักคุณหนูเอียนคนนี้ นับตั้งแต่พบกันที่ชายป่า หลบหนีทหารอัศวินดำ พาไปรักษาอาการบาดเจ็บที่เกียะหยู และพูดคุยกันถูกคอในหลายเรื่อง รวมทั้งได้นั่งเคียงข้างชมตะวันลับขอบฟ้าด้วยกัน
“หวูไว่ ข้าไม่เคยเห็นตะวันตกดินที่ไหนสวยเท่านี้มาก่อน”
“รู้มั๊ย หวูไว่ ข้านะอิจฉาเจ้าเหลือเกิน”
“ข้าชอบหมู่บ้านของเจ้า ถ้ามีโอกาสข้าอยากกลับไปอีก ได้มั๊ย หวูไว่”
ประโยคแล้วประโยคเล่าที่เอียนซีพูดกับเขา เด็กหนุ่มจำได้ไม่ลืม
แต่ที่จริงถ้าเขาลืมทุกอย่างในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาได้มันอาจจะดีกว่าก็ได้
นึกแล้ว เด็กหนุ่มก็เอามือเกาหัวตัวเอง โดยมีเพื่อนสองคนยืนปลอบใจอยู่ข้างๆ
“ข้าว่าเจ้าตกหลุมรักคุณหนูเอียน ใช่มั๊ยเล่า” เรียวว่าและยกแขนขึ้นโอบไหล่หวูไว่
“แต่เจ้าต้องอกหักแหงเลยละ เพื่อน” คราวนี้เจ้าอ้วน-อากิ ว่าบ้างแล้วส่ายหัวไปมา
ส่วนเด็กหนุ่มไม่ได้ตอบ แต่ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับคำพูดเพื่อนทุกอย่าง
(3)
ขบวนทหารของกองกำลังเมฆขาวผ่านกลางใจเมือง และเมื่อเดินทะลุถึงเขตชั้นใน ปรากฎทหารสวมหมวกเหล็ก ใส่เกราะเหล็ก เดินขวักไขว่ไปมา แสดงให้เห็นว่าเขตชั้นในแห่งนี้ก็คือ ฐานที่มั่นของกองกำลังเมฆขาวนั่นเอง
เมื่อขบวนบรรลุถึงประตูใหญ่แห่งหนึ่ง ขบวนก็หยุดลง พร้อมกับปรากฎร่างชายร่างท้วม วัยสี่สิบผู้หนึ่งออกมาต้อนรับ พร้อมกับกล่าวว่า
“ขุนพลหลี่ คุณหนูเอียน ขอต้อนรับกลับบ้าน”
หลี่มู่ลงจากหลังม้า และก้าวไปหาชายร่างท้วมคนนั้นและใช้มือตบบ่าอย่างสนิทสนม
“ฝานซื่อ สบายดีนะ”
พูดจบหลี่มู่ก็ยกมือให้สัญญานให้ขบวนทหารที่ตามมาแยกย้ายกันออกไป เหลือยืนอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น เอียนซี ที่ลงจากหลังม้าแล้วเช่นกันกวักมือให้หวูไว่กับพวกเข้าไปหา
“เอาละ…เดินทางมาไกลพวกเจ้าคงเหนื่อยแล้ว เดี๋ยวข้าจะให้คนพาไปพักนะ”
“ทหาร…”
“ช้าก่อน…คุณหนู” ชายร่างท้วมที่หลี่มู่เรียกว่าฝานซื่อ กล่าวทักท้วง และหันมามองเด็กหนุ่มทั้งสามคนอย่างไม่วางตา
ฝานซื่อคนนี้ รูปร่างท้วม ใบหน้าอูม ดวงตาหลุกหลิกไปมา แต่ที่สร้างความขัดตาให้กับผู้พบเห็นมากที่สุดก็หนวดเรียวยาวเหนือริมฝีปาก และรอยยิ้มเหยียดนั่น
“ที่ปรึกษาเอียนฝากแจ้งให้คุณหนูทราบว่า ถ้ามาถึงเมื่อไหร่ให้คุณหนูนำตัวเด็กหนุ่มที่มีผมสีทองไปพบด่วนที่ห้องหนังสือ”
“หา…”เด็กหนุ่มร้องและหันไปมองหน้าคุณหนูเอียนอย่างงุนงง และพบว่าหญิงสาวก็มีสีหน้าไม่ผิดแผกกันมากนัก
มันเรื่องอะไรกัน…
(4)
เมื่อพบหน้าที่ปรึกษาเอียน-เอียนมู่หลงในห้องหนังสือในตึกอันโอ่โถง หวูไว่ก็แทบจะร้องอ๋อออกมาทันที เพราะยามที่เด็กหนุ่มเฝ้ามองคุณหนูเอียนซี นอกเหนือไปจากความงดงามที่สะดุดตาแล้ว ยังบุคคลิกอันสง่างาม แฝงความน่าเคารพไว้อีกหลายส่วน
ที่แท้ความสง่างามราวกับดาวบนท้องฟ้านั้นถูกถ่ายทอดมาจากบิดาของนางแทบทุกกระเบียดนิ้วนั่นเอง
เอียนมู่หลง อยู่ในชุดเสื้อผ้าสีเหลือง เป็นผ้าบางเนื้อดี มีลายทองเป็นริ้วตรงชายเสื้อ ในมือถือตำราเล่มหนึ่ง บ่งบอกถึงความเป็นผู้คงแก่เรียน
ที่ปรึกษาใหญ่แห่งเมืองเกียะหยู มีคิ้วดกหนา ดวงตามีประกายเจิดจ้า เคราบางๆที่คาง และจมูกที่เชิดรั้น รวมไปถึงจอนผมหงอกขาว ยิ่งขับเน้นให้บุคคลิกน่ายำเกรงมากยิ่งขึ้น
ถ้าไม่มีคนแนะนำให้รู้จัก หวูไว่อาจจะนึกว่าบุคคลข้างหน้านี้คือ หวังจุนหลง เจ้าเมืองเกียะหยูด้วยซ้ำไป
“พ่อ…” เสียงเอียนซีร้องทัก ก่อนจะก้าวเข้าไปโอบกอดกับที่ปรึกษาเอียนอย่างรักใคร่
เอียนมู่หลงเอามือตบหลังบุตรสาวเบาๆ ยิ้มน้อยๆก่อนกล่าวเบาๆว่า
“ซียี้ ภาระครั้งนี้หนักหนาสำหรับเจ้าแล้ว”
จากนั้นเอียนมู่หลงก็หันมามองเด็กหนุ่มแล้วพยักหน้าให้
“เจ้าคงเป็นหวูไว่ซินะ ขอบคุณที่ช่วยเหลือบุตรสาวของข้า”
เด็กหนุ่มยิ้มอย่างเขินๆ ช่วยเหรอ-ไม่หรอกน่า เขาไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่เลย
เอียนมู่หลง ผละจากบุตรสาวและเดินมาตบบ่าหวูไว่เบาๆ
“นอกเหนือไปจากจะขอบใจเจ้าแล้ว ข้ามีเรื่องจะถาม”
“หือม์…” หวูไว่พึมพำและเอานิ้วชี้มาที่ตัวเอง
ที่ปรึกษาใหญ่แห่งเกียะหยูเปลี่ยนอิริยาบถหันไปมองภาพทิวทิศน์ที่แขวนอยู่หลังโต๊ะหนังสือแล้วกล่าวเสียงเยือกเย็นว่า
“ข้าอยากถามว่าพ่อแม่ของเจ้าเป็นใครกัน เป็นคนในหมู่บ้านเซียงอู่หรือเปล่า”
หวูไว่ได้แต่ส่ายหน้าไปมา
“ข้าไม่รู้มากนักหรอก เท่าที่ทราบก็คือพ่อแม่ของข้าเสียชีวิตไปแล้ว จากอุบัติเหตุน้ำท่วมใหญ่ และอาศัยอยู่กับลุงและป้ามานับแต่นั้น”
“แล้วทำไมเจ้าถึงได้มีผมสีทอง และดวงตาสีฟ้า?”
คำถามนี้ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มอึ้งหนัก นั่นนะซิ-เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน อยากรู้มาทั้งชีวิตนั่นแหละ
“คือว่า…”
ก่อนที่จนแต้มกับคำถามนี้ เอียนซีก็ร้องขึ้น
“ท่านพ่อ…มีอะไร พ่ออยากจะรู้เรื่องของหวูไว่ไปทำไม”
เด็กหนุ่มหันมองหน้าหญิงสาวอย่างขอบคุณ แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น แต่คำถามของเอียนมู่หลงทำให้หวูไว่รู้สึกกดดันขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
ที่ปรึกษาใหญ่แห่งเกียะหยูหันหน้ากลับมายิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า
“เจ้ารู้จักนายพลซื่อชางแห่งกองทัพอัศวินดำดีแค่ไหน”
หา-คราวนี้ทั้งสองคนร้องขึ้นมาพร้อมกัน พร้อมกับงุนงงหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เอียนมู่หลงเอามือไขว้หลังและเดินมาจ้องมองที่หวูไว่และโพล่งขึ้น
“ถ้าเจ้าไม่รู้จักนายพลซื่อชาง แล้วทำไมถึงได้มีคำสั่งให้พวกทหารอัศวินดำตามล่าเจ้าละ”
“ข้าเหรอ…”
เอียนมู่หลงเอามือลูบคางเหมือนใช้ความคิด
“อืมม์…จะว่าตามล่าเจ้าก็คงไม่ถูกนัก แต่เท่าที่ข้าทราบข่าวมาก็คือ นายพลซื่อชางสั่งให้คนตามล่าตัวเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เป็นเด็กหนุ่มที่มีผมเป็นสีทอง และดวงตาสีฟ้า ซึ่งถ้าไม่ใช่เจ้าจะเป็นใครได้ละ”
ตายละ-เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเอง
ความซวยมาเยือนอย่างไม่นึกฝันเลยนะเนี่ย
(5)
“ไม่…เจ้ากลับบ้านตอนนี้ไม่ได้”
“แต่ข้าไม่อยากจะเป็นทหารนี่…คุณหนู”
“ทำไมเล่าหวูไว่ ทหารแห่งกองกำลังเมฆขาวใช่ว่าจะเป็นกันได้ง่ายๆหรอกนะ แล้วนี่เพื่อนเจ้าสองคนก็ตอบตกลงกับข้าแล้ว”
“จริงเหรอ…”
“ซวยละซิ…”
ขณะนี้ หวูไว่นั่งอยู่บนม้าหิน ในสวนเล็กๆของตึกตระกูลเอียนอันโอ่อ่า กว้างขวาง ส่วนคุณหนูเอียนหรืออีกนัยหนึ่ง หงสาคะนองศึกยืนหันหลังมองไปยังน้ำตกสายเล็กๆที่ถูกประดับประดาไว้อย่างสวยงาม
แน่ละ-ตอนนี้ เด็กหนุ่มทราบแล้วว่า ชีวิตของเขาไม่ปลอดภัยเสียแล้วเมื่อตัวเองกลายเป็นที่ต้องการของนายพลผู้ยิ่งใหญ่แห่งกองทัพอัศวินดำ ส่วนจะด้วยเหตุผลใดนั้นเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันแต่จะให้เป็นทหารออกรบนะเหรอ-ไม่เคยอยู่ในความฝันของเขาแม้แต่น้อย
จะกลับไปเซียงอู่ก็ไม่ได้เหมือนกัน
ทำไงดี ทำไงดี…
แล้วเอียนซีก็หันหลังมา ในจังหวะเดียวกับที่เด็กหนุ่มเกาหัวแกรกกรากไปมา หงสคะนองศึกถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ถึงตอนนี้หญิงสาวเริ่มคุ้นเคยกับ “มุข” ของเด็กหนุ่มแห่งเมืองเซียงอู่ได้แล้ว
“เอาเถอะ ไม่เป็นทหารก็ได้ แต่เจ้าอยากเป็นอะไรละ”
เด็กหนุ่มอึ้งไปพักใหญ่ จะบอกว่าอยากอยู่เฉยๆก็คงน่าเกลียดไป แล้วอะไรเล่าที่เขาทำได้ดี ทำแล้วมีความสุข เมื่อตอนที่อยู่ในหมู่บ้านเซียงอู่
อ้อ-นึกออกแล้ว
“คุณหนู ข้าชอบปลูกต้นไม้ ดอกไม้นะ หรือจะให้ทำครัวก็ได้”
หญิงสาวส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“หวูไว่-เจ้านี่แปลกคนจริงๆ”
แล้วคุณหนูเอียนก็ยิ้มออกมา แล้วพยักหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง
“ตามใจเจ้า…ข้ามีทางออกให้แล้ว”
“ทางออกเหรอ…”
เอียนซีพยักหน้าก่อนตอบว่า
“ข้าจะให้เจ้าไปอยู่กับเฒ่าลู่”
“เฒ่าลู่เหรอ…ใครกัน” เด็กหนุ่มพึมพำ
แต่เอาเถอะ-เป็นไงเป็นกันซิน่า

๓.๑.๕๑

นักรบจากดาวดวงอื่น (5)

เรื่องไม่คาดฝัน
(1)
พระจันทร์ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้าในขณะที่หวูไว่ก้าวเท้าลงเรือ น่าแปลกนักที่เรือลำที่จอดรออยู่ เป็นเรือโดยสารลำใหญ่กว่าที่คาดคิดไว้ สามารถรับส่งผู้โดยสารได้หลายคน แต่มีเพียงหวูไว่และเอียนซีเท่านั้นที่เป็นผู้โดยสารในเที่ยวนี้
ก่อนขึ้นเรือ มีผู้เฒ่าร่างสูงโปร่ง สวมหมวกปิดบังใบหน้าเอาไว้ผู้หนึ่งก้าวยืนรออยู่บนฝั่งแนะนำตัวว่า ได้รับคำสั่งให้มารอพวกหวูไว่อยู่ที่นี่ และจะพาเดินทางไปถึงทางแยกที่เชื่อมกับแม่น้ำใหญ่เฉินเจียง
“การเดินทางสู่เกียะหยู วิธีที่สบายก็คือล่องเรือตามทะเลสาปนี้ ราวหนึ่งคืนพวกท่านก็จะไปถึงทางแยกที่จะออกสู่แม่น้ำเฉินเจียง ที่นั่นท่านสามารถขึ้นเรือใหญ่เพื่อออกไปทางแม่น้ำ ใช้เวลาเดินทางอีกราว 3 วันก็จะถึง”
ยังไม่ทันที่หวูไว่จะไถ่ถาม ผู้เฒ่าก็ชิงตอบอีกว่า “อีกทางหนึ่งก็คือท่านจะสามารถไปต่อได้ด้วยทางบก หลังจากเรือลำนี้พาเจ้าขึ้นฝั่งที่จะไปเชื่อมกับแม่น้ำใหญ่”
หวูไว่พยักหน้าอือออ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี คำถามที่ค้างอยู่ในใจก็คือ ทำไมลุงจึงสามารถจัดหาเรือโดยสารลำใหญ่นี้ได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้นะ
แต่ช่างเถิด-ขอให้เอียนซีปลอดภัยก็พอแล้ว
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจยาว พร้อมแล้วกับการเดินทางลงเรือเพื่อมุ่งสู่แม่น้ำเฉินเจียง เพราะนี่จะเป็นการเดินทางออกนอกเซียงอู่ของเขาเป็นครั้งแรก
และเมื่อเดินทางด้วยเรือโดยสารลำนี้ไปถึงปลายทางในตอนเช้า เขาและนางก็จะต้องจากกันแล้ว
คิดแค่นี้ หัวใจของเด็กหนุ่มก็ห่อเหี่ยวลง
(2)
การเดินทางด้วยเรือนับว่าสะดวกสบายยิ่ง เรือโดยสารแล่นฝ่าฟองคลื่นไปอย่างช้าๆ ลมบางๆลอยมาปะทะหน้าคนทั้งสองซึ่งยืนอยู่ที่กราบเรืออย่างเงียบเชียบ
หวูไว่กวาดสายตามองไปมองทิวทัศน์รอบข้าง แม้ความมืดจะปกคลุม แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงต้นไม้เขียวชะอุ่ม แล้วก็กระท่อมเล็กกระท่อมน้อยที่ตั้งอยู่ริมฝั่ง นี่ถ้าเดินทางล่องเรือในตอนกลางวัน เขาคงจะได้สัมผัสทัศนียภาพที่งดงามกว่านี้แน่
ในขณะที่ หวูไว่เหม่อมองดูทิวทัศน์ทั้งสองฝั่ง เอียนซี-เงยตาคู่งามขึ้นไปมองท้องฟ้าเบื้องบน ซึ่งดารดาษไปด้วยดวงดาวน้อยใหญ่
แล้วหญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
“คุณหนูเอียน-ท่านทอดถอนใจทำไมเล่า เมื่อถึงฟ้าสางพวกเราก็จะปลอดภัยแล้ว และจะไม่มีคนในเซียงอู่คนใดได้รับอันตรายอีกด้วย ข้าว่าท่านควรดีใจเสียมากกว่า”
หญิงสาวส่ายหน้าไปมา
“ข้าเพียงแต่เสียดายนะ…”
“เสียดาย…เหรอ”หวูไว่ทวนคำ
เอียนซียิ้มอย่างอ่อนหวาน กล่าวว่า
“ข้าเสียดายเวลาหลายวันที่ผ่านมาในเซียงอู่นะ ข้าชอบพวกเจ้าทุกคนในหมู่บ้านที่มีน้ำใจ ชอบการใช้ชีวิตอันแสนจะเรียบง่ายและมีความสุขของชาวหมู่บ้านเซียงอู่ มันเป็นชีวิตที่ข้าไม่เคยสัมผัสมาก่อน”
“แล้วก็เจ้า…หวูไว่”
หวูไว่งงงันอยู่วูบหนึ่ง
“เจ้าเป็นคนน้ำใจงามหวูไว่ แล้วก็ยังทำให้ข้าเข้าใจว่าความสุขของมนุษย์เราไม่ใช่ทรัพย์สิน เงินทอง แต่คือการรู้สึกพึงพอใจกับโลกรอบข้าง ไม่เร่งร้อน ไม่กระวนกระวาย ข้าอิจฉาเจ้านะ”
เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆขึ้นมาครั้งหนึ่ง-อิจฉาเหรอ พูดเป็นเล่นไปน่า
แล้วหญิงสาวก็พูดต่อไป
“ข้าไม่ได้พูดเล่น ทุกครั้งที่เห็นประกายในแววตาของเจ้า มันช่างสดใส มีชีวิตชีวา ดูเหมือนไม่สิ่งใดซ่อนเร้นอยู่ในนั้นแม้แต่น้อย”
“ที่สำคัญก็คือ ข้าสามารถคุยกับเจ้าได้อย่างเปิดเผย เจ้าตอบทุกคำถามที่ข้าอยากรู้ เป็นคนที่ข้าสามารถคุยได้โดยไม่ต้องระแวงว่ามีสิ่งใดที่แอบแฝงอยู่หรือไม่”
“ข้ามีความสุขที่สุดในช่วงหลายวันมานี้” เอียนซีเอ่ยกับเด็กหนุ่มโดยยังไม่ยอมละสายตาจากฟ้าเบื้องบนที่สะพรั่งด้วยดวงดาวน้อยใหญ่
หลายวันที่ผ่านมา หวูไว่ กับ หญิงงามแห่งเกียะหยูผูกพันกันด้วยความรู้สึกบางอย่าง ยิ่งได้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยกัน ยิ่งเพาะความรู้สึกอันลึกล้ำระหว่างกัน ทำให้มีบางอย่างที่เชื่อมระหว่างหวูไว่กับเอียนซีเอาไว้
แต่มันใช่ความรู้สึกฉันท์หนุ่มสาวละหรือ-หวูไว่ไม่แน่ใจนัก
และที่สำคัญทุกอย่างกำลังจะจบลงในอีกไม่กี่ยามข้างหน้านี้แล้ว-ไม่ใช่หรือ
“คุณหนูเอียน”หวูไว่พึมพำ
หญิงสาวขยี้เท้า ย่นจมูกอย่างแง่งอน
“นี่หวูไว่ ข้าบอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าเรียกข้าว่าหนูเอียน”
เด็กหนุ่มเอามือเกาหัวแกรก ยิ้มอย่างละอาย และหันสบตากับหญิงสาว ตามมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานของทั้งสองคน ท่ามกลางดาวที่พร่างพรายอยู่เต็มฟากฟ้านั่น
(3)
ไม่รู้ว่าตัวเองผล็อยหลับไปเมื่อไหร่ แต่รู้สึกตัวอีกที หวูไว่ก็ได้ยินเสียงผู้เฒ่าเจ้าของเรือตะโกนบอกว่า “ไกล้ถึงฝั่งแล้วๆ” เด็กหนุ่มเอามือขยี้ตาสลัดความงัวเงีย ก่อนจะพาตัวเองออกไปทางกราบเรือด้านหน้า ที่นั่นเขาเห็นเอียนซี-ยืนเหม่อมองทิวทัศน์สองข้างด้วยอาการเงียบสงบ ความมืดเริ่มจางลง ในขณะที่ความสว่างเริ่มเข้ามาแทนที่
หวูไว่หันมองไปทางขวามือของกราบเรือ มองเห็นฝั่งห่างออกไปไม่ไกลนัก อีกไม่ช้าเรือก็จะเข้าเทียบฝั่งแล้ว มองไปข้างหน้าไกลลิบ แม่น้ำกว้างทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตา มีบ้านหลังเล็กกระจายให้เห็นเป็นจุดๆ
“ข้าหวังว่า จากกันครั้งนี้คงจะไม่ใช่การจากกันอย่างถาวรหรอกนะ”เอียนซีกล่าวโดยไม่ได้หันหน้ากลับมา
หวูไว่หลังคุ้ม คอตก จริงซิ-การลาจากกำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้แหละ เมื่อเรือจอดที่ฝั่ง หญิงสาวก็ต้องเดินทางต่อไปที่เมืองเกียะหยู คาดว่าจะรอโดยสารเรือใหญ่ที่จะพาแล่นผ่านแม่น้ำกว้างเบื้องหน้านั่น ส่วนเขาก็คงจะหาม้าเพื่อขี่กลับไปยังเซียงอู่
“ข้าชอบหมู่บ้านของเจ้า ถ้ามีโอกาสข้าอยากกลับไปอีก ได้มั๊ย หวูไว่”
ทำไมจะไม่ได้-เด็กหนุ่มคิด แต่ในขณะนี้เขารู้สึกคอแห้ง พูดไม่ออก ทำได้ก็แค่พยักหน้าเท่านั้น
ระหว่างที่ทำอะไรไม่ถูก เรือก็จอดเข้าเทียบท่าอย่างเชื่องช้า ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรแก่กัน ก้าวลงจากเรือ
“ท่านทั้งสอง…”
เสียงของผู้เฒ่าเจ้าของเรือทำให้ทั้งสองคนต้องชะงักเท้าและหันมองกลับมา
“ท่านเดินอ้อมโขดหินทางซ้ายมือนั่นไป แล้วเดินตรงไปอีกนิดก็จะพบทางเดินเล็กๆสู่ชายป่าอีกด้าน พ้นชายป่าอีกแล้วพวกท่านก็จะปลอดภัย”
“อ้อ…”หวูไว่ตอบได้แค่นั้น หันไปกล่าวขอบคุณผู้เฒ่าที่ยังคงสวมหมวกปิดบังใบหน้าไว้ แล้วพยักเพยิดชักชวนให้เอียนซีเดินตามมา
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงตะโกนอย่างสับสนอลหม่านดังขึ้น คละเคล้าไปกับเสียงฝีเท้าถี่ยิบของม้าฝูงใหญ่ที่น่าจะมุ่งตรงมาที่ชายป่าที่อยู่ไกล้ๆ
“รีบไป” เอียนซีพูดเหมือนตะโกน และวิ่งทะยานนำหน้าเด็กหนุ่มมุ่งผ่านโขดหินไป
เพียงอึดใจเด็กหนุ่มก็วิ่งตามหญิงสาวแห่งเกียะหยูมาจนถึงชายป่า ภาพที่เห็นทำให้เด็กหนุ่มตะลึงพูดอะไรไม่ออก
“แย่แล้ว…”หวูไว่คราง หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
ลานกว้างเบื้องหน้า ทหารอัศวินดำแต่งเต็มยศ ในมือถือทั้งกระบี่ ดาบ ธนู บางส่วนนั่งอยู่บนม้าศึก บางส่วนก็แยกย้ายอยู่ทางซ้ายบ้าง ขวาบ้าง รวมแล้วน่าจะกว่าร้อยคน
เบื้องหลังทหารอัศวินดำเหล่านั้น มีรถม้าสีดำทะมึนจอดอยู่คันหนึ่ง
หวูไว่ได้แต่ครางในใจ-ซวยอีกแล้วเรา
มีร่างคนผู้หนึ่งก้าวลงจากรถม้า เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ผมยาวถึงต้นคอ ใบหน้าเรียวยาว จมูกโด่งได้รูป ทุกอย่างช่วยเสริมบุคคลิกให้เด่นสะดุดตา เสียดายก็แต่ในดวงตาโปนโตคู่นั้นที่ส่อถึงความเจ้าเล่ห์ ในขณะที่เกราะสีดำ และหมวกเหล็ก แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มผู้นี้คือ หนึ่งในทหารของกองทหารอัศวินดำอย่างไม่ต้องสงสัย
“ที่แท้ก็ขุนพลอู๋…”เอียนซีที่ยืนอยู่ข้างๆหวูไวพูดเสียงดังในลำคอ
“ไม่พบเสียนานนะ คุณหนูเอียน”
กล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกแล้ว ขุนพลอู๋ที่ว่าก็เหลือบตามองมายังหวูไว่ ใช้สายตาอันคมกล้ามองเด็กหนุ่มตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า และพยักหน้าอย่างพออกพอใจ
“เป็นเจ้า…”
หวูไว่สะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย ขุนพลอู๋ทำท่าเหมือนรู้จักเขาดีอย่างนั้นแหละ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอกับขุนพลหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี่นา
แล้วเอียนซีก็ชักกระบี่ออกจากฝัก ประกายกระบี่สะท้อนกับแสงอาทิย์ยามเช้าเป็นรัศมีเจิดจ้าออกมา
“ปล่อยชายหนุ่มคนนี้ไป เขาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขุนพลอู๋ซี”
ขุนพลหนุ่มที่ขณะนี้ยืนล้ำอยู่ข้างหน้ากลุ่มทหารอัศวินดำเงยหน้าหัวเราะ
“คุณหนูเอียน-ท่านแอบมาขโมยแผนที่ทหารถึงในค่ายทหารของข้า แล้วยังกล้าให้ข้าปล่อยคนอีกหรือนี่ ฝันไปหน่อยมั๊ง”
แล้วขุนพลอู๋ซีก็ส่ายหน้า
“ข้าปลอยตัวคุณหนูไม่ได้ แล้วก็…” กล่าวเสร็จขุนพลอู๋ซีก็ใช้มือขวาที่กุมกระบีสีดำชี้ปราดมาที่หวูไว่
“เจ้าหนุ่มคนนี้ก็ปล่อยไม่ได้ มันคือคนที่ท่านนายพลซื่อชางต้องการตัว”
หา-หวูไว่ร้องขึ้นมาอย่างตกใจ และเมื่อหันไปมองเอียนซีก็พบว่านางกำลังมองมาด้วยดวงตาเบิกโพลง สีหน้าบ่งบอกความประหลาดใจอย่างที่สุด
เด็กหนุ่มไม่รู้จักนายพลซื่อชางอะไรที่ว่ามานั่นเลย และเรื่องทั้งหลายทั้งมวลในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามันไม่ควรจะเกี่ยวกับเขาเลยสักนิดด้วย
“รีบไป…”เสียงหญิงสาวจากเกียะหยูกระซิบบอกเขา แต่จะได้อย่างไรกัน หวูไว่จะปล่อยให้เอียนซีอยู่สู้กับทหารนับร้อยเบื้องหน้าเพียงคนเดียวนะหรือ-เป็นไปไม่ได้
“ท่านนั่นแหละไป…คุณหนู” อะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้หวูไว่พูดไปเช่นนั้น
ทหารบนม้านั่น และที่ยืนเรียงรายโอบล้อม รวมทั้งขุนพลอู๋ซีอะไรที่ว่านั้นชักอาวุธออกมาแล้ว บางคนก็เป็นดาบ กระบี่ ทวน บางคนที่ถือธนูก็ตั้งคันขึ้นมา
หวูไว่กลืนน้ำลาย ขาสั่น สะบัดศรีษะไปมาเพื่อสะบัดไล่ความงุนงง คิดไม่ออกว่าจะรอดพ้นสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร
แต่ก่อนที่อะไรจะเลวร้ายไปกว่านี้ หวูไว่ก็เห็นร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวตรงเข้ามา หลังจากมองอยู่พักใหญ่ เด็กหนุ่มก็จำได้ถึงเสื้อโทรมๆมอๆ แล้วก็หมวกที่ปิดบังใบหน้านั่น
นั่นมันตาเฒ่าเจ้าของเรือไม่ใช่หรือ ทำไมถึงไม่ล่องเรือกลับไปเสียเล่า จะเดินมาหาความตายร่วมกับพวกเขาทำไม
ชั่วอึดใจ เฒ่าที่พาพวกหวูไว่ล่องเรือมาถึงที่นี่ก็มายืนสมทบกับหวูไว่และเอียนซี ตาเฒ่าใส่หมวกกุยเล้ยบดบังใบหน้าเอาไว้ แต่ยังมองเห็นเคราสีดอกเลาที่ยื่นยาวออกมา
“ยินดีที่ได้พบกับขุนพลอู๋ซี นายทหารเอกของกองทัพอัศวินดำ” ในที่สุดตาเฒ่าก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา
กล่าวจบแล้ว ตาเฒ่าก็ถอดหมวกออกและพลางเดินไปยืนประจันหน้ากับทหารอัศวินเบื้องหน้านั่น ไม่มีอาการประหวั่นพรั่นพรึงสักนิด
“นั่นมัน…” หวูไว่พึมพึมขึ้นมา แม้จะมองจากด้านหลังเขาก็จำผู้เฒ่าคนนี้ได้แล้ว เสียงอันอ่อนโยน แล้วก็เคราสีดอกเลานั่น…
“ข้าเองนั่นแหละหวูไว่ อย่าตกใจไปเลย”
เฒ่าเจ้าของเรือกล่าวลอยๆขึ้นมา ก่อนจะหันหน้ามองกลับมาที่พวกหวูไว่ ดวงตาสุกใส แล้วก็รอยยิ้มอันเปี่ยมเมตตานั่น จะเป็นใครไปได้เล่านอกจาก นักพรตเฒ่าที่ช่วยชีวิตเขาไว้คราวก่อนนั่นเอง
หวูไว่ งุนงง หันไปมองเอียนซี ที่ยืนอยู่เคียงข้างก็มองมาที่เขาเหมือนอยากจะถามเช่นกันว่านี่มันคือเรื่องราวอะไรกันแน่
“ท่านคือ…”เสียงของอู๋ซีดังขัดจังหวะขึ้นมา
“ข้าก็เป็นนักพรตธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ชื่อข้าไม่มีความสำคัญหรอก”
กล่าวจบ นักพรตผู้มีความมาอันแปลกประหลาดก็หยิบแส้ปัดออกมาถือไว้ในมือขวา แล้วหัวเราะเสียงเบาๆ
ขุนพลหนุ่มอู๋ซีเพ่งตามองนักพรตเบื้องหน้าด้วยนัยน์ตายิบหยี แล้วยกเอากระบี่พาดไว้ที่หน้าอก นิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนพยักหน้าเหมือนคิดอะไรออกบางอย่าง
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด ท่านคือนักพรตจางเหลียง…”
สิ้นเสียงกล่าวของขุนพลหนุ่ม เสียงอุทาน ตะโกนถาม ของทหาร อัศวินดำก็ดังระงมขึ้นมา แม้จะฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ที่แน่ๆแค่ชื่อของนักพรตก็สร้างความโกลาหลให้เหล่าทหารนั่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
นักพรตจางเหลียงเหรอ-หวูไว่บอกกับตัวเองในใจ ไม่เคยได้ยินสักหน่อย แต่ทำไมนักพรตเฒ่าจึงรู้จักเขาได้นะ แถมนี่ยังช่วยชีวิตเขาเอาไว้อีก และไม่ใช่ครั้งแรกเสียด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นก็เหอะ-จะรับมือกับทหารนับร้อยเบื้องหน้านั่น-ฝันไปหรือเปล่า
ฟ้าสว่างแล้ว แต่ดูเหมือนลมจะไม่ไหวติง หวูไว่รู้สึกหายใจติดขัด อึดอัดกับบรรยากาศที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ตอนแรก ทหารพวกนั้นชักอาวุธออกมาคงจะเตรียมลงมือจับพวกเขาไป แต่ดูเอาเถิด แค่เพิ่มนักพรตเข้ามาอีกคน สถานการณ์ก็เริ่มจะเปลี่ยนไป
แล้ว ขุนพลอู๋ซีก็ชักกระบี่ออกมา ประกายกระบี่กระทบแสงอาทิตย์และสะท้อนมาโดนใบหน้าของหวูไว่จนต้องบังมือขึ้นปิดดวงตา
“ถึงอย่างไร ข้าก็มีทหารมานับร้อย ข้าว่าท่านนักพรตหลีกทางให้ข้าเสียจะดีกว่า” ขุนพลหนุ่มอัศวินดำพูดเหมือนคำราม
“ลงมือ…”
“ช้าก่อน…” นักพรตส่งเสียงห้าม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“การรบพุ่งเยี่ยงนี้ไม่ส่งผลดีกับท่านหรือข้าหรอก เลิกแล้วแต่กันแค่นี้เถิด”
“เลิกเหรอ…น่าหัวเราะ” ขุนพลอู๋ซีพูดเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ
แต่ทันใดนั้น เสียงแตรศึก หวูดสัญญานก็ดังแผดขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องกึกก้อง ดูเหมือนมันจะดังมาจากไกล้กับทะเลสาปที่หวูไว่ก้าวลงจากเรือนั่นเอง
“ข้าบอกแล้วขุนพลอู๋…” นักพรตเฒ่าว่าด้วยน้ำเสียงเย็น
ยังไม่ทันที่จะจับต้นชนปลายว่าอะไรเป็นอะไร หวูไว่ก็รู้สึกเหมือนมีแรงบางอย่างใต้แขนดันร่างของเขาขึ้น จนดูเหมือนร่างของเขาทะยานขึ้นจากพื้นดิน ตามมาด้วยมือซูบของใครดึงหลังเสื้อของเขาขึ้นด้วยแรงดึงอันมหาศาล
เหวอ-เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวกำลังปลิวอยู่กลางอากาศ หลับตาปี๋ด้วยความเสียวไส้
แต่หูแว่วเสียงขุนพลอู๋ไล่หลังมาว่า “รีบไล่ตาม อย่าให้พวกมันหนี”
มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย…
(4)
เวลาผ่านไปชั่วอึดใจ แล้วหวูไว่ก็ลืมตาตื่นขึ้นมา พร้อมกับรู้สึกเหมือนเท้าทั้งสองสัมผัสพื้นอีกครั้ง เหลียวมองไปรอบตัว แล้วก็ต้องร้องอย่างตกใจขึ้นมา เมื่อพบว่าขณะนี้ตัวเองมายืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำกว้าง ข้างๆเขาเอียนซี-ยืนเหนื่อยหอบ เหงื่อเม็ดพราวผุดขึ้นที่หน้าผากและจมูก
เขามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร เพราะเมื่อตะกี้ยังตกอยู่ในวงล้อมของทหารอัศวินดำนับร้อยอยู่แท้ๆ
มีใครเอามือตบบ่าเด็กหนุ่มจนสะดุ้งทั้งตัว เหลียวไปมองก็พบว่า เป็นนักพรตเฒ่านั่นเอง
“นี่…ท่าน” หวูไว่ร้องถามอย่างงุนงง
แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร นักพรตก็หัวเราะอย่างเบาๆ แล้วเอามือชี้ไปที่แม่น้ำกว้างนั่น เมื่อมองตามไปเด็กหนุ่มก็ถึงแก่ตาลุกโพลงด้วยความตกใจ
ไม่ไกลจากที่เด็กหนุ่มแห่งเซียงอู่ยืนอยู่ เรือลำใหญ่ลำหนึ่งกำลังแล่นมาทางนี้ เป็นเรือลำใหญ่พิเศษ หวูไว่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต และเสียงเป่าแตร เสียงหวูด เสียงย่ำกลองดังมาจากเรือลำนั้นเอง
“รีบไปเถิด คุณหนู” นักพรตหันไปทางเอียนซี ก่อนจะชี้มือไปยังเรือเล็กลำหนึ่งที่จอดไว้ริมฝั่ง ก่อนจะหันมาตบไหล่หวูไว่เบาๆ แล้วเอ่ยว่า
“เจ้ารีบขึ้นเรือเล็กเพื่อไปขึ้นเรือรบใหญ่นั่นเถิด เวลามีไม่มากนักแล้ว”
“แต่ว่า…”เด็กหนุ่มอิดออด ถ้าเขาและเอียนซีไปเสียแล้ว นักพรตคนเดียวจะรับมือกับทหารพวกนั้นได้อย่างไรกัน
“ไปเถิด ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่เป็นไรหรอก รีบขึ้นเรือเถิด แล้วพบกันใหม่หวูไว่”
ไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะโต้ตอบอะไร นักพรตเฒ่าก็พุ่งจากไป แต่พูดให้ถูกเหมือนจะบินหนีไปต่างหาก ถ้าหากดูจากท่าร่างอันปราดเปรียวที่ใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจก็ลับหายไปจากทิวไม้นั่น
“ไปเถิด…หวูไว่” เอียนซี ที่ไปยืนอยู่บนเรือเล็กริมฝั่งตะโกนบอก
เด็กหนุ่มรับคำ ก่อนจะเดินลุยน้ำขึ้นไปอยู่บนเรือเล็ก รับพายมาจากหญิงสาวก่อนจะเอ่ยถามว่า
“แล้วพวกเราจะไปไหนกัน…”
เอียนซียิ้มกว้างแล้วพยักเพยิดไปทางเรือลำใหญ่ที่กางใบท้าแรงลมอยู่ไม่ไกล
“เราจะไปขึ้นเรือลำนั้น แล้วเราจะได้กลับบ้าน”
“กลับบ้านเหรอ…”หวูไว่ทวนคำ
หญิงสาวพยักหน้าแล้วหัวเราะอย่างอายๆ
“นั่นคือเรือรบมังกรจากเกียะหยู พวกบนเรือนั่นคือทหารจากกองกำลังเมฆขาวไง”
“กองกำลังเมฆขาวเหรอ…”หวูไว่พึมพำ
เด็กหนุ่มจ้ำพายแรงขึ้น เหม่อมองไปยังเรือลำยักษ์นั่น งุนงงสงสัยว่ามีอะไรรอเขาอยู่นะ แล้วเซียงอู่ละ-เขาจะได้กลับไปอีกเมื่อไหร่
(5)
เด็กหนุ่มรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง เมื่อหย่อนเท้าขึ้นบนเรือรบมังกรนั่น เสียงโหวกเหวกอันคุ้นเคยก็ดังลั่นขึ้นมา
“หวูไว่ หวูไว่เว้ย…”
เจ้าอ้วน-อากิ และเจ้าโย่ง-เรียว วิ่งมาจากด้านไหนของดาดฟ้าของเรือก็ไม่รู้ กว่าจะรู้อีกที หวูไว่และเจ้าเพื่อนตัวแสบสองคนนั่นก็กอดกันกลมเสียแล้ว ไม่สนใจสายตาหลายคู่ของทหารที่จ้องมองมาสักนิด
ถึงจะจากกันไม่กี่วัน แต่ต้องเจอเหตุการณ์อกสั่นขวัญแขวนอย่างนี้จะไม่ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งก็แปลกไปละ
และยังไม่ทันที่หวูไว่และพวกจะสนทนากันจบ เสียงแตรศึกก็แผดเสียงสนั่นขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงตูมสนั่นหวั่นไหวในแม่น้ำใหญ่ หวูไว่กับพวกรีบกระโจนไปที่กราบเรือทันที และมองเห็นเรือลำหนึ่งกำลังแล่นตามมาติดๆ ทั้งสามคมมองหน้าเลิ่กลั่กไปมา
“อย่ากลัวไปเลย พวกนั่นไม่มีทางตามเราทันหรอก” เสียงหวานหูของเอียนซีดังมาจากทางข้างหลัง ทำให้หวูไว่รีบหันไปมองทันที จริงซิ-พอขึ้นเรือมาเจอกับเจ้าเพื่อนสองคนนี่เขาก็ลืมนางไปสนิท
เอียนซี-อยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิมที่มอมแมมไปมาก แต่ดวงหน้ากลับเกลี้ยงเกลา ไม่ขมุกขมอมเหมือนตอนที่อยู่บนฝั่งอีกแล้ว หญิงสาวยืนกอดอกมองสามเพื่อนหนุ่มจากหมู่บ้านเซียงอู่ไปมาก่อนพูดด้วยน้ำเสียงกังวาน
“ขอบใจพวกเจ้ามากนะ”
“ใช่…ขอบใจมาก”
เสียงทุ้มใหญ่ที่ไม่คุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลังของหญิงสาว และไม่ช้าร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ปรากฎต่อสายตาของหวูไว่
ร่างนั้นสูงสง่า หน้าตาหมดจด ผมยาวถูกรวบไว้ข้างหลังอย่างเป็นระเบียบ ขนคิ้วดกหนา ประกายตาเจิดจ้า หน้าผากกว้าง ในขณะที่จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากเรียวบางคล้ายสตรี เสื้อผ้าไหมเนื้อดี และผ้าคลุมไหล่สีขาวสะอาดตาที่โบกพลิ้วไปมา ยิ่งขับบุคคลิกของชายที่อยู่เบื้องหน้าให้โดดเด่นสะดุดตามากยิ่งขึ้นไปอีก
“ข้าชื่อหลี่มู่ ขอบใจเจ้า” ชายหนุ่มผู้งามสง่ากล่าวพร้อมยิ้มน้อยๆออกมา ก่อนจะหันไปทางเอียนซีที่ยืนอยู่เคียงข้าง
หวูไว่จะทำอะไรได้นอกจากยิ้มเก้อและเอามือเกาหัวตัวเองเท่านั้น
“ขอบใจที่ช่วย ซียี้” หลี่มู่พูดย้ำ
“ซียี้ เหรอ” หวูไว่ครางในลำคออย่างสงสัย
“พวกเจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด อีกไม่นานก็จะถึงเกียะหยู ข้ายังมีงานต้องทำ” เอียนซีว่า แล้วส่งรอยยิ้มน้อยๆให้หวูไว่ ก่อนจะเดินจากไปอย่างช้าๆ
หลี่มู่-ชายหนุ่มชะงักมองที่หวูไว่ชั่วครู่ ไม่ได้พูดอะไรนอกจากพยักหน้าและก้าวเท้าไล่หลังเอียนซีไป
“หลี่มู่คนนี้สง่างามนักว่ามั๊ย” หวูไว่พูดออกมาเบาๆ ในขณะที่เพื่อนทั้งสองคนร้องอืมม์อยู่ในลำคอ
“เขาเป็นคนคุมเรือนี่หรือ” เด็กหนุ่มถามต่อ
“มั๊ง” อากิ ตอบ
“แล้วเขาเป็นอะไรกับคุณหนูเอียนละ ญาติ หรือ พี่ชาย”
“ว่าไงล่ะ…”
เด็กหนุ่มหันมามองเพื่อนสองคนที่ยืนเงียบ มีสีหน้าอึกอัก จนเด็กหนุ่มต้องสำทับขึ้นมาอีกครั้ง
“ว่าไงละ หลี่มู่ กับ เอียนซี เป็นอะไรกัน”
เรียว สบตากับอากิ แล้วหันมามองหวูไว่ด้วยสีหน้าประหลาด
“คืออย่างนี้นะหวูไว่ เท่าที่ข้ารู้ หลี่มู่คนนี้คือขุนพลเอกของกองกำลังเมฆขาวที่โด่งดังไปทั่วแผ่นดินไง” อากิ อธิบาย
“ก็ไม่แปลกหรอก…”
“ส่วนหลี่มู่กับเอียนซีของเจ้านะ…เอ้อ”
“ว่าไงเล่า…”เด็กหนุ่มชักรำคาญเจ้าเพื่อนตัวแสบที่ดันเกิดอาการพูดติดอ่างขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย”
เรียวหายใจยาวก่อนพูดเสียงละห้อยว่า
“แม่ทัพหลี่นะ…เป็นคู่หมั้นของคุณหนูเอียน หวูไว่เอ๊ย”
“อะไรนะ…”หวูไว่ครางในลำคอ
เด็กหนุ่มแห่งเมืองเซียงอู่อ้าปากค้าง ใบหน้าเริ่มแดงก่ำ รู้สึกอยากเป็นลมหน้ามืดขึ้นมา
โธ่เอ๊ย…